ตอน....
"ไป๋เมิ้งเจ้าสารเลว เจ้าร่วมมือกับมนุษย์ทำร้ายเผ่าพันธ์อสูร เจ้ามันทรยศ เจ้าแมวขี้เรื้อน " เสียงสบถด่าของมยุราขนอัคคี แต่ตอนนั้นเองที่นางรู้ว่าทำไมไป๋เมิ้งที่เลือกที่จะทำเช่นนี้
'เทพอสูร ไป๋เมิ้งเจ้าแมวขี้เรื้อนชั่วช้า...' กลิ่นอายของเทพอสูรกิเลนเพลิงสวรรค์กำยานไปทั่วโถงแม้แต่ผู้ที่อยู่หลังม่านยังสามารถสัมผัสถึงพลังที่เหนือกว่าพวกตนได้
"ชินอ๋องที่เจ้าว่ามีอายุเท่าไหร่ สหายเจ้าเช่นนั้นหรือ ตะบะปราณของคนผู้นี้อายุเกินห้าหมื่นปี เจ้าไปคบใครเป็นเพื่อนเจ้าเด็กโง่ " ใบหน้าของเฟิงไหลหลี่ถิงถึงกลับนิ่งค้าง ตะบะเท่ากับอายุ แต่ในบางกรณีมันอาจไม่ใช่ แต่ก็น้อยนักที่จะมีวิธีเช่นนั้น
"จวิ้นอ๋อง เป็นจวิ้นอ๋อง ....." คล้ายดังว่าสติหลุดลอย เพราะหลายๆอย่างตอนนี้มันชัดเจนมาก เป็นไปได้ว่าคนตรงหน้าพวกเขาคือจวิ้นอ๋อง
"จวิ้นอ๋องที่มีฐานะเป็นอ๋องศักดิ์สิทธิ์ เป็นจวิ้นอ๋องจริงๆหรือ ท่านปี้หยา ..." ตอนนี้ไม่เพียงบรรพชนที่งงงวย แม้เเต่ตัวองค์ชายสี่เองยังไม่อยากจะเชื่อ
"หากเป็นอ๋องศักดิ์สิทธิ์แห่งตำหนักพยากรณ์คงไม่ผิดแน่ ที่จะมีพลังหยางที่แปลกประหลาดเช่นนี้ แต่พลังขนาดนี้ทั้งพลังสายเลือดกิเลนสวรรค์ มันดูจะมากมายจริงๆ " เสียงเอ่ยของผู้ที่ยืนอยู่กลางลานกลม ที่ตอนนี้เริ่มที่จะอ่อนแรงเต็มทนเเล้ว มีเพียงผู้เดียวที่สามารถหยัดยืนอยู่ได้
หานอี้ที่ยืนอยู่อีกฝั่งเงียบๆได้ยินที่คนเหล่านี้พูดคุยกันทั้งหมด แต่ไม่อยากขัด เพราะตอนนี้เขากำลังมองการต่อสู้ของท่านอ๋อง ในบางครั้งเขามีความรู้สึกว่าท่านอ๋องไม่ใช่ท่านอ๋องที่เขารู้จัก ยิ่งมีความรู้สึกว่ารู้จักท่านอ๋องเท่าใด ยิ่งไม่รู้จักท่านอ๋องเท่านั้น มันมีความลับในความคิดอ่านของท่านอ๋องมากเกินไป ไม่อาจคาดเดาสิ่งใดได้เลย หากท่านอ๋องเป็นผู้แสวงหาพลังอำนาจคงเป็นหนึ่งได้ไม่ยากเย็น
ร่างอสูรของเทพอสูรกิเลนเพลิงสวรรค์ แน้นอนว่ามีพลังมากกว่าไป๋เมิ้งหรือมยุราขนอัคคี เพียงแรงตัดหางอัคคีที่ยาวกว่าสิบเมตรเพียงคราเดียว ก็พัดพาเอาร่างของมยุราเพลิงสวรรค์ล่วงลงมาจากท้องฟ้าได้แล้ว เปลวเพลิงที่อัดแน่นถูกส่งออกมาจากปากของกิเลนเพลิงสวรรค์อย่างช้าๆ
"อัคคีหลอมอัคคี " วิธีที่จวิ้นเต๋อใช้สังหารมยุราขนอัคคีนั้นทำเอาไป๋เมิ้งมีท่าทางหวาดกลัวขึ้นมาทันที สังหารสัตว์อสูรธาตุอัคคีด้วยอัคคีที่ร้อนแรงกว่ามันไม่เพียงการสังหารที่รู้ผลแพ้ชนะ แต่มันเป็นการกักขังพลักดันให้ดวงจิตของสัตว์อสูรกลับเข้าไปสิงสถิตในแก่นปราณ เสียงกรีดร้องโหยหวนของมยุราขนอัคคีดังไปทั่วทั้งเฟิงไหลเขตในเลยก็ว่าได้ เหล่าเชื้อพระวงศ์ต่างมารอกันที่หน้าทางเข้าสุสาน แต่ไม่มีใครสามารถเข้าไปได้ ด้วยทางเข้าถูกปิดเอาไว้ด้วยกองหิน
