ตอน....
**ขอเปลียนเหรียญที่ห้อยประจำตัวของผู้หลอมโอสถให้เหลือเพียงหนึ่งเหรียญ แต่ระดับจะอยู่กับจำนวนพู่ที่ห้อยจากเหรียญแทน เช่นเหรียญเงินมีพู่ห้อยสองอันหมายถึงผู้หลอมโอสถขั้นกลาง...****
ทั้งสองจ้องมองเหรียญทองที่ห้อยไว้ด้วยพู่สีเเดงจำนวนหนึ่งเส้น แล้วถอนหายใจออกมายาวเหยียดคล้ายยอมรับชะตากรรม เพราะตอนนี้พวกเขามีส่วรร่วมกับราชวงศ์ในฐานะปรมาจารย์โอสถขั้นต้นไปเป็นที่เรียยร้อยแต่ด้วยเห็นการหลอมโอสถของเด็กน้อยที่ก้าวหน้ากว่าทำให้พวกในหัวของพวกเขาขาวโพลนและยังเป็นหนี้ราชวงศ์กว่า50ทองฉีหลิน เพราะทำรากบงกชอัคคีห้าร้อยปีเสียหาย นับว่ามันเป็นความอัปยศโดยแท้ แต่ในความอัปยศนี้ยังมีความใคร่รู้ นั่นคืออาจารย์ผู้สอนสั่งอัจฉริยะผู้นี้คือใครกัน เบื้องหลังของราชวงศ์ต้องมีบางสิ่งบางอย่างเป็นแน่
" นับว่าโชคดีที่ได้พวกท่านทั้งสอง มิทราบว่าท่านทั้งสองมีนามว่า....." ใต้ท้าวฮัวถึงจะมีตำแหน่งถึงเจ้ากรมแต่กลับกล่าวถามด้วยวาจาที่น้อบน้อม คงไม่ต้องสงสัยเพราะทั้งสองล้วนมีระดับการหลอมที่เหนือกว่า และยศศักดิ์ที่พวกเขาจะได้รับนั้นคงไม่ต่ำกว่าขุนนางขั้นสี่ จวิ้นอ๋องนับว่าเป็นผู้ชาญฉลาด พระองค์มิได้แต่งตั้งขุนนาง แต่พระองค์ทรงกำหนดฐานะไว้อย่างชัดเจน ถึงจะมิใช่ชนชั้นสูงแต่เมื่อเป็นผู้หลอมโอสถขั้นต้น ก็มีฐานะเทียบเท่า คำว่าเทียบเท่านั้นสร้างความภาคภูมิใจให้แก่พวกเขา เพราะพวกเขาจะไม่ต้องก้มศรีษะให้กับผู้ที่มีฐานะเท่าเทียมอีก และความต้องการที่จะเลื่อนฐานะนั้นย่อมมีมากพอๆกับการพยายามศึกษานั่นเอง
" ข้ามีนามว่าหานตง มาจากตระกูลหานแต่ก่อนเป็นคนของเสวียนอู่ แต่มารดาของข้าเป็นคนตระกูลหลิวและตอนนี้บิดาเสียชีวิตข้าจึงมาพำนักที่ตระกูลหลิวแทน " คนแรกนับว่าฝีปากนั้นเฉียบคมเเละเมื่อดูขุมอำนาจที่หนุนหลังหรือให้ที่พักพิงคือตระกูลหลิว นั้นหมายถึงย่อมมีความเกี่ยวข้องกับพระชายาทั้งสองแต่จะนับสายเลือดยังไงก็คงไม่อาจรู้ได้ เพราะตระกูลหลิวเองก็มีคนนับร้อยเช่นกัน
