ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Odd & Even : รักต้องลุ้นของยัยจอมจุ้นกับนายซูเปอร์สตาร์

    ลำดับตอนที่ #4 : #4#

    • อัปเดตล่าสุด 7 เม.ย. 50


    #4#

     

              ยัยหัวขโมย!!!!”

    อะไรเนี่ย ทำไมอีตาขอทานคนนี้ถึงมาหาว่าฉันเป็นขโมยได้เล่า? ศีรษะมีหมวกฟางสวมอยู่เลยเห็นหน้าไม่ชัด ส่วนเสื้อก็เป็นชุดแบบชาวนาสีเทาแต่ว่าโทรมๆหน่อย ขอทานท่าทางยโสแบบนี้ดูจะเกินกว่าเป็นแค่ขอทานซะแล้วแฮะ แถมเสียงก็เหมือนเพิ่งจะเริ่มแตกหนุ่มซะด้วย แย่จริงๆ เป็นเด็กเป็นเล็กมาทำตัวเป็นขอทาน แล้วยังมาหาว่าฉันเป็นหัวขโมยอีกอย่างงั้นเหรอ น้อยๆหน่อยเถอะ!

     

              อะไร ใครขโมยอะไรใคร พูดให้มันดีๆหน่อยสิ

    ฉันยืนค้ำหัวตานั่น แต่ความสูงไม่อำนวยเลยต้องเดินขึ้นบันไดไปสองขั้นถึงจะสำเร็จ เฮอะๆ

     

                นั่นมันกุญแจบ้านฉัน!! เอาคืนมานะ!!”

     

              บ้านนาย? ขอทานอย่างนายมีบ้านด้วยรึไง??”

    ฉันไม่ใช่คนใจร้ายหรอกนะ ปกติฉันออกจะเป็นคนใจดี แต่ฉันไม่ชอบเลยที่มีคนมาหาเรื่องกันก่อนน่ะ แบบนี้ต้องตาต่อตา มือต่อมือเฟ้ย!!!

    (ไม่อยากใช้คำว่าฟันต่อฟันเพราะยังไม่อยากถูกฟันค่ะ ฮี่ๆๆๆ)

     

                เธอจะดูถูกฉันเกินไปแล้วนะ! ไม่เคยดูโฆษณาเหรอ อย่าดูคนแต่ภายนอก!”

     

              แล้วนายจะให้ฉันคืนกระเป๋าเอกสารมูลค่าพันล้านกับหมาข้างถนนรึไง!!”

     

              เอ๋? เดี๋ยวนะ นี่เธอหาว่าฉันเป็นหมาข้างถนนงั้นเหรอ?

     

              อะไรล่ะ ก็แล้วไม่ใช่หรือยังไง?

     

              ให้มันน้อยๆหน่อยนะยัยเด็กปากเสีย เอาของๆฉันคืนมาเดี๋ยวนี้!!!”

     

              ว่าไงนะ!! ขอทานอย่างนายไม่มีสิทธิมาสั่งคนอย่างฉัน!! อีกอย่างฉันโตแล้วนะ!”

     

                ทำเป็นพูดดี ถ้าพ่อเธอเป็นขอทานเธอก็ต้องฟังพ่อเธอถูกไหม?

     

              ไม่ถูก!! เพราะพ่อของฉันไม่ใช่ขอทาน!”

     

              เอ๊ะ! ยัยบ้านี่นิ เอากระเป๋ากุญแจฉันคืนมานะ!!!”

     

              ไม่คืนว้อย! นายมีหลักฐานอะไรว่านายเป็นเจ้าของกระเป๋าใบนี้ นี่มันเมด อิน อิตาลีเชียวนะ

     

              ฉันเป็นลูกครึ่งอิตาลี แค่นี้ก็ดูไม่ออกเหรอยัยโง่!”