โลหิตที่ไหลนองตามพื้นถูกไป๋เมิ้งดึงเข้าสู่ร่างกาย สิ่งที่มันได้รับนับว่ามากพอสำหรับความเหนือยเพียงน้อยนิดของมัน เมื่ได้สิ่งที่ตนเองต้องการทันก็หายลับไปกับตาทันทีเพราะอย่างน้อยช่วงเวลาเช่นนี้มันย่อมมีความอ่อนแออยู่
ร่างของทั้งสองหายไปอย่างไร้ร่องรอย รวมถึงซากของมยุราขนอัคคีด้วย หานอี้เองก็ใช้เวลาเพียงไม่นานเปิดประตูตำหนักสวรรค์ติดตามนายตนไปทันที ด้วยรู้ดีว่าเกิดสิ่งใดขึ้นในตอนนี้
(ตำหนักสวรรค์ )
เพียงร่างอสูรถูกคลายออกไปความเจ็บปวดก็แล่นขึ้นมาแทบจะทันที เเต่ครานี้เป็นเพียงร่างสัตว์เทพระดับเทพอสูรเท่านั้นมิใช้ร่างเทพอสูรเเท้จริงทำให้ความเจ็บปวดจ้อยกว่ามาก
"ท่านอ๋งท่านเป็นเช่นใดบ้าง!! " ผ่านไปเพียงสองชั่วยามนับว่าทุกอย่างกลับมาเป็นปกติเเล้ว ตอนนี้หย่าหลิง หย่าหลิน รวมถึงหย่าเจียงและหย่าเจีย ต่างอยู่ที่นี้เพื่อปลดปล่อยไออสูรออกมาให้จวิ้นเต๋อได้เก็บรวบรวมนับว่าว่องไวกว่าเดิมนับสี่เท่าตัวทีเดียว
"ข้าไม่เป็นอันใดหานกู่แล้ว เหลียวเจิ้ง เป็นเข่นใดบ้าง " จวิ้นเต๋อเมื่อสามารถทนความเจ็บปวดได้ในระดับหนึ่งแล้ว ก็เตรียมตัวที่จะออกจากตำหนักสวรรค์ เพราะเขามีเรื่องบางอย่างที่สงสัย ความสงสัยนี้มีทาช้านานแล้ว เพราะเขาคิดอยู่เสมอว่ามันต้องทีอะไรที่เก็บซ้อนอยู่ในสายเลือดของสัตว์เทพประจำทิศ อย่างแน่นอน
วูบบบบ"""" ร่างของจวิ้นเต๋อโผล่ออกมาตรงกลางระหว่างห้องโถงขนาดใหญ่ ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ ถึงภายในตำหนักสวรรค์จะผ่านไปราวสองชั่วยามแต่ที่นี้ไม่น่าจะเกินร้อยลมหายใจเท่านั้น
ลมหายใจของบรรพชนทั้งสี่ต่างสูดลมหายใจเข้าพร้อมกัน เพราะตลอดหลายพันหลายหมื่นปี พวกเขาเฝ้าอยู่ที่นี้มาช้านาน วันนี้พวกเขาต้องจบชีวิตหนึ่ง บาดเจ็บสาหัสสอง และยังกำลังจะดับสูญอีกหนึ่ง นี้นับว่าไม่มีสิ่งใดเลวร้ายมากกว่านี้อีกเเล้ว แววตาที่พวกเขาจ้องทองมาที่จวิ้นเต๋อมันคือความรู้สึกของความหวังและความสิ้นหวัง
"ที่มยุราขนอัคคีมาที่นี้ ไม่ใช่เพราะที่นี้เต็มไปด้วยพลังขอัคคีเพียงเท่านั้นหรอกนะ แต่ที่มันต้องการคือโลหิตแท้จริงของเทพอสูรหงส์อัคคี ท่านเองก็เป็นหนึ่งในเทพอสูรย่อมเข้าใจดี " เสียงของผู้ที่อยู่บนลาน แม้พลังที่ถ่ายเทจะมากมายแต่ก็นับว่าไม่ทำให้คนตรงหน้าหมดแรงได้โดยง่าย
