ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Reality 5 .: อาถรรพ์หมู่บ้านน้ำค้าง :. [จบเกม!]

    ลำดับตอนที่ #52 : Day 4 .:: อุโมงค์ดักสัตว์ ::.

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 381
      1
      21 ต.ค. 53

    THe REALITy 5


    [WEEK 2 :: DAYS 4]


     

    แหมะ ....

     

    แหมะ ....

     

    แหมะ!!!

     

    น้ำค้างที่ติดอยู่บนชั้นหินไหลหยดลงบนแก้มซ้ายของหญิงสาวคนหนึ่ง เธอค่อย ๆ ปรือเปลทอดตาขึ้นอย่างช้า ๆ มีเพียงแสงสว่างจากวัตถุบางอย่างที่ตั้งอยู่ที่พื้นเท่านั้น ความมืดที่ยังมีมากกว่าแสงสว่างทำให้เธอไม่สามารถมองเห็นได้ว่าตรงที่พวกเธออยู่คือที่ไหน

     

    “ฟื้นแล้วเหรอ?” ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เข้ามาดูอาการของหญิงสาวอย่างเป็นห่วง เขาเองก็เพิ่งได้สติเมื่อครู่เช่นกัน

     

    “ดัฟ ... ที่นี่ .. ที่ไหน?” ทันทีที่เธอเริ่มตั้งสติได้ เธอพยายามถามชายหนุ่มแทบจะในทันที

     

    “ดูจากรอบ ๆ แล้ว น่าจะเป็นอุโมงค์ใต้ดินนะ ” ดัฟตอบหญิงสาวที่นั่งงงกับเหตุการณ์ที่ทำให้เธอและเพื่อนพลัดตกลงมาข้างล่าง

     

    ภาพสุดท้ายที่เธอจำได้ก่อนที่จะสลบไปคือ .... แผ่นไม้ของโบสถ์ที่พวกเขาเหยียบอยู่เกิดหลุดร่วงเนื่องจากความเปราะบางของพื้นไม้ธรรมดา ๆ เด็กสาวที่ก้าวพลาดเกิดตกลงไปด้านล่าง หญิงสาวที่เดินตามมาเกิดตกใจและคว้าร่างของชายคนหนึ่งเพื่อยึดเอาไว้ แต่ด้วยความที่เขาไม่ทันระวังตัวทำให้ทั้งคู่พลัดตกลงไปด้านล่างเช่นกัน

     

    ในภาพความคิดนั้น .. เสียงฝีเท้าของใครบางคนเดินผ่านความมืดออกมา

     

    “บีบี .. ตาล”

     

    “ฟื้นแล้วเหรอพิม ... เจ็บตรงไหนหรือเปล่า?” บีบีเดินเข้ามาหาหญิงสาว พิมไม่ได้อะไรพูดนอกจากส่ายหน้าเบา ๆ

     

    “ที่นี่มันที่ไหนกันแน่?” พิมถามสาว ๆ ที่มาใหม่อีกครั้ง

     

    “ดูจากรอบ ๆ แล้ว ตรงนี้น่าจะเป็นชั้นใต้ดินของโบสถ์ ... พื้นไม้คงผุ เราเลยตกลงมาที่นี่” ตาลอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยสรุป

     

    “เหตุการณ์มันจงใจเกินไป ....” อยู่ดีดีบีบีก็พูดอะไรที่ฟังแล้วไม่ค่อยเข้าใจในความหมายของประโยคนั้นสักเท่าไร

     

    “จงใจเกินไป? หมายความว่าไงล่ะ” ดัฟเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย ไม่ใช่แค่ดัฟ ทุกคนก็ต่างสงสัยกันไปด้วย

     

    “ นายคิดดูสิ ... มีคบเพลิง มีตะเกียงไฟเสร็จสรรพ แถมเราก็ร่วงลงมาตรงจุดที่มีแสงสว่างพอดี นายว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญเหรอ?”

