ตอน...เทพอสูร
สามเดือนต่อมา....
ฟิว ฟิว ฟิม กลีบบุปผาสีโลหิตที่กำลังร่วงโรยแต่มันกลับถูกปลุกขึ้นมาให้มาประกอบการร่ายรำกระบี่งดงาม หานกู่ตอนนี้ที่มีความชำนาญในการใช้เพลงกระบี่ระบำผีเสื้อสยบสวรรค์ ใบหน้าที้ดูอ่อนเยาว์มากขึ้นและยังมีความบริสุทธิ์ของพลังปราณมากกว่าแต่ก่อนราวฟ้ากับเหว ถึงจะเป็นผู้ครอบครองปราณธาตุพฤกษาแต่ยังไม่ได้พัฒนาการผสมผสานปราณธาตุในเพลงกระบี่ แต่ตอนนี้ดูเอาเถิดความมานะกว่าสามเดือนทำให้ไฟในใจของท่านปู่ผู้นี้ลุกโชนจนฉุดรั้งไม่อยู่แล้ว
"ท่านปู่เพลงกระบี่ท่านทำลายเพลงหมัดของข้า ท่านไปรำไกลอีกหน่อย " เสียงของหานหลี่ดังแววมาเขามองดูชายที่ตนเรียกว่าท่านปู่แต่ใบหน้าของชายตรงหน้าตอนนี้นั้นไม่ต่างจากหนุ่มหล่อจ้าวสำอางเลยผิวที่ดูกระจ่างใสมากขึ้น อาภรณ์ชุดผ้าไหมที่ตัดเย็บอย่างเหมาะสมเรียนแบบอาภรณ์ของนายตนถึงจะไม่เหมือนแต่ก็มีส่วนคล้ายคลึงแสดงให้เห็นความเกี่ยวข้องอยู่บ้าง ทั้งสองต่างฝึกฝนตนเองอย่างหนักทั้งโอสถจนถึงการดูดซับพลังหยางจากโบตั๋นเพลิงที่ตอนนี้พวกมันกำลังร่วงโรยแล้ว
"ท่านปู่ท่านอ๋องบอกว่าจะออกเดินทางเที่ยวเล่น แล้วเรื่องตำพยากรณ์เล่าจักทำเช่นไร " เสียงของหานหลี่ที่กระซิบถามผู้เป็นเสมือนญาติเพียงคนเดียวของตนอย่างสนใจ จะมิให้เขาสนใจได้เช่นไรอย่างไรเสียความรอบรู้ของหานหลี่นั้นกว้างขวางแค่ตัวตนของเขายังไม่เคยพบเจอสถานที่นั้นๆเลย เขาเพียงสามารถบอกภูมิทัศน์ตามที่อ่านมาเท่านั้น ในใจลึกๆก็แอบยินดีที่จะได้เห็นกับตา
"การตัดสินใจของท่านอ๋องเราไม่มีสิทธิ์ที่จะโต้แย้งหรอกนะหานหลี่ ถึงจะมีความไม่เหมาะสมแต่ว่านั่นมันเมื่อก่อน แต่ตอนนี้ท่านอ๋องคืออ๋องศักดิ์สิทธิ์เพียงหนึ่งเดียวของตำหนักพยากรณ์ สิ่งใดถูกสิ่งใดผิดล้วนแล้วแต่ท่านอ๋อง ... " แต่กฎของตำหนักพยากรณ์คือการห้ามมิให้อ๋องศักดิ์สิทธิ์หรือแม้เเต่เหล่าท่านชายศักดิ์สิทธิ์เสด็จออกจากตำหนักพยากรณ์เพราะเกรงจะเกิดสิ่งที่ไม่คาดฝัน การที่ท่านชายศักดิ์สิทธิ์ถูกทำลายพรหมจรรย์นั้นไม่ใช่เรื่องดีและนับเป็นความผิดที่ลุเเก่ความตายและเป็นโทษสูงสุดของตำหนักพยากรณ์
