ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ..The Flowers Language Fiction Project..[TVXQ]

    ลำดับตอนที่ #4 : Purple Lilac

    • อัปเดตล่าสุด 21 ม.ค. 52






    นานเท่าไรแล้วนะ....ที่ในทุกๆวัน....ผมต้องมานั่งอยู่ที่ตรงนี้.....

    ....เพื่อลืม....

    ...ยาก... ผมรู้สึกได้ถึงคำนี้ มันประจักษ์ชัดในใจ ตั้งแต่ตอนแรกแล้วล่ะ

    ....ผมลืมไม่ได้....มันยากที่จะลืม....

    .

    .

    .

    .

    หลังจากที่ผมกลับมาถึงอเมริกา สิ่งแรกที่ผมทำทันทีคือ...ตัดผม...

    .....ใช่ฮะ ตัดผม.....

    เคยสงสัยเหมือนกันว่า ทำไมอกหักแล้วต้องตัดผม เพิ่งมาเข้าใจก็เมื่อได้เจอกับตัวเองเนี่ยแหละฮะ

    หลังจากที่เปลี่ยนทรงผมจากยาวประบ่ามาเป็นซอยสั้นเข้าทรง ไม่มีเพื่อนคนไหนเลยที่เข้ามาทักผมตั้งแต่แรกเห็น ทรงผมเปลี่ยนไป รูปลักษณ์ภายนอกก็เลยดูแปลกตาไปด้วย มีแต่คนบอกว่า หน้าเด็กลงเป็นกอง และหน้าตาก็ดูดุน้อยลงด้วย ดีฮะ ผมชอบ อย่างนี้สินะ คนที่อกหักถึงเลือกการตัดผมเป็นวิธีที่จะทำให้ตัวเองถูกมองเป็น.....คนใหม่.....

    แต่ใครจะรู้ล่ะฮะว่าถึงผมจะดูเป็นคนใหม่ แต่ภายในใจก็ยังคงเป็นคนเดิม ที่ยังคงวนเวียนคิดแต่เรื่องเดิม ถึงแม้ว่าวันเวลานับจากวันนั้นจะผ่านมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว แต่เรื่องราวเหล่านั้นกลับ

    ยากจะลบเลือนไปได้เลยชั่วชีวิต ยังคงตามหลอกหลอนภายในจิตใต้สำนึกอยู่ทุกคืนวัน ความรู้สึกผิดยังคงกัดกินหัวใจให้เจ็บช้ำอยู่ในส่วนลึกและรู้สึกหวาดกลัว

    ...กลัว ที่จะมีความรักอีกครั้ง...

    ...กลัว ว่าความรู้สึกแบบครั้งก่อนจะย้อนกลับมากลายเป็นประวัติศาสตร์ซ้ำรอย...

    ...กลัว ว่าตัวเองจะทำร้ายคนที่รักอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า...

    ...กลัว คนๆนั้นจะรับกับอดีตอันเลวร้ายของผมไม่ได้...

    แต่...ความปรารถนาในก้นบึ้งของจิตใจ ก็ยังคง...

    ....อยากที่จะมีรักครั้งใหม่ ที่เป็นดั่งรักครั้งแรก...

    ...รักครั้งแรก ที่เป็นความรัก.....อย่างแท้จริง...

    คนๆหนึ่งเคยบอกให้ผมทบทวนความรู้สึกของตัวเอง จนกระทั่งวันนี้ หัวใจของผมมันรู้สึกได้แล้วว่า ความรู้สึกในครานั้นมันอาจจะไม่ใช่ความรักก็เป็นได้

    เพราะ....ถ้ามันคือความรักจริงๆ...คนที่ผมรัก คงจะไม่ต้องเจ็บปวดเจียนตาย แต่ความรู้สึกในครั้งนั้น ผมก็ไม่รู้จะสรรหาคำใดมานิยามได้ ไม่อาจจะล่วงรู้หัวใจตัวเองได้เหมือนกัน แต่ที่รู้สึกชัดเจนที่สุดในตอนนี้คือ

    ....อึดอัด ทรมาน ตรงแถวๆหน้าอกด้านซ้าย....

