...คนที่เราคิดว่าใช่กลับไม่ใช่...คนที่เราคิดว่าไม่ใช่กลับใช่...การพบกันของคนสองคนนั้นชะตามาลิขิตเหมือนที่ผู้คนเชื่อกันหรือไม่ เนื้อคู่ของเรานั้นอาจจะแค่เดินสวนกัน  ชนกันนิดหน่อย แล้วพูดได้แค่ว่า \"ขอโทษครับ...ขอโทษค่ะ\" ต่างคนต่างก็รีบเดินจ้ำอ้าวต่อไป หรือคนที่เพื่อนแนะนำให้เจอกัน ทั้งๆที่ไม่ใช่เนื้อคู่กลับคุยกันได้ มีความรู้สึกดีๆต่อกัน...ถ้าหากรู้ได้ว่าเนื้อคู่ของเราอยู่ที่ไหน เราจะดิ้นรนไปหาเลยหรือไม่ เนื้อคู่จริงๆแล้วอาจจะเข้ากันไม่ได้  ไม่ว่าชาติที่แล้วหรือชาติไหนๆ คงจะไม่มีใครเหมือนฉันแล้วแล้วล่ะ...เดินคุยกับเพื่อนสนุกสนานอยู่ดีๆ เขาคนนั้นเล่นวิ่งเข้ามาชนแล้วก็ขอให้แกล้งเป็นแฟน...ซะอย่างนั้น(ซะงั้นน่ะ)...แต่สุดท้ายก็เป็นเพียงแค่กลวิธีของการจีบสาวเท่านั้นแหละ...
\"นี่! มัวอ่านนิยายรักเกาหลีหวานแหวว น้ำเน่าเหม็น 7 วัน 8 วันอยู่นั่นแหละ\"  เสียงชายคนหนึ่งที่ฉันคุ้นหูทุกวัน...กำลังว่าฉันอีกแล้ว...
\"อะไรเล่า...ไม่ลองมาอ่านบ้างล่ะ สนุกจะตาย\"  ฉันก็ได้แต่เถียงเล็กๆพึมพำๆ แล้วทำขมวดคิ้วเหมือนทุกทีไป เป็นคู่รักคู่กันอย่างนี้ตลอด
\"มาช่วยกันล้างรถซะดีๆ...\"  เขาเดินเข้ามาฉุดแขนฉันให้ลุกขึ้นจากโซฟาสีครีมตัวนิ่ม
\"อ๊า  ม่ายยยยปายยยย ขี้เกียจจจจ\"  ฉันก็งี่เง่าตามประสา เพราะอยากให้คนหล่อตื้อนานๆ
\"เดี๋ยวหอมเลย!!!\"  เย้...มุขเนี่ยแหละที่รอคอย  จุ๊กกรู๊ *-* เขาพูดเสียงดัง กะว่าจะเล่นงานฉันได้แน่นอน
\"o_o คิดว่ากลัวหรือไง ไม่ใช่ตอนอยู่ม.ปลายนะจ๊ะ เอาสิ!! เอาสิๆ หอมเลยๆ\"  ฉันทำแก้มป่องๆ ยักไหล่ไปมา ล้อเลียนเป็นเด็ก
ทันใดนั้นเขาก็คว้าตัวฉันไปกอดไว้แล้วยิ้ม...รอยยิ้มที่ทำให้โลกสดใสนั่นแหละใช่เลย...\"ไม่กลัวหรอ\"  เขาพูดที่พลางจ้องตากันและโน้มหน้าลงมาหอมฉันฟอดใหญ่ แค่นี้ใจฉันก็ระทวยจนทำอะไรไม่ถูก และในที่สุดก็ต้องยอมให้ลากไปช่วยล้างรถได้จนสำเร็จ -*- เฮ้อ~ ก็เป็นอย่างนี้ทุกทีไป...
