ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Reality 5 .: อาถรรพ์หมู่บ้านน้ำค้าง :. [จบเกม!]

    ลำดับตอนที่ #111 : REALITy .:: DUFf's STORy ::.

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 305
      1
      1 ธ.ค. 53

    THe REALITy 5


    [WEEK 8 :: DUFf ’s STORy]


     

    ตอนนี้เป็นเวลายามเย็นแล้ว ... ผมยืนมองผู้คนที่เดินกันให้ขวักไขว่บนท้องถนนที่กำลังแล่นกันอย่างวุ่นวาย เสียงนกหวีดและการจราจรบนท้องถนนช่างดุน่าเบื่อทุกครั้งที่ผมมองมัน ถ้าให้เลือกได้ ผมคงอยากจะกลับไปที่หมู่บ้านน้ำค้างอีกครั้ง ผมไม่อยากจะต้องมาเห็นสภาพชีวิตของคนเมืองใหญ่ที่พลุกพล่านแบบนี้

     

    สะพานพุทธตอนนี้บรรยากาศในฤดูหนาวกำลังได้ที่ ลมเอื่อย ๆค่อย ๆ พัดเข้ามาปะทะที่ใบหน้าของผมและกลุ่มเพื่อนที่เต้นโคลเวอร์มาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ๆ .... พวกเราอยู่ในชุดของ Tuxido สีขาว

     

    ไม่เหมาะใช่ไหมที่การแต่งตัวของผมในวันนี้จะมายืนชมวิวบนสะพานพุทธได้ .... ผมยังคงมองออกไปที่แม่น้ำที่เริ่มจะเป็นสีดำเพราะแสงจากดวงอาทิตย์ที่เริ่มจาลาลับท้องฟ้าไป

     

    ผมควรจะทำอย่างไร ... จะไปงานนี้กับเพื่อน ๆ หรือว่าจะกลับไปนอนสบาย ๆ พักผ่อนอยู่ในห้องของผมเอง ....

     

    ผมชื่อดัฟ วรท คงวิริยกุล หมายเลขประจำตัวของผู้เล่นเกมคือหมายเลข 14 ถ้าจะถามว่าเกมที่ผมไปเล่นมาเป็นยังไงน่ะเหรอ ...

     

    ถ้าให้เล่าวันนี้คงไม่หมดหรอก!

     

    “พี่ดัฟ .. จะไปกันยัง?” เด็กหนุ่มอายุต่างจากผมหนึ่งปีตะโกนเรียกผม ผมหันไปมองก่อนที่จะพยักหน้าเบา ๆ และหยิบกระเป๋าสะพายเพื่อไปรวมกลุ่มกับเพื่อน ๆ

     

    ไปเต้นโคลเวอร์เพลงเกาหลีให้กับงานเลี้ยงต้อนรับให้การกลับมาของลูกชายนักการเมืองหญิงผู้โด่งดังมากที่สุดในกรุงเทพตอนนี้เลยก็ว่าได้ .....

     

    ผมคิดถูกแล้วใช่ไหมที่จะไปสนุกกับเพื่อน ๆ และไม่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ นั่นคือการพักผ่อนและอยู่ห้องสบาย ๆ ซักสองสามวัน ....

     

    ย้อนกลับไปตอนที่ผมอยู่บนมินิบัสคันสีเหลืองในช่วงตอนกลางวัน

     

    “ลุง .. จอดตรงนี้แหละครับ!” ผมตัดสินใจให้ลุงคนขับรถมินิบัสของรายการเกมกระชากวิญญาณจอดรถตรงสี่แยกไฟแดงที่รถกำลังติดหนาแน่น

     

    “แต่ว่ายังไม่ถึงบ้านของคุณเลย ...”

     

    “ไม่เป็นไรครับ ผมจะแวะลงไปทำธุระสักหน่อย แล้วผมจะกลับบ้านเอง ....”

     

    ลุงขับรถมองหน้าของผมกลับมา แต่แกก็ไม่ได้พูดอะไรมากนอกจากกดประตูเลื่อนของรถมินิบัสสีเหลืองอร่ามให้เปิดออก ผมยกมือไหว้ก่อนที่จะเดินลงมายังถนนกว้างใหญ่

     

    ปรี๊นนนนนน!!!

     

    บรื้นนนนนน!!!

     

    เสียงของแตรจราจรและเสียงของเครื่องยนต์ที่เร่งเครื่องกันอย่างเอาเป็นเอาตายดังอยู่บนถนนสายหลักในกรุงเทพ ผมไม่อยากจะต้องมาทนกับความน่าลำคาญของการจราจรในกรุงเทพนี่ซักเท่าไร

     

    ผมหอบเป้ใบเล็กของผมมาไว้ที่อกก่อนที่จะเดินข้ามถนนและเดินผ่านซอยเล็ก ๆ มาสองซอยจนถึงสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่ผมคุ้นตามันเป็นอย่างดี

     

    TDC Dancing .....

