ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    THE DISASTER มหันตภัย...น้ำกลืนมนุษย์

    ลำดับตอนที่ #7 : [Learn#1]-Escape

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 283
      1
      25 ต.ค. 54

    THE DISASTER

    มหันตภัย....น้ำกลืนมนุษย์

    (Learn#1)-Escape
    Joe’s Story

    ปริ้นนนนนน!! เสียงบีบแตรและเสียงโหวกเหวกโวยวายจากรถคันหน้าผมที่คาดว่าเจ้าของรถเริ่มจะอารมณ์เสียและมีสีหน้าที่บอกบุญไม่รับอยู่เต็มแก่ ก็แหงล่ะ ผมติดแหงกอยู่ที่นี่มาเกือบจะสามชั่วโมงเต็มโดยที่รถไม่ขยับเลย การจราจรนั้นยังคงแน่นิ่งเหมือนกับการเดินทางสัญจรจะเป็นอัมพาต ผมเปิดกระจกเพื่อรับลมเย็นของเวลาแปดโมงเช้าพร้อมกับมองดูจราจรที่ดูจะขาดประสบการณ์ในการทำงานอยู่ใช่ย่อย ดูจะท่าทางการโบกไม้ก็รู้

     

    เพิ่งเข้ามาทำงานวันแรกแน่ๆ

     

    ผมชื่อโจ อายุ 23 ปี ทำงานอยู่ที่ศูนย์ออกแบบและตกแต่งภายในที่อยู่ในกรุงเทพนี่แหล่ะ ผมจบจากคณะสถาปัตย์เอกการออกแบบโดยตรง ผมได้ทุนนักกีฬาของมหาวิทยาลัยทำให้ผมพ่อและแม่ไม่ต้องเสียเวลาหาเงินมาเลี้ยงดูผมมากนัก ด้วยความสูง 184 เซนติเมตรของผมทำให้ผมเป็นนักบาสของมหาวิทยาลัยได้สบาย ๆ ผมได้เข้าทำงานทันทีที่เรียนจบด้วยเงินเดือนเริ่มต้นที่สูงถึงหนึ่งแสนบาท พ่อแม่ผมเองท่านก็รับราชการเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยที่ผมเรียนแต่ไม่ใช่อาจารย์ประจำคณะเดียวกับผมหรอกนะ ชีวิตประจำวันที่ผมต้องเจอทุกวันน่ะเหรอ ตื่นเช้า อาบน้ำ กินมื้อเช้า ไปทำงานด้วยรถคู่ใจของผม รถติด ทำงาน เลิกงาน ไปสังสรรค์กับเพื่อน กลับบ้าน แล้วก็นอน ทุกอย่างมันเป็นเรื่องเคยชินของผมไปเสียแล้ว แต่ว่าวันนี้น่ะสิ รถติดชนิดว่าถ้าคนป่วยติดอยู่ในรถก็จองศาลาวัดได้เลย

     

    ผมติดแหงกอยู่บนสะพานแขวนพระราม 8 มาเกือบสามชั่วโมง จนตอนนี้เวลาร่วงเลยมา 11 โมงเช้าเข้าไปแล้ว พ่อและแม่ของผม ท่านทั้งสองยังคงนั่งนิ่ง ผมเป็นคนขับ ส่วนแม่นั้นนั่งอยู่ข้าง ๆ ผม และเป็นพ่อที่นั่งอยู่เบาะหลังอย่างใจเย็น ท่านนั่งอ่านข่าวที่เพิ่งซื้อมาจากหน้าปากซอยบ้านเมื่อเช้านี้เอง

     

    “โจ นี่ลูกรู้หรือเปล่าว่าศูนย์ป้องกันภัยออกข่าวว่าน้ำนั้นทะลักเข้ามาในกรุงเทพแล้ว ตอนนี้มันกำลังไหลผ่านบ้านเรามาทางสะพานพระรามแปด เขาเตือนให้คนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยอพยพด่วนให้เร็วที่สุด ....” พ่อของผมสาธยายซะยืดยาว

     

    ผมละสายตาจากจราจรคนนั้นกลับเข้ามาในรถ ปิดกระจก เปิดแอร์เย็น ๆ และมองผู้เป็นพ่อนั้นผ่านกระจกด้านหน้า สายตาของผมและพ่อนั้นปะทะกันพบดิบพอดี สายตาของท่านนั้นช่างระคนไปด้วยความสงสัยมากมาย และเมื่อมองนาน ๆ ผมเพิ่งรู้นะว่าของพ่อนั้นแก่ลงไปมากทีเดียว

