ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตำนานนักปราชญ์ Sage Legend

    ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1 ความตายและความเสียใจ

    • อัปเดตล่าสุด 22 ก.พ. 67


    ยามราตรีอันแสนเงียบงันในหุบเขาที่ห่างไกลไร้ผู้คน กลับมีเสียงฝีเท้าจำนวนมากดังสะท้อนไปทั่วทั้งหุบเขาทำลายความเงียบสงบที่มีไปจนหมดสิ้น ภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมามีชายคนหนึ่งในชุดคลุมสีดำยืนผิงก้อนหินขนาดใหญ่ในสภาพที่ดูไม่ได้ เขาหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน มือทั้งสองกำหอกที่หักเป็นสองท่อนเอาไว้แน่นชุดคลุมสีดำที่ถูกถักทอขึ้นมาจากผ้าเนื้อดีกลับเต็มไปด้วยรอยฉีกขาดกับคราบเลือดอันแห้งกรัง เส้นผมสีดำยาวที่ควรพลิ้วไหวไปตามสายลมกลับพันกันหยุ่งเหยิงจากคราบโลหิตที่เปรอะเปื้อน 

    ชายชุดดำจ้องมองเข้าไปในเงาไม้ที่มีเสียงการเคลื่อนไหวอยู่เบื้องหน้าด้วยความสงบที่ไม่เข้ากับภาพของเขาในตอนนี้เลยแม้แต่น้อย ไม่นานเงาร่างจำนวนมากพลันปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าชายชุดดำด้วยความรวดเร็ว เพียงชั่วพริบตาชายชุดดำก็ได้ถูกล้อมเอาไว้อย่างสมบรูณ์แล้ว

    “ปราชญ์อสูรเจ้าไม่มีทางหนีแล้ว!! วันนี้จะเป็นวันตายของเจ้า”

    “ปราชญ์อสูรเจ้าบุกโจมตีนิกายของข้าสังหารชีวิตบริสุทธิ์ไปนับร้อย เลือดต้องล้างด้วยเลือดวันนี้ข้าจะต้องให้เจ้าชดใช้”

    “ปราชญ์อสูรเจ้าสังหารผู้บริสุทธิ์ไปมากมาย ซ้ำยังทำลายนิกายศักดิ์สิทธิ์ ไปถึง 3 แห่ง และเมืองใหญ่อีกหลายเมือง ทั้งยังลักลอบศึกษาวิชาปีศาจและใช้มันสร้างความเดือดร้อนไปทั่วทุกที่ สิ่งเลวร้ายทุกอย่างที่เจ้าได้ก่อเอาไว้จะต้องถูกสะสางในวันนี้ ข้าจะขอเป็นตัวแทนของเหล่าผู้วายชนสำเร็จโทษเจ้าเอง!!”

    เสียงสบทสาปแช่งดังมาจากทุกทิศทางโดยมีเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวคือชายชุดดำ ทว่าท่ามกลางเสียงก่นด่าสาปแช่งมากมายนั้นชายชุดดำกลับหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งจนทำให้เสียงสาปส่งต่างๆต้องหยุดลงอย่างกระทันหัน

    “หึ หึ หึ… ฮ่า!! ฮ่า!! ฮ่า!! ฮ่า!! ฮ่า!!”

    “ปราชญ์อสูรเจ้าหัวเราะอะไร!! หรือว่าเจ้าจะเสียสติไปแล้ว แต่เจ้าอย่าได้คิดว่าพวกเราจะปล่อยเจ้าไป ต่อให้เจ้าจะเสียสติตไปแล้วยังไงวันนี้เจ้าก็ต้องตาย!!”

    ในที่สุดก็มีคนทนไม่ไหวชายคนหนึ่งคำรามออกมาด้วยความโกรธพร้อมชี้ดาบในมือตรงไปยังชายชุดดำด้วยท่วงท่าอันกล้าหาญ เสียงคำรามที่ดังขึ้นทำให้เสียงหัวเราะของชายชุดดำพลันเงียบลง ก่อนที่ท่าทีที่สงบของเขาจะแปรเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน

