ตอน.....
ตำหนักทั้งสี่ที่ขึ้นตรงกับวังหลวงโดยตรงถูกยกขึ้นมาใหม่หลังจากที่มันเสือมโทรมไปหลายปีด้วยขาดงบประมานและกองกำลัง การมอบหมายความดูแลเหล่านี้ให้อยู่ในมือขุนนางนับว่าเป็นควาทเสี่ยง แต่ในการกระทำเหล่านี้ย่อมมีเหตุผล การเริ่มต้นใหม่ของตำหนักทั้งสี่สร้างแรงกระเพือมและข่าวใหญ่โตไปทั่วฉีหลิน จนบางครั้งอาจมองการคัดเลือกองครักษ์เป็นเพียงเรื่องรอง การก่อสร้างกำแพงขนาดใหญ่โอบล้อมเมืองหลวงอีกเรื่องเหล่านี้ล้วนไม่สามารถรอดพ้นสายตาของผู้สอดแนม แต่อย่างไรเสียทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นล้วนไม่มีผู้ใดรู้ความจริงทั้งหมด เพราะมันทั้งรวดเร็วและเหล่าขุนนางน้อยใหญ่ไม่เอ่ยถึงมันเลย เพียงหนึ่งสัปดาห์ บรรดาหินที่ถูกตัดแบ่งก็ถูกส่งมาจากทั่วสารทิศ นับว่าความสามารถของพวกเขามีไม่น้อยเลยจริงๆ มันเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องบอกว่าทุกคนควรมีส่วนร่วมและลงแรงบ้างเท่านั้นเอง
"ท่านอ๋องมีผู้มาขอเฝ้า คนผู้นี้ถือตราราชวงศ์หลงอู่ บอกให้เเจ้งแก่ท่านอ๋องว่านามของนางคือ หรูอี้ " หานกู่ที่เข้ามารายงานผู้มาเป็นแขกในวันนี้ถึงการมาจะไม่เป็นทางการแต่ผู้ที่มาก็ควรค่าแก่การให้เกียรติอีกอย่างภาพรวมตอนนี้หลงอู่และฉีหลินถูกมองว่ามีความเกี่ยวดองกันอย่างเปิดเผย
จวิ้นเต๋อคิดอ่านนามที่ได้ยินชั่วครู่และจดจำได้ในทันทีว่านางเป็นผู้ใด นางมีฐานะเป็นถึงบรรพชนของหลงอู่การที่นางมาถึงที่นี้คงมิใช่เรื่องส่วนตัวเป็นแน่
"เชิญนางที่อุทยานหลวงก็แล้วกัน นับว่าเราเองก็ต้องการมีไมตรีต่อหลงอู่เช่นกัน " จะบอกว่าตนเองเเข็งแกร่งแล้วจะข่มแหงผู้อื่นนั้นคงไม่อาจเป็นความคิดของจวิ้นเต๋อ เพราะวลีเด็ดที่จดจำได้ เหนือฟ้ายังมีฟ้า คำนี้ใช้ได้ในทุกยุคทุกสมัย การเป็นเจ้าป่าในสวนสัตว์กับทุ่งกว้างมันต่างกัน และในช่วงรอยต่อเหล่านี้การมีมิตรที่วางใจได้ก็นับว่าเป็นสิ่งที่สมควรมิใช้หรือ
ถึงจะเเจ้งข่าวมา แต่ว่าหลงอู่หรูอี้นางมิได้มาเพียงลำพัง เพราะนางยังหอบหิ้วฮ่องเต้ชิงหวินและหลันกุ้ยเฟยมาด้วย นับเป็นเรื่องดีที่นางได้กลับมาเยี่ยมบ้านเกิดของนางในยุคที่กำลังเริ่มต้นใหม่เช่นนี้ และทางด้านของราชวงศ์เองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจเพราะไทเฮาเเละองค์หญิงทั้งสอง รวมถึงฮ่องเต้เเละชินอ๋องประทับรออยู่ก่อนแล้ว ถึงลำดับการนั่งจะเเปลกๆแต่ในเมื่อเป็นงานพบป่ะอย่างไม่เป็นทางการควรนับที่ลำดับอาวุโส ดังนั้นจวิ้นอ๋องและองค์หญิงหรูอี้จึงประทับเสมอกัน