"พวกเจ้าล้วนมีสายเลือดหงส์อัคคีที่บริสุทธิ์ไม่ใช้หรือเเล้วเหตุใดนางไม่ต้องการพวกเจ้าล่ะ และโลหิตเทพอสูรแท้จริงของหงส์อัคคีถูกเก็บรักษาไว้ที่นี้หรือ " จวิ้นเต๋อเริ่มที่จะมองเห็นบางอย่าง เขามองดูสีหน้าของคนพวกนี้แล้วให้ความรู้สึกหงุดหงิดเพราะมีบางอย่างที่พวกเขาบอกไม่หมด แต่ก็เอาเถอะเรื่องที่เขาอยากรู้ไม่ใช้เรื่องนี้ แต่เป็นเรื่องประตูทมิฬแดนใต้มากกว่า
"เอาเถอะเรื่องของความลับสายเลือดของพวกเจ้ามิใช้เรื่องที่ข้าสนใจ เจ้าบอกสิ่งที่เจ้ารู้ทั้งหมดเกี่ยวกับเจ้านี้ เพียงเท่านั้นก็เพียงพอเเล้ว " จวิ้นเต๋อไม่อยากเอาความ เรื่องที่เขาอยากรู้ไม่ใช้ความลับของผู้อื่น แต่เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยได้รู้ต่างหาก
"ข้ามีนามว่าเฟิงไหลฉิงซี่ เป็นบุตรคนที่สามของเทพอสูรหงส์อัคคีเฟิงเซียว ตามจริงมารดาของพวกเราหาได้ไปที่ใด แต่นางยังอยู่ที่นี้ นางใช้ร่างของนางปิดผนึกประตูทมิฬนี้เอาไว้ ที่ท่านถามว่าสายโลหิตจริงๆของนางอยู่ที่ใด ท่านลองมองที่บานประตู แต่ตอนนี้นับว่าน่าขัน แม้จะใช้โลหิตของพวกเราทั้งสี่ก็ไม่สามารถรักษาสลักนี้ไว้ได้ มันคงจบสิ้นกันแล้ว ภายหลังประตูพวกเราก็ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ด้านหลัง แต่มารดาเคยกล่าวว่า หากประตูนี้พังทะลายลง ดินแดนผานกู่ มณฑลที่เจ็ดถือว่าจบสิ้นเเล้ว " เฟิลไหลฉิงซี่ หลับตาลงเพราะเหน็ดเหนือยกับการต้องสูญเสียพลังจำนวนมาก
"ท่านสามารถช่วยพวกเราได้ แม้แต่ต้องติดตามเป็นข้ารับใช้ข้าผู้นี้ก็ไม่เกี่ยง เพียงแต่สามารถรักษาสลักนี้เอาไว้ได้ " คำกล่าวของผู้ที่หยัดยืนอยู่กลางลานกลม กล่าวออกมาอย่างอ่อนแรงอย่างที่สุด เพราะมันเชื่อว่าคนที่อยู่ตรงหน้ามีความสามารถที่จะทำได้ เพราะมารดาเคยปล่าวถึงศาสตร์ที่นับว่าแทบจะไม่มีสิ่งใดทัดเทียม 'ยันต์อักขระ'
"เสวียนอู่มีกำเเพงดำ ไป๋หู่มีอุโมงอเวจี หลงอู่มีแม่น้ำหลงลืม และสุดท้ายเฟิงไหลมีประตูทมิฬแดนใต้ " ทุกสถานที่ย่อมเป็นเส้นทางที่เข้าออกระหว่างมณฑลที่เจ็ด "