    “พวกนิกายศักดิ์สิทธิ์นี้ช่างไร้ยางอายกันเสียจริง ในวันที่พวกเจ้าคลานเข่าเข้ามาหาข้าเพื่อเสนอเงื่อนไขต่างๆ เพื่อแลกกับสิ่งที่ข้ามีพวกเจ้าต่างพากันยกยอมันต่างๆนาๆเพื่อหวังจะให้ข้าแบ่งปันมันกับพวกเจ้า แต่พอมาตอนนี้พวกเจ้ากับเรียกมันว่า วิชาปีศาจ อย่างนั่นหรือ หน้าพวกเจ้านี่มันช่างหนากันเสียจริง” 

    ชายชุดดำกล่าวขึ้นอย่างเย้ยหยัน คำพูดของเขาเปรียบเสมือนการราดน้ำมันลงบนกองไฟความโกรธของฝูงชนที่พึ่งจะสงบลงไปพลันลุกโชนขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับคำสบทสาปส่งอีกนับไม่ถ้วน ชายชุดดำไม่สนใจเสียงสาปส่งของฝูงชนเขาทิ้งด้านหอกในมือขวาลงพื้นก่อนจะล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อและหยิบของบางสิ่งขึ้นมาชูไว้เหนือศรีษะอย่างเงียบๆ ฉับพลันยามที่ฝูงชนสังเกตเห็นการกระทำของชายชุดดำพร้อมสิ่งที่อยู่ในมือของเขาเสียงสาปส่งต่างๆ พลันเงียบลง 

    “อ้าว? เป็นอะไรไปทำไมถึงเงียบกันล่ะ? นี่ไงสิ่งที่พวกเจ้าต้องการเข้ามาเอามันไปสิ!!”

    ชายชุดดำกล่าวเย้ยหยันขึ้นอีกครั้งพลางโบกสิ่งที่อยู่ในมือของเขาไปมาพร้อมเผยรอยยิ้มอันเย็นเยียบ ทว่าตรงข้ามกับการตอบสนองในครั้งก่อน แม้ว่าจะถูกชายชุดดำเย้ยหยันดูถูกเพียงใดฝูงชนก็ไม่ได้มีท่าทีตอบสนองแต่อย่างใด พวกเขาเอาแต่จ้องมองไปยังของที่อยู่ในมือชายชุดดำด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยประกายแห่งความโลภ ชายชุดดำจ้องมองไปยังดวงตาที่จ้องมองมายังสิ่งที่อยู่ในมือของเขาด้วยความเครียดแค้นและความเกียจชัง สิ่งที่อยู่ในมือของชายชุดดำในตอนนี้เป็นคัมภีร์ปกสีน้ำเงินเก่าๆเล่มหนึ่งที่ดูไม่มีอะไรพิเศษเว้นนอกจากชื่อที่ถูกเขียวไว้ว่า หอคอยแห่งปัญญา

    “ปราชญ์อสูรเจ้าจงยอมจำนนแล้วส่งคัมภีร์นั้นมาให้พวกเราแต่โดยดี หากเจ้ายอมพวกเราขอสัญญาว่าจะละเว้นชีวิตคนตระกูลฮุ้ยของเจ้า”

    ในความเงียบที่เข้าปกคลุมชายชราคนหนึ่งที่บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยอำนาจบารมีก้าวออกมาด้านหน้าฝูงชนพร้อมก้าวขึ้นด้วยน้ำเสียงอันเที่ยงธรรม 

    “ฮ่า ฮ่า ฮ่า…!! ตระกูลของข้า ตระกูลฮุ้ยของข้างั้นหรือ? ฮ่า ฮ่า ฮ่า…!!”

    ทว่าเมื่อชายชุดดำได้ยินคำกล่าวของอีกฝ่ายเขาก็เริ่มหัวเราะออกมาอีกครั้งราวกับคนบ้า เสียงหัวเราะดังสะท้อนไปทั่วทั้งหุบเขาทำให้ราวสิ่งมีชีวิตที่ได้ยินต่างพากันรู้สึกหนาวสั่นไปถึงกระดูกสันหลัง แต่ฉับพลันเสียงหัวเราะอันแสนบ้าคลั่งนั้นกลับเงียบลงอย่างกระทันหันก่อนจะแปรเปลี่ยนไปเป็นน้ำเสียงอันเย็นเหยียบที่ทำให้ร่างกายของผู้ได้ยินต้องสั่นสะท้านด้วยความหวาด

    “ฮุ้ยต้าหลุน!! เลิกแสดงละครไร้สาระนี้แล้วออกมาซะ!! เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้งั้นหรือว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้มันเป็นฝีมือของเจ้า!!”