     

    หา!! ขอทานโทรมๆอย่างนี้เนี่ยนะลูกครึ่งอิตาลี ฉันเพ่งมองหน้าเขาให้ชัดๆ แต่เขากลับหลุบหมวกฟางนั่นลงมาปิดหน้า เอ๊ะ! นี่มันโกหกกันหน้าด้านๆเลยนี่นา หน็อย ไอ้คนไม่มีหัวนอนปลายเท้า!

     

              ใครมันจะไปดูออกกันเล่า เอาหมวกออกไปก่อนสิ

     

              มะ...ไม่ได้!”

     

              เห็นไหม นายโกหกฉัน ไม่งั้นคงไม่ทำตัวน่าสงสัยแบบนี้หรอก

     

              ไม่ได้โกหกนะ! ฉันเป็นเจ้าของกระเป๋ากุญแจใบนั้นจริงๆ

     

              นายไม่ได้เป็นลูกครึ่งอิตาลีด้วยใช่ไหม?

     

              ใช่ เอ๊ย ไม่ใช่ๆ ฉันไม่ใช่ลูกครึ่งแต่ก็เกือบๆนั่นแหละ

    เกือบๆอะไรฟะ แม่นายเกือบท้องกับหนุ่มอิตาลีรึไง ชิ!

     

              ไปหาข้อพิสูจน์มาว่านายเป็นเจ้าของกระเป๋าใบนี้จริงๆแล้วฉันจะคืนให้

    ฉันยื่นคำขาดให้กับบุคคลข้างหน้า ดูเขาเหมือนจะอึ้งๆไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดเบาๆว่า

     

                ฉันจะพิสูจน์อะไรให้เธอได้ล่ะ ในเมื่อแม่เพิ่งจะยื่นให้ฉันเมื่อสามชั่วโมงที่แล้วนี่เอง

     

              อะไรนะ?

     

              ก็หมายความว่าฉันไม่รู้น่ะสิว่าข้างในนั้นมันมีอะไรอยู่บ้างนอกจากกุญแจบ้านน่ะ

     

              อ้าว งั้นนายก็บอกมาสิว่าอันไหนมันกุญแจบ้านของนาย

    ฉันเปิดกระเป๋าออกมา เหล็กที่ใช้ร้อยลูกกุญแจแต่ละลูกส่องแสงระยิบระยับแข่งกับแสงของดวงอาทิตย์ ทั้งๆที่ร้อนตับจะแตกขนาดนี้ แต่แก้มของหมอนั่นกลับซีดเผือด หึๆ ใกล้จะจนมุมแล้วสินะ ไอ้คนขี้จุ๊!

     

              ฉะ... ฉันไม่รู้

    เขาก้มหน้าพูดเบาๆ

     

                ว่าไงนะ?

     

              ฉันไม่รู้จริงๆ!!!”

    หมอนั่นตะเบ็งเสียงดังเชียว ฮึ้ย~!! กะจะประชดฉันรึไงเนี่ย

     

                เอางี้ ไว้นายหาหลักฐานได้เมื่อไหร่ให้กลับมาที่นี่ ส่วนฉันจะมารอทุกๆหกโมงเย็น

    ฉันบอกแล้วว่าฉันไม่ใช่คนใจร้าย เห็นหมอนั่นทำไหล่ตกแบบนี้ก็น่าสงสารเหมือนกันนะ

     

    แต่ยังไงเราก็ยังวางใจไม่ได้! บนโลกนี้มีแต่สังคมที่อันตรายและเต็มไปด้วยความหลอกลวง  ยังไงซะฉันก็จะไม่ยอมเสี่ยงให้กระเป๋ากุญแจล้ำค่าตกไปอยู่ในมือคนชั่วๆอย่างเด็ดขาด ใครจะไปรู้ถ้าเกิดหมอนี่แอบเอาไปทำอะไรที่ไม่ดีไม่งาม เผลอๆ ถ้ามันอ้างว่าเป็นเจ้าของกุญแจ แต่จริงๆแล้วมันจะเอาไปรับรางวัลตอบแทนคนเดียวล่ะก็ แบบนั้นยิ่งยอมไม่ได้เข้าไปใหญ่เลยล่ะ

     

    แล้วเธอจะให้ฉันทำยังไงล่ะ ไม่มีกุญแจฉันก็เข้าบ้านไม่ได้นะ!”