"ต้องขออภัยที่มารบกวนเวลาของท่าน จวิ้นอ๋อง " เสียงของอิสตรีที่เอ่ยขึ้นมาอย่างน้อบน้อมแต่ท่าทางของนางก็ยังคงไว้ด้วยความทนงตนเช่นเดิม
" อย่าได้กล่าวเช่นนั้นเลย ที่ท่านเสด็จมาถึงที่นี้คงไม่เพียงเเวะมาดื่มชาเท่านั้นกระมังมีสิ่งใดให้ช่วยเหลือก็กล่าวมาเถิด หากฉีหลินเราสามารถช่วยเหลือได้ พวกเราจะไม่นิ่งนอนใจ " จวิ้นอ๋องที่มีหน้ากากสีทองปกปิดใบหน้าเอาไว้ ครานี้นับว่าเป็นความใกล้ชิดที่มากที่สุดที่คนนอกพึงจะได้ นับว่าหานกู่รู้งานไม่น้อยเพราะการตั้งฉากกั้นมันอาจเป็นผลเสีย ถึงอย่างไรจวิ้นอ๋องก็เป็นอ๋องศักดิ์สิทธิ์คำตรัสของพระองค์คือที่สุดแล้ว
ทางด้านของเเขกผู้มาเยือนนั้นก็ไม่ได้มีท่าทีตื่นตกใจหรือไม่พึงใจแต่อย่างใด ด้วยรับรู้ถึงอุปนิสัยของท่านอ๋องผู้นี้มาบ้างแล้ว การที่จะประวิงเวลานั้นนับว่าเสียเวลาเปล่า เพราะหากอ๋องศักดิ์สิทธิ์ต้องการรู้คงไม่มีสิ่งใดที่ปิดยังได้อยู่ดี ความน่ากลัวของอ๋องศักดิ์สิทธิ์แห่งตำหนักพยากรณ์นั้นหาใช้เรื่องของความแข็งแกร่งเสมอมา แต่เป็นสิ่งที่พวกเขาครอบครองต่างหาก 'เนตรอ่านสวรรค์'
" เช่นนั้นข้าเองก็ไม่มีสิ่งใดต้องปิดบัง เมื่อไม่นานมานี้ ท่านเส็ดจไปยังเฟิงไหล ปิดผนึกประตูทมิฬแดนใต้ที่สุสานราชวงศ์เฟิงไหลนั้นเป็นความจริงหรือไม่ " คำถามของหลงอู่หรูอี้นั้นแม้จะมีคำตอบอยู่แล้ว แต่เพื่อความมั่นใจและสิ่งที่กำลังจะกล่าวต่อไปมันย่อมต้องทำให้ความสงสัยกระจ่างชัด ข่าวที่นางได้รับมาเเน่นอนว่าไว้ใจได้ รวมถึงสิ่งที่ผู้ใช้ผนึกเป็นถึงศาสตร์ชั้นสูงที่ไม่เยปรากฏนับหมื่นปี เพียงมีอธิบายไว้ในตำราเก่าเเก่เท่านั้น เพราะโอกาสที่จะเกิดขึ้นนั้นนับว่าแทยเป็นศูนย์ทีเดียว
" ใช่เเล้วอย่างไร มิใช่แล้วอย่างไรเหตุการณ์ของเฟิงไหลคงมิได้เกี่ยวพันถึงหลงอู่จริงหรือไม่องค์หญิง แต่ที่ท่านมาเช่นนี้มิใช่หลงอู่ประสบเหตุเช่นเดียวกันกับเฟิงไหลหรือ " ถึงจะไม่กล่าวรับแต่ก็มิได้ปฏิเสธ แต่สิ่งที่จวิ้นเต๋อมองออกนั้นหมายความว่า หลงอู่เองก็น่าจะมีปัญหาเช่นเดียวกันและเเน่นอนว่าพวกเขาย่อมรับรู้ถึงสิ่งที่อยู่ด้านนอกนั่น...