"มณฑลที่ 7 หมายความว่านอกจากดินแดนนี้เเล้ว ยังมีดินแดนอื่นๆอีกเช่นนั้นหรือ และที่ป้องกันแน่นหนาเพียงนี้เพราะไม่อยากให้ผู้อื่นเข้ามา หรือกันคนของตนออกไปกันแน่ " จวิ้นเต๋อเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่ต้องการคำตอบเป็นคราเเรกที่เขาต้องใช้ความคิดที่นานเช่นนี้ เพราะจริงอยู่ที่เขาสามารถผนึกประตูนี้ได้ด้วยยันต์หยินหยาง แต่มันต้องแลกมาด้วยอะไรหลายๆอย่าง เพราะร่างกายของเขาเองไม่ปกติ การที่จะทำเรื่องที่ต้องใช้ทั้งพลังปราณและพลังตะบะไปพร้อมๆกันอาจก่อให้เกิดผลร้ายมากกว่าดี
"ท่านอ๋องนี่อาจเป็นกลลวงของพวกเขา เฟิงไหลนับว่าไว้ใจไม่ได้ ดูอย่างจักรพรรดิเฟิงไหลต้านเพื่อความมั่นคงของตนถึงกลับสังหารอ๋องศักดิ์สิทธิ์เฟิงไหลจงของเรา " ใบหน้าที่ตื่นตะลึงของเฟิงไหลหลี่ถิง เพราะเรื่องนี้นับว่าเป็นจุดด่างดำในชื่อเสียงของพระบิดา ถึงบางครั้งไม่อาจทำใจให้เชื่อถือได้ แต่มันคือความจริงทั้งสิ้น
"สายเลือดรุ่นหลังนับว่ามิได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เเละพวกเราเองก็เช่นกัน พวกเราตัดขาดทุกอย่าง มีเพียงอย่างเดียวที่พวกเราต้องรักษาคือที่นี้ หากท่านมีทางออกให้เห็นแก่ส่วนรวมด้วย...." ถึงจะไม่อาจปฏิเสธความเป็นไปของสายโลหิตได้ แต่ต่อให้ต้องสังหารสายเลือดของตนเองก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว
คลื่น...คลื่นนน..... เเรงสันสะเทือนเเละพลังปราณที่ดำมืดค่อยๆไหลทะลักเข้ามา มันเป็นความมืดที่จวิ้นเต๋อเองยังมีสีหน้าตกใจเล็กน้อย เพราะไม่เคยได้สัมผัสพลังปราณหยินที่ชั่วชาขนาดนี้มาก่อน เสียงโหยหวนของบางอย่างที่อยู่หลังกำแพง เสียงตะกายกรงเล็บของพวกมันคล้ายดังจิ้กจอกที่ถูกคุมขังและกำลังจะถูปปลดปล่อย ความมืดเพียงเล็กน้อยก็สามารถกดดันในขนาดนี้ หากประตูเปิดออกคงไม่ต้องพูดถึง
"พวกเจ้าหันหน้ากลับไปเสีย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นห้ามหันหน้ามามองเป็นอันขาด " ท่าทางจริงจังของจวิ้นเต๋อทำให้ทุกคนรับทำตามคำสั่งอย่างไม่มีบิดพริ้ว พสกเขาดูจะเชื่อใจคนแปลกหน้าเร็วเกินไปแต่จะมีทางใดที่ดีกว่านี้อีก
การจะใช้ยันต์หยิยหยางนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะจวิ้นเต๋อเองต้องรวบรวมพลังปราณทั้งสองสาย หากเขาไม่มีตำหนักสวรรค์ไม่รู้เลยว่าจะสามารถทำได้เช่นนี้หรือไม่ พลังหยินของเทพอสูรพยัคฆ์หยินเขี้ยวทมิฬมันดูเข้มข้นและทรงพลังมากขึ้นเป็นเท่าตัว ทำให้จวิ้นเต๋อต้องใช้ร่างเทพอสูรเเท้จริง อาภรณ์ที่สวมใส่หลุดลุ่ยเผยให้เห็นผิสกายที่ขาวเนียน เพียงไม่นานละอองอัคคีสีทองก็เข้ามาห้อมล้อมก่อตัวกันเป็นอาภรณ์สีทองที่ดูงดงามและไม่มีใครเหมือน ดวงตาสีทองที่วาววับจ้องมองไปยังประตูทมิฬ เสียงกรีดร้องของบางอย่างเบื้องหลังประตูดังกึกก้องไปทั่ว มันอาจสัมผัสถึงพลังบางอย่างที่พลักดันให้พวกมันกลับไป