    ตอนนี้ผมอยู่ที่ที่ใครก็บอกว่าเป็นดินแดนแห่งเสรีภาพอย่างแท้จริง จะว่าไปแล้วก็ถูกดังที่เขาว่ากัน อยากจะทำอะไร จะไปที่ไหน คิดยังไงก็แสดงออกมาแบบนั้น....อิสระสุดๆ....

    แต่ทำไม......หัวใจของผมมันถึงไม่เป็นไปตามนั้น มันเหมือนกำลังถูกพันธนาการจากบางสิ่งบางอย่างที่มองไม่เห็น ถูกกักขังไว้ไม่มีเสรีภาพใดๆเลย

    หรือว่า...ผมต้องแปลงร่างเป็นนก ทั้งตัวและหัวใจจะได้โบยบินอย่างอิสระไปได้ทุกที่

    หรือว่า...จะเป็นปลา...แหวกว่ายมุ่งหน้าสู่ทะเลผืนกว้างอันยิ่งใหญ่

    วันนี้อากาศดีนะฮะ รู้สึกสบายตัว แต่กลับป่วยที่หัวใจ อยากให้หัวใจมันปลอดโปร่งโล่งสบายเหมือนกับร่างกายบ้าง

    .....เฮ้อ อยากหลุดพ้น.....

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    "เฮ้ย!!! เหวอออออ!!!"

    ตุ้บ!!!

    "โอ๊ยยยยยยย!!!!"

     

     

    ~*~*~*~*~*

     

    Hello! My name is Ricky Park.

    No! Linkinpark.

    Yes, Ricky Park.

    หรือว่าจะเรียกตามชาติกำเนิดก็คือ ปาร์คยูฮวาน ฮะ ผมเป็นชาวเกาหลีโดยแท้ แต่ดันมาอาศัยที่อเมริกาตั้งแต่ยังเด็กๆ เพราะอะไรน่ะเหรอฮะ ไปถามพ่อแม่ผมดูสิฮะ (อ้าว! ไอ้เด็กนี่)

    ผมมีพี่ชายอยู่หนึ่งคนฮะ ชื่อ Mickey Park หรือว่า ปาร์คยูชอน เป็นพี่ชายที่ชื่อเหมือนตัวการ์ตูนหน้าหนู แต่ทำตัวเหมือนไก่ ชอบจิกกัดน้องชายตัวเอง เอ้า! อย่าไปสนใจเขาเลยฮะ พาร์ทนี้ไม่ใช่ของ Mickey พาร์ทนี้ผมเด่นนะฮะ อย่าลืม

    ตอนนี้ผมอยู่ปี 1 แล้วฮะ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ต (ที่จริงแล้วอยากเรียนคณะไสยศาสตร์และเวทมนตร์ศาสตร์ที่ฮอกวอร์ตมากกว่าฮะ หุหุ คนเรามีสิทธ์ที่จะคิดได้ไม่ใช่เหรอฮะ ก็ชอบอ่ะ มีไรป่ะ? แต่ผมก็ต้องหยุดคิดทันทีเมื่อเจอพี่ชายตัวเองทักอย่างน่ารักว่า...ถ้าจะประสาทนะแกน่ะ) ที่เลือกเรียนคณะนี้คงเป็นเพราะฝังใจมั้งฮะ ครอบครัวของผมไม่ค่อยจะสมบูรณ์แบบเท่าไร ผมก็เลยอยากจะมีบ้านที่สร้างด้วยมือของตัวเอง บ้านที่เรียกว่าบ้านได้อย่างเต็มปากเต็มคำ สัมผัสได้ทั้งรูปลักษณ์ภายนอกและหยั่งลึกไปถึงจิตใจ แต่ในความเป็นจริงตอนนี้ผมก็มีความสุขกับมันดีนะฮะ ถึงแม้ว่าไอ้คุณพี่ชายที่ชื่อน่ารัก แต่ทำตัวน่าถีบนั้น จะชอบหาเรื่องมาแหย่ผมได้ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แต่ผมก็รู้ว่าเขารักผมมาก พอๆกับที่ผมก็รักเขามากเหมือนกัน

    ความรักเหรอฮะ บ้า! ถามอะไรแบบนั้น เขินนะ

    .....ยังไม่มีหรอกฮะ..... (อ้าว!!!)

