ตอน...
ใช่เเล้วหากฟังดูดีๆ คำกล่าวของจวิ้นอ๋องมิใช่การขอร้อง แต่มันเป็นคำสั่ง หากถามว่าเป็นไปได้มากเพียงใดที่พวกเขาต้องเกรงกลัวบอกเลยว่าในใจพวกเขาล้วนหวาดกลัว แต่ก็คิดว่าท่านอ๋องคงไม่กล้าลงมือกับคนของอารามตงหวงเป็นเเน่
"จวิ้นอ๋องพระทัยเย็นก่อนเถอะ ข้าน้อยเพียงไม่เข้าใจเท่านั้น หากนี้เป็นประสงค์ของท่านหวังว่าจะมิสร้างความเดือดร้อนใดๆอีก พวกเราขอตัวก่อน " หนานจั่วไต่ซือมองออกว่าท่านอ๋องศักดิ์สิทธิ์พระองค์นี้มิใช่จะจัดการได้ง่ายๆ เช่นเฟิงไหลจง ดีไม่ดีอาจมีอายุมากกว่าเฟิงไหลจงเสียอีก เรื่องนี้ต้องปรึกษาปรามจารย์ก่อนถึงจะสามารถจัดการสิ่งใดได้ การจะขัดใจในที่นี้หาได้มีความเหมาะสมไม่ และอีกอย่างจะเป็นผลร้ายมากกว่าผลดี
"ศิษย์พี่..."
" พอได้เเล้ว!! ไปกันได้แล้วเราต้องหาเกสรบุปผาเจ็ดราตรีวิบัติให้เจอ เจ้าคงไม่อยากตายที่นี้หรอกนะ " กานซวงพยายามที่จะรั้งให้ศิษย์พี่ของตนเผชิญหน้า แต่ก็ไม่เป็นผล เมื่อการตัดสินใจทั้งหมดอยู่ที่หนานจั่วไต่ซือ ...
"ไป....." กลุ่มของอารามหยงชิงและคนของอารามตงหวงเคลือนตัวหายไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาเสียเวลามามากเเล้ว จะเสียเวลาอีกไม่ได้ คนของราชวงศ์หลงอู่เองก็รีบเร่งเดินทางเช่นกัน และตอนนี้หลงเหลืออยู่เพียงจวิ้นเต๋อและอดีตหลวงจีนของอารามตงหวงนามว่าหานอี้ .....
"ท่านอ๋องโปรดอภัย ข้าไม่รู้ถึงการคงอยู่ของท่าน ข้าจึงเข้าร่วมกับผู้อื่น อีกอย่างอี้เตียไต่ซือนับว่าเป็นคนที่ข้าน้อยรู้จักดีและวางใจได้ แต่มาวันนี้ท่านอ๋องปรากฏกาย ข้าน้อยในฐานะข้ารับใช้ย่อมต้องติดตามรับใช้ ..." หานอี้คุกเข่าลงกับพื้นเพื่ออธิบายเรื่องราวทั้งหมดที่ตนเองเจอมา หวังให้ท่านอ๋องให้อภัย แต่ก็ไม่อาจรู้ได้ว่าสีหน้าภายใต้ผ้าคลุมนั้นคิดอ่านสิ่งใด ท่านอ๋องมองมาเล็กน้อย..
