ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ Fic SJ Yaoi ] • LOVE NEEDING • ( BumHyuk , KangTeuk )

    ลำดับตอนที่ #10 : LOVE NEEDING - 10

    • อัปเดตล่าสุด 1 ธ.ค. 51


    TITLE :: LOVE NEEDING - 10
     
    COMPLE :: BumHyuk , KangTeuk
     
    STORY BY :: Tachibazaki
     
     
     
    ===================================
     
     
     
    คิบอมเอาแต่นั่งเล่นเกมส์อยู่ในห้องของซองมินมาตั้งแต่สามชั่วโมงที่แล้วและยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด โดยมีเจ้าของห้องร่วมอย่างมักเน่คยูฮยอนนั่งเล่นด้วยอีกคน
     
    ซองมินนั่งมองสองคนที่เอาแต่เล่นเกมส์อะไรก็ไม่รู้ที่ซองมินไม่ค่อยเข้าใจอยู่บนเตียง หลับบ้าง ตื่นบ้าง แต่ในวันนี้ร่างเล็กคิดว่าไม่มีอะไรจะน่าทำไปกว่าการนั่งเฉยๆอีกแล้วหลังจากเหนื่อยมาตลอดตั้งแต่เช้าจนถึงเย็น
     
    "ซองมิน หิวหรือยังครับ" คยูฮยอนวางจอยสติกลงข้างลำตัวหลังจากเล่นเกมส์ผ่านด่านไปอีกด่านนึงแล้วหันมาถามคนรัก อีกคนพยักหน้าครั้งเดียวแล้วคลี่ยิ้ม
     
    "แต่ไม่มากหรอก เล่นไปก่อนก็ได้" ถึงจะพูดอย่างงั้นก็เถอะ แต่พอคยูฮยอนเริ่มหยิบจอยสติ๊กที่เพิ่งวางไปขึ้นมาอีกครั้ง ร่างเล็กก็แอบน้อยใจไม่ได้
     
    "ฮั่นแน่ ล้อเล่นหรอกน่า หิวใช่ไหม เดี๋ยวไปเอาอะไรมาให้กินนะ" น้องเล็กหันมายิ้มแปล้หลังจากแกล้งซองมินให้น้อยใจเล่นได้ ซองมินตีไหล่ร่างสูงไม่แรงนักไปหนึ่งทีก่อนที่คยูฮยอนจะหันมาถามคิบอมที่ถูกลืมไปชั่วขณะว่าอยากกินอะไรไหม พออีกคนส่ายหน้าร่างสูงก็ลุกออกไปหยิบของกินตามที่เจ้าตัวบอกไว้
     
    "ทีหลังไปเล่นเกมส์ห้องอื่นดีกว่า อยู่ห้องนี้เดี๋ยวจะเป็นเบาหวาน" คิบอมกด pause เกมส์ไว้เพื่อรอคยูฮยอนที่ไปปฏิบัติหน้าที่คนรักดีเด่นแห่งปีแล้วละจากจอโทรทัศน์มาคุยกัดซองมินแทน
     
    "อิจฉาล่ะซิ"
     
    "ก็ไม่มีอะไรต้องอิจฉานี่" คิบอมพูดพร้อมหัวเราะอย่างอารมณ์ดีกับคำยอกย้อนของรุ่นพี่ร่วมวง จะว่าอิจฉาก็มีบ้างแหละนะ เค้าเองก็อยากคอยดูแลใครสักคน อยากทำหน้าที่นี้เหมือนที่คยูฮยอนคอยทำให้พี่ซองมินอย่างไม่มีขาดตกบกพร่องเช่นกัน
     
    "ก็มีแฟนเป็นของตัวเองเร็วๆซิ"
     
    "นี่.. พี่ซองมิน"
     
    "ว่าไง"
     
    "ผมว่าช่วงนี้ทงเฮดูแปลกๆ.." คิบอมหยุดคำพูดไว้เท่านั้น แต่ซองมินก็เข้าใจ
     
    คิบอมสังเกตว่าสองสามวันที่ผ่านมานี้ ทงเฮไม่ได้อยู่กับฮยอกแจบ่อยๆเหมือนเมื่อก่อน เวลาเจอเค้าอยู่กับฮยอกแจก็ไม่ได้โวยวายหรือเข้ามาขัดขวางอย่างที่เคยทำ ทงเฮเพียงแต่เมินหน้าไปทางอื่นแล้วรีบเดินไปจากบริเวณนั้น
     