     

    “หวังว่าพวกแกคงยังอยู่นะ” ผมอมยิ้มน้อย ๆ ก่อนที่จะเดินเข้าไปด้านในโรงเรียนสอนเต้นที่ผมและเพื่อน ๆ ได้รวมตัวกันตั้งกลุ่มเต้นออกตระเวนล่าเงินและถ้วยมานักต่อนักแล้ว

     

    กระดิ่งกระทบกับประตูที่ออกแรงเปิดจนส่งเสียงดัง หากแต่ว่าด้านในกลับเงียบสนิท จนผมไม่แน่ใจว่าจะมีคนอยู่ในนี้เลย มันมืดมาก ....

     

    “ไปไหนกันหมดนะ?” ผมเลิกคิ้วหนึ่งข้างก่อนที่จะวางกระเป๋าเป้นั้นลง ก้นนั่งลงบนโซฟาสีฟ้าสดใส ช่างสบายอะไรแบบนี้นะ

     

    นิตยสารถูกวางอยู่บนตะกระจก หนึ่งในนั้นมีหน้าปกนิตยสารขายดีฉบับหนึ่งที่วางหลาเด่นสง่าพร้อมกับพรีเซ็นเตอร์ที่ผมรู้จักเขาเป็นอย่างดี

     

    เพราะว่าเขาเป็นเพื่อนที่ร่วมฝ่าฟันปัญหามาด้วยกันกลับพวกเราทั้งหมดที่เหลืออยู่

     

    เก๋เก๋ ... !!

     

    กึ้งงงง!!

     

    เสียงบางอย่างทำให้ผมหลุดออกมาจากห้วงภวังค์ของความคิด สองตาของผมเริ่มมองไปทั่วทั้งโรงเรียนที่เงียบสงัดนี้

     

    ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเวลากลางวันก็ตามทีเถอะ มองไปมองมา ที่นี่ก็ดูวังเวงชอบกลแฮะ ...

     

    ผมเริ่มกวาดสายตามองไปทั่วทั้งบริเวณนั้น หากแต่ว่าไม่ยักจะมีเสียงอะไรที่เล็ดลอดผ่านหูของผมมาอีกเลย

     

    สงสัยจะหูฝาด!

     

    ในขณะที่ผมกำลังจะสะบัดความคิดนั้นออกไปจากหัวของผม จู่ ๆ เสียงประหลาดก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง แต่หากว่าครั้งนี้เสียงนั้นดังอยู่บนชั้นสองของโรงเรียนซึ่งเป็นพื้นที่เอาไว้สำหรับเข้าคลาสเต้นของทางโรงเรียนนี้

     

    ชักจะมีอะไรไม่ชอบมาพากลหรือเปล่านะ ...

     

    ผมพยายามมองหาอาวุธที่อยู่ใกล้มือที่สุด ในโรงเรียนสอนเต้นที่เป็นตึกอาคารพาณิชย์ธรรมดา ๆ จะมีอะไรได้นอกจากไม้กวาดด้ามแข็งถนัดมือแค่หนึ่งอันเท่านั้น

     

    ผมกำมันไว้ให้แน่นมือก่อนที่จะค่อย ๆ เดินขึ้นไปตามทางเดินที่พอจะเห็นแสงสลัวจากด้านนอกของแสงอาทิตย์ สองเท้าของผมพยายามขึ้นไปบนชั้นสองให้ระมัดระวังและเบาที่สุดในสามโลก ....

     

    และแล้วผมก็ก้าวมาถึงหน้าห้องของคลาสเต้นนี่จนได้ ....

     

    มือที่ผมไม่ได้จับไม้กวาดเอาไว้นั้นค่อย ๆ เปิดประตูเลื่อนของห้องเต้นอย่างช้า ๆ และให้เกิดเสียงดังที่น้อยที่สุด ไม่อย่างนั้นบางอย่างที่ทำให้เกิดเสียงดังมันอาจจะหายไปก็ได้ .....

     

    มาวันแรกผมต้องเล่นเกมแมวจับหนูซะแล้วเหรอ!!

     

    ปุ้ง ๆ ๆ !!!

     

    ยังไม่ทันที่ผมจะเริ่มทำอะไรไปมากกว่านี้ เสียงบางอย่างก็ดังขึ้นจากทางด้านหลังของผม เสียงของพลุกระดาษที่ถูกจุดขึ้นพร้อมกับแสงไฟที่เริ่มเปิดจ้าพร้อมกับการปรากฏตัวของเพื่อนมากมายที่ออกมาตามที่ซ่อนของตน

     

    และหนึ่งในนั้นก็เดินเข้ามาหาผม ....

     

    “ดีใจที่นายกลับมา ....” เสียงของชายหนุ่มที่ฟังดูสดใส หากแต่สายตาของเขากลับไม่มองหน้าของผมเลย ....