    สิ้นเสียงชายชุดดำเงาร่างหนึ่งได้ก้าวเดินออกมาจากทางด้านหลังฝูงชนด้วยใบหน้าประดับรอยิ้มอันแสนสุภาพ เงาร่างที่ก้าวออกมาเป็น ชายในชุดบัณฑิตสีฟ้าภูมิฐาน รอยยิ้มอันแสนสุภาพถูกประดับเอาไว้บนใบหน้าอันหล่อเหลาราวกับเทพบุตร โดยเฉพาะปราณรูปดวงตะวันสีแดงตรงหว่างคิ้วของเขายิ่งขับรัศมีของเขาให้โดดเด่นมากยิ่งขึ้น

    “เห้อ ท่านพี่ข้าไม่คิดจริงๆว่าข้าจะถูกท่านจับได้ ข้าว่าข้าทำเรื่องนี้ได้เงียบที่สุดแล้วเชียวนะ”

    ชายในชุดบัณฑิตสีฟ้าที่พึ่งปรากฏตัวมีนามว่า ฮุ้ยต้าหลุนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดูผิดหวังอย่างสุดซึ้งพร้อมจ้องมองไปยังชายชุดดำด้วยแววตาอันเศร้าสร้อย ทว่าเพียงชั่วพริบตาใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเศร้าและความผิดหวังนั้นก็ได้แปรเปลี่ยนไปเป็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มอย่างฉับพลัน

    “ท่านพี่ เรื่องนี้ท่านจะกล่าวโทษข้าเพียงคนเดียวไม่ได้หรอกนะ ถ้าท่านอยากจะโทษใครท่านก็ควรจะโทษความโง่เขลาของตัวท่านเอง ที่ไม่ยอมรับข้อเสนอจากเหล่านิกายศักดิ์สิทธิ์แต่โดยดี” 

    ฮุ้ยต้าหลุนเอ่ยขึ้นอย่างเย้ยหยันพลางจ้องมองไปยังร่างอันน่าสมเพชของชายชุดดำพร้อมรอยยิ้มที่เก็บไว้ไม่มิตร 

    “เอาละท่านพี่ พวกเรามาจบเรื่องนี้กันเถอะส่งคัมภีร์ในมือท่านมาซะยังไงวันนี้ท่านก็ต้องตายที่นี้ เพื่อเป็นการชดใช้ที่ท่านทำให้ตระกูลฮุ้ยของพวกเราต้องเสื่อมเสีย”

    ฮุ้ยต้าหลุนพยายาเก็บงำสีหน้าที่เป็นไปด้วยความยินดีลงอย่างสุดความสามารถพร้อมเอ่ยกับชายชุดดำอีกครั้งพร้อมท่าทีอันชอบธรรม 

    “หึ หึ!! ตระกูลของพวกเรา ตระกูลฮุ้ยของพวกเรางั้นรึ? ฮ่า ฮ่า ฮ่า!! อย่าพูดให้ขำไปหน่อยเลยพวกเจ้าตระกูลฮุ้ยรวมหัวกับพวกนิกายสวะนั้นทำลายครอบครัวของข้า ในวันนี้ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตข้าก็จะต้องฆ่าพวกเจ้าให้ได้”

    ชายชุดดำคำรามออกมาอย่างเครียดแค้นพร้อมกับดวงตาที่เปลี่ยนไปเป็นสีแดงก่ำราวกับปีศาจ
    ฮุ้ยต้าหลุนไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับปฏิกิริยาการตอบสนองของชายชุดดำแต่อย่างใด เขาเผยรอยยิ้มอันน่ารังเกียจที่เก็บซ่อนเอาไว้ขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมสะบัดชายแขนเสื้อสีฟ้าของเขาด้วยท่วงท่าอันสง่างาม 

    “เช่นนั้นพวกเราก็ไม่มีอะไรต้องคุยกันอีก วันนี้ข้าฮุ้ยต้าหลุนขอเป็นตัวแทนตระกูลฮุ้ยในการช่วยทุกท่านสำเร็จโทษของ ปราชญ์อสูร ผู้เป็นต้นเหตุของหายนะในแคว้นศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรา!!”

