คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #111 : REALITy .:: DUFf's STORy ::.
THe REALITy 5
[WEEK 8 :: DUFf ’s STORy]
ตอนนี้เป็นเวลายามเย็นแล้ว ... ผมยืนมองผู้คนที่เดินกันให้ขวักไขว่บนท้องถนนที่กำลังแล่นกันอย่างวุ่นวาย เสียงนกหวีดและการจราจรบนท้องถนนช่างดุน่าเบื่อทุกครั้งที่ผมมองมัน ถ้าให้เลือกได้ ผมคงอยากจะกลับไปที่หมู่บ้านน้ำค้างอีกครั้ง ผมไม่อยากจะต้องมาเห็นสภาพชีวิตของคนเมืองใหญ่ที่พลุกพล่านแบบนี้
สะพานพุทธตอนนี้บรรยากาศในฤดูหนาวกำลังได้ที่ ลมเอื่อย ๆค่อย ๆ พัดเข้ามาปะทะที่ใบหน้าของผมและกลุ่มเพื่อนที่เต้นโคลเวอร์มาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ๆ .... พวกเราอยู่ในชุดของ Tuxido สีขาว
ไม่เหมาะใช่ไหมที่การแต่งตัวของผมในวันนี้จะมายืนชมวิวบนสะพานพุทธได้ .... ผมยังคงมองออกไปที่แม่น้ำที่เริ่มจะเป็นสีดำเพราะแสงจากดวงอาทิตย์ที่เริ่มจาลาลับท้องฟ้าไป
ผมควรจะทำอย่างไร ... จะไปงานนี้กับเพื่อน ๆ หรือว่าจะกลับไปนอนสบาย ๆ พักผ่อนอยู่ในห้องของผมเอง ....
ผมชื่อดัฟ วรท คงวิริยกุล หมายเลขประจำตัวของผู้เล่นเกมคือหมายเลข 14 ถ้าจะถามว่าเกมที่ผมไปเล่นมาเป็นยังไงน่ะเหรอ ...
ถ้าให้เล่าวันนี้คงไม่หมดหรอก!
“พี่ดัฟ .. จะไปกันยัง?” เด็กหนุ่มอายุต่างจากผมหนึ่งปีตะโกนเรียกผม ผมหันไปมองก่อนที่จะพยักหน้าเบา ๆ และหยิบกระเป๋าสะพายเพื่อไปรวมกลุ่มกับเพื่อน ๆ
ไปเต้นโคลเวอร์เพลงเกาหลีให้กับงานเลี้ยงต้อนรับให้การกลับมาของลูกชายนักการเมืองหญิงผู้โด่งดังมากที่สุดในกรุงเทพตอนนี้เลยก็ว่าได้ .....
ผมคิดถูกแล้วใช่ไหมที่จะไปสนุกกับเพื่อน ๆ และไม่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ นั่นคือการพักผ่อนและอยู่ห้องสบาย ๆ ซักสองสามวัน ....
ย้อนกลับไปตอนที่ผมอยู่บนมินิบัสคันสีเหลืองในช่วงตอนกลางวัน
“ลุง .. จอดตรงนี้แหละครับ!” ผมตัดสินใจให้ลุงคนขับรถมินิบัสของรายการเกมกระชากวิญญาณจอดรถตรงสี่แยกไฟแดงที่รถกำลังติดหนาแน่น
“แต่ว่ายังไม่ถึงบ้านของคุณเลย ...”
“ไม่เป็นไรครับ ผมจะแวะลงไปทำธุระสักหน่อย แล้วผมจะกลับบ้านเอง ....”
ลุงขับรถมองหน้าของผมกลับมา แต่แกก็ไม่ได้พูดอะไรมากนอกจากกดประตูเลื่อนของรถมินิบัสสีเหลืองอร่ามให้เปิดออก ผมยกมือไหว้ก่อนที่จะเดินลงมายังถนนกว้างใหญ่
ปรี๊นนนนนน!!!
บรื้นนนนนน!!!
เสียงของแตรจราจรและเสียงของเครื่องยนต์ที่เร่งเครื่องกันอย่างเอาเป็นเอาตายดังอยู่บนถนนสายหลักในกรุงเทพ ผมไม่อยากจะต้องมาทนกับความน่าลำคาญของการจราจรในกรุงเทพนี่ซักเท่าไร
ผมหอบเป้ใบเล็กของผมมาไว้ที่อกก่อนที่จะเดินข้ามถนนและเดินผ่านซอยเล็ก ๆ มาสองซอยจนถึงสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่ผมคุ้นตามันเป็นอย่างดี
TDC Dancing .....
