ตอนที่ 3 : บทที่ 3 เริ่มตอบโต้
บทที่ 3
เริ่มตอบโต้
หลังจากที่เกิดใหม่ ความรู้สึกที่หลิงเซียวมีต่อการกลับมามีชีวิตครั้งนี้มีแต่ความยินดีปรีดา ในทางกลับกันความประหลาดใจที่ควรมีก็นับว่าน้อยนัก
ท่ามกลางความประหลาดใจนั้นส่วนใหญ่คงเป็นความโศกเศร้าและโทสะเสียมากกว่า
ถูกหักหลังจากหญิงสาวที่เฝ้าปกป้องมานับสิบปี ความรู้สึกนี้ไม่อาจบรรยายให้ชัดเจนได้ในสองสามคำ
เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะกลับมามีชีวิตอีกครั้งแล้วจะยังทนให้โม่ฉีหลอกใช้อยู่อีก
กระนั้นช่วงเวลาการเกิดใหม่ของเขาไม่ค่อยเหมาะนัก เพราะเป็นช่วงที่เข้าวังมาแล้ว เลยไม่มีทางหนีทีไล่อื่นให้เขาได้เลือก
ยิ่งกว่านั้นเขาไม่เต็มใจจากไปเช่นนี้ ด้วยเคยได้รับความทุกข์ทรมานมามากมาย กระทั่งชีวิตยังต้องดับสูญไป แล้วจะจากไปง่ายๆ แบบนี้ได้อย่างไร!
แต่ว่าโม่ฉีอาศัยฐานะซิ่วหนี่ว์เบิกทางเข้ามาในวังหลวงนี้แล้ว หากเขาจำไม่ผิดมีผู้คนจำนวนมากที่หลานเว่ยจะทยอยจัดเตรียมไว้ให้นางอย่างลับๆ ส่วนตัวเขาตอนนี้เขารู้ดีว่าตนได้ตัดสินใจผิดพลาดไปเสียแล้ว เป็นเพียงชายที่ไร้ตัวตนในวังหลัง ชายที่อาจถูกประหารเมื่อไรก็ได้ แม้ต้องการแก้แค้นนางเพียงใด แต่ในตอนนี้ยังไม่มีวิธีที่ดีพอ
สิ่งสำคัญคือเขาต้องยืนหยัดรักษาชีวิตของตนไว้ แล้วค่อยคิดอ่านทำการอื่น
กล่าวได้ว่าบางคราหลิงเซียวสงบจนน่ากลัว ทั้งที่ในใจอาฆาตโม่ฉีจนเจียนอดใจไม่ไหวอยากบีบคอนางให้ตายไปเสียเดี๋ยวนั้น ทว่าเขาก็สามารถประเมินสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว แล้วเลือกทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองมากที่สุด
เดิมทีพื้นฐานเขาเป็นคนเฉลียวฉลาด เพียงแต่ก่อนหน้านี้ตกอยู่ใต้อำนาจหญิงสาวคนหนึ่ง
ยามนี้เมื่อฟื้นขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ หากมีใครคิดร้ายต่อเขาอีก บอกเลยว่าไม่ง่ายอีกแล้ว!
หลินมามาจัดสรรตำแหน่งให้เขาได้อยู่ใกล้ชิดกับโม่ฉีเช่นเดียวกับชาติที่แล้วคือขันทีชั้นผู้น้อยซึ่งเป็นขั้นต่ำสุดในวังหลวง
เป็นคนปลายแถวที่ทุกคนในวังหลวงล้วนสามารถบดขยี้ตายได้ตามใจชอบ
แรกเริ่มเดิมทีเป้าหมายหลักของเขาคือติดตามดูแลคุ้มครองโม่ฉี การจัดสรรเช่นนี้จึงถือได้ว่าน่าพอใจมาก แต่เวลานี้เขาไม่ได้ทำเพื่อนางอีกต่อไป
การจัดการของหลินมามาจึงทำให้เขาไม่สบอารมณ์อย่างถึงที่สุด ทว่าเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น
โม่ฉีที่แยกจากพวกเขาไปประมาณชั่วก้านธูปก็กลับมาถึง ดูเหมือนว่านางจะโกรธหลิงเซียวมาก ดังนั้นจึงปรายตามองเขาเพียงแวบเดียว ก่อนรีบเข้าไปในห้อง
หลิงเซียวจ้องมองเงาร่างของนางพลางหัวเราะเยาะ หากเป็นเมื่อก่อนเขาต้องปรี่เข้าไปปลอบใจนางแล้ว กลับกันยามนี้เขาหลงเหลือเพียงความดูแคลน โม่ฉีที่สูญเสียความรักจากเขาจนหมดสิ้นแล้ว ยังสามารถเอาแต่ใจตนเองต่อหน้าเขาได้อีกหรือ
เพ้อเจ้อ!