"ผู้น้อยมีนามว่า ฉี่กวง เดิมทีตระกูลข้าเคยอาศัยที่เมืองเหมยเป่ย แต่เมื่อร้อยปี่ก่อนบิดาได้ไปขออาศัยอยู่กับญาติที่หลงอู่ แต่ตอนนี้พวกเราย้ายกลับมาที่ฉีหลินแล้ว..." นับว่าไม่ได้เกินความคาดหมาย ตอนนี้ชื่อเสียงของพวกเขาคงเป็นที่กล่าวถึงในฐานะของผู้หลอมโอสถแล้ว รวมถึงชื่อเสียงที่ไม่อาจรั้งให้ตกต่ำอีกต่อไปนั้นคือความอัจฉริยะของชินอ๋อง ผู้ที่นับได้ว่าสามารถหลอมโอสถระดับพิภพได้ด้วยพระชรรษาสิบหกพระชรรษาเพียงเท่านั้น อย่าว่าแต่ชาวบ้านสนใจเลย แม้แต่เหล่าอารามที่เป็นหนึ่งในการฝึกสอนผู้หลอมโอสถย่อมต้องการตัวของท่านอ๋องผู้นี้เป็นอย่างมากในอนาคต
เมื่อการคัดเลือกเป็นอันจบลง มีผู้สมหวังย่อมมีผู้ผิดหวัง เหล่าผู้หลอมโอสถที่ไม่อาจหลอมโอสถระดับต่ำได้ ต่างปักหลักที่ฉีหลินไม่ไปไหน เพราะไม่เพียงที่นี้ให้เกียรติเหล่าผู้หลอมโอสถแล้ว ยังมีเกณฑ์การแบ่งลำดับชั้นอย่างชัดเจน ทำให้เป็นจุดหมายในการพัฒนาตนเองรวมถึงราคาสมุนไพรที่นับว่าไม่เเพงและมีอย่างครบถ้วน
(ตำหนักเหลียนฮวา)
"เสด็จปู่ หลานมาแล้ว..." ความสงบเงียบของตำหนักบัวนับว่าเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่อาจมองข้ามได้ของจวิ้นอ๋อง ในระเเวกนี้ไม่มีตำหนักไหนที่มีเชื้อพระวงศ์ประทับอยู่เลย เพราะเป็นประสงค์ของฮ่องเต้ที่จะกันผู้คนออกห่างเพื่อมิให้สร้างความระคายพระทัยแก่จวิ้นอ๋องไม่ว่าจะเพียงน้อยนิด
จวิ้นเต๋อที่กำลังนั่งมองแบบร่างของกำแพงหมื่นลี้อย่างใจจดใจจ่อ เพราะการวางอักขระนั้นย่อมมีความสำคัญ เพราะไม่เพียงจะทำให้มันแข็งแกร่งเฉกเช่นป้อมปราการ แต่ความต้องการของจวิ้นเต๋อคือมันต้องสามารถโจมตีศัตรูได้ด้วยเช่นกัน อักขระสะท้อนปราณนับว่าเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดี
" ได้ข่าวว่าเจ้าได้คนที่หมาะสมมา นับว่าน่ายินดี ถึงความสามารถของพวกเขาจะยังไม่มากมายแต่ข้าเชื่อว่าตำราเหล่านั้นจะทำให้พวกเขาพัฒนาในหนึ่งเดือน อีกอย่างการเบิกจ่ายสมุนไพรควรทำอย่างเหมาะสม สิ่งที่เจ้าทำวันนี้นับว่าหมาะสมไม่มีสิ่งใดที่ได้มาฟรีๆ " จวิ้นเต๋ออดที่จะยกยิ้มขึ้นมาไม่ได้ เพราะจากที่หานกู่รายงานมานั้น พบว่าชินอ๋องเก็บโอสถทั้งหมดเข้าหลวง และยังเก็บค่าชดเชยกับสมุนไพรที่นับว่าหาไม่ได้ง่ายๆ เพียงเท่านี้ก็ไม่เสียเปล่าแล้ว
เหลียวเจิ้งเพียงพยักหน้ารับคำชมเชย แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทางยินดีแต่อย่างใด เขารู้ดีว่าสมุนไพรเหล่านี้ล้วนมาจากเสด็จปู่ การที่จะทำให้มันกลายเป็นเศษวัชพืชไร้ประโยชน์คงไม่สมควร อีกอย่างเรื่องนี้นับเป็นก้าวเเรกและงานแรกที่เขาได้รับมอบหมายให้ทำในฐานะของชินอ๋อง...
