คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 3 เกิดใหม่
ยามเย็น ณ เรือนหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวกลางผืนป่าในห้องที่เต็มไปด้วยหนังสือมากมายเด็กผู้ชายคนหนึ่งกำลังนั่งสมาธิอย่างสงบอยู่เพียงลำพัง ทว่าจู่ๆ บรรยากาศรอบตัวของเขาพลันเปลี่ยนไปอย่างกระทันหัน หมอกสีขาวจางๆ ก่อตัวขึ้นรอบตัวเด็กชายราวกับไอน้ำเดือดที่ลอยออกจากหม้อต้มน้ำ เวลาเดียวกันยามที่หมอกสีขาวปรากฏขึ้นสิ่งของรอบตัวเด็กชายพลันเกิดการเคลื่อนไหว สายลมก่อตัวขึ้นพัดพาสิ่งของต่างๆ ภายในห้องให้ลอยขึ้นกลางอากาศอย่างน่าอัศจรรย์ จากนั้นสิ่งของเริ่มหมุนวนไปรอบๆ ตัวของเด็กชายคล้ายกับพายุลูกเล็กๆ ที่มีเด็กชายเป็นจุดศูนย์กลาง
“ปัง!!”
เสียงระเบิดดังขึ้นจากตัวเด็กชายพร้อมปรากฏการต่างๆ ที่หยุดลงอย่างฉับพลัน สิ่งของร่วงลงสูพื้นอย่างกระจัดกระจายพร้อมเด็กชายที่ค่อยๆ เปิดดวงตาขึ้นอย่างช้าๆ เผยให้เห็นดวงตาสีม่วงที่เปล่งประกายราวกับอัญมณี เด็กชายลุกขึ้นยืนจากพื้นพลางปัดฝุ่นออกจากกางเกงอย่างสบายๆ พร้อมยกยิ้มขึ้นอย่างมีเสน่ห์ เด็กชายมีอายุราว 10 ปี ใบหน้าคมชัดหล่อเหลาราวกับงานแกะสลัก ผิวกายขาวสะอาดตัดกับคิ้วสีดำคมเข้มดุจกระบี่ เส้นผมสีดำยาวถูกมัดรวบไว้หลวมๆ ดูสบายๆ ดวงตาสีม่วงดูลึกลับและมากไปด้วยสติปัญญาราวกับว่าเขาสามารถมองทุกอย่างได้ทะลุปุโปร่ง
“สำเร็จในที่สุดก็ได้เวลาที่ข้าจะเริ่มต้นเส้นทางการบ่มเพาะของข้าอีกครั้งแล้ว”
เด็กชายพูดพึมพำกับตัวเองเสียงเบา และแน่นอนว่าเด็กชายคนนี้ไม่ใช่ใครอื่นเขาก็คือ ชายผู้ที่เคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดผู้มีฉายาว่า ปราชญ์อสูร นาม ไห่เจ๋อ นั้นเอง ตอนนี้ตัวเขาได้มาเกิดใหม่อยู่ในตระกูลธรรมดาที่อาศัยอยู่ห่างไกลจากผู้คนดังนั้นชื่อของเขาในตอนนี้คือ มู่ไห่เจ๋อ นี่ก็เป็นเวลาเกือบ 10 ปีแล้วตั้งแต่คืนนั้นที่เขาได้มาเกิดใหม่ร่างนี้ ในตอนแรกมู่ไห่เจ๋อไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับตัวเขากันแน่ เหตุใดเขาถึงได้กลับมาเกิดใหม่พร้อมกับความทรงจำในชีวิตก่อน แต่ไม่ว่าเรื่องนี้จะเต็มไปด้วยปริศนามากมายที่เขาไม่เข้าใจ แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาหลายปีมู่ไห่เจ๋อเองก็ไม่ได้ปล่อยให้เวลาหมดไปอย่างเปล่าประโยชน์ อย่างน้อยในตอนนี้ก็มีเรื่องที่เขาตรวจสอบจนมั่นใจแล้วอยู่หลายเรื่องด้วยกัน ยกตัวอย่างเช่น