หลิงเซียวหันหลังกลับ
เขานึกบางเรื่องขึ้นมาได้
ในหมู่คนจำนวนมากที่หลานเว่ยจะซื้อตัวไว้คอยช่วยเหลือโม่ฉี คนเหล่านี้เขารู้จักดีอยู่หลายคน!
ทว่าตอนนี้โม่ฉีเพิ่งเข้ามาในวัง หลานเว่ยเองก็เพิ่งฉุกคิดว่าควรจัดคนของตนไว้ในวัง ขณะนี้คนที่เขาสามารถใช้สอยได้จึงมีไม่มาก แต่ก็ยังนับว่าพอมีอยู่บ้าง ชาติที่แล้วหลิงเซียวช่วยโม่ฉีทำสิ่งต่างๆ มากมาย หนึ่งในนั้นคือการติดต่อกับหลานเว่ย หลิงเซียวยังจดจำเกี่ยวกับรูปร่าง หน้าตา ชื่อ ตำแหน่ง และที่อยู่ของขันทีน้อยที่ติดต่อด้วยได้อย่างชัดเจน!
หากคิดจะลงมือกับโม่ฉี ไยไม่ฉวยโอกาสตอนที่นางยังมีเพียงหลานเว่ยคอยปกป้องล่ะ
ควรรู้ว่าชาติก่อนหลังจากเข้าวังมาแล้ว ราวกับโม่ฉีมีเวทมนตร์บางอย่างซึ่งแทบจะดึงดูดความสนใจของทุกคน คอยประจบทุกคนให้ปกป้องผลักดันนางสู่จุดสูงสุดของชีวิต
แน่นอนว่าการปกป้องดูแลจากทุกคนนี้มีเขารวมอยู่ด้วยส่วนหนึ่ง
คล้ายกับว่าโม่ฉีมีรัศมีที่โดดเด่นและมีดัชนีทองคำ[1]
ตำหนักฉู่ซิ่วไม่ได้เข้มงวดเหมือนตำหนักอื่นในวังหลัง เมื่อเทียบกันแล้วสามารถจัดคนแฝงเข้ามาได้ง่ายกว่า หลิงเซียวครุ่นคิดอย่างละเอียดถึงตำแหน่งของขันทีน้อยที่หลานเว่ยซื้อตัวไว้จนกระทั่งเดินมาถึงห้องเครื่องของตำหนักฉู่ซิ่ว
ในโลกนี้ตำหนักฉู่ซิ่วมีห้องเครื่องเล็กๆ เป็นเอกเทศ
หลานเว่ยบุตรชายอัครเสนาบดีแห่งราชวงศ์มู่ โดยเนื้อแท้แล้วเป็นคนซื่อและเปิดเผย ก่อนได้พบกับโม่ฉีเขาไม่เคยนึกเลยว่าจะต้องวางหูตาเอาไว้ในวังหลังนี้ ในช่วงแรกที่โม่ฉีเพิ่งเข้าวัง จุดประสงค์ดั้งเดิมก็คือต้องการคนเป็นหูเป็นตาไว้คอยดูแลอำนวยความสะดวกให้โม่ฉี ครั้นต้องดูแลโม่ฉีซึ่งรักการกิน การแสดงฝีมืออย่างดีที่สุดของหลานเว่ยก็คือห้องเครื่องเล็กๆ นี้
ด้านในมีขันทีน้อยผู้หนึ่งเหมือนกับที่หลิงเซียวคาดเอาไว้ไม่ผิด
หลิงเซียวจำได้ว่าขันทีน้อยผู้นี้ชื่อหลี่หยวนเป็นเจ้าหนูที่โลภมาก เห็นแก่ทรัพย์สินเงินทอง ชาติที่แล้วเพื่อจะให้ฝ่ายนั้นทำงานบางอย่างให้โม่ฉี หากเขาไม่ให้เงินทองของมีค่า แม้แต่หางตาอีกฝ่ายก็ไม่เหลียวแล
ทีแรกมีเพียงขันทีน้อยคนนี้เท่านั้นที่หลานเว่ยพอจะควบคุมได้ ส่วนหลินมามาเป็นคนของจวนอัครเสนาบดีจึงฟังแต่คำสั่งของอัครเสนาบดี ไม่ใช่หลานเว่ย
เขาเพิ่งมาถึงห้องเครื่องเล็ก หลี่หยวนก็ถือกล่องอาหารสวนออกมา หลิงเซียวกะพริบตาปริบๆ หันหลังติดตามไปโดยไม่เผยร่องรอย
ขันทีน้อยเดินเลี้ยวลัดเลาะออกจากตำหนักฉู่ซิ่ว ยิ่งเดินยิ่งลับๆ ล่อๆ หลิงเซียวคอยจับตามองและเร่งติดตามไป
ในที่สุดขันทีน้อยก็หยุดลงหลังภูเขาจำลองแห่งหนึ่ง ก่อนเหลียวมองไปรอบๆ ทำให้หลิงเซียวต้องรีบซ่อนตัวทันที
ขันทีน้อยมองไม่เห็นใครจึงแอบเปิดกล่องอาหารออก ในกล่องอาหารมีนกพิราบขาวตัวโตอยู่ตัวหนึ่ง หลิงเซียวจับจ้องเขม็ง
โชคดีอะไรอย่างนี้ แค่นี้ก็เจอขันทีน้อยส่งสารแล้ว
นี่ไม่ใช่เผยจุดอ่อนให้จับได้ง่ายๆ หรือไร!