     

    “พ่อครับ ผมว่าแค่ข่าวลือมากกว่า อีกอย่างเมื่อวานก่อนทางรัฐบาลเองก็แจ้งแล้วว่ากรุงเทพจะเป็นที่ที่ปลอดภัย ทางรัฐบาลเขาเอาอยู่น่า แต่ถ้าหากมันเป็นเหตุสุดวิสัยจริง ๆ มันคงท่วมสักประมาณตาตุ่มผมได้มั้งครับพ่อ” ผมพยายามพูดทีเล่นทีจริงเพื่อให้พ่อและแม่นั้นเครียดไปมากกว่านี้

     

    แต่ก็ไม่ได้ผล ...

     

    สีหน้าของท่านกลับหลบตาต่ำลง ส่วนแม่นั้นท่านมองออกไปด้านนอก บางทีท่านคงคิดว่าบรรยากาศรถติดคงน่าภิรมย์กว่าคำพูดของผมเป็นแน่

     

    “ไม่มีอะไรหรอกครับ ทุกอย่างจะเรียบร้อย” ผมหันมาจับมือแม่และบีบแน่น ๆ เพื่อให้ท่านได้คลายความกังวลลงได้บ้าง ก่อนที่จะหันไปสบตากับพ่อและยิ้มให้ท่านอย่างเช่นทุกครั้งที่ผมเคยทำ

     

    ในความคิดของผมนะ ทางรัฐบาลเขาต้องป้องกันกรุงเทพให้รอดพ้นจากวิกฤตการณ์นี้ได้อย่างแน่นอน เพราะอะไรน่ะเหรอครับ เพราะว่าพื้นที่ในกรุงเทพส่วนใหญ่เป็นตึกและมีเศรษฐกิจที่สำคัญของกรุงเทพมากมายที่กอบโกยรายได้เข้ามาให้ประเทศไทย และที่สำคัญไปหว่านั้น กรุงเทพมหานคร คือเมืองหลวงของคนไทยยังไงล่ะ

     

    ระหว่างที่ผมกำลังคิดอะไรเล่น ๆ เพลิน ๆ นั้น ชายวัยกลางคนเดินลงมาจากรถก่อนที่จะกระแทกประตูรถของตัวเองดังปัง ให้ตายเหอะ หมอนี่ไปอารมณ์เสียจากที่ไหนมานะ หรือว่าเมื่อเช้าทะเลาะกับเมียที่บ้านมา

     

    “ให้ตายเหอะ!! วันนี้วันเฮงซวยอะไรของกูวะ!!” เขาสบถคำหยาบคลายออกมาหนึ่งวลีจนแม่นั้นเบือนหน้าหนีมามองหน้าผมด้วยความเอือมระอากับสังคมที่แสนจะโสมมแบบนี้

     

    ไม่ใช่รถคุณคนเดียวหรอกครับที่มาติดแหงกแบบนี้ .... คิดบ้างสิ

     

    “แล้วมึงจะบ่นอะไรนักหนาวะ พวกกูก็ติดเหมือนมึงนั่นแหละ!” ชายหนุ่มที่อยู่รถคันหน้าผม เจ้าของเสียงแตรอันน่ารำคาญเมื่อครู่ลงมาเมื่อครู่และชี้หน้าด่าไอ้คนเห็นแก่ตัวคนนั้น แต่เหมือนว่าสะพานแขวนพระรามแปดกำลังจะเปลี่ยนเป็นเวทีมวยเล็ก ๆ ให้พวกเราได้ดูกันไปพราง ๆ ซะแล้วล่ะ ส่วนผมก็คงไม่คิดจะออกไปห้ามกันทะเลาะวิวาทขนาดย่อมนี่แน่นอน สังคมสมัยนี้มีแต่พวกแก่งแย่งชิงดี แข่งขันกันทั้งนั้น ความจริงใจจากคนเมืองใหญ่

     

    ลืมไปได้เลยในทัศนิคติของผม ....