ตลอดเวลาที่ท่านอ๋องฉีหลินจวิ้นเต๋อตื่นขึ้นมาความเปลี่ยนแปลงของพวกเขาทั้งสองนั้นเปลี่ยนแปลงไปมากไม่ว่าจะเรื่องของการใช้ชีวิตการฝึกปราณ หรือแม้แต่เรื่องเล็กน้อยอย่างเสื้อผ้าอาภรณ์หรือการกินการอยู่ก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
"เจ้าอย่าได้สงสัยให้มากความเลย ดูจากระดับพลังปราณของท่านอ๋องข้าเป็นห่วงผู้อื่นเสียมากกว่า " ที่กล่าวเช่นนี่หานกู่ย่อมคิดมาดีแล้ว ขนาดตอนนี้เขาอยู่ใน 'ระดับสวรรค์ขั้น6 ' ยังไม่สามารถที่จะสัมผัสถึงระดับของนายตนได้เลย เรื่องนี้คงไม่เเปลกเพราะแม้เเต่ระดับจักรพรรดิสวรรค์ยังไม่อาจสัมผัสพลังของจวิ้นเต๋อได้
แต่ตอนนี่คนที่เหล่าข้ารับใช้พูดถึงนั้นกำลังอยู่อย่างสบายใจความสงบของสถานที่ทำให้อ๋องจวิ้นเต๋อผู้นี้ดื่มด่ำกับธรรมชาติที่งดงาม ความสูงค่าของเหล่าพฤกษาหายากที่รวบรวมมาปลูกเอาไว้ ในกระถางหยกต่างเต็มไปด้วยต้นไม้สมุนไพรหายากที่ท่านอ๋องนักสะสมผู้นี้ขุดมันมา พลังปราณธาตุพฤกษาของเขามีความแปลกประหลาดแต่มันมีความสามารถเป็นอย่างมากแม้แต่การเพาะปลูกสมุนไพรหายากเช่น ดอกปี้อันที่มันต้องใช้พลังหยินมากมายในการเติบโตแต่ขนาดตำหนักเล็กหลังนี้เต็มไปด้วยพลังหยางมันยังสามารถเติบโตได้ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นเพราะปราณธาตุพฤกษาที่มันเติมเต็มทุกสิ่งอย่างที่เหล่าพฤกษาเหล่านี้ต้องการ สมุนไพรที่ได้มาจากเขาเป่ยจงทุกชนิดเเทบอยู่ในระดับสวรรค์ทั้งสิ้น เพราะพวกมันล้วนมีความงดงามและมีกลิ่นอายที่เเปลกประหลาด
หากเป็นตอนสมัยก่อนข้าคงไม่ต่างจากเด็กหนุ่มที่รักสนุกทั่วไป ไหนเลยจะเห็นความสำคัญของพวกเจ้ากัน ไม่มีพวกเจ้าข้าก็ยังอยู่ได้ แต่ข้าผ่านยุคสมัยที่มองเหล่าต้นไม่มวลพฤกษานั้นมีความสำคัญ เพราะหากมองดีๆที่ไหนที่มีปราณธรรมชาติอัดแน่นล้วนเป็นสถานที่ที่มีเหล่าพฤกษาจำนวนมาก หากจะเปรียบคงหมายถึงต้นไม้ผลิตอ็อกซิเจนให้หายใจ ในโลกแห่งลมปราณนี้ต้นไม้ยังสามารถผลิตปราณธรรมชาติให้ดูดซับ นับว่าทุกอย่างล้วนมีที่มาที่ไปเสมอไม่มีสิ่งใดที่ไร้เหตุผลที่เกิดมา