     

    “จริงด้วยแฮะ!” พิมทำท่าคิดได้

     

    “ถึงฉันจะไม่ฉลาดเท่านายฌอร์น แต่ฉันก็ไม่ได้โง่จนพอจะไม่รู้อะไรหรอกนะ” บีบีสบถก่อนที่จะยืนขึ้นปัดฝุ่นที่เกาะหน้าแข้งของหล่อน

     

    “เราก็คงเป็นหมากซวยตัวนึงที่ต้องเดินตามเกมแล้วล่ะ” ตาลพูดก่อนที่จะมองไปรอบ ๆ

     

    “แล้วพวกเธอไปเมื่อกี้ ได้เรื่องอะไรบ้าง?” ดัฟยืนขึ้นพรางคว้าคบเพลิงที่แขวนผนังเอาไว้ พลันถามเด็กสาวทั้งสองที่เพิ่งเดินกลับมา

     

    “ตรงนั้นมีทางที่พอจะเดินไปได้ ฉันก็ไม่รู้ว่ามันจะยาวแค่ไหนหรอกนะ ฉันเห็นว่ามันพอจะเดินได้ ฉันเลยรีบมาหาพวกนายก่อน” ตาลมองหน้าดัฟสลับกับพิม

     

    พวกเขาทั้งสี่มองกลับไปยังทางเดินที่มืดมิดนั้นอีกครั้ง ไม่มีแสงสว่างเล็ดลอดออกมาจากทางเดินแห่งความมืดมิดนั้นเลย แสงตะวันไม่สามารถสาดส่องลงมายังพื้นที่อับแงนี้ได้เลย ทางเดินที่มีแต่งผนังดินที่พร้อมจะถล่มได้ทุกเมื่อ กลิ่นอับชื้นจากน้ำที่ไหลซึมรวมกับพื้นดินจนทำให้เกิดความชื้นและกลิ่นอับขึ้น

     

    “มันคงไม่มีทางไหนที่จะเวิร์คกว่านี้แล้วใช่ไหม?” ชายหนึ่มคนเดียวในกลุ่มถามความเห็นของสามสาวอีกครั้ง

     

    “ถ้าคิดว่าปีนขึ้นไป ... นายว่ามันจะได้ไหม?” ตาลถามายหนุ่มมองแหงนขึ้นไปด้านบน ก็ยังมีความมืดมิดที่เป็นเพื่อนนำทางอยู่ดี

     

    “ถ้ามันปีนไม่ได้ .. ก็ต้องไปตามทางนี้แหล่ะ .. ใช่ไหม?” ตาลยิ้มหวานก่อนที่จะถือตะเกียงไฟเดินไปตามทาง

     

    “เฮ้! รอด้วยเซ่!!” เขาตะโกนไล่หลังสาว ๆ ไปก่อนที่จะรีบวิ่งตามไปติด ๆ ความมืดรอบ ๆ นี่น่ากลัวดีแท้

     

    ทั้งสี่ชีวิตเริ่มออกเดินทางเพื่อหาทางออกไปจากอุโมงค์สีดำสนิทแห่งนี้ กลิ่นอับชื้นโดยรอบสร้างสิ่งแวดล้อมที่ไม่พึงประสงค์เท่าใดนักมือหนึ่งของดัฟและตาลยังคงถือตะเกียงไฟและคบเพลิงเพื่อส่องสว่างให้แก่เพื่อน ๆ โดยที่ตาลเป็นไม้แรก ตามมาด้วยบีบีที่จับมือพิมตลอดทางและดัฟที่ถือคบเพลิงไปมาตามรั้งท้าย แม้จะมีตัวส่องสว่างทั้งสอง แต่มันก็ไม่ได้ทำให้รอบๆตัวสว่างได้เลย

     

    “เราต้องเดินไปตามทางนี้อีกนานแค่ไหนนะ?” บีบีพูดเชิงถามในขณะที่เสียงของเธอเริ่มสั่นเครือด้วยความกลัว

     

    “พิมว่าเราต้องออกไปจากที่นี่ได้แน่นอน .... ”

     

    ครืดดดด!!!