หลงอู่หรู่อี้นางเพียงถอนหายใจออกมาเล็กน้อยเพร่ะอย่างไรเสียนอกจากพลังอำนาจของคนตรงหน้าที่นับว่าเป็นของจรองแล้ว สติปัญญาของคนผู้นี่นับว่าสูงยิ่ง หากเป็นผู้อื่นที่มีความสามารถเช่นนี้คงเข้ายึดครองจักรวรรดิอื่นๆก่อสงครามวุ่นวายไปแล้ว แต่จวิ้นอ๋องนับว่าน่านับถือยิ่ง
" ไม่กี่วันก่อน ปฐมบรีพชนของพวกเราสูญหายไปในเเม่น้ำหลงลืม ท่านเองก็น่าจะรู้ว่ามันหมายถึงสิ่งใด ผู้พิทักษ์ริ่มฝั่งไม่สามารถบอกได้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น แต่ในเวลานั้นน่าจะประจวบเหมาะกับตอนที่อสูรวิญญาณหลุดออกมา เเรงสันสะเทือนได้ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น แม่น้ำหลงลืมค่อยๆลดลงเลือยๆ เกรงว่าไม่ถึงสามเดือนแม่น้ำจะเเห้งเหือดและเผยเส้นทางสู่ดินแดนที่สูงส่งกว่า เมื่อนั้นราชวงศ์หลงอู่คงจบสิ้น..." สีหน้าของนางทั้งจริงจังไร้แววเล่ห์เหลี่ยม นับว่าเรื่องที่นางกล่าวมานั้นเป็นความจริงที่ไม่อาจมองข้าม หากที่หลงอู่เกิดเรื่อง อีกสองที่คงไม่ได้น้อยไปกว่ากันเลย แต่การที่ประตูสู่ดินแดนใหม่เปิดขึ้นนั้นมันมีทั้งผลดีและผลเสีย อยู่ที่ว่าเบื้องหลังแม่น้ำหลงลืมนั้นคือมณฑลใดต่างหาก แต่จะเป็นที่ใดก็แล้วแต่ล้วนสามารถกดดันมณฑลที่7 ได้อย่างแน่นอน
"แล้วเหตุใดถคิดว่าข้าจะช่วยเหลือได้ จริงอยู่ที่ข้าปิดผนึกประตูแดนใต้ เพราะมันเป็นบานประตูสามารถใช้ศาสตร์ยันต์ในการผนึกได้ แต่เเม่น้ำหลงลืมนั้นต่างออกไป ระดับน้ำนับเป็นข้อจำกัด และการจะหาต้นน้ำที่ก่อให้เกิดแม่น้ำนั้นคงไม่ใช่เรื่องง่าย และหลงอู่เองคงไม่ล่ะเลยที่จะสำรวจมันจริงหรือไม่ " รับสั่งของจวิ้นอ๋องนับว่าตรงประเด็นและวิเคราะห์ได้อย่างหมดจรด เหตุที่นางมาที่นี้คงไม่หวังเต็มส่วนว่าช่วยเหลือได้ เเต่อย่างน้อยก็น่าจะร่วมมือกันได้ เพราะนอกจากฉีหลินหลงอู่ก็ไม่สามารถไว้ใจผู้ใดได้ เมื่อเรียงลำดับตามความสัมพันแล้ว
"ข้าเองหวังเพียงขอคำปรึกษาเท่านั้นอย่างน้อยพวกท่านน่าจะรู้ในสิ่งที่พวกเราไม่รู้ การสูญเสียปฐมบรรพชนนับเป็นเรื่องที่ไม่อาจรับได้ ไม่เพียงสูญเสียกำลังแต่ความทรงจำของพวกท่านก็เลือนหายไปกับตัวตนของพวกท่านเช่นกัน เพราะเช่นนี้ข้าจึงกังวลดินแดนที่อยู่หลังแม่น้ำหลงลืม " หลงอู่หรูอี้นั้นเเสดงคว่มกังวลออกมาอย่างชัดเจน เพราะไม่อาจคาดเดาได้จริงๆ