เคร้ง!!!! ตูมมมม!!! "ต้ามมันเอาไว้ มันกำลังจะมาถึงด้านในแล้ว " เสียงเอะอ่ะของหานกู่ที่ตะโกนสั่งการให้หานหลี่ผลักดันอะไรสักอย่างที่กำลังก้าวล้ำอาณาเขตของพวกเขา และตอนนี้อ๋องจวิ้นเต๋อก็มองไปที่ตัวที่กำลังกัดกินโบตั๋นเพลิงอย่างบ้าคลั่ง มันไม่ได้สนใจทั้งสองที่ระดมโจมตีทุกสิ่งอย่างใส่มันด้วยซ้ำไป เกราะเกร็ดที่หนาและทนทานสะท้อนกับแสงตะวันที่กำลังเริ่มสาดส่อง แน่นอนว่าสิ้นสุดฤดูหนาวเหล่าสัตว์อสูรต่างออกหากินกันอย่างหิวโหยและสัตว์อสูรตรงหน้าก็เช่นกัน
แต่ลักษณะของสัตว์อสูรตรงหน้ากลับสร้างความฉงนใจไม่น้อยเพราะไม่เคยพบเห็นมาก่อน แต่ในยุคของเต๋อรู้จักมันในนามของม้านิลมังกรในหนังสือเรียน แต่เพียงแค่เกร็ดของมันนั้นมีสีแดงราวกับทับทิมแต่เมื่อต้องแสงตะวันมันกลับคล้ายเกร็ดที่กำลังลุกไหม้ตลอดเวลา การโจมตีของข้ารับใช้ทั้งสองไม่ได้อ่อนแอเลยแม้แต่น้อยเเต่เป็นเพราะเกร็ดที่หนาและระดับของสัตว์อสูรตรงหน้าก็ระดับราชาสวรรค์ขั้นปลายแล้ว ซึ่งหากต่อสู้จริงๆจวิ้นเต๋ออาจต้องออกเเรงมากหน่อย แต่เหตุใดมันถึงไม่สนใจหานกู่และหานหลี่เลยแม้แต่น้อยมันยังกินโบตั๋นเพลิงที่งดงามอย่างไม่สนใจ เขาที่คล้ายกวางสองเขาหนวดที่ยาวสั่นไหวไปตามแรงสบัดกลีบเท้าของโคและทรงหัวที่คล้ายหัวมังกร
" หานกู่ หานหลี่พวกเจ้าถอยออกมา..เดี๋ยวนี้. " อ๋องจวิ้นเต๋อผู้สุขุมเอ่ยวาจาที่อัดแน่นไปด้วยความรู้สึกเป็นครั้งแรกเพราะเขาพึ่งนึกขึ้นได้ว่าม้านิลมังกรมีเเรงบันดารใจมาจากสัตว์เทพในเทพนิยายของจีน และเขาเเทบอยากตบหน้าตนเองแรงๆทีเดียว เพราะเขาเองกลับรู้สึกถึงความอบอุ่นที่ได้เห็นมันกลับไม่หวงแหนสิ่งที่มันกำลังกินแต่การจ้องมองที่มีความสุขแทน
"ท่านอ๋องเจ้าวัวบ้านี่เกร็ดหนานักขอรับข้าเกรงว่าทุ่งโบตั๋นของท่านอ๋องคงไม่เหลือแล้วขอรับ " เสียงของหานหลี่ที่รีบเร่งรายงานเพราะไม่อาจสร้างความรำคาญใจให้สัตว์อสูรตรงหน้าได้เลย เรียกได้ว่าเพลงหมัดเพลิงสยบสวรรค์ไม่มีผลกับเกร็ดหนานั่นเลย