" ท่านอ๋อง องค์ชายใหญ่มาถึงแล้ว...." คำเรียกหาฮ่องเต้เป็นองค์ชายใหญ่นับว่าไม่ได้แปลกมากมายนัก ซึ่งหากส่วนตัวอาจมีบ้าง เพราะขนาดชินอ๋องหานกู่ยังเรียกเพียงองค์ชายรอง ถึงจะเรียกหาเช่นนั้นแต่ทั้งสองกลับมิได้แสดงท่าทางมิพอใจ เพราะหานกู่รวมถึงหานอี้คือบ่าวคนสนิทและยังเป็นอาจารย์ของพวกเขา พวกเขาล้วนต้องเคารพเป็นธรรมดา
"ถวายพระพรเสด็จปู่ น้องเจิ้งเจ้าก็อยู่ที่นี้ด้วย พอดีเลยพี่กำลังจะไปหาเจ้าอยู่พอดี " สีหน้าที่ยิ้มแย้มของฮ่องเต้หนุ่มที่มองน้องชายตนเองอย่างรักใคร่ และหมั่นใส้ไปในตัว เพราะท่าทีเย็นชาของน้องชายนับว่าขัดตาไม่น้อย
" งานที่ให้ไปทำเป็นเช่นใดบ้าง อีกกีวันจักแล้วเสร็จ..." เมื่อผู้ที่มีอำนาจสูงสุดตรัสถามอ้าวป้ายฮ่องเต้ก็ปรับสีพระพักตร์จริงจังขึ้นมาในทันที พร้อมกล่าวรายงานการรวบรวมหินและการก่อกำแพงที่นับว่ามันรวดเร็วจนแม้เเต่ตัวเขาเองยังไม่อยากจะเชื่อ เพียงไม่ถึงเดือน กำแพงหมื่นลี้ก็เกือบจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว
" กำแพงน่าจะไม่เกินสิบราตรีท่านปู่ ส่วนตำหนักยุทธทั้งสี่นั้นเรียบร้อยแล้ว ทุกตำหนักประจำตามทิศทาง " ทักษิณ ประจิม บูรพา หรดี ตำหนักทั้งสี่ที่ประจำอยู่ที่ฐานกำแพง เพราะตัวเมืองนั้นจะห่างจากกำแพงหมื่นลี้ประมาห้าลี้ มีเพียงตำหนักทั้งสี่ที่ประจำสี่ทิศ และประตูเมืองทั้งสี่
" แต่มีอีกเรื่องที่หลานยังคิดไม่ตก อยากปรึกษากับน้องเจิ้งและเสด็จปู่ก่อน หลานคิดว่าตอนนี้ประชากรของผู้คนในเมืองหลวงเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้พื้นที่อยู่อาศัยไม่เพียงพอ และอีกอย่างที่ดินว่างเปล่าส่วนใหญ่ล้วนถือครองโดยเหล่าขุนนางและเชื้อพระวงศ์ ด้วยการกำหนดเขตที่ชัดเจนทำให้ตอนนี้นับว่าเป็นปัญหา...." สิ่งที่ฮ่องเต้หนุ่มกล่าวมานั้นเป็นสิ่งที่จวิ้นเต๋อเองก็มองเห็นเช่นกัน แต่ยังไม่ถึงเวลาอันควร
" เจ้ามีความเห็นเช่นใดหรือป้ายเอ้อร์ " จวิ้นเต๋อไม่ได้หล่าวบอกความคิดอ่านของตน แต่ต้องการจะฟังจากปากของผู้นำราชวงศ์เท่านั้น ซึ่งดูจากน้ำเสียงและสีหน้าฮ่องเต้คงคิดอ่านมาก่อนแล้วถึงเอ่ยถึงมัน
" เมื่อสองวันก่อนท่านย่า รวมถึงชายาของหลานต่างเอ่ยขึ้นมาว่าตระกูลของพวกนางกำลังลำบากด้วยต้องเลี้ยงดูคนหมู่มาก ซ้ำยังไม่อาจมีรายได้ทันท่วงทีในตอนนี้การที่จะขายทรัพย์สินที่มีอยู่นั้นนับเป็นการเสียหน้า จึงอยากให้หม่อมฉันออกหน้าซื้อที่ดินเหล่านั้นคืนมา และจัดสรรค์ขายออกไปตามที่จะเห็นสมควร เพียงเท่านี้พื้นที่ส่วนใหญ่ก็จะครบถ้วนเอง เช่นนี้เป็นเช่นไรพะยะค่ะ " เป็นคราเเรกที่จวิ้นเต๋อเงยหน้าขึ้นมาหลังจากที่ก้มหน้าตาก็จ้องมองแบบร่างโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาเจรจา แต่เมื่อได้ยินความคิดอ่านของฮ่องเต้ก็สร้างความพึงใจให้กับตนเองไม่น้อย เพราะไม่ว่าจะที่ไหนศักดิ์ศรีย่อมมีความสำคัญ ราชวงศ์มีศักดิ์ศรีของราชวงศ์ ขอทานก็มีศักดิ์ศรีของขอทานเช่นกัน เรื่องนี้นับว่าเป็นทางออกที่เหมาะสม อีกอย่างการซื้อมาขายไปก็ไม่ได้เกิดผลเสียกับราชวงศ์ เพียงเป็นคนกลางในการชื้อขายเท่านั้น