\"โย...ขอสายยางฉีดตรงนี้หน่อย\"  ฉันล้างด้านซ้ายของรถเสร็จแล้ว  เขาถือสายยางฉีดน้ำอยู่ด้านตรงข้าม
\"ได้เลยนิน!!\"  ด้วยความไวแสงที่ฉันไม่ทันระวังตัว เขาฉีดน้ำข้ามหลังคารถใส่ตัวฉันให้เปียกไปหมด แล้วก็ขำกลิ้งแบบหยุดไม่อยู่  ทั้งๆที่ฉันก็เจอเขาแกล้งแบบนี้ทุกครั้งที่ล้างรถ แต่ก็ดันลืมทุกครั้งเช่นกัน
\"อ๊า...โย  แกล้งกันทำไมเนี่ย!! เเน่ะ!! ยังจะขำอีกนะ ฮืมมม~ มานี่เลย อย่าหนีน้า\"  ฉันรีบวิ่งอ้อมรถไปหาเขาและพยายามแย่งสายยางฉีดน้ำมาให้ได้ และพอมันตกมาอยู่ในมือฉันแล้วก็ฉีด ฉีด ฉีด และฉีดน้ำให้เขาเปียกปอนไปทั้งตัวเช่นกัน  เหมือนลูกหมาตกน้ำเลย...ไม่รู้เหมือนกันว่ามันสนุกตรงไหนกับการที่จะต้องเปียกน้ำแล้วต้องไปเปลี่ยนชุดใหม่อีก ทั้งๆที่อาบน้ำแล้ว แต่มันแอบรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก...
        ...ฉันมารู้สึกตัวอีกที  ชีวิตของฉันตอนนี้มันเต็มร้อย ไม่มีช่องว่างใดๆ เขาเข้ามาช่วยทำให้พื้นที่ที่เหลือนั้นมีอะไรมากขึ้น มีสีสันและไม่เคยจางหายไปไหน เรื่องราวในอดีตที่ยังคุ้นตา เสียงที่ยังคุ้นหู ภาพชีวิตม.ปลายที่แสนสนุกและวุ่นวายยังคงเปี่ยมล้นอยู่ในเซลล์ความจำ ใครจะไปคิดว่าคนธรรมดาๆ(หน้าตา)อย่างฉัน จะมีใครมารักถึงขนาดนี้  อยากจะย้อนวันเวลาความทรงจำดีๆเหล่านั้น ให้มันเกิดเพื่อที่จะได้พบได้เจอะเจออีกครั้ง...เหตุการณ์ที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นวันๆหนึ่งที่ฉันประทับใจเมื่ออยู่กับ โย
...ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4...
“เอม!! อรุณสวัสดิ์”  ฉันทักทายเอมเหมือนปกติทุกเช้า  แต่ก็พบว่าเอมทำหน้าบูดบึ้งเหมือนได้ขับถ่ายมา 10 วัน
“......อืม......”  เอมเกยคางอยู่กับโต๊ะเรียน  คานรับด้วยน้ำเสียงหมดอาลัยตายอยาก
“เป็นอะไร ทะเลาะกับพี่มิ้นหรอ?”  เหมือนจุดพลุยิงไปจี้ใจดำยังไงยังงั้น  เอมก็สะดุ้งตัวขึ้น พูดเล่าเรื่องเป็นดอกไม้ไฟ
“ก็พี่มิ้นอ่ะ!! แฟนคลับเยอะซะไม่มี เล่นบาสเสร็จทีก็มีรุ่นน้องรุ่นพี่มาล้อมหน้าล้อมหลัง  ส่งผ้าส่งน้ำให้ตลอด รับมือพันกันเป็นระวิง วิ่งกรูกันเข้าไปแย่งกันทำยังกับ AF มาแจกลายเซ็น ฉันไม่เคยบุกเข้าไปทำแบบนั้นเลย แล้วไหนจะจดหมายในตู้ล็อคเกอร์อีก มีถึงล้านฉบับแน่ๆ เหมือนส่งมาชิงโชคตัวพี่มิ้นไป meet & greet โอ้โห แบกกลับบ้านกันไม่หวัดไม่ไหว  ฉันละเซงจริงๆเลย...เฮ้อ...”  แล้วเอมก็ฟุบหน้าลงกับโต๊ะตามเดิม  เหมือนไฟมันมอดพอดี