"พวกเจ้าทำสิ่งใดสัตว์เทพไม่ได้หรอกหานกู่ หานหลี่ปล่อยมันเถอะ เพราะนั้นคือกิเลน และอีกอย่างเพียงลมหายใจของมันก็สามารถเผาพวกเจ้าทั้งเป็นได้เลย แต่ที่มันไม่ทำเพราะมัวห่วงกินอยู่ มันคงออกจากการจำศีล ช่างตลกโดยแท้ข้าเคยคิดว่าเหล่าสัตว์เทพนั้นเป็นนิทานหลอกเด็ก แต่มาวันนี้ได้เห็นกับตาก็นับว่ามีบุญในฐานะของผู่มีสายโลหิตกิเลนสวรรค์เช่นข้า " แววเสียงไม่ได้ปรากฏความหวาดกลัวแต่อย่างใดเพราะกิเลนไม่ได้สนใจพวกเขาเลยมันกำลังเร่งรีบเก็บเกี่ยวดอกโบตั๋นเพลิงที่นับว่าเป็นอาหารที่มันชื่นชอบมากๆ เพราะมากพอที่จะทำให้มันปรากฏตัวได้
"สัตว์เทพกิเลน..×2 " แน่นอนว่าตอนนี้ทั้งสองแทบอยากจะหมอบกราบ มังกร กิเลน หงส์เพลิง เสือขาว เต่ามังกร ปี่เซี๊ยะล้วนเป็นสัตว์เทพที่มีตัวตนในตำนานเท่านั้น แต่ตอนนี้พวกเขาทั้งสองได้เห็นตัวเป็นๆของสัตว์เทพที่เป็นตัวแทนแห่งความดีงามและความสื่อสัตย์กิเลนปรากฏในดินแดนของผู้ใดฮ่องเต้พระองค์นั้นย่อมถูกอวยพรโดยสวรรค์
แต่ก่อนที่จะตกใจไปมากกว่านี้การปรากฏของกิเลนอีกสองตัวก็เกิดขึ้นภาพของกิเลนทั้งสามที่กำลังกัดกินดอกโบตั๋นนั้นตรึงอยู่ในความทรงจำตั้งแต่บัดนี้ แน่นอนพวกมันคงมิได้สนใจการมีตัวตนของพวกเขา แต่กลับมิเป็นเช่นนั้น ....
กิเลนที่มีขนาดสูงใหญ่กว่าสามเมตรกำลังเดินตรงมายังอ๋องจวิ้นเต๋อที่เพียงยื่นนิ่งๆให้กิเลนตัวนั้นดม มันดมอยู่ชั่วครู่และใช้หัวอันใหญ่โตของมันดุนตัวของอ๋องจวิ้นเต๋อภาพที่ทำให้เหล่าข้ารับใช้ทั้งสองถึงขั้นลงไปหมอบกราบได้เลยทีเดียว แน่นอนว่าสำหรับอ๋องจวิ้นเต๋อมันไม่ใช่เรื่องแปลกเลยเพราะในกายของเขามีสายโลหิตของกิเลน จะมีความคุ้นเคยก็ไม่เเปลกพวกมันต่างถยอยกันเข้ามาใช้ลิ้นที่ยาวเลียไปทั่วใบหน้าโดยที่จวิ้นเต๋อเองก็แทบอยากจะหลีกหนีเพราะมันทั้งสากและคันยิบๆคล้ายดังเอาหน้าไปทาบถนนแล้วก็ลากไปเป็นเช่นนั้น เมื่อทำความรู้จักกันอย่างหนำอกหนำใจแทนที่พวกมันจะจากไป พวกมันกลับนอนลงพักผ่อนเสียเฉยๆ
เหตุการแทบหยุดหายใจนี้ผ่านไปเพียงไม่นาน แต่มันดูเนิ่นนานและสร้างความทรมานเป็นอย่างมากกับข้ารับใช้ทั้งสองเพราะพวกเขาไม่สามารถเข้าใกล้อ๋องจวิ้นเต๋อได้เลยตอนนี้เพราะกิเลนเพลิงตัวใหญ่ที่น่าจะเป็นแม่มันพ่นลมหายใจที่ร้อนแรงแผดเผาจนแสบไปทั่ว มันคล้ายกำลังหวงแหนสิ่งใด และยังมีกิเลนตัวที่เล็กลงมาถึงสองตัวที่กำลังคลอเคลียจวิ้นเต๋อจนไม่ไปไหน สายตาของพวกเขากำลังหาคำตอบ