" เรื่องนี้ก็แล้วแต่เจ้าแล้วกันวิธีนี้นับว่าดีทีเดียว จ้าวกรมปกครองเหิงลู่จงน่าจะช่วยเจ้าได้ อย่างไรก็ใช้งานเขาเจ้าจะได้สนใจทำอย่างอื่นที่สำคัญกว่า " ใช้เเล้วเพราะตอนนี้เรื่องที่สำคัญกว่าที่ว่ากำลังจะมาถึง การที่ต้องเดินทางไปยังอารามหยงชิงเพื่อเข้าร่วมการประชุมของยุทธภพ และดูท่าครานี้อารามตงหวงและราชวงศ์เฟิงไหลเตรียมที่จะเอ่ยเรื่องดินแดนอื่นนับว่าเป็นช่วงเวลาที่ไม่อาจมองข้ามได้ การที่ทำให้ดินแดนนี้ตื่นตัวหลังจากที่หยุดนิ่งมายาวนานนับว่าเป็นสิ่งที่ควรทำ
ฮ่องเต้เเละชินอ๋องต่างเข้าใจความหมายที่เสด็จปู่ของพวกเขาต้องการดี เพราะหากท่านปู่เสด็จไป สถานะของท่านจะกลายเป็นขุมอำนาจเก่าแก่อย่างตำหนักพยากรณ์ทันที และอีกอย่างต้องเป็นพวกเขาคนใดคนหนึ่งต้องไปในฐานะราชวงศ์ และต้องมีใครคนใดคนหนึ่งอยู่ที่นี้เพื่อตัดสินใจในบางเรื่องเช่นกัน เพราะตอนนี้นับว่าฉีหลินกำลังพัฒนาอย่างก้าวกระโดด แต่มีผู้ที่ขับเคลื่อนมันจริงเพียงไม่กี่คนเท่านั้น..
"ข้าอยากให้เจิ้งเอ๋อร์ไปในฐานะของตัวแทนราชวงศ์ ส่วนเจ้าก็อยู่ที่นี้คอยดูแลการก่อกำแพงหมื่นลี้ต่อไป จากความคิดของเจ้าเมื่อครู่ข้ามั่นใจว่าเจ้าพร้อมในฐานะของฮ่องเต้อย่างเต็มตัวแล้ว " จวิ้นเต๋อเพียงกล่าวสิ่งที่ต้องการเเละวางไว้เเล้วออกมา ไม่ว่าจะเป็นใครก็ไม่สำคัญ เพราะการประชุมนี้ฉีหลินไม่ได้รับผลกระทบใดๆเลยเพราะรู้เรื่องราวก่อนหน้านี้อยู่แล้ว
"เอาล่ะพวกเจ้าเข้าไปในตำหนักสวรรค์เถอะอย่างน้อยสักครึ่งเดือนก็ยังดี (สามวันข้างนอก) " เมื่อกล่าวจบคนทั้งสี่ก็เลือนหายไปในทันที
ทั้งสามปรากฏตัวขึ้นมาในตำหนักเหมยหิมะที่ตอนนี้ชั้นสองของตำหนักไม้ถูกเปลี่ยนให้เป็นสถานที่ระดับสูงของที่นี้ไปแล้ว ด้านล่างใช้เป็นสถานที่ฝึกโคจรลมปราณกิเลนเพลิงสวรรค์สำหรับเหล่าศิษย์ราชวงศ์กว่าร้อยชีวิตที่กำลังเร่งโคจรปราณดูดซับพลังปราณธรรมชาติที่มากมายกันอย่างบ้าคลั่ง ไม่มีคำตอบว่าที่นี้คือที่ไหน ไม่มีการสอนใดๆทั้งสิ้น มีเพียงห้องนอน และสถานที่ที่ใช้ดูดซับปราณเท่านั้น โดยที่มีตำราลมปราณกิเลนเพลิงสวรรค์ที่จะฝึกฝนได้เพียงเชื้อพระวงศ์ แต่วันนี้พวกเขาได้รับอนุญาตให้ฝึกฝนมัน พร้อมกับโอสถจิตอัคคีที่พวกเขาได้รับ มันมากพอให้พวกเขาทะลวงระดับจนถึงระดับนภา ซึ่งตอนนี้พวกเขาต่างเร่งรีบไม่พักไม่เหนื่อยเป็นเวลากว่าสามเดือนตั้งแต่เข้ามา สำหรับผู้ฝึกปราณนั้นนับว่าในช่วงที่ดึงดูดปราณธรรมชาติไม่จำเป็นต้องดื่มกินก็สามารถอยู่ได้