เรื่องแรก สิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาในคืนนั้น มู่ไห่เจ๋อมั่นใจแล้วว่ามันคือการเกิดใหม่อย่างแน่นอน ส่วนหลักฐานก็คือร่างกายของเขาในตอนนี้มันมีส่วนที่แตกต่างไปจากร่างกายเดิมในชีวิตก่อนของเขาอยู่พอสมควร ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างหรือสัญลักษณ์และตำหนิต่างๆ ตามร่างกายพวกมันล้วนเปลี่ยนไปหมด จะมีก็เพียงใบหน้านี้ของเขาที่ยังคงมีส่วนที่คล้ายคลึงกับใบหน้าเดิมในชีวิตก่อนอยู่หลายส่วน แต่ก็มีเพียงไม่กี่จุดเท่านั้นที่แตกต่างออกไปอย่างชัดเจนโดยเฉพาะดวงตาสีม่วงที่เปล่งประกายราวกับอัญมณีคู่นี้ของเขา
เรื่องที่สอง สถานที่ ในชีวิตก่อนมู่ไห่เจ๋อเกิดและเติบโตมาในที่ที่มีชื่อว่า ดินแดนแศักดิ์สิทธิ์ ทว่าในปัจจุบันนี้สถานที่ที่เขาอาศัยอยู่กลับเป็นดินแดนที่มีชื่อว่า ทัณฑ์ศิลา
จากข้อมูลที่มู่ไห่เจ๋อรวบรวมมาจากการอ่านหนังสือภายในห้อง ดินแดนทัณฑ์ศิลา เป็นดินแดนที่มีขนาดกว้างใหญ่เป็นอย่างมาก อีกทั้งดินแดนทั้งหมดยังประกอบไปด้วยสภาพแวดล้อมและภูมิประเทศอันอุดมสมบูรณ์ราวกับสรวงสวรรค์ เรียกได้ว่าทั้งสองทั้งสองดินแดนไม่สามารถเอามาเปรียบเทียบกันได้เลยแม้แต่น้อย หากจะบอกว่าดินแดนทัณฑ์ศิลาคือสรวงสวรรค์ถ้าเช่นนั้นดิแดนศักดิ์สิทธิที่เขาเคยอยู่มันก็ไม่ต่างอะไรกับนรกดีๆ นี่เอง เพราะสภาพแวดล้อมและภูมิประเทศของดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นล้วนเต็มไปด้วยภัยอันตรายมากมาย ทั้งสภาพอากาศอันแปรปรวนชนิดที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว สิ่งมีชีวิตอันตรายมากมายที่อาศัยอยู่ตามสถานที่ต่างๆ ทุกการเดินทางหมายถึงการนำชีวิตออกไปเสี่ยงอันตราย นับได้ว่าเป็นดินแดนที่ยากต่อการอยู่อาศัยไม่น้อยสำหรับมนุษย์ แต่ที่สำคัญก็คือไม่ว่าเขาจะอ่านหนังสือภายในห้องนี้ไปมากแค่ไหนเขาก็ไม่เคยพบการมีอยู่ของดินแดรศักดิ์สิทธิ์ที่เขาจากมาเลย
และเรื่องที่สาม ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดนั้นก็คือ เรื่องการบ่มเพาะ สิ่งที่เรียกว่าการบ่มเพาะคือการที่มนุษย์หลอมรวมร่างกายและจิตวิญญาณให้เป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่ง เพื่อยืมพลังจากสวรรค์มาใช้ทำในสิ่งที่เกินกว่าสามัญสำนึกของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการทำให้ร่างกายมีพละกำลังเหนือมนุษย์ ตลอดจนการชะลอความแก่ชราของร่างกาย หรือแม้กระทั่งการมีอำนาจควบคุมธรรมชาติเช่น ดิน น้ำ ลม ไฟ จึงถือได้ว่าการบ่มเพาะนั้นเป็นของขวัญอันแสนวิเศษที่สวรรค์มอบให้กับสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลกใบนี้ และผู้ที่ทำการบ่มเพาะจนประสบความสำเร็จและสามารถทำสิ่งต่างๆ ที่กล่าวมาในข้างต้นได้นั้นจะถูกเรียกกันว่า ผู้ฝึกตน