“หวังว่าพวกแกคงยังอยู่นะ” ผมอมยิ้มน้อย ๆ ก่อนที่จะเดินเข้าไปด้านในโรงเรียนสอนเต้นที่ผมและเพื่อน ๆ ได้รวมตัวกันตั้งกลุ่มเต้นออกตระเวนล่าเงินและถ้วยมานักต่อนักแล้ว
กระดิ่งกระทบกับประตูที่ออกแรงเปิดจนส่งเสียงดัง หากแต่ว่าด้านในกลับเงียบสนิท จนผมไม่แน่ใจว่าจะมีคนอยู่ในนี้เลย มันมืดมาก ....
“ไปไหนกันหมดนะ?” ผมเลิกคิ้วหนึ่งข้างก่อนที่จะวางกระเป๋าเป้นั้นลง ก้นนั่งลงบนโซฟาสีฟ้าสดใส ช่างสบายอะไรแบบนี้นะ
นิตยสารถูกวางอยู่บนตะกระจก หนึ่งในนั้นมีหน้าปกนิตยสารขายดีฉบับหนึ่งที่วางหลาเด่นสง่าพร้อมกับพรีเซ็นเตอร์ที่ผมรู้จักเขาเป็นอย่างดี
เพราะว่าเขาเป็นเพื่อนที่ร่วมฝ่าฟันปัญหามาด้วยกันกลับพวกเราทั้งหมดที่เหลืออยู่
เก๋เก๋ ... !!
กึ้งงงง!!
เสียงบางอย่างทำให้ผมหลุดออกมาจากห้วงภวังค์ของความคิด สองตาของผมเริ่มมองไปทั่วทั้งโรงเรียนที่เงียบสงัดนี้
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเวลากลางวันก็ตามทีเถอะ มองไปมองมา ที่นี่ก็ดูวังเวงชอบกลแฮะ ...
ผมเริ่มกวาดสายตามองไปทั่วทั้งบริเวณนั้น หากแต่ว่าไม่ยักจะมีเสียงอะไรที่เล็ดลอดผ่านหูของผมมาอีกเลย
สงสัยจะหูฝาด!
ในขณะที่ผมกำลังจะสะบัดความคิดนั้นออกไปจากหัวของผม จู่ ๆ เสียงประหลาดก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง แต่หากว่าครั้งนี้เสียงนั้นดังอยู่บนชั้นสองของโรงเรียนซึ่งเป็นพื้นที่เอาไว้สำหรับเข้าคลาสเต้นของทางโรงเรียนนี้
ชักจะมีอะไรไม่ชอบมาพากลหรือเปล่านะ ...
ผมพยายามมองหาอาวุธที่อยู่ใกล้มือที่สุด ในโรงเรียนสอนเต้นที่เป็นตึกอาคารพาณิชย์ธรรมดา ๆ จะมีอะไรได้นอกจากไม้กวาดด้ามแข็งถนัดมือแค่หนึ่งอันเท่านั้น
ผมกำมันไว้ให้แน่นมือก่อนที่จะค่อย ๆ เดินขึ้นไปตามทางเดินที่พอจะเห็นแสงสลัวจากด้านนอกของแสงอาทิตย์ สองเท้าของผมพยายามขึ้นไปบนชั้นสองให้ระมัดระวังและเบาที่สุดในสามโลก ....
และแล้วผมก็ก้าวมาถึงหน้าห้องของคลาสเต้นนี่จนได้ ....
มือที่ผมไม่ได้จับไม้กวาดเอาไว้นั้นค่อย ๆ เปิดประตูเลื่อนของห้องเต้นอย่างช้า ๆ และให้เกิดเสียงดังที่น้อยที่สุด ไม่อย่างนั้นบางอย่างที่ทำให้เกิดเสียงดังมันอาจจะหายไปก็ได้ .....
มาวันแรกผมต้องเล่นเกมแมวจับหนูซะแล้วเหรอ!!
ปุ้ง ๆ ๆ !!!
ยังไม่ทันที่ผมจะเริ่มทำอะไรไปมากกว่านี้ เสียงบางอย่างก็ดังขึ้นจากทางด้านหลังของผม เสียงของพลุกระดาษที่ถูกจุดขึ้นพร้อมกับแสงไฟที่เริ่มเปิดจ้าพร้อมกับการปรากฏตัวของเพื่อนมากมายที่ออกมาตามที่ซ่อนของตน
และหนึ่งในนั้นก็เดินเข้ามาหาผม ....
“ดีใจที่นายกลับมา ....” เสียงของชายหนุ่มที่ฟังดูสดใส หากแต่สายตาของเขากลับไม่มองหน้าของผมเลย ....