“โอ๋ๆ แค่เอมเป็นแฟนกับพี่มิ้นก็น่าจะดีใจจะแย่อยู่แล้วนะ คิดในแง่ดีเข้าไว้สิ”  ฉันไม่อยากเป็นศิราณีคอยปลอบใจแบบนี้ไปทั้งชาติหรอกนะ
“แหม  แล้วถ้าเกิดวันนึงพี่มิ้นเจอเด็กน่ารักกว่าฉันก็แย่ยิ่งกว่าน่ะสิ”  อืม...ไอ้เรื่องนี้ฉันก็พอเข้าใจอยู่...ก็คนมันมีแฟน หล่อ นี่นาเนอะ
“พี่มิ้นไม่ใช่คนแบบนี้หรอก  เหมือนโยไง  แต่ฉันคิดว่าเอมควรจะกลัวอย่างอื่นมากกว่า  อย่างเช่น  พอพี่มิ้นเรียนจบม.6 ไปต่อมหาวิทยาลัยก็ไม่ค่อยได้เจอกัน จริงไหม....ไม่แน่นะอาจจะมีผู้ชายมาจีบ  เปลี่ยนจากทอมไปเป็นผู้หญิงปกติแล้วล่ะก็...นี่สิน่ากลัวของแท้”
“หวา~ ....สยองสุดๆ  แล้วฉันจะทำยังไงดีล่ะ”  ดูเหมือนฉันจะยิ่งทำให้ใยเอมยิ่งเครียดเข้าไปใหญ่  ขอโทษทีนะ ฉันตบหัวเธอเบาๆ 2 ครั้ง  แต่เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
ไม่ใช่ฝันตัวจริงของฉันคือเธอ....
“ฮัลโหล  ว่าไงค่ะ คุณชาย”  ฉันรับโทรศัพท์จากโยพูดเชิงล้อเล่น  เขาก็หัวเราะ ฮึ ฮึ ก่อนตอบกลับมา
“เย็นนี้ไปงานกาชาดกันป่าว”
“เอ๋!! งานกาชาด?”  งงค่ะ  อยู่ดีๆก็ชวนไปงานกาชาดซึ่งไปอยู่ทุกปี  แล้วก็เบื่อมากๆเลย  เพราะคุณพ่อมักจะได้บัตรสอยดาวฟรีมาจากที่ทำงาน  แล้วยังไม่พอของรางวัลที่ได้  ไม่เคยได้รางวัลใหญ่ๆ  ดวงไม่ดี  ส่วนใหญ่ก็จะเป็นปลากระป๋อง  ข้าวสาร น้ำปลา เครื่องดื่มชูกำลัง  รู้สึกว่าจะเป็นอาหารแห้งที่ไว้ประทังชีวิตตอนเกิดสงคราม  ยิ่งไปกว่านั้นยังมี  มาม่ากับกระติกน้ำ  เยี่ยมไปเลยค่ะ!!
“อืม!!ก็อยากไปนิ  ไปหาของกิน”  แหม...นึกว่าจะไปจับสลากซะอีก -*-
“อ้อ...เอ้อ!! ไม่น่าตกใจเลย  ลืมไปๆ ว่าอย่างโยเนี่ย  ต้องไปของกินแน่ๆนอนๆ  อืม...ไปสิไปกัน”  ฉันตอบตกลงกับโยและรอเวลาจนกว่าจะเลิกเรียนเย็นวันนี้...
......เลิกเรียน......
“นิน!! โอ้โห แถวโรงเรียนนะรถติดมากเลย”  โยคว้ากระเป๋าของฉันไปถือรวมกับของเขา  มันก็ไม่ได้หนักมาก  ฉันถือเองก็ได้  แต่ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษก็ต้องถือให้...ตามใจเขาเถอะ...