    บางครั้งก็แอบเห็นฮยอกแจทำหน้าเศร้าเพราะโดนเมิน มันก็อดคิดไม่ได้ว่าสองคนนี้จะทะเลาะอะไรกันรึเปล่า
     
    แต่อย่างทงเฮกับฮยอกแจนะหรือจะทะเลาะกัน
     
    ถ้าป็นทงเฮคนเดิม คนที่กล้าพูดกล้าทำ โวยวายหาเรื่อง เค้าคงจะรู้สึกดีกว่านี้เวลาเข้าใกล้ฮยอกแจ แต่เพราะทงฮกลายเป็นแบบนี้เค้าก็เลยพลอยไม่กล้าเข้าใกล้ร่างเล็กนั่นไปด้วย
     
    "บางทีทงเฮอาจต้องใช้เวลาคิดอะไรบ้าง" จบคำพูดของซองมินก็เป็นเวลาเดียวกับที่คยูฮยอนเปิดประตูห้องเข้ามาพร้อมกับของเต็มมือ ทั้งน้ำ ขนม แถมด้วยถ้วยบรรจุข้าวผัดที่ซองมินทำไว้เมื่อเช้าจนเต็ม (เนื่องจากเมื่อเช้ามีเด็กบางคนในวงงอแงว่าอยากกินข้าวผัดแล้วฮันคยองก็ยังไม่กลับมาจากจีน ซองมินเลยรับอาสาทำให้)
     
    ซองมินลุกขึ้นไปช่วยร่างสูงถือขวดน้ำที่อีกคนใช้แขนหนีบเอาไว้และใกล้จะหล่นเต็มที
     
    "คุยเรื่องซีเรียสกันอีกล่ะซิ หน้าเครียดเชียว"
     
    "ก็ไม่เชิง" คิบอมพูดตอบหลังจากอีกคนกลับมานั่งหน้าจอโทรทัศน์ข้างๆกันเรียบร้อยแล้ว
     
    "ก็เห็นคุยกันแต่เรื่องเดิมๆ เรื่องที่นายกับทงเฮหอบมาปรึกษาซองมินก็ไม่พ้นเรื่องคนที่ชื่ออีฮยอกแจ"
    "ทงเฮมีอะไรให้ต้องปรึกษา"
     
    "เป็นความลับของลูกค้า บอกไม่ได้เว่ย" คิบอมทำเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจแล้วเอาหมอนที่วางอยู่ใกล้ตัวที่สุดฟาดไปที่หน้าหล่อๆนั่นไม่แรงนัก คยูฮยอนหัวเราะร่าผิดกับซองมินที่ทำหน้าไม่ถูกเมื่อคิบอมหันมาหมายหัวอีกคน
     
    ทำไงได้ละคิบอม ทงเฮมันก็เพื่อนพี่นี่นา
    แต่พี่ก็เชียร์นายนะคิบอม อย่ามองหน้ากันแบบนั้นซิ TT^TT
     
    "จะอยากรู้ไปทำไม รู้ไปก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะพวกนายมันซื่อบื่อ"
     
    "ไม่เอาน่าคยู" ซองมินปราม
     
    "ชั้นว่าเรื่องนี้ไม่ยากหรอก แค่ใครซักคน นายหรือทงเฮก็ได้เลิกชอบฮยอกแจไปซะ หรือไม่ก็ชอบกันเอง จะได้เป็นคิเฮอย่างที่แฟนคลับเค้าเชียร์กันอยู่ไปเลยไง ดีมั๊ย?" เห็นอยู่ชัดๆว่ามุขนี้ไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไหร่เพราะไม่มีใครขำ มีแต่คยูฮยอนที่บ่นอุบเมื่อคิบอมใช้เกมส์เป็นเครื่องแก้แค้น ตัวที่คยูฮยอนใช้ต่อสู้กับตัวของคิบอมเมื่อกี้ลงไปนอนหมอบบนพื้นอย่างหมดสภาพ
     