จวิ้นเต๋อไม่รอช้าเขาสกิดที่ปลายนิ้วของมือทั้งสองข้าง บรรจงวาดอักขระขึ้นมาพร้อมๆกัน อักขระแต่ล่ะตัวล้วนอัดแน่นไปด้วยพลังปราณทั้งสองสายที่ไม่อาจเข้ากันได้ แต่เป็นผู้ใช้ที่สามารถทำความเข้าใจความสมดุลย์ของพวกมัน
แต่ในตอนนั้นเอง ประ๖ที่ทำท่าจะเปิดออก ได้ปรากฏร่างของสัตว์อสูรที่มีดวงตาสีน้ำเงินเข้ม ร่างกายของมันนั้นเรียกได้ว่ามีเพียงหนังหุ้มกระดูด มันเป็นสัตว์อสู่ที่มีท่าทางคล้ายกับจิ้งจอกสีดำสนิท พลังปราณที่มันปลดปล่อยออกมานั้นสามารถกดดันผู้คนได้อย่างไม่ต้องใช้พลังปราณมากมายเลย แต่มันต้องชะงักเมื่อพยเจอศัตรูที่เหนือกว่าตรงหน้า
"จวิ้นเต๋อมันคืออสูรวิญญาณ เเสดงว่าหลังประตูทมิฬคือแดนอเวจี มณฑลที่3 " เสียงของหย่าหบินเอ่ยขึ้นอย่างเป็นกังวล เรื่องราวบางอย่างนางก็ยากจะอธิบาย แต่นางก็พอรู้ว่าดินแดนเหล่านี้มีอานาเขตเป็นของตนเอง ไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้ใด
ในตอนนั้นเองที่หมาป่าอเวจีกำลังพุ่งเข้าสู่เป้าหมาย สิ่งเดียวที่จะสามารถสังหารมันได้มีเพียง
"ติ่ง เเต๋งงงงง......" เสียงของพิณเก้าวิญญาณสวรรค์บาดลึกแหวกอากาศเข้าสู้เป้าหมาย จนศัตรูที่กำลังมุ่งหน้าเข้ามาเสียการทรงตัว และในตอนนั้นเองที่จวิ้นเต๋อใช้สำเนียงถล่มสวรรค์ที่เป็นเคล็ดวิชาสูงสุดที่ตนเองมี
"อั๊กกก....." โลหิตสีทองไหลออกมาจากมุมปาก จวิ้นเต๋อต้องฝืนกลืนมันกลัยเข้าไป การฝืนใช้พิณเก้าวิณญาณสวรรค์ไปพร้อมๆกับการใช้ยันต์หยินหยางเช่นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำได้เลย พลังปราณของจวิ้นเต๋อเองกำลังจะแตกสลายไปเลยเสียด้วยซ้ำ
"เจ้าบ้าไปแล้วหรอ "ร่างของสัตว์เทพกิเลนสวรรค์ทั้งสองปรากฏตัวออกมาทันที เพราะตอนนี้จวิ้นเต๋ออาจไม่สามารถประคองสติของตนเองได้ เเต่อย่างรก็แล้วแต่นับว่าการสังหารด้วยสำเนียงสวรรค์นับว่าเป็นผล
จวิ้นเต๋อกัดฟันผลัดดันให้ยันต์ที่ตนเองเขียนขึ้นมานั้นประทับเข้าตรงกลางสลักพอดี เพียงเท่านั้นร่างเทพอสูรของดขาก็คลายลงในทันที โดยที่ไม่สามารถเปิดตำหนักสวรรค์ได้
"ท่านอ๋องงงง......." หานอี้ที่หันกลับมาเมื่อสัมผัสพลังกดดันใดๆไม่ได้อีกเเล้ว เเต่เมื่อเขาเห็นภาพตรงหน้า ในหัวของเขาราวกับถูกใครกระชากอย่างแรง แต่ก่อนที่จะได้เข้าไปดูอาการ กิเลนเพลิงสวรรค์ก็ขวางทางเอาไว้ก่อน