"อย่าได้มากพิธีไปเลย ไม่มีตำหนักพยากรณ์อีกแล้ว หากเจ้าไม่ยินดีที่จะติดตามข้าก็ไปเถิด แต่หากเจ้าเลือกที่จะติดตามข้าว่าแน่นอนก็เป็นสิทธิ์ของเจ้า " จวิ้นเต๋อไม่ได้ให้ความสนใจกับหานอี้เท่าใดนัก เพราะคิดว่าเขามีหานหลี่และหานกู่ก็ยุ่งยากพอเเล้ว หากเพิ่มหานอี้เข้ามาอีก มีหวังเขาคงถูกห่อด้วยอาภรณ์เวลาไปไหนมาไหนอย่างแน่นอน
" คึกกก...." เสียงคำรามในลำคอของพยัคฆ์ตรงหน้ายังแว่วดังอยู่ ถึงมันจะรอดตายเมื่อครู่มาได้แต่ตอนนี้ชีวิตมันก็คงไม่สู้ตาย
"อย่าคิดว่าช่วยเหลือข้า แล้วข้าจะยินยอมติดตามเจ้า รับใช้เจ้าอย่าได้หวัง สังหารข้าเสียเถอะ " แน่นอนว่าหาดจะนับสายโลหิตกันแล้ว พยัคฆ์หยินเขี้ยวทมิฬนับว่ามีความสูงส่งมากกว่าเล็กน้อย เพราะเป็นธาตุพิเศษที่หายากอย่างธาตุมืดเเละเหมันต์ ซึ่งมันเป็นหนึ่งในตัวตนที่ไม่น่าจะเป็นไปได้
"หากข้าต้องการเช่นนั้น ข้าคงให้พวกเขาสังหารเจ้าเสีย และอีกอย่างข้าก็ไม่ได้เมตรตามากหรอก แต่สายพันธุ์เจ้ามันหายากในปมู่หายาก หากจะปล่อยให้ตกตาย พยัคฆ์หยินเขี้ยวทมิฬอาจไม่ปรากฏขึ้นมาอีกเลยก็ได้ และนั้นคือสิ่งที่ข้าไม่ชอบใจนัก " ใจจริงของจวิ้นเต๋อนั้น มีอิทธิพลความคิดอ่านของเต๋อครึ่งส่วน เพราะหากเปรียบเทียบสัตว์อสูรหายากใกล้สูญพันธุ์เต็มทนตรงหน้า ซึ่งมันอาจเป็นตัวตนสุดท้ายก็เป็นได้ แล้วไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะปรากฏมันขึ้นมาอีก
"ช่างอ่อนแอจริงๆ เจ้าเป็นผู้เเข็งแกร่งที่อ่อนเเอที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบ ถึงข้าจะไม่ค่อยได้พบใครก็เถอะ " พยัคฆ์หยินเขี้ยวทมิฬเย้ยหยันมนุษย์ตรงหน้าด้วยความรู้สึกสมเพช คนตรงหน้ามีโอกาสใช้ประโยชน์จากมันแต่เขากลับไม่ทำ แล้วเหตุผลบ้าๆเมื่อครู่มันคืออะไร จะเหลือตัวมันเพียงคนเดียวมันก็ไม่เห็นจะแปลกใจอะไรเลย เพร่ะปกติพยัคฆ์เป็นสัตว์เทพที่เเข็งแกร่งสามารถอยู่รอดได้ด้วยตนเอง จะลดตัวรวมกลุ่มให้สิ้นลายทำไมกัน
"ช่างเถอะ เจ้าก็ไปซะ อย่างน้อยเจ้าก็สามารถหลุดออกมาได้ ถึงจะเป็นเพราะความโลภของข้าก็เถอะ " ในมือของจวิ้นเต๋อมีลูกแก้วธาตุอัคคีอยู่มันมีประกายสีแดงเพลิง มันดูทรงพลังยิ่ง...
" เจ้า!!! ไปเอามันมาจากไหนหรือว่าเป็นเจ้า!!! " ตอนนี้สัตว์อสูรตรงหน้ายิ่งไม่พอมจมากขึ้นที่คนที่ปลดปล่อยมันก็เป็นคนที่ทำร้าย และไว้ชีวิตมัน มันยิ่งหงุดหงิดคล้ายกับกำลังถูกเล่นตลก แต่มันก็ไม่มีกำลังมากพอจะอาละวาด ถึงจะรอดตายจากเมื่อครู่แต่มันก็ไม่สามารถปกป้องตนเองได้ในตอนนี้ สัตว์อสูรพวกนั้นจะลุมดื่มกินโลหิตและเนื้อหนังของมันอย่างกระหายอย่างแน่นอน
ตูมมมมมมมม....... เเรงสั่นสะเทือนและเเรงระเบิดมหาศาลที่เกิดขึ้นในที่ที่ห่างไกล ภาพของเปลวควันที่พุ่งสูงเป็นภาพของภูเขาไฟที่มีหิมะปกคลุมระเบิดออก แต่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นนั้นทำเอาจวิ้นเต๋อต้องกุมขมับ ร่างวิหกสายพันธุ์ที่จัดได้ว่าเป็นหนึ่งในสัตว์เทพที่หายาก 'มยุราผลาญสุริยันต์' คงมีผู้ใดหยิบฉวยลูกแก้วธาตุเหมันต์ออกมาเป็นแน่ ร่างของสัตว์เทพนกยูงสีเพลิงขนาดใหญ่ที่ปรากฏตัวและโบยบินออกไป จวิ้นเต๋อหวังว่าจะมิได้พบเจอมันอีก. .