    "ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ชั้น แต่ปัญหามันอยู่ที่สองคนนั้นต่างหากเล่า" คิบอมวางจอยสติ๊กลงอย่างแรงแล้วลุกขึ้น "ความจริงชั้นเองก็เหนื่อยแล้ว"
     
    ร่างสูงทิ้งท้ายแล้วเดินออกไปจากห้องโดยไม่หันมามองหน้าไหนอีก
     
     
    "แรงไปหน่อยนะเนี่ย" ซองมินหันมาค้อนไอ้ตัวต้นเหตุ อีกคนกลับทำหน้าเฉยๆ
     
    "ก็มันน่าเบื่อนี่หน่า ไอ้สามคนนี้มันเอาแต่เล่นสงครามจิตวิทยากันอยู่ได้"
     
    "แต่คิบอมกับทงเฮก็ไม่ผิดนิ ถ้าจะผิดก็ผิดที่ความซื่อบื้อของคนกลางนี่แหละ" ซองมินเอ่ยพร้อมกับนึกถึงฮยอกแจ เค้ากับฮยอกแจไม่ได้คุยกันจริงจังมานานแล้ว ส่วนทงเฮก็ไม่พูดอะไรเลย ตอนนี้เค้าเลยไม่รู้สถานการณ์ของสองคนนี้มากนัก
     
     
     
    ……………………………………………..
     
    ………………………
     
     
     
    อีกทึกไม่รู้ว่าที่คังอินบอกว่าเข้าใจนั้น คังอินเข้าใจว่าอะไร
     
    เพราะหลังจากวันนั้น คนที่อีทึกเรียกว่า "เพื่อนสนิท" อย่างคังอินก็กลายเป็นคนถามคำตอบคำ ไม่สนใจเรื่องที่เกี่ยวกับตัวเองเหมือนเมื่อก่อน
     
    เมื่อวันก่อนตอนที่นั่งกินข้าวกันอยู่ อีทึกจำได้ว่าอาหารเมนูในวันนั้นส่วนใหญ่เป็นเมนูที่คังอินชอบกิน ร่างบางจึงหวังดีตักอาหารให้ซึ่งปกติแล้วคนที่เป็นฝ่ายถูกตักอาหารให้น่าจะเป็นตัวเองเสียมากกว่า อาจเป็นเพราะเค้าเองต้องการจะทำดีกับอีกคนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อชดเชยที่เค้าทำให้คังอินเสียใจ
     
    แต่ผลที่ได้...
     
    "ขอบคุณครับพี่"
     
    ไม่เพียงแต่อีทึกเท่านั้นที่ชะงักช้อนแล้วทำหน้าตกใจกับคำที่ได้ยิน แต่คนรอบข้างที่ได้ยินคำพูดนั้นก็ดูจะแปลกใจไม่แพ้กัน
     
    พี่....
     
    อีทึกจำไม่ได้แล้วว่าเคยได้ยินคำพูดนี้จากปากคังอินครั้งสุดท้ายตอนไหน
     
    รู้แต่ว่ามันนานมากพอที่จะทำให้อีทึกเคยชินกับการที่อีกคนเรียกตัวเองว่า "อีทึก" หรือ "จองซู" เฉยๆไปแล้ว
     
    หลังจากแยกย้ายกันหลังทานอาการเรียบร้อย ฮยอกแจที่ดูจะรู้ตื้นลึกหนาบางของเรื่องนี้เป็นอย่างดีจึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง อีทึกเห็นว่าน้องเองก็รู้เรื่องมาไม่น้อยแล้ว (อาจจะมากกว่าตัวเค้าเองด้วยซ้ำ) จึงเล่าให้ฟังอย่างไม่ปิดบัง
     
    แต่ก็ไม่ได้บอกฮยอกแจไปด้วยว่าหัวใจของตัวเองวูบโหวงเพียงใดที่ถูกอีกคนปฏิบัติเหินห่างเช่นนี้
     
    "ผมคงว่าพี่ไม่ได้ ในเมื่อสิ่งที่พี่เลือกไม่ใช่พี่คังอิน ถึงแม้ผมจะคิดว่ามันออกจะใจร้ายไปหน่อยก็เถอะ" ฮยอกแจขมวดคิ้ว อีทึกคิดว่าเจ้าตัวเล็กที่นั่งจ้องหน้าเครียดๆมาทางเค้านี่คงแอบต่อว่าเค้าในใจน่าดู
     