“แล้วโยยังจะไปอยู่หรือป่าวล่ะ”  ฉันถามเขาถ้วนความแน่ใจ
“ต้องไปกับนินให้ได้”  โยทำหน้าจริงจัง  กำมือแน่นขึ้นลงแบบโดฟชนะเลิศ
“เอ๊ะ...ทำไมต้องเป็นอย่างนั้นด้วยล่ะ”  ฉันทำหน้างง
“คงจะเป็นเพราะว่า  ปีที่แล้วไปกับครอบครัว  ปีนี้เลยอยากไปกับแฟนน่ะสิ”  โยทำตามีประกายแพรวพราว  สงสัยปีที่แล้วพี่แยมพาพี่เอ็มไปด้วยรักกันกระหนุงกระหนิงเกินหน้าเกินตาคงอิจฉาล่ะสิท่า....ผิดปกติไหมค่ะท่านผู้อ่าน  ส่วนมากฉันเองที่จะเป็นคนกระดี๊กระด๊าอยากไปแล้วมาชวนโยให้ไปด้วยกัน
“อ้าวแล้วจะไปกันแค่สองคนเองน่ะหรอ”  ฉันถามเขายังไม่ทันจะขาดคำดีนัก  วินาทีนั้นมีเสียงชายคนหนึ่งแว่วขึ้นมาเหมือนเสียงจากนรกชั้นที่เท่าไรไม่ทราบแน่ชัด  ที่จะมาทำให้การสวีทในครั้งนี้ของเราต้องล่มสลาย(เว่อร์เกินเหตุแหละ  มีคนโผล่มาขัดจังหวะ เป็นกางขว้างคอหน่อย ทำจะเป็นจะตายเชียวนะย่ะ)
“พวกเราก็ไปด้วยนะครับ  น้องนิน”    โอ้มายกอด...มากันทั้งเซตเลยครับพี่  ไม่ว่าจะเป็นชายเติ้ลควงแขนคู่มากับเจ๊หยก  หนุ่มชินที่บัดนี้ยังคงความหล่อแบบเนียนๆจับมือประสานคุณน้ำปูนสาวไฮโซแห่งวงการแฟนจำเป็น 
คู่สุดท้ายไทด์ผู้นี้ถึงแม้ว่านานออกทีแต่ก็มีคนให้ความสนใจอยู่บ้าง  เดินมากับแฟนที่ไม่มีผู้ใดตั้งชื่อให้ -*- เอ๊ะ ยังไง  (เอาเถอะๆ  มาคิดเอาตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์แล้วล่ะนะ)
“อ๋อ  หรอค่ะ แฮะๆ”  หัวเราะกลบเกลื่อนเลยเรา  ไรว้า...
“แบบนี้นั่งแท็กซี่ไปกันหมดรึป่าว”  คุณน้ำปูนเธอกล่าวอย่างนุ่มนวลพร้อมสายตาพริ้งๆ  ออร่าสีชมพูงดงามอยู่ด้านหลัง  มีนางฟ้าตัวจิ๋วคอยโปรยดอกไม้เป็นระยะๆ  โอ้  เธอช่างสวยอะไรเช่นนี้...
“หมดๆ  ไม่หมดก็จะให้หมด”  โยตอบ  และแล้วเติ้ลก็โบกแท็กซี่เลือกคันที่มีขนาดกว้างพอสมควร  เอาล่ะว้า ใครแฟนใครก็นั่งตักแฟนตัวเองไปแล้วกัน  รู้สึกตื่นเต้นเหมือนฉันไหมค่ะ  ทุกคน *-*
...เมื่อถึงงานกาชาด...