     

    ครืนนนนนน

     

    ผมละสายตาจากชายสองคนนั้นมองไปตามเสียงที่อยู่บนฟ้าสีดำขลับเทา หมู่เมฆเริ่มรวมตัวกันเป็นก้อนอย่างน่ากลัว มีแสงสว่างวาบออกมาจากไรเมฆหลายก้อน อีกไม่นานฝนก็คงตก และที่สำคัญผมลืมเอาร่มติดมือมาซะด้วยสิ รู้อย่างนี้น่าจะฟังพยากรณ์อากาศก่อนออกจะบ้าน

     

    ครืนนนนนน

     

    เสียงนั้นยังคงดังไม่หยุด หากแต่การทะเลาะวิวาทตรงหน้านั้นกลับหยุดชะงักไปพร้อมกับสีหน้าท่าทีของทั้งคู่ที่เปลี่ยนไป ราวกับว่าเขาเริ่มเห็นอะไรบางอย่างที่อยู่ด้านหลังของพวกเรา สายตานั้นเบิกกว้างเหมือนกับคนที่กำลังจะโดนฆ่าตายยังไงยังงั้น ด้วยความสงสัยของผมและคนอื่น ๆ ที่อยู่ในรถ ผมลงจากรถก่อนที่จะหันไปมองด้านหลังว่าสิ่งที่ทำให้อันธพาลกลายเป็นคนขี้ขลาดไปได้ถึงเพียงนี้ ทันทีทีผมเหลือบไปเห็นเจ้าสิ่งนั้น ผมเองก็คงมีอาการเช่นเดียวกับพวกเขาก็ไม่ปราน

     

    ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าของพวกเราทุกคนคือมวลน้ำก่อนเท่าสะพานพระรามแปดที่ไล่หลังพวกเรามาอยู่ห่าง ๆ สิ่งปลูกสร้างที่เคยอยู่ต่ำกว่าสะพานแขวนนี้กลับถูกกลืนหายไปกับมวลน้ำ เสียงคนกรีดร้องกันอย่างบ้าคลั่ง ชายกนุ่มสองคนที่เคยมีเรื่องกันต่างวิ่งไปคนละทิศทาง ไม่ใช่แค่สองคนนั้น หากแต่เป็นคนอื่น  ที่กำลังหนีตายจากวารีลูกใหญ่ที่หมายจะกลืนกินทุกสิ่งที่ขวางหน้ามัน ผมตัวแข็งทำอะไรไม่ถูกแต่ก็พยายามรวบรวมสติที่มีอยู่เพื่อที่จะเข้าไปเตือนพ่อกับแม่ หากแต่ตอนนั้นกลับมีบางอย่างที่ทำให้ผมเซถลาไปข้างหลัง

     

    อนุภาคของมวลน้ำมหาศาลทำให้พื้นที่บริเวณรอบนั้นเกิดเขย่าและสั่นสะเทือนคล้ายแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง เริ่มเกิดรอยร้าวบนผิวสะพานก่อนที่มันจะแตกระแหงออกเป็นกิ่งก้านสาขาราวกับต้นไม้ที่กำลังจะงอกขึ้นมาใหม่ รอยแยกนั้นกลับสร้างสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวจนพวกเราถึงกับตะลึงงัน ผมเคยเห็นแต่ในหนังที่ผมเคยดูเกี่ยวกับเรื่องหายนะล้างโลก ตอนนี้ผมกลับเจอเข้ากับตัวเอง

     

    ผมรู้แล้วว่าธรรมชาติกำลังลงโทษมนุษย์ต่ำช้า!

     

    ไม่เพียงแต่มวลน้ำก้อนโตที่กำลังคืบคลานเข้ามาตรงหน้าของพวกเราซ้ำยังมีปรากฏแผ่นดินไหวที่เกิดจากแรงดันของมวลน้ำอีก รอยแยกต่าง ๆ เริ่มทรุดตัวลงตาม ๆ กัน สะพานบางเริ่มถล่มออกทีละน้อยแต่ว่ามันรวดเร็วจนผมประมวลความคิดไม่ทัน  แต่ที่แน่ ๆ ตอนนี้ผมต้องพาครอบครัวผมออกมาจากหายนะที่กำลังเกิดขึ้นนี้ก่อน

     

    หากแต่ว่าความคิดของผมช้ากว่าการกระทำเพียงนิดเดียวเท่านั้น นิดเดียวเท่านั้นจริง ๆ

     

    ครืนนนนน!!