"มันคงคิดว่าข้าเป็นหนึ่งในบุตรของมันกระมังและดูท่าว่าจะไม่ไปไหนหากข้าไม่ติดตามเสียด้วย " นี่เป็นเพียงความคิดของจวิ้นเต๋อเองแต่ความเป็นไปได้นั้นมีมากทีเดียว เพราะกลิ่นอายในสายโลหิตของกิเลนเพลิงสวรรค์เช่นกัน ทำให้ไม่อาจแยกเเยะและมันคงรวมจวิ้นเต๋อเป็นครอบครัว เพียงเวลาไม่กี่ชั่วยามที่กิเลนทั้งสามอยู่บริเวณนี้ทำให้น้ำเเข็งที่ก่อตัวจากฤดูหนาวละลายอย่างรวดเร็ว
ตามตำนานของราชวงศ์ฉีหลิน มารดาที่แท้จริงของตระกูลฉีหลินนั้นคือกิเลน กิเลนจะเป็นเพศหญิงเท่านั้นพวกมันไม่สามารถเป็นบุรุษ แต่เป็นตัวเมียที่อัดแน่นไปด้วยพลังหยาง แต่อยู่มาวันหนึ่งกิเลนเกิดตกลูกเป็นเด็กชาย และเด็กชายผู้นั้นก็มีฐานะไม่ต่างจากจุดเริ่มต้นของราชวงศ์เรื่องนี้จวิ้นเต๋อเองก็คิดว่าเป็นเรื่องตลกๆเท่านั้น แต่พลังของสายเลือดราชวงศ์ฉีหลินนั้นก็มีความพิเศษอย่างแท้จริง พวกเขาสามารถใช่ร่างกิเลนสวรรค์ได้หากก้าวสู่ระดับจักพรรดิสวรรค์ซึ่งก็คล้ายคลึงกับสายโลหิตทั้งห้าของสัตว์เทพ และที่กลางหลังของพวกเขาจะมีลายสักรูปร่างของร่างสัตว์เทพของตนเองตั้งแต่กำเนิดซึ่งบนหลังของฉีหลินจวิ้นเต๋อก็มีมัน
'แสดงว่าตอนนี้ข้าสามารถใช่ร่างจำแลงสัตว์เทพได้เเล้วซิ ' เมื่อคิดเช่นนั้นแต่ก็ไม่ได้ร่วงรู้เลยว่าจะมีวิธีใดที่จะสามารถทำให้ตนสามารถปลุกร่างจำแลงขึ้นมาได้
แต่เขาก็เคยหวนคิดไปถึงตอนที่เสด็จพ่อและเสด็จปู่ยังอยู่พวกท่านล้วนอยู่ในระดับจักรพรรดิสวรรค์ แต่เหตุใดถึงไม่เคยเห็นพวกท่านใช้ร่างจำแลงเลย แม้ถึงตอนที่ท่านปู่กรำศึกจนตกตายก็ยังไม่สามารถใช่ร่างจำแลงได้ สายตาของจวิ้นเต๋อแสดงความสงสัยในบางเรื่องที่มันดูจะกลายเป็นเพียงความเพ้อฝันเพียงเท่านั้น แต่ในความเพ้อฝันเหล่าราชวงศ์ต่างมุ่งมั่นที่จะไปให้ถึงแม้ว่ามันจะไม่เคยมีมาก่อน แต่ถึงอย่างงั้นมันคงต้องมีบางเรื่องที่อาจเป็นกุญเเจที่สำคัญ