โดยการที่คนธรรมดาจะกลายเป็นผู้ฝึกตนได้นั้น พวกเขาจะต้องหาวิธีการที่จะหลอมรวมร่างกายและจิตวิญญาณของพวกเขาให้เป็นหนึ่งเดียวกับสวรรค์ และดึงเอาพลังงานที่เรียกว่า พลังปราณ เข้าสู่ร่างกายเพื่อมันดึงเอาพลังอำนาจจากสวรรค์มาใช้ ซึ่งพลังปราณนั้น มันก็คือพลังงานรูปแบบหนึ่งที่มีอยู่ในทุกทุกที่ไม่ว่าจะเป็น พื้นดิน ท้องฟ้า แม่น้ำ และสิ่งมีชีวิตตลอดจนต้นไม้ใบหญ้า โดยเหล่าผู้ฝึกตนจะใช้พลังปราณเป็นสื่อกลางในการยืมพลังจากสวรรค์ แล้วเมื่อใดที่พวกเขาสามารถหลอมรวมพลังปราณเข้ากับร่างกายของพวกเขาได้อย่างสมบูรณ์ เมื่อนั้นพวกเขาก็จะได้กลายเป็น ผู้ฝึกตน อย่างแท้จริง
โดยสามารถแบ่งขอบเขตการบ่มเพาะออกเป็นทั้งหมด 9 ขอบเขต ได้แก่
ระดับที่ 1 ขอบเขตกำเนิดลมปราณ
ระดับที่ 2 ขอบเขตหลอมรวมลมปราณ
ระดับที่ 3 ขอบเขตก่อร่างลมปราณ
ระดับที่ 4 ขอบเขตเผยรูปลักษณ์
ระดับที่ 5 ขอบเขตสำแดงเจตจำนง
ระดับที่ 6 ขอบเขตรังสรรค์ชีวิต
ระดับที่ 7 ขอบเขตบัญญัติกฎเกณฑ์
ระดับที่ 8 ขอบเขตบัญชาสวรรค์
และขอบเขตสุดท้าย ระดับที่ 9 ขอบเขตรวมหนึ่งสรรพสิ่ง
ซึ่งในแต่ละระดับพลังของผู้ฝึกตนพวกเขาก็จะยิ่งมีพลังที่เหนือจินตนาการมากขึ้นไปจนไม่อาจที่จะคาดเดาไดัในชีวิตก่อนมู่ไห่เจ๋อเคยเป็นถึงผู้ฝึกตน ระดับ 8 ขอบเขตบัญชาสวรรค์ ที่แข็งแกร่งที่สุดชนิดที่ไม่มีใครสามารถต่อกรกับเขาได้และอีกเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้นเขาก็จะทะลวงเข้าสู่ ระดับที่ 9 ขอบเขตรวมหนึ่งสรรพสิ่ง ในตำนานที่ไม่มีผู้ใดก้าวไปถึงมานานหลายพันปีแล้ว
ทว่าช่างน่าเสียดายที่ชีวิตของเขาต้องมาจบลงเพราะความชั่วร้ายของมนุษย์ นอกจากนี้จากปรากฏการที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ก็ทำให้มู่ไห่เจ๋อสามารถยืนยันเพิ่มได้อีกเรื่องแล้วว่าในโลกใบนี้ที่เขาไม่รู้จัก ก็สามารถทำการบ่มเพาะและกลายเป็นผู้ฝึกตนได้เหมือนกับที่เขาเป็นในชีวิตก่อน และตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปนี่จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นเส้นทางของนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่จะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของโลกใบนี้
มู่ไห่เจ๋อรู้สึกตื่นเต้นจนไม่อาจจะหุบรอยยิ้มบนใบหน้าได้ แต่ในระหว่างที่เขากำลังรู้สึกยินดีกับความสำเร็จของเขาอยู่นั้นก็ได้มีเสียงฝีเท้าวิ่งตรงมาทางห้องหนังสือที่เขาอยู่อย่างเร่งรีบ จากนั้นบานประตูของห้องหนังสือที่ปิดอยู่ก็ค่อยๆ เลื่อนเปิดออกอย่างช้าๆ…
“ท่านพี่?”