     

    “กรี๊ดดดดดดดดด!!” มันเป็นเสียงที่ดังออกมาจากรถของผม ผมจำได้ดีว่าเสียงนี้เป็นเสียงของผู้มีพระคุณที่ให้กำเนิดผมมา เสียงของท่านช่างหดหู่และแฝงไปด้วยความหวาดกลัวสุดขีดอย่างที่ท่านและคนอื่น ๆ ไม่เคยพบเจอมาก่อน

     

    “แม่!! ไม่นะ!!” ผมตะเบงออกไปสุดเสียง เมื่อเห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้ากำลังจะกระชากหัวใจของผมให้หลุดออกเป็นเสี่ยง ๆ

    รถคู่ใจของผมที่มีพ่อและแม่อยู่ข้างในเริ่มเคลื่อนตัวไปข้างหลังตามแรกสั่นสะเทือน ซึ่งทางด้านหลังนั้นมีแต่เพียงถนนล่องหนและความว่างเปล่า สะพานนั้นถล่มลงและนั่นมากลับพารถมากมายล่วงลงไปพร้อมกับพวกมัน และหนึ่งในนั้นก็มีรถของผมด้วย มันค่อย ๆ ไหลตกลงไปยังเบื้องล่าง วินาทีนั้นผมมองเห็นใบหน้าของท่านทั้งสองที่รอผมอยู่ในรถ นัยน์ตานั้นเต็มไปด้วยน้ำตาสีหน้าตื่นตระหนก ผู้เป็นแม่นั้นพยายามอย่างยิ่งที่จะเอื้อมมือมาแตะกับผมทั้งที่ตัวท่านเองยังอยู่ในรถ ร่างของพวกท่านทั้งสองตกลงไปในน้ำก่อนที่จะค่อย ๆ จมหายไปกับรถคู่ใจของผม

     

    วินาทีนั้นเหมือนโลกทั้งโลกหยุดหมุน ถึงแม้ตรงหน้าผมจะมีคลื่นยักษ์ที่กำลังใกล้เข้ามา หากแต่ตอนนั้นผมกลับไม่มองเห็นอะไรเลยนอกจากความมืดมิด มันเจ็บปวดที่สุดก็ตรงที่ผมไม่สามารถช่วยเหลือท่านทั้งสองที่กำลังรอผมได้เลย หากผมคิดเร็วกว่านี้สักนิดและดึงพ่อกับแม่ออกมา ทุกอย่างคงไม่เป็นเช่นนี้ รอบตัวผมทุกอย่างมันช่างดูเลวร้ายไปเสียหมด บรรดาผู้คนต่างวิ่งแตกตื่นกันอย่างโกลาหล ผมไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เข่าผมอ่อนลงตรงส่วนที่ยังเหลืออยู่ของสะพานแขวน ทุกอย่างจบสิ้น ผมมองไม่เห็นอะไรนอกจากความมืด มันเหมือนมีดนับสิบมาเฉือนทั่วร่างกายและจิตใจของผม หยดน้ำตาเริ่มไหลออกมาจากดวงตาที่รู้สึกละอายแก่ใจ ทำไมผมถึงปกป้องพวกท่านไม่ได้ ทำไมกัน ..... ทำไมผมต้องมาเห็นพ่อและแม่ค่อย ๆ หายไปจากสายตาทั้งที่ผมยืนอยู่ตรงนั้น

     

    มันเป็นความผิดของผมเอง!!

     

    แล้วแบนี้ผมสมควรจะมีชีวิตอยู่ต่อไปทำไมในเมื่อไม่มีทั้งพ่อและแม่ที่คอยเดินเคียงข้างผมเหมือนแต่ก่อน ตอนนี้ผมไม่เหลืออะไรแล้ว เอาสิ แกอยากจะเข้ามาเต็มแก่แล้วนี่ ไอ้คลื่นน้ำระยำ แกเข้ามาเลย ฉันจะไม่หนีแกไปไหน ช่วยกลืนร่างของฉันให้ไปพร้อมกับพ่อและแม่ของฉันเลย เอาเลย!

     

    “คุณ! รีบออกไปจากที่นี่เถอะ ที่นี่อันตรายนะ!” หญิงสาววัยกลางคนพยายามดึงร่างของผมให้ลุกขึ้น หากแต่เหมือนว่าสภาพผมตอนนั้นไม่พร้อมที่จะไปไหนได้เลย มันเหมือนมีตะปูใหญ่ตอกร่างผมให้ติดกับถนนจนขยับไม่ขึ้น

     