    มุกนี้ดีนี่ แต่ใช้กับคนใจแข็งแบบฉันไม่ได้ผลหรอกย่ะ

     

                ก็นอนข้างถนนไปดิ ไม่เห็นเป็นอะไรเลย

     

              เป็นสิ!!”

    หมอนั่นทำเสียงเครียด เอ๋ ฉันชักไม่แน่ใจซะแล้วสิว่าฉันทำถูก

     

                ทำไมล่ะ?

    เขาสูดหายใจลึกๆก่อนจะถอดหมวกฟางออก ฉันช็อคไปแปดวิ

     

                นายน์!!!!!

    เอ๋ๆๆๆๆ???? หรือว่าไม่ใช่? แต่เหมือนกันมากเลยนะ เว้นแต่ว่า ตาเป็นสีดำสนิท....

     

                แสดงว่าที่พี่มหาลัยกลุ่มเมื่อกี๊กรี๊ดกันก็.....

     

              ใช่

    เขาถอนหายใจดังเฮือก ก่อนจะค้อนมาทางฉันอย่างหงุดหงิด ถึงหน้าตาจะเหมือนกันแต่นิสัยไม่ใช่เลยแฮะ นายน์ตัวจริงออกจะน่ารักสดใส แต่หมอนี่ดูมึนๆง่ะ

     

                เอาล่ะฉันพอจะเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้างแล้ว

     

              งั้นเธอก็จะคืนกระเป๋ากุญแจให้ฉันอย่างนั้นใช่ไหม?

    หมอนั่นยีกยิ้มกว้าง ตาเปล่งประกายระยิบระยับ

     

                ไม่!!!”

    เขาทำหน้าหงิกก่อนจะหยิบหมวกฟางขึ้นมาใส่ต่อ พลางส่งสายตาตัดพ้อมาที่ฉัน เออ รู้แล้วว่าหน้าเหมือนดารา อย่ามาทำให้หลงจะได้ไหมเนี่ยยย!!!

     

              ทำไมเธอต้องแกล้งฉันด้วยล่ะในเมื่อรู้แล้วว่าฉันเป็นใคร

     

              รู้อะไร นายแนะนำตัวกับฉันตั้งแต่เมื่อไหร่

     

              เอ๊ะ! ก็เธอบอกว่าพอจะเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้วนี่นา?

     

              ฉันเข้าใจว่านายคงเป็นเด็กที่ไหนก็ไม่รู้ บังเอิญหน้าตาคล้ายดาราคนนึง

    เลยต้องใส่หมวกฟางปิดบังหน้าตาตัวเองตลอด แล้วบังเอิญพี่มหาลัยพวกนั้นเห็นนายตอนถอดหมวกฟาง

    เลยหลงนึกว่านายน่ะ เป็นดาราปลอมตัวมา ก็เลยวิ่งไล่ตามอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ที่ไหนได้ ดันไม่ใช่ตัวจริง

    พี่ๆเขาเลยปล่อยนายออกมาที่นี่เหมือนเดิม แล้วนายก็บังเอิญมาเห็นฉันที่สำรวจหาเจ้าของกระเป๋าใบนี้อยู่

    เลยกะจะสวมรอยแทน นั่นน่ะแหละที่ฉันเข้าใจ

     

    ฉันทำตาดุๆใส่เขา จากที่มองเมื่อกี๊คงเด็กกว่าฉันสองสามปี ตบตาพี่ไม่ได้หรอกน้องเอ๋ย หมอนั่นจ้องหน้าฉันด้วยสีหน้าที่บรรยายไม่ถูก อ้าปากค้างอยู่อย่างนั้น อึ้งล่ะสิท่า เป็นคราวซวยของนายแล้วล่ะที่มาเจอคนฉลาดๆอย่างฉัน เชอะ!