ตอนนี้อ๋องจวิ้นเต๋อกำลังมองไปยังร่างของแม่กิเลนที่กำลังนอนเอกนกอย่างสบายใจเขาเผลอมองและคิดตาม หากการใช่ร่างจำแลงเหมือนการโคลนนิ่ง สิ่งแรกที่ต้องรู้คงหมายถึงสรีระที่ต้องการ คิดได้ดังนั้นเขาใช้เนตรอ่านสวรรค์ทันที และสิ่งที่เขามองเห็นความแตกต่างแทบจะทันทีนั่นก็คือสายโลหิตที่แดงดั่งอัญมณีแต่ของกิเลนทั้งสามมันมีละอองสีแดงหม่นป่ะปนอยู่และมันก็กำลังขยายไปรอบๆคล้ายดังพลังปราณที่ไม่ได้ตั้งใจจะปลดปล่อย และเมื่อหันมามองตนเองแล้วกลับพบว่าสายโลหิตที่ไม่มีความแตกต่างกัน แต่กลับไร้ละอองสีแดงหม่นอันนั้น 'กลิ่นอายสัตว์อสูร' เขาคิดออกเพียงเท่านี้ใช่แล้ว ความแตกต่างมนุษย์ไม่หลงเหลือกลิ่นอายของอสูรอยู่เลยในสายเลือด หากคิดไม่ผิดเขาสามารถซับไออสูรจากกิเลนทั้งสามได้ คล้ายดังสามารถซับไอพลังหยางจากดอกโบตั๋นเพลิงได้ เมื่อคิดได้ดังนั้นจวิ้นเต๋อเริ่มกำหนดลมปราณเพื่อดูดซับ แต่มันกลับไม่ได้ผลเพราะไม่มีผู้ใดสามารถซับไอสัตว์อสูรได้ ทำให้ต้องล้มเลิก เมื่อคิดไปถึงความแตกต่างจวิ้นเต๋อเพียงอยากเห็นรอยสักที่เขาแทบไม่เคยตั้งใจที่จะดูมันเลย แตครานี้เขาเร่งพลังปราณไปกระตุ้นรอยสัก แต่แทนที่เขาจะได้เห็นรอยสักกลับพบว่ารอยสักกำลังซับไออสูรจากรอบๆ
"นี่มัน.... หานกู่หานหลี่พวกเจ้าออกไปจากที่นี้ก่อน หากไม่เรียกหาอย่าพึ่งกลับมา " คำสั่งที่จริงจังทำให้ข้ารับใช้ทั้งสองไม่รีรอที่จะทำตาม ถึงจะสงสัยมากเพียงใดเเต่ก็ไม่กล้าเอ่ยถามเพราะตอนนี้สีหน้าของท่านอ๋องคล้ายดังพบเห็นบางอย่างที่ไม่อาจให้ผู้อื่นได้เห็นมัน
. เมื่อลับตาข้ารับใช้ทั้งสองแล้ว จวิ้นเต๋อวาดอักษรเขตแดนที่กักกันการรับรู้ของคนอื่น หรือแม้แต่ข้ารับใช้ทั้งสอง เพราะเขากำลังค้นพบความลับที่อาจพลิกชะตากรรมของเหล่าสายเลือดสัตว์เทพทั้งหมดก็ว่าได้
จวิ้นเต๋อปลดผ้าคลุมพร้อมกับเสื้อเผยให้เห็นแผ่นหลังที่มีรอยสลักอันเลือนลาง มันมิได้มีความเด่นชัดจนสามารถมองเห็นได้ง่ายๆ แต่ตอนนี้เส้นสายสีทองที่กำลังไหลเข้าสู้รอยสักนี้มันกำลังไล่ลายสลักให้เด่นชัดมากยิ่งขึ้นและเป็นลวดลายสีทองที่งดงามเท่าที่เคยมีมา มันสลักที่หลังอันขาวเนียนดุจภาพวาดที่สลักบนหยกเนื้อดี