“พระเจ้า”  เจ๊หยกอุทานออกมาหลังจากลงมาจากรถแล้ว  “ใครหน้าไหนมันบอกให้นั่งมาคันเดียวฟร่ะ  อัดกันแทบตาย”  แหม.....เจ๊หยกจ๋าระวังเวลาพูดหน่อยก็ดี  เดี๋ยวเครื่องสำอางจะหลุดออกซะหมด  ท่าทางจะโมโหจัด  ก็ใครล่ะที่พูด  โยไง  เอิ๊ก  *-* 
“เอ้าๆ  ไปซื้อบัตรเข้างานก่อนเถอะ”  ชิน  มาดเจ้าชายเต็มที่ค่ะขอบอก  หลังจากนั้นเราทั้งหมด 8 ชีวิตได้ฝ่าคนเข้าสู่งานกาชาดได้สำเร็จ  โชคดีที่เกิดมาไม่เตี้ยมาก  ค่อยได้สูดอากาศหายใจด้านบนกับเค้าบ้าง
“นี่ๆ  ไปสอยดาวกันเถอะ”  แฟนของไทด์ซึ่งไม่มีชื่อคนนี้กล่าวขึ้นอย่างสดใส  ไทด์เหมือนถูกฉุดกระชากวิ่งเข้าซุ้มของมหาวิทยาลัยหนึ่งไปอย่างรวดเร็ว พวกเราจึงเดินตามไปด้วย
“นิน....”    เสียงโยเรียกจากด้านหลังที่เดินตามกันมาติดๆ
“อะไรหรอ”  ฉันไม่สามารถจะหันไปตอบได้มากนักเพราะต้องเดินดูทางด้วย  คนที่หลั่งไหลเดินสวนกันไปมา  ต่างก็ต้องการความสะดวก
“จับมือโยไว้ด้วยสิ  เดี๋ยวหลงกันนะ”   
“อือ...”  โยพูดกับฉันแบบนี้พร้อมทั้งคว้ามือของฉันไปจับไว้แน่น  ทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่นหายจากการตื่นเต้นกับผู้คน  แต่มาตื่นเต้นตรงที่โยจับมือฉันแทน *-* เฮ้อ...ชื่นใจ  จะมีใครมาพูดกับฉันแบบนี้อีกไหมน้า  นอกจากพ่อกับแม่ฉันที่ตอนเด็กๆจูงมือทุกครั้ง  มือด้านๆใหญ่ๆแถมเวลาเขินก็เหงื่อออกมันทำให้ฉันรู้สึกดีได้ถึงขนานี้เชียว
“แล้วระวังกระเป๋าด้วยล่ะ  โยเบียดตัวไปกันข้างๆให้ดีกว่า” 
“ไม่เป็นไรๆ  เดินให้สบายเถอะ”  โยพยายามจะมากั้นฉันให้พ้นจากคนอื่นแต่จะยิ่งทำให้มันเบียดมากขึ้น  ฉันจึงบอกเช่นนั้น  แล้วอีกอย่างโยก็ต้องเบียดกับคนอื่นแทน  ไม่เห็นดีเลย  - -  ยิ่งเป็นสาวๆยิ่งไม่ดีใหญ่  - -
พวกเราซื้อบัตรสอยดาวและได้รางวัลกันมาคนละนิดคนละหน่อย  และแวะดูโชว์สุนัขตำรวจ  ด้วยความที่ว่าคุณน้ำปูนสาวสวยของเรานั้นกลัวสุนัขก็ไม่ยอมเข้าไปใกล้โดยเด็ดขาด  ชินสั่งให้เธอหลบอยู่ด้านหลังเขาและบอกกับเธอว่า  “ฉันจะปกป้องเธอเอง”  อาจจะทำให้เพื่อนๆคนอื่นอ้วกอาเจียนเพราะความเน่า  แต่ดิฉันซึ้งค่ะ  ฮือๆๆ กินใจจริงๆ  *-*
...เวลา  20.15 น. ... บริเวณโต๊ะรับประทานอาหาร
“โอ้ย  เมื่อยขาไปหมดแล้วอ่า  แต่ยังไม่ได้เข้าไปดูชุดว่ายน้ำเลย”  เจ๊หยกปากแกก็บ่นแต่ใจแกอยู่กับการช้อปปิ้ง ส่วนเติ้ลก็นั่งดูดโออิชิอย่างชื่นใจ  ไม่แบ่งใครเลย  คุณน้ำปูนซับหน้าด้วยผ้าเช็ดหน้าสีชมพูอ่อนพร้อมทั้งชินที่ทำท่าจะเป็นลมอยู่ข้างๆ  โธ่...ก็เจ้าชายเค้าไม่เคยเดินอะไรทุลักทุเลขนาดนี้นี่น่า  ฉันกับโยก็ได้แต่จ้องหน้ากันแล้วส่งกระแสจิตสื่อไปว่า  เหนื่อยแล้ว  หิวด้วย  อยากกลับบ้าน  และดูเหมือนโยจะส่งกลับมาว่า เหมือนกัน
“ไปแลกคูปองซื้ออะไรกินกันเถอะ  ชิน  เอาไร  เดี๋ยวซื้อมาให้”  โยลุกขึ้นและพาฉันไปด้วย  ชินที่เอาแต่ส่ายหน้าเพราะไม่รู้จะกินอะไร  มันมึนไปหมดแล้ว  จึงคิดว่าซื้อน้ำมาให้ก่อนก็พอ  เดินไปเจออาหารมากมาย  โยเริ่มอยากกินทุกอย่างด้วยความหิว 
“นิน  กินส้มตำไหม”  โยชี้ไปที่ร้านอาหารอีสานเสริมแบบยกครก  ป้าแกกำลังตำอย่างเมามัน  มือเป็นระวิงลูกค้ารอกันอยู่เยอะเหมือนโฆษณาในทีวี  ...โปรดจงรู้ว่ามี  อยู่ตรงนี้อีกคน...