"เอางี้ข้าไม่ต้องการชีวิตเจ้า และข้าก็ไม่ประสงค์ที่จะบังคับเจ้า แต่ข้ามีที่ ที่หนึงที่ให้เจ้าพักฝื้นได้ชั่วคราว " พยัคฆ์ที่ก้มหัวรอความตายเงยหน้าขึ้นมาแววตาของมันคล้ายกำลังชั่งใจว่าคนผู้นี้
แต่ในตอนนั้นเองที่จวิ้นเต๋อตัดสินใจที่จะเปิดตำหนักสวรรค์ออกมา ซุ้มประตูที่คล้ายคลึงกับยุทธภัณฑ์มิติเดินทางระยะไกลถูกเปิดออก แม้แต่หานอี้ยังไม่อาจบอกได้ว่ามันคือสิ่งใด แต่ภายในของมันช่างงดงามอลังการจนตัวเขาต้องถอยห่าง
"เข้าไปซิ จะไม่มีผู้ใดหาเจ้าพบ และผู้ที่อยู่ด้านในล้วนเป็นสายโลหิตของข้า หากเจ้าต้องการตอบแทนก็เพียงปลดปล่อยพลังสายเลือดของเจ้าออกมาบ้างก็เท่านั้น " ความสมดุลนั้นเป็นสิ่งที่ต้องมีเสมอ ถึงจะบอกว่าสายเลือดของกิเลนสวรรค์เป็นสายพลังหยาง ในตำหนักสวรรค์มันก็อัดแน่นไว้ด้วยพลังพวกนี้เช่นกันเพราะเหตุนี้ทำให้สักวันมันต้องเกิดปัญหาตามมาอย่างแน่นอน และจวิ้นเต๋อก็มีความคิดดีๆ ด้วยระดับพลังที่มากขนาดนี้ของพยัคฆ์หยินเขี้ยวทมิฬ มันจะช่วยให้ตำหนักสวรรค์ของเขาสมดุลครบถ้วน และนี้คือเป้าหมายของเขาตั้งแต่คราแรกที่เห็นว่ามันคือสัตว์เทพธาตุใด เพราะหากเป็นสัตว์อสูรสายเลือดธรรมดาคงไม่อาจส่งเสริมหรือปรับสมดุลพลังของตัวเขาและเหล่ากิเลนเพลิงสวรรค์ได้
ร่างของพยัคฆ์หยินเขี้ยวทมิฬค่อนๆเคลื่อนตัวเข้าไปอย่างช้าๆ มันมองไปยังพื้นทึ่โดยรอบสถานที่เเห่งนี้มันอัดแน่นไปด้วยพลังงานของธรรมชาติแต่มันก็มีพลังหยางทีเข้มข้นมากจนตัวมันต้องปลดปล่อยพลังหยินออกมาต้านทานเล็กน้อย มันมุ่งหน้าไปที่ถ้ำอีกด้านของตำหนักหลังใหญ่ เพียงไม่นานบริเวณโดยรอบก็แปรเปลี่ยนเป็นสีขาวโพลนของหิมะ และน้ำเเข็งที่จับตัวจากไอน้ำของน้ำตก มีแรงสั่นสะเทือนในอากาศเล็กน้อย เสมือนว่าพลังที่ยิ่งใหญ่เข้าปะทะกัน แต่ผลดีของมันนั้นสามารถดูได้จากสัมผัสแห่งพฤกษา พวกมันต่างยินดีที่มีพลังสายเย็นเข้ามาลดทอนพลังความร้อน จวิ้นเต๋อมองภาพตรงหน้าอย่างพอใจ หากเป็นเช่นนี้เขาจะสามารถปลูกสมุนไพรที่ขึ้นในเขตหนาวมากๆได้เลยทีเดียว และที่พักของเขาก็สามารถปลูกสมุนไพร่ที่แฝงพลังของความร้อน
ตอนนี้ที่ลานของตำหนักมีซากสัตว์อสูรมากกว่าห้าร้อยตัว และมีเด็กน้อยสองคนที่ดูจะโตขึ้นมาเล็กน้อย หากนับจริงๆเด็กทั้งสองอยู่ที่นี้เพีนงหนึ่งเดือนของโลกภายนอก แต่หากนับภายในก็อยู่นับปีแล้ว ไม่มีคนดูแลนอกจากหานหลี่ที่ตอนนี้กำลังวุ้นอยู่กับการคัดแยก .