     

                อะไรของเจ๊เขาฟะ

    หมอนั่นเริ่มเอามือกุมหัวพลางบ่นออกมาให้ฉันได้ยิน

     

                ทำไม อึ้งไปเลยล่ะสิท่า เถียงไม่ออกเลยใช่ไหมล่ะ! ทีนี้บอกมาได้แล้วว่านายเป็นใครกันแน่

     

              โธ่เว้ย! ฉันน่ะนะ....

    จู่ๆไอ้บ้านี่ก็ตวาดขึ้นมาเอานิ้วโป้งจิ้มที่อกตัวเองแล้วค้างไว้แค่นั่น เมิงเป็นอะไรของเมิง.. กรุกลัวนะ แง......

     

                ชายหนุ่มยิ้มที่มุมปากแว่บหนึ่งเหมือนกับจะนึกอะไรขึ้นมาได้ น่าเสียดายที่สาวน้อยตรงหน้าไม่ได้รู้อะไรด้วยเลยสักนิด เพราะเธอกำลังเอามืออุดหูแล้วหลับตาปี๋เหมือนกำลังจะถูกใครตบอย่างไรอย่างนั้น

     

                ฉันปรือตาขึ้นมามองนิดนึงก่อนจะเห็นผู้ชายตรงหน้าส่งยิ้มกว้างมาให้ มันเป็นโรคจิตรึเปล่าฟะ ไม่น่ามายืนเถียงกับมันเลยฉัน

     

                ขอโทษนะที่ทำให้ตกใจ เธอพูดถูก แล้วก็ฉันคิดวิธี....พิสูจน์...ได้แล้วล่ะ

    เขากลอกตาขึ้นบนฟ้าเมื่อพูดถึงคำว่าวิธี มันทำให้ดูน่าสงสัยแต่เธอไม่ใส่ใจเลยสักนิด ก็ตอนนี้ความกลัวมันพุ่งเข้ามาอย่างกับคลื่นไมโครเวฟ(มองไม่เห็นแต่สัมผัสได้ ฮี่ๆๆๆ)

     

                อา...พีช.... แกทิ้งฉันไปอยู่ไหนวะเนี่ย กรุโมโหแล้วนะ... ไอ้พีช... กลับมาเถอะ... กรุกลัวอ่า ฮือ...

     

     

                ให้ฉันไปที่บ้านเธอหน่อยสิ

    เขาทำท่าน่ารัก ฉันไม่หลงกลหรอกน่า นายมันน่ากลัวมากกว่าพี่การ์ดเวลาไม่ได้ดูบอลเยอะเลย

     

                ไม่ได้ค่ะ แม่บอกไม่ให้คนหน้าแปลกเข้าบ้าน...

     

              หน้าแปลกตรงไหน ฉันออกจะหล่อเหมือนดารา ดูสิ ดูๆๆๆ

    เขายื่นหน้าเข้ามาแล้วจิ้มแก้มตัวเองไปมา

     

                เอ่อ... แต่เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อนนะคะ

    แหม เจอกันครั้งแรกจะให้พาเข้าบ้านไปหาแม่ซะแล้ว เร็วไปมั๊งคะคุณ ฮือๆๆๆๆๆ

     

                เธอชื่ออะไรล่ะ

    เขานั่งยองๆมองขึ้นมาหาฉัน ยอมรับนะว่านายนี่หน้าตาเหมือนสุดที่รักของฉันโคตรๆ หวั่นไหวๆ

     

                ดะ....ไดซ์ ค่ะ

     