     

    เขาชื่อ โค๊ก .... เป็นเพื่อนที่ผมสนิทที่สุด จนตอนนี้ผมได้ล้ำเส้นของคำว่าเพื่อนไปเรียบร้อยแล้วล่ะครับ

     

    “ดีใจที่ได้เจอหน้านายเป็นคนแรกเหมือนกัน ” ผมพูดอย่างกล้าๆกลัวๆก่อนที่จะสวมกอดเด็กหนุ่มเอาไว้ในอ้อมอกของผม .... มันช่างอุ่นจริง ๆ เนอะ

     

    “พอแล้ว ๆ ๆ .. ทักทายคนอื่นบ้างก็ได้นะยะ” เสียงของคนในก๊วนต่างส่งเสียงแซวผมกันใหญ่ ทั้งสาว ๆ หนุ่ม ๆ เดินเข้ามาหาผมพร้อมกับถามคำถามมากมายในตอนที่ผมอยู่ในเกมการแข่งขัน ผมจึงเปิดประเด็นการสนทนาอยู่บนห้องคลาสเต้นราวสี่ชั่วโมงโดยที่ไม่มีใครลุกไปไหนเลยแม้แต่คนเดียว

     

    “เอ้อแก! ฉันลืมบอกแกไปเลยว่ะ ว่าคนนี้ก๊งค์เราจะมีงานโคลเวอร์ที่ได้เงินมหาศาลเชียวล่ะ” ยัยน้ำเปรี้ยว เพื่อนสาวอีกคนของผม พูดอย่างออกท่าทางอย่างเมามันส์ ชีแอ๊กติ้งได้ตลอดเวลาสิน่า

     

    “ที่ไหนอ่ะ?”

     

    “คฤหาสต์เก่าแก่ วันนี้เป็นการต้อนรับลูกชายของท่านนักการเมืองหญิงของเมืองไทย เขาบอกว่าต้องการกลุ่มโคลเวอร์ของเราเพื่อเปิดตัวเรียดเสียงเฮฮาเป็นกลุ่มเลยนะ เริดใช่ไหม?” น้ำเปรี้ยวมองหน้าของผมอย่างจริงจังก่อนที่เธอจะวาดฝันไปถึงไหนแล้ว

     

    “เขาบอกว่าให้เอานายไปด้วยนะ ... ถ้าไม่มีนาย พวกเขาจะไม่จ้างพวกเราไปโคลเวอร์ เพื่อแลกกับเงินหนึ่งแสนบาทกับเวลาแค่ชั่วโมงเดียว” โค๊กมองหน้าของผมอย่างเขินอาย

     

    ทำไมต้องเป็นผม ถ้าไม่มีผมคนในวงจะไม่ได้เงินและจะชวดโอกาสที่จะแสดงความสามารถของตัวเองออกมา แต่ผมก็อยากจะพักผ่อนร่างกายที่เหนื่อยล้าของผมเหมือนกันนี่นา --!

     

    “ไปนะ ... เราไปด้วยกัน” โค๊กจับมือของผมอย่างที่เขาไม่เคยแสงดท่าทางแบบนี้มาก่อน ... ผมรู้สึกตกใจเล็กน้อยจิงตอบตกลงไปโดยที่ไม่ได้คิดอะไรเลย ....

     

    และมันก็เป็นเหตุให้ผมต้องมานั่งคิดอยู่ตรงนี้คนเดียว บนรถที่กำลังมุ่งหน้าไปยังสถานที่จัดงานรื่นเริง บ้านหลังใหญ่โตที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าพร้อมกับผู้คนมากมายที่เดินจวักไขว่อยู่ที่สนามหญ้าสีเขียว พร๊อพและอาหารมากมายถูกวางเรียงรายอย่างสวยงามสมกับเป็นงานเลี้ยงของนักการเมืองหญิงจริง ๆ

     

    “คิดอะไรอยู่ล่ะ ลงไปสูดอากาศข้างนอกกันเถอะ” น้ำเปรี้ยวในชุดเดรสสีขาวสบาย ๆ ผมที่ดัดเป็นรอนถูกมัดอย่างเด็กสาววัยใส สองมือของเธอลากผมลงมาจากรถตู้ ผมมองเวทีที่ผมต้องขึ้นแสดง ซึ่งในตอนนี้มีนักไวโอลินกำลังโชว์เพลงอย่างไพเราะ ผมค่อย ๆ เดินเข้าไปในงานนั้นอย่างช้า ๆ พร้อมกับมองไปรอบ ๆ อย่างหวั่น ๆ

     

    ทำไมงานนี้จำเป็นต้องมีผม ... ถ้าไม่อย่างนั้นคนในวงจะพลาดเงินอย่างน่าเสียดาย ....

     

    ผมว่ามันไม่ธรรมดาซะแล้ว!

     




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×