    เธอมองหน้าของผมก่อนที่จะส่ายหน้าและละความพยายามที่จะช่วยชีวิตผม ตอนนี้เธอต้องเอาตัวรอดออกไปจากสถานการณ์ที่แสนย่ำแย่นี้และทิ้งคนที่ไม่รู้จักอย่างผมให้จมอยู่กับความทุกข์ที่ไม่ติดตรึงใจและไม่สามารถลบล้างมันได้ หากผมย้อนเวลากลับไปเมื่อสิบห้านาทีแล้ว ผมจะช่วยท่านให้ออกมาและเราสามคนจะหนีไปด้วยกัน แต่ตอนนี้ผมเหลือตัวคนเดียวบนสะพานแขวนที่ใกล้จะพังลงทุกขณะ เสียงคลื่นนั้นเริ่มดังเข้ามากระทบโสตประสาทของผมเรื่อย ๆ ผมได้แต่มองมันทั้งน้ำตาอย่างแค้นใจก่อนที่จะค่อย ๆ หลับตาพริ้มไม่อยากรับรู้อะไร

     

    ให้ความเลวของผมได้ถูกพวกมันพัดพาไปด้วย!

     

    ครืนนนนน!!

     

    คลื่นแห่งหายนะนั้นได้เข้ามาบนสะพานแขวนและพัดพาทุกสิ่งให้จมหายไป ไม่ว่าจะเป็นซากรถ ซากหิน เชือกที่แขวนกับสะพานและแม้กระทั่งตัวผม มันเริ่มพัดพาร่างของผมให้หายไปกับวารีปีศาจนี้ ผมเริ่มแหวกว่ายอยู่ในน้ำโดยมีความดันพาตัวผมไปราวกับผมเป็นเงือกในการ์ตูน ร่างของผมนั้นลอยไปเรื่อย ๆ ผมหลับตาอย่างใจเย็น อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ผมไม่มีอะไรที่จะต้องเสียอีกแล้ว อากาศเริ่มหมดจากร่างกายของผม มันพาร่างผมไปไม่ถึงฝั่งเพราะหัวของกระแทกกับล้อรถตู้ที่อยู่ตรงหน้าจนผมสลบไปไม่ได้สติ และภาพสุดท้ายที่ผมเห็นคือน้ำที่กำลังซัดทุกอย่างให้พังพินาศอย่างบ้าคลั่ง

     

    ซ่า ....

     

    ซ่า ......

     

    เสียงบางอย่างกลับทำให้ผมตื่นจากความฝันที่แสนเลวร้าย เปลือกตาของผมเริ่มปรือขึ้นก่อนที่จะยันตัวอย่างรวดเร็วและมองไปรอบ ๆ ตัวอย่างตื่นตระหนกเหมือนคนสียสติ เม็ดฝนต่างช่วยกันปลุกผมให้ได้ตื่นขึ้นมาพบกับความจริงทีแสนจะปวดร้าว นี่ผมตายไปแล้วหรือยัง หรือว่าผมกำลังฝัน ถ้ามีมันเป็นฝัน ใครก็ได้ช่วยปลุกผมให้ตื่นจากฝันร้ายที่แสนจะระยำนี้ที ผมอยากตื่นมาเจอกับความจริง

     

    แต่นี่แหล่ะคือความจริงที่ผมจะต้องเจอและเผชิญกับมัน

     

    เหมือนกับว่านี่เป็นโอกาสที่ผมจะต้องแก้ตัวอีกครั้ง เหมือนเป็นของขวัญจากพระเจ้าที่ประทานให้ผมรอดชีวิตจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น รอบตัวผมมีเพียงแอ่งน้ำเล็ก ๆ และพื้นถนนที่เปียกจากเม็ดฝนที่พร้อมใจกันตกลงมาห่าใหญ่ ผมรีบลุกขึ้นก่อนที่จะมองไปรอบ ๆ อีกครั้ง เหมือนกับในหนังสยองขวัญหรือหนังที่เกี่ยวกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ ซากรถไม่กี่คันจอดเรียงรายกันอยู่ในสภาพที่ที่เปียกปอนไปด้วยน้ำ บางคันก็ฝากระโปรงยุบเพราะชนกับที่กั้นของสะพาน เสียงไซเรนของรถพยาบาลส่งเสียงอยู่ไม่ไกลจากผมเท่าไรนัก ภาพตรงหน้าเสมือผมหนังดูหนัง 4มิติอยู่เลยก็ว่าได้ แต่นี่มันไม่ใช่หนังที่สามารถกรอเทปได้ นี่คือเรื่องจริง ของจริงทั้งนั้น

     