              งั้นเหรอ ฉันชื่อเก้านะ ยินดีที่ได้รู้จัก

     

              อะ อื้อๆๆๆ

    โห แม้แต่ชื่อยังคล้ายกันเลยแฮะ ( nine=9 )ฉันพยักหน้า งงๆ หมอนี่มาไม้ไหนอีกล่ะเนี่ย

     

                ทีนี้เราก็รู้จักกันแล้วนะ พาไปที่บ้านหน่อยสิ แล้วจะพิสูจน์ให้ดูว่าฉันเป็นเจ้าของกระเป๋ากุญแจใบนั้น

    กรรม หลงกลมันอีกแล้วฉัน โอ้มายก็อด~!!!!

     

              นายจะพิสูจน์ยังไง

    ฉันถามกลัวๆ ในหัวเริ่มคิดไปต่างๆนาๆ ถ้าถึงบ้านแล้วมันมาปล้นล่ะ แล้วถ้าเกิดว่ามันจับฉันข่มขืน หรือว่าพาพวกมาเผาบ้านฉันทิ้ง ฉันจะทำยังไงล่ะเนี่ย

     

                ก็จะโทรศัพท์ไปถามแม่ฉันน่ะสิว่ากุญแจดอกไหนเป็นกุญแจบ้าน เสร็จแล้วเธอก็ตามฉันมาดู ว่ากุญแจที่ฉันใช้น่ะ ใช่กุญแจบ้านจริงๆรึเปล่า

    เออสิ ตามไปให้แกฉุดฉันเข้าพุ่มไม้ข้างทางรึไงเล่า โห ไอ้บ้านี่นิ

     

                ฉันว่าฉันไม่ดีหรอก

     

              ทำไม กลัวฉันจะทำอะไรเธองั้นเหรอ?

    อึก แทงใจดำเต็มๆเลยอ่ะ มันรู้ได้ไงฟะ เอื๊อกก..!!!

     

              ไม่ต้องห่วง ฉันชอบผู้หญิงใจดี แล้วก็...มีหน้าอก!!!”

     

    ….เงียบ....

     

                เฮ้อ...งั้นก็โล่งอกไปทีนะ!”

    ฉันยิ้มให้เก้าอย่างเป็นมิตร ถ้าหมอนั่นหมายความตามนั้นจริงๆฉันก็ไม่ต้องกลัวว่ามันจะทำอะไรงั้นสินะ โล่งใจๆ ดีจริงๆที่เกิดมามีอกแค่นี่ ฮี่ๆๆๆ

    ส่วนเก้าน่ะเหรอ แทนที่จะทำท่าดีใจที่ฉันคุยด้วยดีๆ ตานี่กลับถอยหลังไปสามก้าว แล้วเบิ่งตาโตมองฉันเหมือนกับว่าฉันเป็นฆาตรกรโรคจิตงั้นแหละ

     

                ถอยไปทำไมล่ะ เอ้าตามมาสิ ยิ่งร้อนๆอยู่ด้วย รีบๆเดินละกันนะ

    ฉันยิ้มให้ก่อนจะเดินนำออกมาจากหน้าร้านไอติม เรื่องพีชน่ะเหรอ มันปล่อยให้ฉันรอตั้งชั่วโมง ใครมันจะไปรอต่อเล่า นี่มันบินไปซื้อไอติมที่สวิสรึไงเนี่ย

     

                เก้าเดินตามหลังไดซ์มาห่างๆ เขามองด้านหลังผู้หญิงตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ บางทียัยนี่ก็เหมือนจะเข้าใจอะไรยาก แต่บางทีก็เข้าใจได้ง่ายดาย แล้วไหนยังจะเปลี่ยนอารมณ์ได้ว่องไวปานลมกรด เธอเป็นคนที่ไม่เหมือนผู้หญิงทั่วๆไปเลยสักนิด เรียกว่ายังไงดีล่ะ...