มันเป็นเรื่องปกติคนเราจักพัฒนาได้นั้นต้องอยู่ในสถานการณ์แห่งการเเข่งขัน เพราะการแข่งขันนั้นสร้างแรงผลักดันให้ผู้คนพัฒนา
" พวกเจ้ารอหานอี้อยู่ที่นี้ก็แล้วกัน ข้าขอตัวก่อน " หลังจากที่มองความเป็นไปชั่วครู่จสิ้นเต๋อเลือกที่จะขึ้นไปยังตำหนักค้ำสวรรค์ ซึ่งยังไม่มีผู้ใดรู้ว่าด้านบนนั้นมีสิ่งใด พวกเขารู้เพียงว่าเป็นสถานที่ปลีกวิเวกของท่านอ๋อง
เมื่อปลายเท้าของจวิ้นเต๋อสัมผัสลงบนลานหน้าตำหนักค้ำสวรรค์ ละอองสีทองรอบกายสั่นระริก พลังปราณที่บริสุทธิ์มากมายตอบสนองการมาถึง พวกมันราวกับมีชีวิตและจิตวิญญาณและสิ่งที่เป็นอยู่คล้ายเป็นการถึงความยินดี ไม่เพียงบรรยากาศโดยรอบที่ตอบสนองเพราะตอนนี้เองสายโลหิตทั้งเจ็ดก็รับรู้ถึงการมาถึงของนายเหนือหัว
เหล่ารุ่นเยาว์ทั้งเจ็ดที่เเต่งตัวด้วยชุดสีขาวขิบทองปกปิดใบหน้าด้วยหน้ากากสีทอง มวยผมถูกรวบเก็บอย่างเป็นระเบียบ กว้านลวดลายกิเลนเพลิงสวรรค์ที่งดงาม ดวงตาที่เล็ดลอดออกมาล้วนมีสีแดงราวกับทับทิม รอบกายของเด็กน้อยเหล่านี้อัดเเน่นไปด้วยพลังหยางพรหมจรรย์ ด้วยเคล็ดลมปราณจักรพรรดิหยางทำให้พวกเขาก้าวหน้าอย่างรวดเร็วเช่นกัน ทั้งที่เเห่งนี้ยังอัดแน่นไปด้วยพลังปราณที่บริสุทธิ์เป็นอย่างมาก
" ลุกขึ้นได้ ...." ถึงไม่ได้กล่าวถึงความยินดีในความก้าวหน้าของเหล่าเงาศักดิ์สิทธิ์แต่ก็อดที่จะพึ่งพอใจไม่ได้ เพราะเด็กเหล่านี้ทั้งมุ่งมั่นและมีเป้าหมายที่ชัดเจน และอนาคตพวกเขาจะเป็นขุมอำนาจของตำหนักสวรรค์ต่อไป
ถึงจวิ้นเต๋อจะสั่งสอนพวกเขาเพียงเวลาสั่นๆ แต่การสั่งสอนแนะนำแต่ล่ะครั้งนั้นนับว่าสำคัญ ทำให้เงาทั้งเจ็ดไม่กล้าที่จะล่ะเลย เมื่อสัมผัสถึงการมาถึงไม่ว่ากำลังทำสิ่งใดอยู่พวกเขาพร้อมที่จะวางมันลงทันที
" ในเวลากว่าเจ็ดเดือนนับว่าความสามารถของพวกเจ้ามีมากกว่าที่เราคิดไว้ ถึงข้อจำกัดของพวกเจ้าจะมีมากมาย แต่เมื่อถึงเวลาพวกเจ้าจะได้ท่องแดนดินอย่างอิสระอย่างแน่นอน เเต่มีเพียงกฏที่พวกเจ้าต้องรักษามันอย่างเคร่งครัดเท่านั้น หากสูญเสียพรหมจรรย์ พลังปราณของพวกเจ้าจะสูญหายทั้งหมดเฉกเช่นอ๋องศักดิ์สิทธิ์ จงระวัง " จวิ้นเต๋อเองรู้ดีว่าเรื่องนี้นับว่าลำบาก หากสามารถรักษาข้อนี้ไว้ได้เรื่องอื่นๆล้วนเป็นเพียงเรื่องขบขันเท่านั้น อีกอย่างถึงต้องปกปิดใบหน้าทุกครั้งนั้นก็นับว่าจำเป็นแต่ในบางคราก็อนุโลมบ้าง เพราะผู้ที่ฝึกหยางพรหมจรรย์นั้นจะเป็นที่สนอกสนใจจากทั้งบุรุษและสตรี
" พวกเราเข้าใจแล้ว ...ครานี้นายท่านจะอยู่กับพวกเรานานเท่าใดหรือขอรับ ข้าน้อยอยากสอบถามเรื่องของศาสตร์รองทั้งสี่..." หวงยี่ ที่มีฐานะเเละอายุมากที่สุดกล่าวขึ้นอย่างใคร่รู้ เพราะหากจวิ้นอ๋องเดินทางมาที่นี้จะอยู่ไม่เกินสิบวันและกลับออกไป สิ่งที่ได้รับและเรียนรู้นับว่าจำกัดเเละอีกอย่างพวกเขาอยากให้ท่านอ๋องได้พักผ่อนบ้างเท่านั้น ....