" อย่าได้กังวล ดินแดนที่ร้ายกาจและโหดร้ายที่สุดนั้นอยู่ที่เฟิงไหล แต่ก็ยังประมาทไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นที่ใดก็ล้วนอันตราย เอาเถิดอีกหนึ่งเดือนเราจะต้องเข้าร่วมประชุมยุทธภพ หากพวกเขามีความสามารถพอเรื่องนี้จะนับเป็นเรื่องที่ใช้หาลือ แต่ผู้ที้เข้าร่วมคงต้องเป็นผู้ที่รู้เรื่องราวเหล่านี้เป็นอย่างดี " จวิ้นเต๋อก็ไม่อยากเก็บความลับเหล่านี้ไว้กับตนเองเท่าใดนัก ในเมื่อพวกเขาทุกคนมีสิทธิ์ที่จะได้รู้และวางแผนเอาตัวรอดด้วยตนเอง
การเจรจาของทั้งสองนั้นอยู่ในสายตาของทุกคน นับเป็นอีกความตั้งใจที่จะให้คนเหล่านี้รับรู้เรื่องราวทั้งหมดเช่นกัน สีหน้าของเชื้อพระวงศ์แต่ล่ะพระองค์ล้วนซีดเซียว สิ่งที่ได้รับรู้นับว่าเปิดโลกกว้างของพวกเขาในทันที เวลาเพียงไม่นานทำให้เป้าหมายในชีวิตของพวกเขาเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อย่างเร็วอาจห้าวัน หรือห้าปี หรือดีหน่อยห้าสิบถึงห้าร้อยปี แต่มันดูจะมาจนถึงเวลาแล้ว
"หากเป็นเช่นนั้นข้าเองก็วางใจ หวังว่าเราจะได้พบหน้ากันอีกในวันหลังจวิ้นอ๋อง " เพียงกล่าวประโยคที่ควรกล่างร่างขององค์หญิงหรูอี้ก็ลุกขึ้นและเตรียมตัวจากไปทันที แต่ก่อนที่พวกเขาจักได้ไปที่ใด
" เดี๋ยวก่อน ท่านคงไม่ว่าอะไรหากข้าจะรั้งตัวหลานสาวอยู่ที่ฉีหลินก่อน อย่างน้อยก็เพียงให้นางได้อยู่ในบ้านเกิดของนางให้นานกว่านี้ " สุรเสียงที่ไม่มีการล้อเล่น มันไม่ใช่คำขอร้องเเต่มันคือสิ่งที่ต้องทำ ใบหน้าของหลันกุ้ยเฟยถึงจะก้มต่ำรอคำสั่งของฮ่องเต้ แต่อย่างไรเสียนางก็อยากอยู่ที่นี้มากกว่าจริงๆ
"ข้าฝากนางด้วยก็แล้วกัน อย่างไรนางก็นับว่าเป็นคนของหลงอู่ด้วยเช่นกัน " ถึงจะผิดทำเนียมแต่เรื่องนี้เมื่อเป็นประสงค์ของจวิ้นอ๋องก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ ทั้งสองก็เข้าใจดีว่าเพราะเหตุใดที่น่าหลันไม่สามารถไปที่ใดได้
" พวกเจ้าคงได้ยินกันหมดเเล้ว สิ่งที่เอ่ยถึงนับว่าไม่ใช่ความรับผิดชอบของผู้ใดผู้หนึ่ง แต่เมื่อรับรู้นั่นล่ะคือโอกาสที่พวกเจ้าจะดำรงตนเช่นใดต่อไปนี้ " คำตรัสเพียงเท่านี้ จวิ้นเต๋อก็ลุกขึ้นและจากไปทันที ทิ้งความต้องการของตนเองกดดันสายโลหิตให้ตืนตัวเสียที
(ตำหนักสวรรค์ )