    ผมค่อย ๆ เดินไปตามทางด้านหน้าเรื่อย ๆ เผื่อว่าจะมีรถที่ใช้งานได้สักคันหรือเจอคนรอดชีวิตบ้าง ผมเดินมาไกลประมาณหนึ่งกิโลแล้ว ยังไม่พบสิ่งมีชีวิตไหน ๆ เลยสักอย่าง มีแต่ซากรถและซากศพของผู้คนที่ไม่สามารถหนีน้ำได้ทัน ผมออกเดินไปตามทางอย่างไร้จุดมุ่งหมายก่อนที่จะสายตาจะมองลงไปยังแม่น้ำเบื้องล่าง ตอนนี้แม่น้ำมีมวลน้ำที่สูงขึ้นจากตอนแรกหลายเท่าตัว มันเริ่มไหลทะลักเข้ายังจุดต่ำของสถานที่ต่าง ๆ แม่น้ำที่เคยนิ่งสงบกลับกลายเป็นทะเลสาบที่น้ำเชี่ยวกราดแบบว่าถ้าคนตกลงไปไม่ต้องงมให้เสียเวลาเลย ผมออกเดินไปเรื่อย ๆ ตามสะพาน ความคิดของผมในตอนนี้ คือหาที่ปลอดภัยที่สุด ผมเดินลัดเลาะมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงปลายสะพาน ที่นั่นผมพบคนมากมายที่กำลังอพยพกันเจ้าล่ะหวั่น โดยมีนายทหารและพวกรัฐบาลคอยนำทีมพวกเขาให้ไปเป็นระเบียบ ตรงปลายสะพานนั้นมีการวางกระสอบทรายสูงเพื่อป้องกันน้ำที่จะไหลทะลักเข้ามา ผมคาดว่ายังไงซะอีกมีกี่ชั่วโมงหน้ามันต้องเลยกระสอบทรายแน่นอน

     

    “มีบาดแผลตรงไหนหรือเปล่าครับ?” นายทหารท่านหนึ่งเดินเข้ามาเมื่อเห็นผมไม่รู้จะไปทางไหน ผมส่ายหน้าทั้งที่เขาก็น่าจะเห็นนะว่าผมหัวแตกขนาดนี้

     

    “..........”

     

    “ไปที่ Crystal Dome นะครับ อยู่ใจกลางกรุงเทพมหานคร ที่นั่นจะปลอดภัยจากน้ำท่วมได้อย่างแน่นอน เรามีทั้งที่พักอาศัย อาหาร และผู้อพยพมากมายที่รอการช่วยเหลืออยู่ที่นั่น” เขาพูดก่อนที่จะดันหลังผมให้ไปต่อแถวกับผู้อพยพรายอื่น ๆ เพื่อเตรียมขึ้นรถ เพียงไม่นานนักผมและผู้อพยพที่ตามหลังมาก็ได้ขึ้นรถของกรมทหารคันที่ห้าเพื่อมุ่งหน้าสู่ Crystal Dome ตามคำแนะนำของนายทหารนายนั้น

     

    “กรุงเทพมันจะปลอดภัยจริงเหรอ?” ผมพึมพำกับตัวเองและภาวนาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายให้ช่วยคุ้มครองกรุงเทพแห่งนี้เพราะตอนนี้ผมไม่อยากเชื่อคำพูดของใครทั้งนั้น

     

    ผมเริ่มไม่มั่นใจกับคำพูดของพวกรัฐบาลเสียแล้วสิ ....

     

    TO BE CONTINUED….

    (Talk With Reader)

    จบแล้วนะคับสำหรับตอนแรกของโจในตอน Escape เขาและคนอื่น ๆ กำลังถูกส่งตัวไปยังศูนย์พักพิง
    คิดว่าทุกอย่างจะจบแล้วหรือยัง ผมคิดว่าไม่น่าจะง่ายขนาดนั้น
    มาเป็นตัวละครในนิยายผมทั้งที คงไม่สบายแบบนั้นแน่นอน (
    Writer แอบจิตเล็กน้อย)
    ยังไงนี่ก็เป็นเรื่องแรกที่แชมป์แต่งในแนวนี้ ยังไงก็ช่วยวิจารณ์ ติติงได้เลยนะครับ
    นี่เป็นเรื่องแรกสำหรับหายนะล้างโลก ยังไงก็ขอฝากผลงานและช่วยติดตามกันต่อไปนะครับ

    Comment+Vote ให้จะดีใจมหาศาลเลยค๊าบบบบบบ  ^^!

    . «
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×