" เพียงสิบห้าวัน ตลอดเวลาสิบห้าวันนี้พวกเจ้าจะต้องสำเร็จกระบี่บุปผาสยบสวรรค์ขั้นสูงสุด และอีกอย่างอย่าพึ่งทะลวงระดับพลังเป็นอันขาดเพราะมันจะส่งผลร้ายแรงต่อไปในอนาคต เรื่องนี้ข้าคงไม่ต้องย้ำพวกเจ้าหรอกนะ หากมันถึงที่สุดจริงๆจงสะกัดจุดเอาไว้เสียและฝึกซ้อมด้วยกำลังแทน " ต้องกล่าวออกมาเช่นนี้เพราะเด็กน้อยเหล่านี้กว่าครึ่งเดินทางมาถึงจุดสูงสุดของระดับนภาแล้ว หากทะลวงระดับสวรรค์มีหวังพวกเขาคงกลายเป็นเด็กน้อยเช่นนี้ไปตลอดกาล
" เรื่องนั้น ข้าน้อยและน้องๆปรึกษากันแล้ว พวกเราจะทะลวงระดับปราณตอนมีอายุสิบสี่ปีเต็ม ถึงจะยังไม่เติบโตเต็มที่ แต่ในอนาคตนับว่าเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ " หวงยี่กล่าวออกมาอย่างมั่นใจ ที่เขาคิดเช่นนี้ก็ไม่ผิดรูปลักษณ์ของเด็กหนุ่มนั้นจะตัดเรื่องอย่างว่าไม่มากก็น้อย
จวิ้นเต๋อเองแม้จะไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าใดนัก แต่หากทั้งหมดคิดว่ามันเป็นการป้องกันตัวในอีกรูปแบบก็นับว่าเหมาะสม แต่พวกเขายังไม่เข้าใจพลังของหยางพรหมจรรย์มากพอ หากถึงวันนั้นพวกเขาจะได้เรียนรู้ด้วยตนเองอย่างแน่นอน เพราะขนาดหานหลี่ยังร่ำไห้อยู่นับเดือนเพราะเผลอเลื่อนระดับก่อนวัยอันควร
ตำราศาสตร์รองต่างๆถูกดึงออกมามากมาย ทุกอย่างล้วนเป็นตำรายุทธระดับสูง วิชาที่บางทีอาจไม่เคยปรากฏมาก่อนแม้เเต่ในตำหนักพยากรณ์เอง เพราะทั้งหมดที่จวิ้นเต๋อมีนั้นล้วนได้จากเสาค้ำสวรรค์ทั้งสิ้น
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
(ตอนที่77คือ การคัดเลือกผู้หลอมโอสถ(1) เดาว่าน่าจะมี 2 มั้ง )
สุดยอดครับ
อย่ากไฟร์แล้วอะ ขอบทตูมตามหน่อยครับ
เรื่องนี้ก้อมันส์ เรื่องนั้นก้อเข้มข้น ไรท์ช่วยลงทุกวันที!!!!!
น้องจะ 14 ตลอดไปจริงดิ
ขอบคุณค่ะ ขออีกตอนนะค่ะ
สนุกมากกกกกกกกกกกก
มาแล้ววว..ชื่นจายยยย ^w^
รอตอนต่อไป