แต่ความทรมานของเจ้าของร่างตอนนี้นั้นไม่ใช่สิ่งที่จะมองข้ามได้เลย จวิ้นเต๋อเองกัดฟันแน่น ที่ให้เหล่าข้ารับใช้ออกไปเพราะไม่อยากให้เห็นภาพต่อไปเพราะเพียงเริ่มต้นยังเจ็บเเสบถึงเพียงนี่ ลายสลักที่กำลังก่อตัวนี้คล้ายดังเข็มนับร้อยที่กำลังทะลวงผิวหนังสร้างความเจ็บปวด
กิเลนเพลิงสวรรค์เองก็รับรู้ถึงความเจ็บปวดที่จวิ้นเต๋อได้รับพวกมันเพียงเลียที่ใบหน้าและร่างกาย รวมถึงจุดที่ลอยสักกำลังเด่นชัดมากขึ้น เพื่อบรรเทาความเจ็บ ดวงตาสีทับทิมที่ไม่มีความแตกต่างกันจ้องมองราวกับจะให้กำลังใจให้เจ้าของร่างอดทนเอาไว้ และตอนนี้กิเลนเพลิงสวรรค์ทั้งสามยังปลดปล่อยกลิ่นอายของสัตว์อสูรมากมายเพื่อให้จวิ้นเต๋อได้ดูดซับ ความรวดเร็วมักแลกมากับความเจ็บแสบ โอสถก็มิอาจกลืนได้เพราะเกรงจะมีความผิดพลาดเกิดขึ้นทำให้มีเพียงความอดทนเท่านั้นภาพเหตุการณ์ความอดทนหลายๆอย่างที่เด่นชัด อดทนต้องดูมารดาสิ้นใจตรงหน้าสูญสิ้นสายเลือดฝ่ายมารดา หรือจะเป็นการอดทนที่ต้องถูกรังแกไม่สามารถเอื้อนเอ่ยหรือโต้ตอบ ความเจ็บปวดเพียงเท่านี้ล้วนไม่ถึงครึ่งที่เคยได้รับมาแม้เเต่น้อย นับสองชั่วยาม(1ชั่วยาม=2 ชม.)ที่ความทรมานทางร่างกายที่นับว่าหนักหน่วงที่สุดเท่าที่เคยมีมาเกิดขึ้น แต่มันก็แลกมาด้วยสถานะของร่างจำแลงเทพอสูรกิเลนสวรรค์ ที่นับว่าเหนือความคาดหมาย เพียงเพราะว่าตอนนี้ระดับของจวิ้นเต๋อคือผู้นิราศ ระดับร่างจำแลจะยกระดับอีกหนึ่งระดับแต่ด้วยสายโลหิตของสัตว์เทพทำให้ร่างกิเลนสวรรค์ของจวิ้นเต๋อเป็นร่างของเทพอสูร....(ระดับเทพอสูร= มหานิราศ)
. โฮกกกกกก !!!! ตอนนี้กิเลนทั้งสามถึงกลับผงะเมื่อพบว่าร่างของมนุษย์ผู้มีสายโลหิตเดียวกันนั้นเปลี่ยนไป พลังธาตุหยางอันหนักหนวงและพลังสายที่ไม่อาจพบเจอในสายพลังนี้ 'พลังของธาตุพฤกษา' มันทำให้เกิดร่างของสัตว์อสูรขนาดกว่าสี่เมตร เกร็ดที่เรียงตัวงดงามเเข็งแกร่งราวกับเกราะเนื้อดี พละกำลังมหาศาลที่มิอาจประเมินได้และการควบคุมเปลวเพลิงได้ดีกว่าเดิม รวมถึงทุกย่างก้าวที่เดินผ่านล้วนทิ้งเถ้าถ่านกองเพลิงไว้เบื้องหลัง
(หลังเขาเป่ยหู่.. ).