    ที่ตัวเองทำคนอื่นเจ็บล่ะไม่ยักคิด
     
    การที่ฮยอกแจบอกปัดความรู้สึกของเค้ากับการที่เค้าบอกให้คังอินตัดใจ มันไม่เห็นต่าง
    แต่ตอนที่ฮยอกแจปฏิเสธความรักของเค้า ฮยอกแจมีความรู้สึกเสียใจมากมายขนาดนี้อย่างที่เค้าเป็นอยู่เมื่อต้องปฏิเสธคังอินบ้างไหมหนอ..
     
    "แล้วจะให้พี่ทำยังไง"
     
    "มาถึงตอนนี้คงทำอะไรไม่ได้แล้ว เวลาเท่านั้นแหละที่จะช่วยทำให้พี่คังอินดีขึ้น" ฮยอกแจลุกขึ้นจากเก้าอี้ช้าๆ แล้วหันมามองหน้ารุ่นพี่อีกครั้ง "พี่ไม่ต้องคิดมากหรอก"
     
    ความจริงอีทึกตั้งใจจะพูดอะไรบางอย่างแต่เนื่องจากฮยอกแจไม่สนใจด้วยซ้ำว่าเค้าจะพูดจะรู้สึกอย่างไร อีทึกเลยได้แต่มองตามแผ่นหลังนั้นไปเงียบๆ
     
    ไม่ยักรู้ว่าตอนนี้ฮยอกแจกลายเป็นน้องรักคังอินไปเสียแล้ว
     
     
     
    ฮยอกแจเองก็ไม่เข้าใจเหตุผลมี่ตัวเองขุ่นเคืองอีทึก ทั้งๆที่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องของตัวเองแล้วอีกอย่าง..เค้าเองไม่มีสิทธิ์ไปโกรธพี่อีทึกได้เลยมิใช่หรือ
     
    ทำไมเหตุการณ์ระหว่างเค้ากับพี่อีทึกมันช่างหายไปจากใจอย่างง่ายดายจนเกือบลืมไปแล้วว่าครั้งนึงรุ่นพี่คนนั้นเคยบอกว่ารักเค้านักหนาแท้ๆ
     
    นั่นเพราะอีกคนไม่ได้แสดงท่าทีเสียอกเสียใจอะไรเลย และไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้นกันอีก
    แล้วดูท่าตอนนี้พี่อีทึกคงจะไม่มีพื้นที่สมองไว้คิดเรื่องของเค้าเสียแล้ว ในเมื่อตอนนี้คนคนนั้นเอาแต่คิดมากเรื่องพี่คังอินจนไม่เป็นอันกินอันนอน
     
    ฮยอกแจเปิดประตูเข้าไปในห้องแต่พบว่ามีอีกคนอยู่ในห้องนั้นก่อนแล้ว ซึ่งอีกคนก็ทำท่าจะเดินออกจากห้องทันทีเมื่อฮยอกแจเดินเข้าไปนั่งลงบนเตียง
     
    "อยู่กับชั้น อึดอัดมากเลยหรอ" เสียงของคนตัวเล็กไม่ได้มีท่าทีว่าโกรธหรือใส่อารมณ์ แต่เป็นเสียงที่ติดออกจะเศร้าจนทงเฮต้องหันมามองทั้งที่ตั้งใจจะเดินออกไปโดยไม่ทัก
     
    "ต้องทนมากใช่มั๊ย" ฮยอกแจเหมือนจะเหลืออด ความกังวลที่สะสมทำให้ตัวเองร้องไห้ออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
     
    ทงเฮมองภาพตรงหน้าแล้วต้องถอนใจยาว เค้าไม่รู้จะทำอย่างไรดี
    เมื่อเข้าใกล้ก็สับสน พอออกห่างก็สงสาร
    สิ่งที่เค้าต้องทำคืออะไรกันแน่
     
    ทงเฮลงไปคุกเข่าตรงหน้าร่างเล็กที่ร้องไห้อยู่เงียบๆโดยไม่หลุดเสียงสะอื้นออกมาให้ได้ยินแล้วกุมมือเล็กนั่นไว้
     
    "ฮยอกแจ ออกไปเดินเล่นข้างนอกกันมั๊ย"
     
     
    ..................................
     