    ฮุ้ยต้าหลุนเอ่ยขึ้นกับฝูงชนด้วยท่าทีอันชอบธรรม สิ้นเสียงประกาศของเขาเหล่าฝูงชนที่ยืนล้อมชายชุดดำเอาไว้ต่างพากันชักอาวุธออกมาอย่างพร้อมเพรียง 

    “ฆ่าปราชญ์อสูรกำจัดภัยร้ายให้หมดไปจากแคว้นศักดิ์สิทธิ์!! ฆ่าปราชญ์อสูร!! ฆ่าปราชญ์อสูร!! ฆ่าปราชญ์อสูร!!”

    เสียงร้องคำรามดังสะท้อนไปทั่วทั้งหุบเขาพร้อมร่างของเหล่าฝูงชนที่พากันพุ่งเข้าโจมตีชายชุดดำจากทุกทิศทาง

    ทว่าก่อนที่ฝูงชนจะทันได้เริ่มเคลื่อนไหวชายชุดดำก็ได้ชิงลงมือก่อนด้วยความรวดเร็วชนิดที่ไม่มีใครสามารถตอบสนองได้ทัน ชายชุดดำโยนคัมภีร์ในมือออกไปข้างหน้าอย่างฉับพลันส่งผลให้สายตาทุกคู่ที่จ้องมองมาที่เขาพลันย้ายไปจับจ้องยังคัมภีร์ที่ลอยอยู่ในอากาศเป็นตาเดียวด้วยความตกตะลึง ฉับพลันเงาร่างนับไม่ถ้วนที่กำลังพุ่งเข้าโจมตีชายชุดดำพลันพากันเปลี่ยนทิศทางไปทางคัมภีร์ที่ลอยอยู่ในอากาศอย่างพร้อมเพรียง

    “บัดซบ!! ไอ้พวกโง่มันเป็นกับดัก!!”

    เมื่อได้เห็นการเคลื่อนไหวของฝูงชนชายคนหนึ่งที่ดูแล้วมีสิตปัญญาที่ดีก็สบทออกมาด้วยความโกรธในทันที แต่ถึงแม้จะรู้ตัวตอนนี้มันก็สายเกินไปแล้วในตอนที่ทุกคนละสายตาไปจากตัว เขาชายชุดดำก็ได้ใช้เท้าเตะชิ้นส่วนหอกที่อยู่บนพื้นพุ่งออกไปด้านหน้าพร้อมกับขว้างหอกอีกส่วนที่อยู่ในมือตามออกไปในเวลาเดียวกัน ในตอนนั้นในกลุ่มคนที่พุ่งไปทางคัมภีร์ที่ลอยอยู่ในอากาศมีชายคนหนึ่งที่ตอบสนองได้เร็วกว่าใคร เพราะตั้งแต่ที่ชายชุดดำนำคัมภีร์ออกมาเขาก็ไม่เคยละสายตาไปจากมันได้อีกเลย ดังนั้นในตอนที่ชายชุดดำโยนคัมภีร์ออกมาเขาจึงเป็นหนึ่งในคนกลุ่มแรกที่เริ่มเคลื่อนไหว ในตอนนี้คัมภีร์ที่เป็นที่ต้องการของทุกคนมันกำลังลอยอยู่ต่อหน้าของชายคนนั้น เขาจ้องมองมันด้วยดวงตาที่เป็นประกายเพียงแค่ยื่นมือออกไปมันก็จะกลายมาเป็นของเขา ทว่าก่อนที่ใครจะทันได้สัมผัสกับตัวคัมภีร์

    “ตู้ม!!!”

    เสียงระเบิดพลันดังขึ้นมาพร้อมกับร่างของผู้คนที่ลอยกระเด็นไปคนละทิศละทางพร้อมชิ้นส่วนร่างกายมนุษย์ที่กระจัดกระจายไปทั่ว จนเกิดเป็นภาพอันน่าสยดสยองแรงระเบิดที่เกิดขึ้นมาจากหอกทั้งสองส่วนที่ชายชุดดำขว้างมันออกมา ชิ้นส่วนหอกทั้งสองพุ่งตรงไปยังทิศทางเดียวกันกับคัมภีร์ที่เขาโยนออกไป หอกทั้งสองส่วนพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วประดุจสายฟ้าหอกทั้งสองส่วนทะลวงผ่านทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า จนกระทั่งมันไปปะทะกับคัมภีร์ที่ลอยอยู่ในอากาศก่อนที่จะก่อให้เกิดการระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ฝูงชนที่เต็มไปด้วยความฮึกเฮิมอยู่เมื่อครู่พากันก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัวพร้อมกับความหวาดกลัวที่เริ่มก่อตัวขึ้นภายในใจ