เสียงสดใสราวกับเทพธิดาตัวน้อยดังลอยมาตามสายลมพร้อมกับหัวเล็กๆ ของเด็กสาวตัวน้อยที่ยื่นออกมาจากหลังประตูเผยให้เห็น ใบหน้ารูปไข่อันงดงามที่มาพร้อมกับองคาพยพทั้งห้าอันไร้ที่ติ เส้นผมสีดำเงางามยาวตรงตัดกันกับผิวสีขาวที่มันวาวราวกับหยก คิ้วโก่งโค้งสวยดั่งคันศรรับกันกับริมฝีปากสีชมพูเหมือนลูกท้อ ดวงตาสีม่วงเปล่งประกายราวกับอัญมณี และยังมีปราณสีแดงรูปหางหงส์ตรงหว่างคิ้วที่แสนงดงาม รวมแล้วช่างเป็นความงามอันไร้ที่ติราวกับนางถูกแกะสลักโดยฝีมือของเทพเซียน
“ท่านพี่อยู่นี่เอง ท่านพี่มาอ่านหนังสืออีกแล้วหรอ? อาหารเย็นเสร็จแล้วท่านแม่ให้เจียวเหม่ยมาตามท่านพี่ไปทานด้วยกัน”
เมื่อเด็กสาวมองเห็นมู่ไห่เจ๋อนางก็รีบวิ่งเข้ามากอดเขาด้วยความยินดีและเริ่มที่จะพูดออกมาอย่างเจื้อยแจ้วราวกับเสียงของนกตัวน้อย และเด็กสาวคนนี้ไม่ใช่ใครอื่นนางก็คือน้องสาวฝาแฝดของเขาที่เกิดมาพร้อมกับเขาในคืนนั้น นางมีชื่อว่า มู่เจียวเหม่ย มู่ไห่เจ๋อมองไปที่เด็กสาวพลางยกมือขึ้นมาลูบหัวเล็กๆของนางที่ซุกอยู่บนหน้าอกของเขาอย่างอ่อนโยน ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะมีอายุเท่ากันแต่ในปัจจุบันมู่ไห่เจ๋อกับมีส่วนสูงมากกว่านางถึงครึ่งศรีษะ นางจึงมักจะชอบพุ่งเข้ามากอดเขาเอาไว้แบบนี้อยู่เสมอ
มู่ไห่เจ๋อยกยิ้มพลางมองไปยังใบหน้าอันงดงามที่มองเขากลับมาด้วยดวงตาที่เปล่งประกายราวกับอัญมณีล้ำค่า แล้วก็มีใบหน้าหนึ่งในความทรงจำของเขาผุดขึ้นมาซ้อนทับกันกับใบหน้าอันงดงามของเด็กสาวตรงหน้า ไม่ว่าจะเป็นตาหูจมูกปากหรือแม้กระทั่งคิ้วพวกมันช่างเหมือนกันราวกับถูกพิมพ์ออกมาจากแม่พิมพ์เดียวกัน โดยเฉพาะปราณสีแดงรูปหางหงส์ตรงหว่างคิ้วนั้นมันช่างเหมือนกันมากจริงๆ แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรในใจลึกๆ ของมู่ไห่เจ๋อกลับบอกเขาอยู่เสมอว่าทั้งสองไม่ใช่คนคนเดียวกัน
มู่เจียวเหม่ยสัมผัสได้ถึงสายตาที่มองมาของมู่ไห่เจ๋อแต่นางไม่เข้าใจว่ามันคืออะไรนางจึงคิดที่จะเอ่ยถาม แต่ก่อนที่นางจะทันได้พูดมู่ไห่เจ๋อก็ได้เอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อน
“เดี๋ยวเจียวเหม่ยไปหาท่านแม่ก่อนนะ พี่ชายขอเก็บห้องให้เรียบร้อยก่อนแล้วจะตามไปดีมั้ย!!”
เมื่อถูกเอ่ยขัดด้วยความไร้เดียงสาเด็กสาวก็ลืมความสงสัยที่มีไปจนหมดพร้อมตอบกลับเสียงหวานแล้วจึงค่อยจากไป
“อืม!! ได้เจียวเหม่ยจะไปหาท่านแม่ก่อน!! ท่านพี่รีบตามมานะ!!”
มู่ไห่เจ๋อมองตามแผ่นหลังของเด็กสาวที่จากไปพลางส่ายหัวไล่ความคิดอันสับสนที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในใจให้ออกไป เพราะว่าไม่ว่านางจะเป็นใครเขาก็ไม่สนใจเพราะสิ่งเดียวที่เขารู้ก็คือในคราวนี้เขาจะต้องปกป้องทุกคนที่เขารักไว้ให้ได้ เขาจะไม่มีวันยอมเสียใครไปอีกเป็นอันขาด ดังนั้นไม่ว่านางจะเป็นใครก็ตามแต่ตอนนี้นางคือมู่เจียวเหม่ยน้องสาวอันเป็นที่รักของเขาที่เขาจะค่อยดูแลและปกป้องนางตลอดไป
ความคิดเห็น