     
    เสียงเพลงดังแผ่วเบามาจากที่ไหนซักแห่ง คงเพราะตอนนี้ใกล้จะถืงเทศกาลวันคริสมาสแล้วบรรยากาศรอบตัวของทั้งสองคนจึงเต็มไปด้วยต้นคริสมาสกับไฟกระพริบตกแต่งร้าน ไหนจะสายรุ้งหลากสีนั่นอีก แต่ทงเฮไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านั้นมากนักอีกคนก็เช่นกัน
     
    ตั้งแต่ออกมาจากบ้าน ฮยอกแจกับทงเฮยังไม่ได้มีโอกาสพูดกันซักคำ ทงเฮเพียงเดินไปเรื่อยๆส่วนฮยอกแจก็เพียงแต่เดินตามอีกคนไปเท่านั้น
     
    ทงเฮสวมหมวกไหมพรมสีทึบปิดลงให้เห็นวงหน้าสีสว่างนั้นไม่มากบวกกับผ้าพันคอที่ดึงขึ้นสูงจึงไม่เป็นที่สนใจมากนัก แต่ด้วยความที่เป็นคนรูปร่างหน้าตาดูดีอยู่แล้วจึงไม่วายจะมีคนหันมองอย่างเหลียวหลังบ้างในบางคราว ส่วนร่างเล็กข้างๆแต่งตัวคล้ายๆกัน เพียงแต่สีเสื้อผ้าดูเป็นสีสดใสเหมาะกับเจ้าตัวผิดกับทงเฮที่ใส่เสื้อผ้าสีโทนทึบ
     
    ตอนนี้คงดึกมากแล้ว เพราะร้านหลายร้านเริ่มเก็บของและปิดร้าน ทงเฮหันมองคนข้างๆด้วยความวูบโหวงลึกๆ
     
    "ไปนั่งตรงนั้นมั๊ย" ทงเฮชี้ไปที่ม้านั่งข้างต้นไม้ตรงข้ามกับร้านหนังสือที่ปิดไปแล้ว แต่แสงไฟกระพริบจากหน้าร้านยังส่องแสงไปมาดูสวยงาม
     
    ร่างเล็กไม่ตอบ แต่เดินนำหน้าตรงไปยังม้านั่งนั้นก่อนแล้วนั่งลง อีกคนเดินตามมาแล้วนั่งลงข้างๆอย่างเงียบๆ
     
    "ทงเฮ จะเมินกันอีกนานไหม" ไม่ต้องเสียเวลาซักนาที ฮยอกแจก็เปิดฉากอย่างตรงประเด็นไม่อ้อมค้อม
     
    "ไม่หรอก วันนี้วันสุดท้ายแล้ว"
     
    "ทำไมต้องเมินกันด้วย ถ้าชั้นทำผิดอะไรทำไมนายไม่บอกกันดีๆ ตอนนี้เราเป็นอะไรกัน นายจำไม่ได้แล้วเหรอ"
     
    "เราไม่เคยเป็นอะไรมากกว่าเพื่อนกัน แล้วคงไม่มีวันเป็นแล้วด้วย"
     
    "ทงเฮ ชั้นไม่เข้าใจ นายอยากให้เราเป็นแฟนกันชั้นก็เลยเป็นแฟนนาย แล้วตอนนี้นายกลับพูดแบบนี้.."
     
    "ฮยอกแจ นายชอบคิบอมมากมั๊ย"
     
    "............................."
     
    "เวลาไม่เจอกัน นานคิดถึงเค้ามากรึเปล่า เวลาเค้าป่วย นายกังวลมากไหม อยากถามเค้าไหมว่าเป็นยังไงบ้าง เวลาเค้ามีปัญหา นายก็จะกลุ้มใจไปกับเค้าใช่รึเปล่า" ทงเฮเอาแต่พรั่งพรูความรู้สึกของตนเองออกมา หากว่าฮยอกแจรู้สึกแบบนี้กับคิบอมเหมือนที่ทงเฮกำลังรู้สึกกับฮยอกแจ ก็แสดงว่าฮยอกแจรักคิบอมอย่างไม่ต้องคาใจอีกต่อไป
     
    "............................."
     