เขาชื่อ โค๊ก .... เป็นเพื่อนที่ผมสนิทที่สุด จนตอนนี้ผมได้ล้ำเส้นของคำว่าเพื่อนไปเรียบร้อยแล้วล่ะครับ
“ดีใจที่ได้เจอหน้านายเป็นคนแรกเหมือนกัน ” ผมพูดอย่างกล้าๆกลัวๆก่อนที่จะสวมกอดเด็กหนุ่มเอาไว้ในอ้อมอกของผม .... มันช่างอุ่นจริง ๆ เนอะ
“พอแล้ว ๆ ๆ .. ทักทายคนอื่นบ้างก็ได้นะยะ” เสียงของคนในก๊วนต่างส่งเสียงแซวผมกันใหญ่ ทั้งสาว ๆ หนุ่ม ๆ เดินเข้ามาหาผมพร้อมกับถามคำถามมากมายในตอนที่ผมอยู่ในเกมการแข่งขัน ผมจึงเปิดประเด็นการสนทนาอยู่บนห้องคลาสเต้นราวสี่ชั่วโมงโดยที่ไม่มีใครลุกไปไหนเลยแม้แต่คนเดียว
“เอ้อแก! ฉันลืมบอกแกไปเลยว่ะ ว่าคนนี้ก๊งค์เราจะมีงานโคลเวอร์ที่ได้เงินมหาศาลเชียวล่ะ” ยัยน้ำเปรี้ยว เพื่อนสาวอีกคนของผม พูดอย่างออกท่าทางอย่างเมามันส์ ชีแอ๊กติ้งได้ตลอดเวลาสิน่า
“ที่ไหนอ่ะ?”
“คฤหาสต์เก่าแก่ วันนี้เป็นการต้อนรับลูกชายของท่านนักการเมืองหญิงของเมืองไทย เขาบอกว่าต้องการกลุ่มโคลเวอร์ของเราเพื่อเปิดตัวเรียดเสียงเฮฮาเป็นกลุ่มเลยนะ เริดใช่ไหม?” น้ำเปรี้ยวมองหน้าของผมอย่างจริงจังก่อนที่เธอจะวาดฝันไปถึงไหนแล้ว
“เขาบอกว่าให้เอานายไปด้วยนะ ... ถ้าไม่มีนาย พวกเขาจะไม่จ้างพวกเราไปโคลเวอร์ เพื่อแลกกับเงินหนึ่งแสนบาทกับเวลาแค่ชั่วโมงเดียว” โค๊กมองหน้าของผมอย่างเขินอาย
ทำไมต้องเป็นผม ถ้าไม่มีผมคนในวงจะไม่ได้เงินและจะชวดโอกาสที่จะแสดงความสามารถของตัวเองออกมา แต่ผมก็อยากจะพักผ่อนร่างกายที่เหนื่อยล้าของผมเหมือนกันนี่นา --!
“ไปนะ ... เราไปด้วยกัน” โค๊กจับมือของผมอย่างที่เขาไม่เคยแสงดท่าทางแบบนี้มาก่อน ... ผมรู้สึกตกใจเล็กน้อยจิงตอบตกลงไปโดยที่ไม่ได้คิดอะไรเลย ....
และมันก็เป็นเหตุให้ผมต้องมานั่งคิดอยู่ตรงนี้คนเดียว บนรถที่กำลังมุ่งหน้าไปยังสถานที่จัดงานรื่นเริง บ้านหลังใหญ่โตที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าพร้อมกับผู้คนมากมายที่เดินจวักไขว่อยู่ที่สนามหญ้าสีเขียว พร๊อพและอาหารมากมายถูกวางเรียงรายอย่างสวยงามสมกับเป็นงานเลี้ยงของนักการเมืองหญิงจริง ๆ
“คิดอะไรอยู่ล่ะ ลงไปสูดอากาศข้างนอกกันเถอะ” น้ำเปรี้ยวในชุดเดรสสีขาวสบาย ๆ ผมที่ดัดเป็นรอนถูกมัดอย่างเด็กสาววัยใส สองมือของเธอลากผมลงมาจากรถตู้ ผมมองเวทีที่ผมต้องขึ้นแสดง ซึ่งในตอนนี้มีนักไวโอลินกำลังโชว์เพลงอย่างไพเราะ ผมค่อย ๆ เดินเข้าไปในงานนั้นอย่างช้า ๆ พร้อมกับมองไปรอบ ๆ อย่างหวั่น ๆ
ทำไมงานนี้จำเป็นต้องมีผม ... ถ้าไม่อย่างนั้นคนในวงจะพลาดเงินอย่างน่าเสียดาย ....
ผมว่ามันไม่ธรรมดาซะแล้ว!
ความคิดเห็น