    ชายชุดดำอาศัยจังหวะที่ฝูงชนกำลังตกอยู่ในความโกลาหลเขารีบพุ่งตัวตามไปยังทิศทางที่เขาขว้างหอกออกไป การระเบิดที่เกิดขึ้นได้ช่วยเปิดเส้นทางให้เขาพุ่งตรงไปยังเป้าหมายได้โดยไม่มีอุปสรรค เพียงพริบตาเดียวเงาร่างของชายชุดดำก็ไปปรากฏอยู่ต่อหน้าชายในชุดบันฑิตสีฟ้าที่มีปราณดำปกคลุมไปทั่วใบหน้าหรือก็คือฮุ้ยต้าหลุนด้วยดวงตาที่ลุกโชนไปด้วยเปลวไฟแห่งความแค้น ฮุ้ยต้าหลุนพลันได้สติจากสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเขาสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่พุ่งตรงมาที่เขาพร้อมกับความรู้สึกที่อะไรบางอย่างสัมผัสโดนหน้าอกของเขา เมื่อมองลงไปฮุ้ยต้าหลุนก็ต้องรู้สึกหวาดกลัวสุดขีดเมื่อเขามองเห็นคัมภีร์เก่าๆที่ทุกคนต้องการวางทาบอยู่บนหน้าอกของเขาพร้อมฝ่ามือที่เต็มไปด้วยกลิ่มอายแห่งความตาย 

    “บัดซบ!!” “โผละ!!”

    ฮุ้ยต้าหลุนกรีดร้องสุดเสียงพร้อมพยายามถอยออกห่างจากฝ่ามือนั้นอย่างสุดชีวิต แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ทำอะไรเสียงเหมือนผลไม้ถูกระเบิดได้ดังขึ้นพร้อมหร้อมออกของเขาที่กลายเป็นรูโหว่จากแรงระเบิดปริศนา ฮุ้ยต้าหลุนทรุดร่างลงกับพื้นพร้อมโลหิตที่ไหลรินออกมาจากหน้าอกด้านซ้าย ชายชุดดำยืนมองร่างของฮุ้ยตาหลุนที่ล้มลงด้วยสายตาเย็นชาพร้อมถือคัมภีร์หอคอยแห่งปัญญาเอาไว้ในมือซ้าย ส่วนมือขวาที่เมื่อครู่วางทาบอยู่บนอกของฮุ้ยต้าหลุนมันได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยพร้อมกับแรงระเบิดที่เจาะรูบนหน้าอกของฮุ้ยต้าหลุน สิ่งนี้ทำให้ฝูงชนตกอยู่ในความเงียบอีกครั้งจากการสูญเสียที่เกิดขึ้นในเวลาเพียงชั่วพริบตา แต่ไม่ว่ามีคนตายไปมากเท่าไหร่ในเวลาแค่ชั่วอึดใจฝูงชนที่เต็มไปด้วยความโลภก็ยังคงไม่ยอมแพ้และยืนล้อมชายชุดดำเอาไว้พร้อมจ้องมองไปที่คัมภีร์หอคอยแห่งปัญญาในมือชายชุดดำโดยไม่ละสายตา

    “ทุกคนอย่ากลัว!! ตอนนี้มันกลายเป็นพิการไปแล้ว!! อย่าให้การเสียสละของคนอื่นต้องสูญเปล่า!! ร่วมมือกันจักการมันเลย!!”

    น้ำเสียงอันกล้าหาญดังขึ้นเพื่อปลุกระดมฝูงชนจากที่ไฟนสักแห่ง ทว่าแม้ทุกคนในที่นี้จะได้ยินมันก็ยังคงไม่มีใครแม้แต่คนเดียวกล้าที่จะเคลื่อนไหว แต่ตรงกันข้ามกับฝูงชนที่หยุดนิ่งชายชุดดำที่เหลือแขนเพียงข้างเดียวไม่ได้สนใจฝูงชนที่ยืนล้อมเขาอยู่แม้แต่น้อย เขาเอาแต่จ้องมองไปยังคัมภีร์ในมือที่เป็นสาเหตุของโศกนาฏกรรมทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับเขาและครอบครัวด้วยดวงตาอันว่างเปล่า แต่ดวงตาที่ว่างเปล่าของเขาก็คงอยู่ได้ไม่นานและแปรเปลี่ยนไปเป็นดวงตาที่เต็มไปด้วยประกายแห่งความแน่วแน่