ครั้นคิดเช่นนั้นก็ชวนให้หลิงเซียวอยากเดินออกไป แต่จู่ๆ เหมือนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้จึงหยุดนั่งยอง
ไม่ได้ ถ้าออกไปตอนนี้นกพิราบยังไม่ใช่หลักฐานที่เพียงพอ ขันทีน้อยคือคนของห้องเครื่อง หากอีกฝ่ายบอกว่าเพียงแค่จับนกพิราบมาทำน้ำแกง แทนที่จะป้ายความผิดให้ได้ จะกลายเป็นเสียแรงเปล่า
หลิงเซียวที่ซ่อนตัวอยู่อีกด้านหนึ่งของภูเขาจำลองเม้มปาก ค่อยๆ ย่องเข้าใกล้ขันทีน้อยเงียบๆ
มือหนึ่งของขันทีน้อยจับนกพิราบขาวไว้ อีกมือหยิบสารออกมาจากเอว กำลังจะผูกมันไว้กับเท้าของนกพิราบ นี่คือช่วงเวลาที่หลิงเซียวเฝ้ารอ เขาพลันพุ่งตัวออกมาคว้าเอาสารจากขันทีน้อยมา และมองฝ่ายนั้นอย่างเป็นต่อ
ขันทีน้อยตกใจร้องออกมา ถอยหลังกรูดไปชนภูเขาจำลอง นกพิราบร่วงลงบนพื้น มันกระโดดตีปีกเล็กน้อยแล้วบินจากไป
“จะ...จะ จะ เจ้า...เจ้าทำอันใด”
หลิงเซียวแสยะยิ้มร้ายกาจ มองดูสารในมือ “ข้ามากกว่าที่ต้องถามกงกง”
เขาเปิดสาร กวาดตาดูเนื้อหาคร่าวๆ ส่งสายตาท้าทายไปยังขันทีน้อย กระแอม ก่อนอ่านออกมา “คุณชายน้อยหลานเว่ย ข้าโม่ซิ่วหนี่ว์สบายดี ไม่ต้องกังวล!
“เหอะ...กงกง ท่านกำลังช่วยซิ่วหนี่ว์ลักลอบติดต่อเรื่องชู้สาวหรือ”
“จะ จะ เจ้า...เหลวไหล!” ขันทีน้อยกรีดนิ้วดอกกล้วยไม้[2]ปรี่เข้ามาแย่งสารในมือหลิงเซียว
หลิงเซียวเบี่ยงตัวหลบ หัวเราะหยันกล่าวว่า “คุณชายน้อยหลานเว่ย มิใช่บุตรชายของท่านอัครเสนาบดีหรอกหรือ! บุตรชายของอัครเสนาบดีลักลอบติดต่อกับซิ่วหนี่ว์ในวัง ความผิดนี้...จุๆๆ”
“ข้าขอเตือนเจ้าเอาไว้ วาจานี้อย่าได้เอ่ยมั่วซั่ว!”