     

    ไดซ์เป็นคนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว...อื้ม! ใช่แล้วล่ะ ในที่สุดเขาก็หาคำตอบให้กับพฤติกรรมประหลาดๆของไดซ์ได้ แต่แล้วเขาก็ต้องเปลี่ยนความคิดไปอีกนิดหน่อย...

     

                ว้าย~!! หมาน้อย~!!!”

    เธอกอดหมอนในมือพลางจ้องไปที่ลูกหมาขี้เรื้อนที่เดินโซเซอยู่ข้างถนน เก้าเบ้หน้ามองหมาขี้เรื้อนอย่างขยะแขยง แต่ไดซ์ดูเหมือนจะไม่รังเกียจเลยสักนิด ทำเอาเขาหงุดหงิดขึ้นมาเหมือนกัน

                หมาขี้เรื้อนไม่รังเกียจ แต่ดันรังเกียจคนแต่งตัวซอมซ่ออย่างเขาเนี่ยนะ!!!

    เขาหยุดเว้นระยะห่างกับเธอไป50เมตร รู้สึกว่าตัวเองดูต่ำต้อยลงไปอีก บ้าชะมัด!

     

              หิวใช่ไหมล่ะ ผอมโซเชียว...

    เธอมองซ้ายมองขวา แล้วตรงเข้าไปในร้านเซเว่น ส่วนเขาขออยู่รอดูหน้าร้านดีกว่า

     

                เอ้ากินกันเยอะๆนะ อย่าแย่งกันล่ะ

    เธอซื้อไส้กรอกแบบไม่ได้อุ่นมายี่สิบกว่าอัน ไม่เสียดายตังค์บ้างเลยรึไง เก้าคิดในใจก่อนจะเดินมาใกล้ๆ

     

                ทำไมไม่อุ่นให้มันบ้างล่ะ

    เก้านั่งยองๆมองน้องหมาขี้เรื้อนกินไส้กรอกกันอย่างเอร็ดอร่อย

     

                ให้มันกินของร้อนๆในวันร้อนๆเนี่ยนะ สงสารมันตายเลย

    ไดซ์นั่งลงข้างๆเก้า แต่เขากลับขยับตัวหนีออกไปเป็นวา เธอหันไปมองหน้าเขา งงๆ อะไรอีกล่ะเนี่ย?

     

                เธอรังเกียจไม่ใช่เหรอที่ฉันเหมือนขอทานน่ะ

     

              แล้วตกลงนายไม่ใช่งั้นเหรอ?

    เธอเท้าคางหรี่ตามองเขาอย่างจับผิด หนุ่มน้อยรู้สึกเสียใจที่ผู้หญิงคนนี้ให้ความสำคัญกับหมาขี้เรื้อนข้างถนนมากกว่ามนุษย์ร่วมโลกด้วยกันอย่างเขา ด้วยความรู้สึกที่อัดอั้นตันใจมาตั้งแต่ตอนที่ทะเลาะกันเมื่อครู่ เขาจึงระเบิดออกมาในที่สุด

     

                ไม่ใช่!!! บนโลกนี้คงมีแค่เธอคนเดียวแหละที่ไม่ยอมเชื่อฉัน เห็นคนเป็นอะไรที่ต่ำต้อย ยิ่งกว่าหมาข้างถนน เธอมันบ้า!!! งี่เง่า! เอาแต่ใจ! เห็นแก่ตัว! มั่วผู้ชาย!”

    แล้วเขาก็รีบตะครุบริมฝีปากตัวเองไว้ทันทีที่ด่าว่าเธอไปอย่างเสียๆหายๆ

     

                ไดซ์กลอกตาแบบไม่ใส่ใจเท่าไหร่แล้วลุกขึ้นปัดกระโปรงโดยที่ยังกำหมอนมินนี่เม้าส์ไว้

     

              นายอายุเท่าไหร่?