    ชายชุดดำที่ถูกลายล้อมด้วยฝูงชนที่มีอาวุธครบมือจู่ๆก็นั้งลงพร้อมโยนคัมภีร์ที่ทุกคนต้องการลงบนพื้น ก่อนจะใช้แขนที่เหลืออยู่เพียงข้างเดียววาดสัญลักษณ์อักขระบางอย่างด้วยเลือดของเขาลงบนคัมภีร์ด้วยความรวดเร็ว และทันใดนั้นคัมภีร์สีน้ำเงินเก่าๆที่อยู่ตรงหน้าเขาพลันสาดประกายแสงสีทองส่องสว่างไปทั่วทุกทิศ จากตัวคัมภีร์ที่มีสภาพทรุดโทรมในตอนแรกพลันเปลี่ยนไปเป็นคัมภีร์สีทองอร่ามที่แผ่รัศมีอันลึกล้ำ 

    เมื่อได้เห็นสิ่งนี้เหล่าฝูงชนที่เมื่อครู่ยังไม่ยอมเคลื่อนไหวแม้ว่าชายชุดดำจะได้รับบาดเจ็บสาหัส พากันพุ่งเข้าโจมตีชายชุดดำอีกครั้งในทันทีโดยไม่ต้องให้มีใครมาพูดปลุกระดมอะไรทั้งนั้น ชายชุดดำไม่ได้สนใจการโจมตีที่ถาโถมเข้ามาม้แต่น้อยเขายกแขนที่เหลือเพียงข้างเดียวขึ้นพร้อมแทงมันทะลุเข้าไปในหน้าอกของตัวเอง โลหิตพลันไหลทะลักออกมาอย่างไม่อาจควบคุมทว่าโลหิตที่ครวจะไหลนองไปบนพื้นกลับก่อตัวขึ้นเป็นดวงแสงสีแดงลอยอยู่เหนือคัมภีร์สีทอง ฉับพลันคัมภีร์สีทองที่อยู่บนพื้นพลันเปิดออกเองอย่างน่าอัศจรรย์ชายชุดดำไม่รอช้าเขาตบฝ่ามือเข้าใส่ดวงแสงสีแดงกดมันเข้าไปในคัมภีร์สีทอง

    “บูม!!” 

    ยามเมื่อดวงแสงสีแดงสัมผัสเข้ากับคัมภีร์พลันเกิดระลอกคลื่นสีดำคล้ายหมอกควันระเบิดขึ้นอย่างฉับพลัน หมอกสีดำกวาดไปในฝูงชนพร้อมผลักร่างพวกเขาที่พุ่งเข้ามาให้กระเด็นถอยกลับไปคนละทิศคนละทาง ทว่าฝูงชนยังคงไม่ยอมแพ้พวกเขาพากันพลิกตัวกลางอากาศพร้อมเตรียมที่จะพุ่งเข้าโจมตีชายชุดดำอีกครั้ง แต่เมื่อพวกเขาเงยหน้าขึ้นอีกครั้งสีหน้าของพวกเขาพลันบิดเบี้ยวไปอย่างหน้าเกลียดเพราะภาพตรงหน้าที่พวกเขากำลังได้เห็นในตอนนี้ ซึ่งภาพนั้นคือภาพของคัมภีร์สีทองที่ส่องแสงสว่างอันเจิดจ้าพร้อมแผ่รัศมีอันลึกล้ำอยู่เมื่อครู่กำลังลุกไหม้ด้วยเปลวไฟ ทุกคนที่ได้เห็นสิ่งนี้ต่างพากันอ้าปากค้างคัมภีร์ที่เล่มหนึ่งที่แม้จะโดนโจมตีโดยหอกอันทรงพลังที่สามารถเจาะทะลุร่างกายของคนนับสิบได้อย่างสบายกลับไม่มีแม้แแต่รอยขีดข่วน แต่ในตอนนี้มันกลับกำลังถูกเผาด้วยเปลวไฟและค่อยๆกลายเป็นเถ้าถ่านไปทีละน้อย 

    “บัดซบ!!! รีบฆ่ามันแล้วดับไฟเร็วเข้า!!”