"โฮกกกกกกก ไม่ว่าใครห้ามขยับตัวไปไหน มิเช่นนั้นข้าจะสังหารทิ้งให้หมด " ตอนนี้นับว่าหย่าหลิงนั้นไม่สามารถรักษาอารมณ์ของตนเองได้ ระดับจักพรรดิสวรรค์ขั้น1 สำหรับสัตว์เทพเเล้วไม่มีทางที่คนธรรมดาจะสามารถต้านทานได้ แต่ตรงหน้าหาได้มีกิเลนเพียงตนเดียว
"สำเร็จจจ.....สลักหายไปแล้ว เป็นไปได้ยังไงกัน..." เฟิงไหลฉินซี่เอ่ยขึ้ยมาหลังจากที่เขาถูกพลังปราณผลักกระเด็นออกมา ตอนนี้พลังของเขาตัดขาดกับสลักอย่างชิ้นเชิง ' ไม่ถูกต้องสลักต่างหากที่หลุดออกจากประตู แต่ที่ประตูไม่เปิดออกคงเป็นเพราะ
ลวดลายสีทองและเงินที่ไหลราวกับสายน้ำ เป็นตัสอักขระหมุนวนรอบประตูคล้ายไม่มีที่สิ้นสุด ลวดลายที่ไม่มีผู้ใดสามารถอ่านมันได้ เเต่ที่รู้คือควาทแข็งแกร่งของมันนั้นคงยากที่จะทำลาย ดีไม่ดีมันจะต้องถูกปิดตายไปตลอดกาล
เป็นความจริงดังที่เฟิงไหลฉิงซี่สงสัย สิ่งที่ปรากฏตรงหน้ามันอาจเป็นปราการที่แข็งแกร่งที่สุดในแดนดินก็ไม่ผิด เพราะทั้งหยินและหยางล้วนเป็นพลังระดับเทพอสูร ไม่ใช่ว่าจะหาได้ง่าย ลองคิดดูหากเทพอสูรเพียงตนเดียวสามารถเขียนยันต์หยางได้ ก็ต้องใช้เทพอสูรอีกตัวที่สามารเขียนยันต์หยินได้ และทั้งสองจ้องมีระดับที่เท่าเทียมกัน เขียนอักขระทุกตัวอย่างพร้อมเพียง ไม่ช้าไม่เร็วเกินไป เพราะเช่นนั้นสิ่งตรงหน้าคือสิ่งที่อยู่เหนือกฏเกณฑ์ทุกสิ่งอย่าง สิ่งที่ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้น
แต่ในเวลานั้นเองที่หย่าหลิงและหย่าหลินถึงกลับต้องระเบิดพลังปราณของตนออกมาเมื่อสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่กำลังก่อตัวขึ้น ร่างสีทองค่อยๆก่อตัวขึ้นจากละอองอัคคีปรากฏร่างของสตรีนางหนึ่งที่เรียกได้ว่างดงามที่สุดเท่าที่เคยพบเห็นมาในดินแดนเฟิงไหล ร่างกายของนางถูกหล้อหลอมขึ้นมาด้วยเปลวเพลิง
"ข้าไม่มีกำลังมากพอที่จะทำร้ายใครหรอก ข้าเพียงอยากขอยคุณนายของเจ้าที่ช่วยเหลือ ไม่คิดว่าวันนี้ข้าต้องตกเป็นหนี้ของกิเลนเพลิงสวรรค์ " สายตาของนางจ้องมองไปยังร่างขชายที่กำลังเจ็บปวดจากบางสิ่งบางอย่าง เพราะคนภายนอกคงไม่เห็นเพราะไออสูรที่หนาเเน่นของกิเลนทั้งสองบดบังไว้
จวิ้นเต๋อถึงจะเจ็บปวดมากเเค่ไหน แต่ก็มีสติและรับรู้ถึงการปรากฏตัวของเทพอสูรหงส์อัคคี ซึ่งแท้จริงเป็นเพียงสายโลหิตนางที่ยังเหลืออยู่ นางดูอ่อนกำลังคล้ายกับใบไม้ที่ลอยตัวอยู่เหนือวารี พร้อมที่จะจมลงทุกเมื่อ