    "แล้ว... เวลานายอยู่กับคิบอม นายมีความสุขมากเลยใช่ไหม"
     
     
     
    "อืม"
     
     
    เสียงฮยอกแจตอบมาอย่างแผ่วเบา แต่มันกลับชัดเจนมากในความรู้สึก
    ในที่สุดวันที่เค้าหมดเหตุผลที่จะรั้งตัวฮยอกแจไว้ก็มาถึง...
     
     
     
    "งั้น......."
     
    ทงเฮมองหน้าอีกคนอย่างเจ็บปวดโดยที่ฮยอกแจยังเป็นฮยอกแจที่ไม่รู้ความรู้สึกของคนรอบข้างเช่นเคย ทงเฮจับใบหน้าเล็กนั่นไว้นิ่งแล้วเลื่อนใบหน้าของตัวเองเข้าไปใกล้ จูบซับปากบางนั้นเพียงชั่วอึดใจจนฮยอกแจยังไม่ทันได้ตั้งตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่ได้ผลักไสใดๆทั้งสิ้น ได้แต่เบิกตาโพลงให้อีกคนจูบเอาง่ายๆ
     
    "เราเลิกกันนะฮยอกแจ"
     
    "..ทะ...ทำไม"
     
    "เพราะเราไม่ได้รักกันน่ะซิ คนที่เป็นแฟนกันเค้าต้องรักกันรู้มั๊ย" ทงเฮรู้สึกได้ว่าเสียตัวเองสั่นมากด้วยความที่กลั่นความรู้สึกไว้อย่างยากลำบาก แต่ไม่คิดว่าจะได้สัมผัสน้ำใสๆตรงบริเวรแก้มทั้งสองข้างของตนเอง
     
    "ทงเฮ" เมื่อเห็นทงเฮร้องไห้ ฮยอกแจไม่ได้ถามซอกแซกให้มากความ ไม่ได้ต่อว่าการกระทำเมื่อครู่ของอีกคน ฮยอกแจเพียงดึงทงเฮเข้ามากอดไว้เท่านั้น
     
    "ทงเฮ ถ้าเราเลิกกัน นายจะเสียใจเหรอ" ร่างเล็กเอามือลูบหลังทงเฮขึ้นลงด้วยความรู้สึกสับสน
     
    "อืม"
     
    "มากมั๊ย"
     
    "มากมากเลย"
     
    "งั้นเราจะเลิกกันทำไมล่ะ ชั้นไม่อยากเห็นนายเสียใจ"
     
    "แต่ถ้าเราไม่เลิกกันวันนี้ วันต่อไปชั้นจะเสียใจมากกว่านี้อีกหลายเท่าเลยนะ นายไม่อยากให้ชั้นเสียใจไม่ใช่เหรอฮยอกแจ.."
     
    "อืม....."
     
    "งั้นต่อจากนี้ไป ฮยอกแจ กับ ทงเฮ จะเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมนะ"
     
    แม้ในใจฮยอกแจยังลังเล แต่ถ้านี่เป็นสิ่งที่ทงเฮเลือกและคิดว่าดีที่สุดแล้ว เค้าก็ไม่อยากขัดใจเพื่อนอีกต่อไป "อืม.."
     
     
     
    .............................................
     
     
    .............................
     
     
     
                ในขณะเดียวกันนั้น ซีวอนกับฮันคยองที่เพิ่งกลับมาจากประเทศจีนก็กลับถึงที่พัก ทั้งสองคนหอบกระเป๋าสองสามใบแล้วมุ่งหน้าไปที่ห้องนอนของตนเอง (อันที่จริงแล้วเป็นซีวอนคนเดียวที่ทั้งลากทั้งหิ้วกระเป๋าทั้งหมดโดยไม่ให้ฮันคยองได้มีโอกาสใช้แรงเลย) แต่พอเปิดประตูเข้าไป นอกจากไฟที่ควรจะปิดอยู่จะสว่างไปทั่วห้องแล้ว ยังเจอวัตถุที่รูปร่างเหมือนมนุษย์ที่ชื่อคังอินนอนอยู่บนเตียงของฮันคยองอีกด้วย
               