“ไม่กิน  คนเพียบเลย  ไม่รู้ว่าจะเป็นคิวที่เท่าไร  เอาง่ายๆดีกว่า  ข้าวมันไก่แล้วกัน” 
“โหย  สิ้นคิดสุดๆ  กินราดหน้าไหมล่ะ”  โยทำหน้าแบบเอือมระอาเพื่อแกล้งฉัน  แล้วพูดเมนูที่น่าเอือมเช่นกัน
“อะไร  ตัวเองก็สิ้นคิดเหมือนกันแหละ”    ฉันก็ไม่ได้ยอมแพ้  พยายามทำหน้าล้อเลียน  แต่ก็โดนหยิกแก้มไปทีนึง  โอ้ย...เดี๋ยวแก้มช้ำ  ไม่มีให้หอมนะเฟ้ย  -*-  ฉันกับโยซื้อข้าวไปนั่งกินที่โต๊ะและคนอื่นๆก็ค่อยๆทยอยกันเดินออกไปซื้อบ้าง  ฉันกับโยตกลงว่า  ถ้ากินข้าวเสร็จแล้วจะกลับบ้านเลย  ไม่รอใครทั้งสิ้นแล้ว (ไอ้คู่นี้ชอบไม่รอเพื่อนเสมอ  กลับก่อนทุกที)
“เฮ้ย...งั้นกลับก่อนนะเว้ย  พรุ่งนี้ค่อยเจอกัน”  โยบอกกับเพื่อนๆทุกคน  ฉันโบกมือบายบายอยู่ข้างๆ
“บายบายจ้า  แล้วเจอกันใหม่นะน้องนิน”  ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกัน โยจับมือฉันพาออกจากงานและกว่าจะได้รถกลับนั้นช่างแสนลำบากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร  ต้องเดินไปให้พ้นรถติดเสียก่อนถึงจะมีรถกลับบ้านได้  ส่วนโยนั้นพาฉันไปส่งที่บ้านก่อนแล้วค่อยนั่งรถเมล์กลับบ้านตัวเอง
...บนรถแท็กซี่...