     

    สิ้นเสียงของทั้งสองสาว เสียงประหลาดกลับดังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลพวกเขามากนัก พิมและบีบีจับมือกันแน่นขึ้นไปอีก ส่วนตาลและดัฟนั้นก็กระชับตะเกียงและคบเพลิงไว้ในมือแน่น เสียงที่ว่ายังคงไม่หายไปไหน ในทางกลับกัน มันยิ่งใกล้เข้ามาอีก

     

    ราวกับว่า ....

     

    มันอยู่ใต้พื้นดิน!!!

     

    ฉึบบบบบ!!!!

     

    บางอย่างพุ่งผ่านชั้นดินออกมาอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งมีชีวิตที่อยู่บนพื้นนี้เลย สี่คนแปดขาต่างผงะด้วยความตกใจระคนกับความกลัวเมื่อเห็นยางอย่างพุ่งผ่านความมืดมาอย่างเงียบเชียบ

     

    “อะไรน่ะ!!” พิมร้องเสียงหลงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลย .... เธอเปลี่ยนจากมือของบีบีมาเกาะแขนไว้แน่นจนเธอรู้สึกได้ถึงความกลัวที่แล่นผ่านตามร่างกายของเธอ

     

    ตาลและดัฟรีบเดินมาดูบางอย่างที่แล่นผ่านขึ้นมาเมื่อคู่ ...

     

    “แท่งไม้ดักสัตว์นี่นา ....” ดัฟพูด สามสาวหันมามองหน้ากัน ดัฟจึงอธิบายให้ฟังต่อ “แม่งไม้ดักสัตว์น่ะ มีไว้เวลาเหยื่อเดินเข้ามา แท่งไม้จะพุ่งขึ้นมาเพื่อสังหารเหยื่อโดยที่เหยื่อจะไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ ... เราว่าต้องรีบออกจากพื้นที่นี่แล้วล่ะ ....”

     

    “ทำไมล่ะดัฟ?” คราวนี้ตาลเป็นฝ่ายถามบ้าง

     

    “แท่งไม้ดักสัตว์ไม่ได้ถูกสร้างมาแค่อันเดียวน่ะสิ!!

     

    สิ้นเสียงของชายหนุ่ม แท่งไม้ปริศนาก้พุ่งขึ้นมาจากทางด้านหลัง เฉียดขาของพิมไปอย่างหวุดหวิด บีบีและตาลกรีดร้องออกมาจนแทบจะพร้อม ๆ กัน สามสาวและหนึ่งหนุ่มต่างออกวิ่งไปตามทางเดินด้านหน้าอย่างไม่คิดชีวิต ดัฟและพิมวิ่งนำหน้ามาสุด ตามด้วยบีบีที่ถูกกระชากมาพร้อมกับพิมและตาลที่คอยวิ่งสังเกตทางด้านหลัง

     

    พวกเขาทั้งสี่วิ่งมาเรื่อย ๆ โดยที่ไม่รู้เลยว่าข้างหน้ามีก้อนหินวางดักเอาไว้ ดัฟและพิมวิ่งผ่านมันได้สำเร็จ ขาของบีบีเกือบไปเหยือบพลาดอย่างหวุดหวิด

     

    กึก!!

     

    “โอ๊ยยยย!!” ตาลสะดุดก้อนหินล้มลงไปพร้อมตะเกียงไฟที่แตกลงบนพื้นจนเกิดประกายไฟขึ้นทางด้านหลัง

     

    “เฮ้ย!!” บีบีและดัฟรีบเข้ามาประคองตาลเอาไว้ พิมอาสาถือคบเพลิงแทนชายหนุ่มและออกวิ่งไปตามทางด้านหน้าพร้อม ๆ กัน

     

    “ทางข้างหน้ามีแสงด้วยค่ะ!” พิมตะโกนบอกเพื่อนๆ  ก่อนที่จะก้าวผ่านเข้ามายังห้องสี่เหลี่ยมตรงหน้า เพื่อน ๆ ที่ตามหลังมาก็กระโดดเข้ามาติด ๆ

     

    ฉึบบบ!!!