ถึงภายนอกเวลาจะเปลี่ยนไปเพียงหนึ่งเดือน แต่สำหรับตำหนักสวรรค์มันผ่านไปถึงห้าเดือน เหล่าเด็กน้อยทั้งเจ็ดที่ปิดตัวฝึกฝนลมปราณหยางพรหมจรรย์ต่างออกจากกานเก็บตนด้วยระดับพลังปราณที่มาถึงขั้นสูงสุดของปราณนภา แต่ด้วยรับสั่งว่าห้ามทะลวงปราณสวรรค์เป็นอันขาดทำให้พวกเขาต้องรอเวลา โอสถ พลังปราณธรรมชาติ ที่นี้ล้วนมีมันมากมายจนพวกเขาอิ่มอยู่ตลอดเวลา
" ท่านพี่ เอ้อร์ ท่านกำลังทำสิ่งใดอยู่หรือ ข้าเห็นท่านทำเช่นนี้มานานแล้ว ไม่ฝึกท่าเท้าชมบุปผาหรือ " เสียงของหวงซี ที่เป็นน้องเล็กสุดในบรรดาเงาศักดิ์สิทธิ์กล่าวขึ้นอย่างแปลกใจ เพราหลังออกจากการเก็บตนก็เป็นเวลาที่ต้องฝึกเพลงยุทธและสิ่งแรกที่พวกเขาฝึกคือตำราท่าเท้าชมบุปผา และกระบี่ยุปผาสยบสวรรค์ที่นับเป็นวิชาระดัยเหนือสวรรค์ที่ท่านอ๋องมอบให้
" ข้าเพียงพักสักครู่น้องซี ข้ากำลังศึกษาเพลงกระบี่นี้อยู่ถึงจะยังไม่ได้เริ่มก็ต้องศึกษาไปก่อน เพราะเวลาฝึกจริงจักได้ไม่ต้องมาท่องจำกระบวนท่าอีก " เสียงของเด็กน้อยกล่าวออกมาอย่างไม่ได้ทุกข์ร้อน พวกเขาทั้งเจ็ดนับว่าฝึกหนักแทบไม่กินไม่นอน อาหารที่นี้ก็มีเพียงสมุนไพร ท้อเซียนที่ท่านอ๋องนำมาปลูกไว้ แต่จะกินทุกวันคงเป็นไปไม่ได้เพราะมันอัดแน่นด้วยพลังปราณ
"วันนี้เหมือนด้านล่างจะมีปราณมากมายอยู่นะ ดูท่าเหล่าศิษย์ราชวงศ์คงเข้ามาเเล้ว ข้าล่ออยากเห็นบุตรหลานของชนชั้นสูงเหล่านั้นจริงๆว่าพวกเขาจะมีความสามารถเท่าใด " เสียงของน้องเล็กกล่าวขึ้นพร้อมกับการปร่กฏตัวของเด็กทั้งห้าที่มารวมกลุ่ม
" เจ้าสัมผัสพลังของพวกเขาไม่ได้จริงๆหรือน้องซี ตอนนี้ผู้ที่มีพลังสูงสุดไม่ได้ครึ่งของเจ้าด้วยซ้ำไป เป็นเพราะควาทเมตตาของท่านอ๋องอีกอย่างเราคือเงาศักดิ์สิทธิ์ กฏย่อมไม่สามารถล่ะเลยได้ รีบสวมใส่หน้ากากของเจ้าเสียจะได้ชิน "
" ขอรับท่านพี่ยี " หวงยีนับเป็นพี่ใหญ่ของทุกคนคอยให้การดูแลเเละตักเตือนเหล่าน้องๆที่ออกนอกทางบ้าง เพราะท่านอ๋องไม่ได้สั่งสอนพวกเขาตลอดเวลา แต่ก็ทรงส่งของที่จำเป็นให้พวกเขา ให้พลังอำนาจพวกเขา แน่นอนว่าพวกเขาจดจำอดีตของตนเองได้ไม่ลืม มันไม่เพียงเป็นหนี้บุญคุณ แต่มันเป็นชีวิตของพวกเขา
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
นึกว่าจะไปช่วยสะอีก
เอาอีกกกกกกกกกกก
สนุกมากกกกกกกกกกกกกก
ัขอบพระคุณค่ะ ต่ออีกนะค่ะ
???? ขออีกหลายๆตอนนะครับ