ตอนนี้หานหลี่มองใบหน้าของหานกู่อย่างขอความเห็นด้วยพลังธาตุอัคคีที่แฝงไว้ด้วยพลังหยางที่รุนแรงเช่นนี้เป็นของผู้ใดไปมิได้นอกจากท่านอ๋องของพวกตน และด้วยพลังนี้เหล่าหิมะที่จับตัวละลายเร็วกว่ากำหนดเดิมนับเดือน นี้พลังขนาดไหนกันถึงสามารถเปลี่ยนแปลงสภาวะเเวดล้อมได้ขนาดนี้ เพียงสองชั่วยามเหล่าพฤกษาที่ซ้อนตัวใต้น้ำเเข็งก็โผล่หน้าขึ้นมาอวดโฉมได้เเล้ว พวกมันต่างเร่งรียดูดซับพลังปราณพฤกษาที่แฝงมากับพลังความร้อนอย่างบ้าคลั่งและเร่งรีบเติบโต
"ฤดูใบไม้ผลิที่เขาเป่ยหู่มาไวกว่าที่คิดว่าไหมท่านปู่ " เสียงของหานหลี่ที่เอ่ยขึ้นโดยที่ไม่อาจล่ะสายตาไปจากภาพของทุ่งหญ้าที่ท้าทายลมหนาวแต่พวกมันได้รับการคุ้มครองจากพลังบางอย่างทำให้พวกมันไม่มีความเกรงกลัวเลยที่จะอวดโฉมก่อนที่ควร...
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ขอตัวหนังสือเล็กลงหน่อยได้มั้ย
สนุกมาก ไม่มีคำบรรยาย อ่านเพลินจริงๆ
ว้าว ชอบ ชอบ พระเอกเทพ
สัตว์เทพที่เรียกว่า 'กิเลน'
เพศผู้ เรียกว่า 'กิ'
เพศเมีย เรียกว่า 'เลน'
ก็เอาตามใจไรท์แล้วกันค่ะ จะมีเพศเดียว(เพศเมีย) สองเพศ(เพศเมีย กับเพศผู้)หรือจะเป็นตัวเดียวสองเพศ.. ก็แล่วแต้ อิอิ
กำลังสนุกเลย ภาษาเขียนอ่านแล้วสละสลวยดีบรรยายซะอ่านไปเพลินเลย พระเอกหล่อเทพทรู วรยุทธสุอยอด รูปกายงดงามสมกับเป็นองค์ชายศักดิ์สิทธิ์หล่อแบบไม่มีคำบรรยาย ดีต่อใจจริงๆไม่มีนางเอกก็ดีแล้วละ เพราะถือพรมจรรย์ ทำหน้าที่เสร็จก็ท่องเที่ยวยไปทั่วทุกทิศ ขจัดตัดทุกข์บำรุงสุข ออ..อย่าลืมไปโปรดแคว้นบ้านเกิดของท่านแม่บ้างนะ อย่าให้อาณาจักรท่านแม่ล้มสลาย แล้วก็ออกท่องเที่ยวไปกับข้ารับใช้ 2 คน พร้อมกิเลนน้อยสุดน่ารัก คงสนุกดีแบบใช้ชีวิตไปอย่างอิสระได้เวลากลับตำหนักพยากรณ์ ประมาณนี้ไม่งั้นองค์ชายศักดิ์สิทธิ์เบื่อแย่ ยังก็มาเกิดใหม่แล้วท่องเที่ยวไปที่ๆอยากไปใช้ชีวิตให้คุ้ม อิอิ (มโน) เป็นกำลังใจให้ไรท์จร้า สู้ๆ
เต๋อน่าจะเป็นข้อยกเว้นที่ว่ามีแต่เพศเมีย
เสียดายเรื่องเก่า
สนุกค่ะ อัพทุกวันนะคะไรท์
ไหนๆทรีโน่ก็มาแล้วขอท่านอ๋องหน่อยย
ปล.จะวายไม่วายก็ติดตามค่ะ
เคารพการตัดสินใจของไรท์ ไม่ต้องสนใจคนอื่นนะคะ ทำในสิ่งที่ไรท์คิดว่าสมเหตุสมผล ก็พอ แล้วมันจะออกมาดีเราเชื่ออย่างนั้น เป็นกำลังใจให้ค่ะ
จะรอ support นะคะ
รอค่ะ สนุกมาก