“หลักฐานชัดๆ คาตา! หากส่งมอบสิ่งนี้ให้ฝ่าบาท ท่านลองคิดดูสิจะเป็นเช่นไร” แน่นอนว่าหลิงเซียวแค่ข่มขู่เท่านั้น หากว่าเขามอบให้โอรสสวรรค์ ฮ่องเต้จะแก้แค้นแทนเขาและเขาก็ไม่ต้องพูดก่อกวนขันทีน้อยอยู่นี่แล้ว แต่ปัญหาคือเขาฐานะต่ำต้อย คำพูดไร้น้ำหนัก ย่อมไม่มีโอกาสได้เข้าเฝ้า ความ ‘โชคดี’ แบบครั้งก่อน หลิงเซียวรู้สึกว่าคงไม่มีทางเกิดขึ้นอีกแล้ว อีกทั้งการมอบสิ่งนี้ให้ฮ่องเต้ก็มีความเสี่ยงใหญ่หลวง ฮ่องเต้จะเชื่อหรือไม่ก็เรื่องหนึ่ง แต่หากเป็นเพราะสารฉบับนี้ทำให้ฮ่องเต้ให้ความสำคัญต่อโม่ฉีก็จะกลายเป็นได้ไม่คุ้มเสีย
ดัชนีทองคำและรัศมีของโม่ฉีนั้นชาติก่อนหลิงเซียวคุ้นเคยเป็นอย่างดี กระทั่งฮ่องเต้ก็ยังต้องการให้นางเป็นฮองเฮา ถึงหลิงเซียวจะไม่คิดว่า ต่อให้ไม่ใช่ฮ่องเต้ เป็นเพียงบุรุษธรรมดาสามัญจะรู้สึกดีกับสตรีของตัวเองถ้ารู้ว่านางลักลอบติดต่อฉันชู้สาวกับบุรุษอื่น แต่หลังจากที่หลิงเซียวได้เห็นฤทธิ์รัศมีของโม่ฉีแล้วก็ไม่กล้าเสี่ยง หากนางได้รับความคุ้มครองจากฮ่องเต้ ชั่วชีวิตของเขานี้ยากจะแก้แค้นนางได้!
ยิ่งกว่านั้นฮ่องเต้ก็เป็นหนึ่งในผู้ที่เขาต้องการจะคิดบัญชี!
“เจ้า...เจ้าคิดจะทำอะไร!” หลี่หยวนที่พยายามขโมยสารกลับมาแต่ล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่ากัดฟันมองหลิงเซียว
“ข้าจะทำอะไร...” หลิงเซียวแสยะยิ้ม
“เจ้าคิดทำอะไร” หลิงเซียวยังไม่ทันจะพูดจบก็พลันมีเสียงบุรุษที่สงบนิ่งและเปี่ยมอำนาจดังมาจากทางด้านหลัง
หลิงเซียวตกตะลึงมองขันทีน้อยที่อยู่ข้างหน้าโค้งกายตัวสั่นงันงก แล้วเพียงครู่เดียวฝ่ายนั้นก็ร่างกายอ่อนยวบคุกเข่าลงบนพื้น
“ถวายบังคม...ฝ่าบาท!”
“ฝ่าบาท!”
[1] ภาษาเกมหมายถึงสูตรลัดหรือสูตรโกง ส่วนในนิยายจีนมักพบมากในนิยายแนวข้ามเวลา โดยหมายถึงความสามารถพิเศษที่ได้รับมาหลังจากการข้ามเวลา เช่นความรู้สมัยใหม่
[2] นิ้วดอกกล้วยไม้หมายถึงนิ้วหัวแม่มือและนิ้วกลางงอเข้าประกบกัน เหลืออีกสามนิ้วเหยียดตรง
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

แต่ถ้านิยายจีน ขาทองคำ นิ้วทองคำ
เจอบ่อย ใช้อ้างถึงตัวเอกที่เทพ ที่รวย มีอำนาจ ใช้คำไหนเราก็โอ
แต่นิยายจีน นิ้วทอง ขาทอง คนอ่านก็เริ่มชินแล้วจร้า
ฝ่าบาทนี่จะเจอกันบ่อยไปนะ
เราว่าคำว่าแมรี่ซูนิยายจีนใช้กันเยอะมาก น่าจะใช้กับแบบนี้ได้นะคะ คำอธิบายที่ว่าดัชนีทิงคำและรัศมี มันอ่านรอบแรกก็โอเคนะ แต่ถ้าอ่านมาเจออีกในวรรคถัดๆไปเราว่ามันแปลกๆ อยากให้สนพ.ตรวจคำที่ใช้บรรยายด้วยค่ะ อ่านแล้วรู้สึกแปลกๆมาตั้งแต่บทแรกเลย อยากให้เกลาคำให้อ่านแล้วลื่นไหลกว่านี้หน่อย
ขอบคุณค่ะ