" ข้ามีเรื่องบางอย่างจะบอกท่าน " เพียงเท่านั่นความทรงจำของนางก็สว่างขึ้นในหัวของจวิ้นเต๋อ มันยิ่งทวีควาทเจ็บปวดมากยิ่งขึ้น ถึงนางจะรู้ว่าจะส่งผลแต่ก็ต้องทำตอนนี้เพราะนางไม่อาจคงร่างนี้ไว้ได้นาน
"หวังว่าท่านจะระวังตัว นี่เพียงเริ่มต้นเท่านั้น " สิ้นคำของนางร่างขนางก็สลายไปกลายเป็นไอสีทองที่ลองลอง
"สายโลหิตของข้าจงรับเอาโลหิตเทพอสูรของข้ามันจะทำให้พวกเจ้าเเข็งแกร่งขึ้น ทุกสิ่งอย่างแล้วแต่วาสนาของพวกเจ้า "
" โคจรพลังปราณเร็ว ....." เฟิงไหลฉิงซี่ กล่าวขึ้นมาอย่างเร่งรีบ ตอนนี้สลักของประตูแดนใต้ถูกทำลาย มันเป็นการปลดปล่อยพลังสายเลือดเทพอสูรของหงส์อัคคี ทำให้สายเลือดเทพอสูรกำลังหาที่สิ่งสถิตหรือภาชนะที่เหมาะสม
ในความแน่นอนย่อมมีความไม่แน่นอน ทุกสรรพสิ่งล้วนขึ้นอยู่กับวาสนา
ละอองโลหิตสีทองที่กำลังไหลเข้าสู่ร่างกายสายเลือดของเฟิงไหลทั้งห้า แม้เเต่ร่างที่ไร้สติ แต่ในตอนนั้นเองที่ไอสีทองนั้นได้ไหลทะลักผ่านร่างกายของพวกเขาไป
"เป็นไปไม่ได้ เกิดอะไรขึ้น.....มีร่างที่เเข็งแกร่งกว่าพวกเราอยู่ที่นี้ เข่นนั้นหรือ " เสียงตะโกนร้องอยากเเปลกใจ สร้างความวิตกกังวลให้กับเฟิงไหลฉิงซี่ไม่น้อย เพราะในห้าคนล้วนมีอาการเช่นเดียวกัน คือสายโลหิตเทพอสูรไม่ยินดีที่จะหลอมรวกับพวกเขา เป็นการประกาศเจตจำนงของสายเลือดว่าไม่คู่ควร มันรวมตัวกันอีกครั้งและมุ่งตรงไปยังคนที่กำลังโคจรพลังปราณรักษาตนเองอยู่
"ไม่จริงจวิ้นอ๋อง เป็นสายเลือดกิเลนจะรับสายเลือดของหงส์อัคคีได้ยังไง " เสียงเอ่ยขึ้นอย่างมึนงง แต่สำหรับจวิ้นเต๋อแล้วมันไม่เป็นความจริงเลย ตอนนี้เขาบาดเจ็บสาหัสแม้แต่เปิดประตูตำฟนักยังไม่สามารถทำได้ แต่ตอนนี้เส้นสายสีทองไหลผ่าย ป้ายหยก เข้าสู่ลูกบาตน์ที่เขาห้อยอยู่ราวกับสายนำไหลลงสู้ที่ต่ำ....
"บ้าที่สุด!!! หานอี้ เข้าไปช้วยเหลียวเจิ้งก่อน พวกเจ้าด้วย..เป็นเช่นนี้สลักของข้าจะต้องพังทะลายแน่ " สายโลหิตของเทพอสูรเเท้จริงของหงส์อัคคี มันกำลังมุ่งหน้าไปยังสายเลือดที่เเข็งแกร่งที่สุดของมัน ที่มีอยุ่ตรงนี้ มาอาศัยกลิ่นอายโลหิตในหยกแสดงตัวตนของชินอ๋องไปหาร่างหลานชายของเขา
"เจ้าต้องอดทนเอาไว้นะเหลียวเจิ้ง..."
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ฆ่าฉันๆ
ค้างสุดๆ
เอาอีกๆๆ
ได้โปรดขออีกตอน มันค้างเหลือจะกล่าว
เอาอีกกกกกกกกก
ฉีหลินได้องค์หญิงกลับคืน 2 องค์และโดนแต่งตั้งเป็นกุ้ยเฟย 1 แล้วเหลืออีก 1 นิน่า
มีปมใหม่มาอีกแล้วๆๆๆ