    ไม่รู้ว่าเป็นเสียงใครที่ตะโกนขึ้นมาแต่เมื่อเสียงตะโกนนี้สิ้นสุดลงร่างของฝูงชนพลันพุ่งเข้าโจมตีชายชุดดำพร้อมกันอีกครั้งอย่างดุร้าย อาวุธชิ้นแล้วชิ้นเล่าทะลวงผ่านเลือดเนื้อของชายชุดดำอย่างโหดเหี้ยมเพียงชั่วพริบตาร่างสูงของชายชุดดำก็เต็มไปด้วยอาวุธนับไม่ถ้วนที่ถูกฝังเข้าไปในร่างของเขา

    “บัดซบ!! ไฟมันไม่ยอมดับ!!!”
    เสียงหนึ่งดังขึ้นจากกลุ่มคนที่เข้าไปพยายามดับไฟที่กำลังเผาไหม้คัมภีร์สีทองไปทีละน้อย

    “ดับไฟนั้นซะ!! เดี๋ยวนี้!!”

    ชายคนหนึ่งคำรามใส่ชายชุดดำอย่างบ้าคลั่งพร้อมกับหมุนด้ามดาบที่ฝังอยู่ในร่างชายชุดดำอย่างแรงจนบาดแผลฉีกกว้างขึ้นเลื่อยๆอย่างโหดเหี้ยม ทว่าสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่ควรจะปรากฎขึ้นกลับไม่มีให้เห็นมีเพียงแค่เสียงหัวเราะกับรอยยิ้มอันเย้ยหยันเท่านั้นที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชายชุดดำ และในตอนที่ชายถือดาบกำลังจะเอ่ยถามว่าเขาหัวเราะอะไรชายชุดดำก็ถ่มน้ำลายผสมเลือดใส่หน้าเขาพร้อมยกยิ้มอย่างสะใจ ชายถือดาบที่ถูกถ่มน้ำลายใส่พลันเดือดดาลถึงขีดสุดจนดวงตากลายเป็นสีแดงก่ำ เขาดึงดาบที่ฝังอยู่ในร่างของชายชุดดำออกมาอย่างโหดเหี้ยมก่อนจะฟันโดยเล็งไปลำคอของอีกฝ่ายอย่างไร้ความปรานี ทว่าก่อนที่ดาบจะทันได้ตัดศรีษะของชายชุดดำร่างที่ควรจะตายไปนานแล้วของเขาก็ได้เบี่ยงตัวหลบดาบที่ฟันลงมาได้อย่างน่าอัศจรรย์

    “ฉั่ววว!!!”

    ดาบยาวได้จมลึกลงไปในร่างของชายชุดดำอย่างน่าสยดสยอง แต่เมื่อชายถือดาบต้องการจะดึงดาบออกมาอีกครั้งเขาก็พบว่าข้อมือของเขาถูกมือของชายชุดดำจับเอาไว้แน่น

    “เจ้า…!!!”

    “โอ้นี่เจ้านิกายเทพดาบไม่ใช่หรือ!! ไหนๆ เจ้าก็อยู่ที่นี่แล้วงั้นเรามาตายด้วยกันเถอะ!!!”

    ชายชุดดำไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายได้พูดสบทสาปแช่งอะไรทั้งนั้น เขาพ่นคำพูดเยาะเย้ยกับคนที่อยู่ตรงหน้าอย่างเผ็ดร้อนพลางรวบรวมพลังปราณเฮือกสุดท้ายที่เหลืออยู่ในร่างกาย เพื่อทำการระเบิดตัวเองไปพร้อมกับอีกฝ่ายและคนที่อยู่รอบๆ

    “บู้มมม!!!”

    เสียงระเบิดดังขึ้นท่ามกลางป่าลึกอีกครั้งพร้อมกับชีวิตของชายชุดดำจากไปชั่วนิรันดร์ อย่างไรก็ตามในวินาทีสุดท้ายก่อนที่ชายชุดดำจากไป…

    “ข้าขอโทษ… ข้าขอโทษที่ข้าไม่สามารถอยู่ปกป้องพวกเจ้าดะ… ได้อีกแล้ว…” 

    สิ่งนี้คือความคิดสุดท้ายที่ปรากฏขึ้นภายในหัวของเขาก่อนที่ร่างของเขาจะสลายไปพร้อมกับแรงระเบิด และนี่ก็คือจุดจบของชายที่ครั้งหนึ่งเคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดบนโลกใบนี้ผู้ถูกขนานนามว่า ปราชญ์อสูร ภัยพิบัติแห่งมวลมนุษย์

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×