“เหนื่อยไหมนิน”  โยถามฉันแต่น้ำเสียงตนเองนั้นอ่อนล้าเต็มทน 
“เหนื่อยแต่ก็สนุกนะ”  ฉันนั่งโดยที่ศีรษะพิงกระจกประตูรถ  โยหันหน้ามาทางฉันและเอื้อมมือผ่านหน้าฉันไปทำให้ฉันสะดุ้งตกใจนิดหน่อย  “เอ๊ะ...มีอะไรหรอ”
“เอาหัวมาพิงโยไว้  กระจกรถมันสั่นเดี๋ยวปวดหัว”  โยแตะแก้มฉันเบาๆให้เลื่อนมาที่ไหล่ของเขา  อ่า...สบายจังเลย  อ่ะนั่นแน่  กำลังอิจฉาฉันอยู่ใช่ไหมล่ะทุกคน (ไม่ต้องเยอะเย้ยเลย  ฉันล่ะมั่นไส้เธอที่สุด)  เอ้อ! แต่งเองหมั่นไส้เอง  ยังไงกัน -*- 
“ใกล้ถึงแล้วล่ะนะ”  ฉันบอกกับโยซึ่งตอนนี้หลับคร่อกฟี้ไปแล้ว  อ้าว...ไงเป็นงั้นไป คนแต่งใจร้าย - - (555  สมน้ำหน้า)  แต่พอโยได้ยินเสียงฉันก็รู้สึกตัวและเตรียมเงินค่าแท็กซี่ (จริงๆแล้วกะจะปลุกให้จ่ายล่ะสิท่า รู้ทันนะ)  อ้าว...ก็ใช่นะสิ  เอ้ย...มันเป็นหน้าที่ของสุภาพบุรุษ  เข้าใจไหม  -*- 
“เอ้า  เข้าบ้านไปได้แล้ว”  โยผลักตัวฉันเบาๆแล้วปัดมือไล่ด้วย  อือ....ไม่ไปง่ายๆหรอก อิอิ  *-*
“ไม่ไป....”  ฉันดื้อดึง  ยืนตัวนิ่ง  ทำหน้ากวนๆใส่เขาเหมือนกัน
“ไม่ไปหรอ  จะให้ทำไร  จูบไหม?”    โยเร่งฝีเท้าเข้ามา  ฉันก็สกรูถอยอย่างรวดเร็ว  เล่นมุขนี้หน่อยไม่ได้เลยนะ (แหม  ชอบจังคนแบบนี้  รักจริงเล่นแรง)  ฉันพึ่งรู้นะเนี่ยว่าเธอเป็นคนซาดิสต์
“ง่ะ.....หยุดนะ  เข้าบ้านก็ได้  โหยๆๆๆ”    ฉันรีบวิ่งไปที่ประตูบ้าน ก่อนจะเข้าก็ยิ้มให้เขาแล้วสะบัดก้นเปิดเข้าไปเลย  โยเดินออกไปจนลับสายตา  ฉันมองเขาจากทางหน้าต่าง เขาจะอยู่กับฉันไปอีกนานเท่าไรกันนะ....
            ...คนๆหนึ่งที่ทำให้ฉันคิดถึงได้ตลอดเวลา  คนๆหนึ่งที่ทำให้ฉันเป็นห่วงตลอดเวลา  และคนๆหนึ่งที่ทำให้ฉันกังวลใจตลอดเวลา  จะเรียกว่าความสุขหรือความทุกข์กันแน่  มันเป็นความรักที่มีหลายความรู้สึกปะปนกันไป จนถึงวันนี้ฉันยังไม่แน่ใจว่ามีเขามาอยู่เคียงข้างแล้ว  แค่พิธีรีตองไม่มากมายและกระดาษใบๆหนึ่งทำให้ฉันได้หัวใจเขามาทั้งหมดแล้วจริงหรือ  ฉันต้องอย่างไรที่จะทำให้เขารักฉันเท่าเดิมเท่าที่ผ่านมา  ถ้าฉันไม่ทำแล้วอะไรจะเกิดขึ้น  ความรักของเราจะเริ่มจากศูนย์จึงกลายเป็นร้อย  หรือ  เริ่มจากร้อยแล้วกลายเป็นศูนย์ ....