     

    แท่งไม้สี่แท่งพุ่งขึ้นมาปิดทางเข้าออกนั้นเอาไว้ พวกเขาถูกขังอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมนี่ซะแล้ว!!

     

    “ที่นี่ที่ไหนอีกละเนี่ย” ดัฟถามเพื่อน ๆ ในขณะที่เขาค่อย ๆ ประคองตาลให้นั่งลงบนพื้น

     

    พื้นที่โดยรอบห้องนี้เป็นห้องสี่เหลี่ยม ถูกปูด้วยกระเบื้องสีขาวที่เต็มไปด้านฝุ่นและเศษดิน กลางห้องปรากฏแท่นบางอย่างที่มีไว้สำหรับผ่าตัดหรือเอาไว้บูชายัญอะไรบางอย่างสังเกตจากคราบเลือดที่ติดตามที่ติดตามมุมแท่นนั้น มุมห้องปรากฏร่างของโครงกระดูกที่นอนแน่นิ่งอยู่ พิมค่อย  ๆเดินไปที่ร่างนั้นก่อนที่จะพลิกกระตูกให้ล้มลง หัวกะโหลกกลิ้งมายังบีบีที่นั่งอยู่ข้าง ๆ บีบีและตาล เธอรีบใช้เท้าเขี่ยเจ้าหัวกะโหลกผีสิงนั่นออกไปห่าง ๆ

     

    “นี่ไงกุญแจ!!!” พิมพูดอย่างดีใจพลันคว้ากุญแจออกมาจากกระเป๋ากางเกงที่ขาดวิ่นของเจ้าของกระดูกนั้น

     

    “ที่เหลือก็ทางออก ... จะออกไปทางไหน .... นอกจากทางนี้” ดัฟพูดพรางชี้ไปยังเพดาน ... ที่เพดานปรากฏประตูไม้เล็ก ๆ ที่เปิดได้จากทางด้านนอกเท่านั้น ต้องรอให้ใครสักคนที่อยู่บนพื้นนั้นมาเปิดเท่านั้น

     

    ทางด้านของพวกที่อยู่ด้านบน ... พวกเขาใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมงในการตามหากุญแจที่จะทำภารกิจต่อไปในสัปดาห์หน้า แต่ว่าหาแล้วหาอีก พวกเขาก็ไม่เจอกุญแจที่ว่านั้นเลยสักดอก จนเวลาล่วงเลยมาแล้ว พวกเขากลับมาเจอกันที่หน้าโบสถ์อย่างที่นัดหมาย ทั้งสองกลุ่มที่แยกไปไม่มีใครเจอกุญแจเลยสักคนเดียว

     

    “ป่านนี้พี่บีบีกับคนอื่น ๆ จะเป็นยังไงบ้างไม่รู้ ” คิวคิวพูดลอย ๆ อย่างซึม ๆ พรางปาดน้ำตา ตลอดการหากุญแจ เธอร้องไห้ตลอดทาง นกยูงและใบชาที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ได้แต่ปลอบใจเบา ๆ

     

    “ผมว่าเรามาคิดเรื่องการหากุญแจกันก่อนเถอะ .... คนพวกนั้นคงไม่ไม่เป็นอะไรหรอกครับ ห่วงเรื่องภารกิจกันก่อนดีกว่า ” ฌอร์นพูดอย่างไมสบอารมณ์ เขาเริ่มหงุดหงิดที่หากุญแจไม่เจอเลยสักดอก

     

    คิวคิวมองหน้าของฌอร์นทั้งน้ำตาก่อนที่จะลุกขึ้นเดินมาหยุดที่หน้าฌอร์น

     

    “มีอะไรหรือเปล่าครับ?”

     

    เธอไม่ตอบอะไรฌอร์นเลย สายตาของเธอยังคงมองหน้าของเขาอย่างเอาเรื่อง ก่อนที่เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันจะเกิดขึ้นโดยที่ไม่มีใครได้คิด

     

    “เพี๊ยะ!!!!

     

     



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×