    เธอถามเขาสบายๆ ไม่มีทีท่าว่าจะโกรธเลยสักนิด

     

                อะ..เอ่อ...สิบห้า

     

              เหรอ ฉันนึกว่า13-14ซะอีก หน้าเด็กจังเลยเนอะ

     

              “…..”

    เก้าก้มหน้าอย่างรู้สึกผิด เธอก็ดีกับเขาแล้วนี่นา ทำไมเขาต้องไปด่าว่าเธอด้วยนะ ทั้งๆที่ยังไม่รู้จักเธอดีสักหน่อย...

     

                เก้า... ไดซ์อายุ17แล้วนะ เพราะฉะนั้นเก้าต้องเรียกไดซ์ว่าพี่ถึงจะถูก

    เธอพูดด้วยสีหน้าจริงจัง เขามึนงงไปหมด ทุกอย่างรอบตัวผู้หญิงคนนี้เหมือนจะหมุนไปเรื่อยๆ บางทีก็ช้า บางทีก็เร็ว เขาตามเธอไม่ทันเลยจริงๆ

     

                ฮะ...เอ่อ...ผมขอโทษฮะ....พี่....

    ไดซ์ยิ้มแก้มปริ รอบตัวเธอมีแต่คนทำตัวเป็นพี่ชาย เลยรู้สึกดีใจไม่น้อยที่มีรุ่นน้องกับเขาบ้าง...

     

                เก้าว่าพี่เมื่อกี๊คงไม่ได้ตั้งใจสินะ

     

              ฮะ

     

              มานี่สิ มาไกล้ๆ พี่จะเล่าอะไรให้ฟัง

    เธอเอียงคอพลางกวักมือหย็อยๆ เก้าเผลอเขถิบเข้ามาไกล้โดยไม่รู้ตัว ทั้งๆที่ปกติเขาเป็นคนที่มักจะมี ระยะห่างกับคนรอบข้างเสมอๆ ด้วยความที่สถานะของเขา... ไม่เหมือนคนปกติทั่วไป

     

                เรื่องอะไรฮะ...พี่?

     

              แหะๆ พี่ยังไม่ได้คิดชื่อเรื่องเลยอ่ะ

     

              โห นี่พี่กวนหรือว่าพูดจริงเนี่ย

     

              อันนี้พูดจริงๆนะ เขาบอกว่าถ้าลองจ้องตาแล้วจะรู้ว่าพูดจริงหรือพูดเล่น

     

              งั้นผมก็ต้องจ้องตาพี่น่ะสิ

    เขาพูดยิ้มๆ พลางจ้องหน้า พี่ไดซ์อย่างเอาเป็นเอาตาย

     

                ไดซ์มองใบหน้าที่เปื้อนฝุ่นควัน ถึงจะดูมอมๆ แต่เด็กคนนี้ก็น่ารักดีออก แต่ยิ่งดูเธอก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาเหมือนกับนายน์เอามากๆเลย เธอขยับหน้าเข้าไปใกล้หวังจะสังเกตให้ชัดๆ แต่เก้ากลับเอนตัวไปข้างหลังเรื่อยๆ จนหงายหลังล้มตึงลงไปซะงั้น

     

                เหวอ~!!!!”

     

                ฮะๆๆๆๆ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ

    ไดซ์กุมท้องหัวเราะจนตัวโยน ไม่ได้เห็นเลยว่าตอนนี้เก้าหน้าแดงไปจนถึงใบหูแล้ว หนุ่มหล่อของเราจ้องผู้หญิงข้างหน้าอย่างไม่เข้าใจ ทำไมกันนะ เวลาที่เหมือนกับจะเข้าใจเธอ กลับกลายเป็นว่าไม่ได้เข้าใกล้ความเป็นเธอเลยสักนิด นี่เป็นครั้งแรกที่เขานึกปฏิบัติตัวไม่ถูกเอาซะเลยจริงๆ….

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×