"องค์ชายทั้งสอง พวกท่านจะช้าเกินไปแล้ว หากยังช้าเช่นนี้พวกท่านคงไม่ได้เสวยอาหารเย็นหรอกนะ " จวิ้นเต๋อถอนหายใจออกมาอย่างเหนือยหน่าย หานหลี่ใช้งานสายเลือดของเขาอย่างหนักโดยเฉพาะฮ่องเต้น้อยที่มีสายพระเนตรที่สามารถสังหารคนสั่งการได้เลย เด็กหนุ่มนามว่าหานหลี่คงได้เวลาที่จะทะลวงระดับแล้วแต่เจ้าตัวขอพลัดไปอีกปีเพราะยังคิดว่าไม่โตพอ
"เจ้าอยู่ข้างในนี้ก่อนก็ได้นะ เหมยหิมะสามารถทำให้เจ้าต้านพิษของบุปผาเจ็ดราตรีวิบัติได้ " จวิ้นเต๋อหันมองข้ารับใช้เก่าแก่ที่พึ่งได้รับมา แน่นอนว่าจวิ้นเต๋อรู้ตั่งแต่เเรกแล้วว่า เหมยหิมะสามารถต้านพิษของบุปผาดังกล่าวได้ แต่จะมีสักคนที่รู้เรื่องนี้ เพราะบุปผาเจ็ดราตรีวิบัติไม่เคยปรากฏมาก่อน จนผู้คนคิดว่ามันเป็นเพียงข่าวลือ
เมื่อไม่อาจปฏิเสธได้ว่าหากออกไปคงไม่ช่วยอะไร อยู่รักษาตัวก่อนให้ตนเองสามารถต้านทานพิษได้ก่อนแล้วค่อยออกไปก็ยังไม่สาย และดูท่าที่นี้จะเป็น ที่ใช้เเรงงาน(เด็ก) ที่โหดร้ายที่สุดเลยทีเดียว ....
เมื่อท่านอ๋องแห่งตำหนักพยากรจัดการกับทุกอย่างเป็นที่เรียบร้อยก็ได้เวลาที่จะเดินทางต่อเเล้ว ตอนนี้คงบอกไดเลยว่าสัตว์เทพมีมากกว่าหนึ่งตัวอย่างแน่นอน และหากยังโลภมากดึงลูกแก้วธาตุออกมาอีกคงไม่จบง่ายๆแน่ แต่ไหนเลยเขาจะสนใจ เขาเพียงสนใจเหล่าสมุนไพรมากมาย และนักล่าที่เขาส่งออกไปอย่างหย่าหลินที่นางนับว่ามีความสามารถมากทีเดียว เพราะดูจากจำนวนสัตว์อสูรเมื่อครู่แล้ว
##$.....
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
อีก ก
กกกก
ขอบคุณครับผม
รออ่านต่อค่ะ
ขอบคุณมาก สนุกค่ะ
555
อย่างอินอ่ะ
หาสัตว์เข้าฟาร์ม เอาครบทุกธาตุเลยไหมนิ อ้ออย่างลืมหาพวกนางพยาผึ้งไว้ผวมพันธุ สมุนไหรที่เก็บมาละ
เทพทรูจริงๆ