    "นี่ผมเข้าห้องผิด หรือพี่ละเมอเนี่ย" ซีวอนพูดพร้อมกวาดตามองไปรอบๆห้อง หมอนข้าง ผ้าห่ม หมอน ของกิน ปัจจัยการอยู่อาศัยครบถ้วนเหมือนมาอยู่หลายคืนแล้วเลยนะ
     
    "ก็น่า ไหนๆพวกนายก็ไม่อยู่ ชั้นก็กลัวห้องมันจะว่างเลยมานอน"
     
    "เมื่อก่อนไม่เห็นจะสน เป็นตายยังไงก็ต้องนอนกะอีทึก"
     
    "ไม่ต้องพูดมากน่า ซีวอนกลับไปนอนบ้านนายไป เอาฮันคยองไปนอนด้วยก็ได้ ชั้นจะนอนห้องนี้" ถึงแม้ประโยคของคนจีนเมื่อครู่จะทำสีหน้าคังอินสลดไปบ้าง แต่เพียงแป๊ปเดียวก็กลับมาโวยวายเหมือนเดิม       
     
    "ได้ไงล่ะ เพิ่งกลับมาเหนื่อยๆนะ พี่นั่นแหละกลับไปนอนห้องเดิมเลย"
     
    "เออๆๆ ไปก็ได้ ไม่อยากเป็นก้างขวางคอแกหรอกซีวอน"         
     
    คังอินทำท่างอนเหมือนเด็กๆพลางหอบข้าวของของตัวเองที่ขนมายึดที่นี่อยู่หลายวันจนฮันคยองอดขำไม่ได้ ก่อนออกไปยังไม่วายเอากำปั้นต่อยไหล่แน่นๆของซีวอนไปอีกหนึ่งที
     
    "ช่วงที่เราไม่อยู่ เราต้องพลาดเรื่องอะไรไปแน่เลย" ฮันคยองพูดพร้อมกับเปิดกระเป๋า ทะยอยเอาของในนั้นออกมาเก็บเข้าที่
     
    "ก็น่าจะเป็นเรื่องหัวหน้าวงของเราแหละมั้ง ทำเอาพี่คังอินเร่ร่อนไม่เป็นที่แบบนี้" ซีวอนยักไหล่ แล้วลงมือช่วยอีกคนเก็บของ
     
     
     
                เมื่อไม่มีทางกลับไปนอนที่ห้องเดิมแน่ๆ คังอินจึงเลือกใช้โซฟาในห้องนั่งเล่นเป็นที่พักผ่อนในคืนนี้เหมือนที่สมาชิกหลายๆคนเคยทำมาแล้ว หลังจากจัดแจงวางหมอนกับผ้าห่มเรียบร้อยก็ลุกขึ้นไปปิดไฟ แต่ความเพียรพยายามที่จะนอนหลับกลับไม่เป็นผล
     
    ผ่านไปสองชั่วโมง คังอินก็ยังคงลืมตาอยู่ในความมืด
     
    ชั่วโมงที่แล้ว คังอินต้องจำใจตื่นขึ่นมาไปหนึ่งรอบเพราะฮยอกแจกับทงเฮเพิ่งกลับมาจากข้างนอก เมื่อทงเฮถามถึงสาเหตุที่พี่ชายต้องออกมานอนข้างนอกห้องฮยอกแจก็รีบเปลี่ยนเรื่องเพื่อไม่ให้คังอินลำบากใจที่ต้องตอบ พร้อมกับชวนให้เข้าไปนอนในห้องด้วยกัน แต่เจ้าตัวกลับบอกไปว่าไม่อยากรบกวน อีกอย่างอยากจะนอนคิดอะไรคนเดียวด้วย
     
    แล้วก็ยังไม่หลับอีกเลยจนถึงตอนนี้...
     