“นิน  เย็นนี้มีชุดหรือยัง?”  ชายคนหนึ่งเสียงแบบนี้ที่ได้ยินในตอนเช้าของวันธรรมดาและตอนเย็นเมื่อเขากลับมาไม่ว่าจะฟังซักกี่ครั้งมันทำให้รู้สึกอุ่นใจ  ว่ามีคนๆหนึ่งปกป้องเราอยู่  ดูแลเราอยู่
“มีแล้ว  งั้นเดี๋ยวโยแต่งตัวรอเลยไหมล่ะ  เพราะนินต้องไปทำผมอีก”  ฉันจัดแจงหยิบเสื้อเชิ้ตสีแดงไวน์และกางเกงขายาวสีดำออกมาจากตู้  วางไว้บนเตียงให้กับเขาที่กำลังล้างฟองครีมโกนหนวดออก
“อะไร  กลัวไม่สวยเท่าเพื่อนเหรอ”  เขาหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กๆข้างๆอ่างล่างหน้าเช็ดหน้าและเดินเข้ามาหาฉันที่กำลังวุ่นอยู่กับการหาถุงเท้าสีดำให้เข้าคู่กัน
“ป่าวสักหน่อย  กลัวโยจะอายมากกว่าว่ามีภรรยาไม่สวย”  ฉันพูดเชิงหยอกนิดหน่อย
“นิน...ใครจะมาว่านินได้  โยเลือกของโยแบบนี้  ใครจะทำไม”  โยสวมกอดฉันจากด้านหลังและเกยคางไว้กับไหล่ของฉัน  หอมแก้มซักหนึ่งครั้ง
“บ้า...ล้อเล่นหรอกน้า”  ฉันหมุนตัวถอนออกจากโอบกอดนั้น  เพื่อที่จะรีบไปจัดวางชุดให้เรียนร้อยและไปทำผมให้เสร็จทันเวลางานสมรสของเจษฎาและวีรนัฐ  หรือ  เจตี๋หน้าจืดกับอาจารย์แม็ก  ที่ฉันก็ได้รับฟังจากเจมาบ้างว่าเจอกันได้อย่างไร  ทำไมถึงชอบกันได้  ฉันนั่งคิดไปตลอดทางที่รถกำลังแล่นว่าเมื่อในอดีตนั้นเราเคยทำให้เขาเจ็บช้ำน้ำใจไว้แต่มันเป็นสิ่งที่ผ่านไปนานแล้ว  แล้วเขาก็กำลังจะมีความสุขในวันนี้กับผู้หญิงที่เขารักที่สุด  ฉันดีใจแทนเขาที่ได้คนดีๆมาอยู่ด้วยกัน...
“โย...”  ฉันหันไปหาเขา  ตอนนี้รถกำลังติดไฟแดงอยู่ที่สี่แยก  อีกไม่กี่เลี้ยวก็จะถึงโรงแรมที่จัดงาน
“ฮือ?”  และเขาก็หันมาหาฉันเช่นกัน ดูเขายังเหมือนเดิม แววตาที่ส่งให้เหมือนเมื่อตอนม.ปลายนั้นยังเหมือนเดิม
“นินรักโยนะ”  ฉันบอกรักเขาเป็นครั้งที่เท่าไรฉันเองก็จำไม่ได้    ในรอบ 1 ปีที่แต่งงานอยู่รวมกันมา 
“โยก็รักนินครับ”  เขาจับมือของฉันไปหอม  และกุมอยู่เช่นนั้นพร้อมทั้งขับรถไปด้วย  ฉันมองไปที่ขอบฟ้าด้านหน้า  ใครกันนะจะรู้ว่าฉันกับเขาจะได้แต่งงานกัน  และอยู่กันอย่างมีความสุขขนาดนี้...
TanPoPo say
ว้าว สำเร็จจนได้ นั่งแต่งตาแฉะเลย ก็ไม่มีอะไรมาค่ะ  แค่ยังอยากแต่งเรื่องนินโยอยู่  แต่เรื่องอื่นก็มีแต่ยังไม่ได้เอามาลง คิดว่าเร็วๆนี้ล่ะค่ะ
ขอบคุณคนที่ยังติดตามอยู่และแวะเข้ามาอ่านอยู่เรื่อยๆ ยังไงก็ขอฝากไว้อีกตอนหนึ่งนะคะ แล้วก็เรื่องอื่นด้วย แฮะๆ *-*
สุดท้ายแล้ว  ช่วยคอมเม้นความรู้สึกหลังอ่านด้วยนะคะ  อยากรู้ค่ะ  เพราะแต่งเองยังซึ้งเอง โฮะๆ  (ชมตัวเองจนได้)
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น