    พอนอนไปซักพักก็ได้ยินเสียงคนเปิดประตูแว่วมา ร่างหนาจึงรีบแกล้งหลับตาทำเป็นว่าหลับแล้ว เผื่อใครออกมาแล้วเกิดอยากรู้อีกว่าทำไมเค้ามานอนตรงนี้จะได้ไม่ต้องตอบ
     
    ไม่กี่อึดใจ คังอินก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่เพิ่มขึ้น คงมีคนเอาผ้าห่มอีกผืนมาห่มให้เพิ่มจากผืนเก่าที่บางเกินกว่าจะต้านทานความหนาวในคืนนี้
     
    "คังอิน" แม้เสียจะเบาแค่ไหนแต่คังอินก็จำได้ทันทีว่าเสียนี้คือใคร
     
    อีทึกรู้ว่าคังอินไปนอนที่ห้องฮันคยองตลอดหลายวันมานี้ พอวันนี้ซีวอนเดินมาบอกที่ห้องว่ากลับมาจากจีนแล้วอีทึกก็นึกเป็นห่วงว่าวันนี้คังอินจะไปนอนที่ไหน
     
    พอแอบเปิดประตูออกมาดูก็เจออีกคนนอนอยู่ที่นี่จริงๆจึงเอาผ้าห่มมาห่มให้
     
    "คังอิน...." ร่างบางเอามือทั้งสองข้างของตนลูบใบหน้าคนที่คิดว่าหลับไหลอย่างคิดถึง ไม่นานน้ำตาก็ไหลจากดวงตาคู่สวยอย่างง่ายดาย
     
    ทุกคืนที่คังอินไม่อยู่ คือทุกคืนที่อีทึกต้องร้องไห้
     
    ร่างบางนั่งร้องให้อยู่เงียบๆพักใหญ่โดยไม่รู้ว่าอีกคนไม่ได้หลับอย่างที่เข้าใจ และคิดว่าคงหลับไม่ได้อีกในตลอดคืนนี้แน่ๆ
     
    "นายจะเป็นแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่" อีทึกซบลงกับโซฟาที่คังอินนอนอยู่ เสียสะอื้นดังเข้าหูคังอินเป็นระยะบ่งบอกว่าอีทึกทุกข์ใจกับเรื่องนี้แค่ไหน
     
    แต่คังอินก็ทำแค่เพียงหลับตา แล้วปล่อยให้ความมืดกลืนกินน้ำตาของตัวเองไปโดยไม่ให้อีกคนได้รับรู้....
     
     
     
     
    TBC ~*
     
     
     
     
    Talk :: มาต่อจนได้
     
    แอบหายไปนานชาติอีกแล้ว อันนี้ต้องขอโทษจริงๆ (มีคนแอด MSN มาทวงเลยทีเดียว 55)
     
    เนื่องจากเรื่องนี้ใกล้จะจบเต็มที (จิงเรอะ?) ก็เลยกะว่า ตั้งแต่ตอนหน้าเป็นต้นไปจะเริ่มตอบคอมเมนต์บ้างแระ คนอ่านกะคนแต่งจะได้สนิทกันมากขึ้นอีกนิด ^ ^
     
    เวลาคอมเมนต์ ความจริงเราไม่ค่อยอยากให้คนอ่านเมนต์เดาเหตุการณ์ล่วงหน้า เพราะบางทีเดามาถูก มันก็ทำให้เราเสียฟิวไปเหมือนกัน แบบ.. ถ้ารู้แล้ว ก็ไม่ลุ้นแล้วซิ หรือไม่เราก็จะรู้สึกว่า ไม่อยากแต่งให้เหมือนกับที่คนอ่านเดามา มันเหมือนไปลอกความคิดเค้าถึงจะคิดเองมาก่อนก็เหอะ อะไรงี้อ่ะ (ไม่รู้จะเข้าใจเราป่าว T^T)
     
    ใครที่ห่วงว่าทงเฮของเราจะไม่มีคู่ หายห่วงได้เลย ยังไงก็มีคู่แน่ๆล่ะเพราะคิดไว้ตั้งแต่จะดึงทงเฮเข้ามาเกี่ยวในเรื่องนี้แล้ว เพียงแต่ว่าจะเป็นคู่ที่ชอบรึเปล่านี่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ^ ^” ติดตามความรักของทงเฮแบบเต็มๆได้ในตอน Special จ๊า
     
    สปอยมาเยอะ มีความคิดเห็นติชมอะไรก็เต็มที่เลยจ๊ะ แล้วจะมาตอบคอมเมนต์ตอนหน้าน๊า~
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×