    ก็มีแต่ความรักที่ให้พ่อ แม่ พี่ชาย เจ้าหมาน้อย(แต่ตัวใหญ่) แล้วก็เพื่อนๆตัวแสบของผมเนี่ยแหละฮะ ส่วนความรักที่มีให้กับคนๆหนึ่ง(ซึ่งไม่รู้ป่านนี้ไปมุดหัวอยู่ที่ไหน) ยังไม่ได้คิดหรอกฮะ มาเมื่อไรก็เมื่อนั้นแหละเนอะ จะว่าไปแล้วผมก็มีคนที่ปลื้มอยู่เหมือนกันนะ ไม่บอกหรอกว่าใคร

    เคยคิดเล่นๆเหมือนกัน รักครั้งแรก ของตัวเองจะเป็นยังไงนะ จะเจอกันแบบไหน เขาจะหน้าตายังไง แล้วเราทั้งสองคนจะไปกันได้ด้วยดีมั้ย ที่สำคัญเขาคือใคร

    .....เหอะๆๆ คงได้แต่ร้องเพลงรอไปก่อน.....

    อากาศดีนะฮะ เจ้าจักรยานคันเก่งของผม มันก็พาผมไปเที่ยว ไปเรียน ไปเล่นตลอด วันนี้ก็เหมือนกันที่มันก็พาผมผ่านมาตรงสะพานนี้เป็นประจำ มีผู้คนผ่านไปผ่านมา ชมนก ชมไม้ ชมน้ำ ไปเรื่อย แต่วันนี้น่ะสิฮะ มันดันมีคนอุตริทำท่าจะกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย กางแขนเตรียมถลาลงน้ำซะแบบนั้น

    ไม่ได้การล่ะ พลเมืองดีอย่างพักยูฮวานต้องเข้าไปห้าม

    "เฮ้! ใจเย็นก่อนครับคุณ" ผมเข้าไปกระชากเขาลงมาทันที

    ตุ้บ!!!

    "โอ๊ยยยยยยย!!!!"

     

     

    ~*~*~*~*~*

     

    "โอ๊ยยยยย!!! / โอ๊ยยยยย!!!" สองเสียงของผู้ชายสองคนประสานกันร้องอย่างเจ็บปวด เมื่อร่างทั้งสองปะทะเข้ากับพื้นสะพานเกือบจะพร้อมๆกัน

    "คุณครับใจเย็นๆก่อนนะครับ ทุกอย่างมีทางแก้เสมอนะครับ อย่าจบปัญหาด้วยวิธีนี้เลย" ร่างเล็กของพลเมืองดีรีบยันตัวลุกขึ้น พร้อมกับมือเล็กจับบริเวณสะโพกที่ยังคงเจ็บอยู่ และพูดกับคนที่เขาช่วยทันทีที่ยืนได้แล้ว ด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกันชัดเจน

    "อะไรกันเนี่ย ใครจะฆ่าตัวตายแล้วนายมาดึงฉันลงทำไม" คนร่างสูงกว่ากำลังพยายามยันตัวลุกขึ้นเช่นกัน แต่ก็มีอาการไม่ได้ต่างจากร่างเล็กเท่าไร ใบหน้าที่ดูบึ้งตึงบ่งบอกได้เลยว่าไม่พอใจที่โดนขัดอารมณ์

    "ก็คุณไง คุณทำท่าเหมือนจะกระโดดลงไปในน้ำน่ะ ผมก็นึกว่าคุณจะคิดสั้น ก็เลยจะเข้าไปห้าม" ร่างเล็กโต้กลับทันควัน ก็เห็นอยู่ว่ากำลังจะมีคนตายต่อหน้า ไม่เข้าไปช่วยจะต้องรู้สึกผิดไปชั่วชีวิตแน่ๆ

    "ฉันเนี่ยนะจะฆ่าตัวตาย" ร่างสูงชี้นิ้วเข้าหาตัวเองพร้อมกับสีหน้าที่ดูออกได้เลยว่างงสุดๆ เราคิดจะฆ่าตัวตายตอนไหนหว่า

    ร่างเล็กเห็นดังนั้นรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาติดหมัด ก็แล้วแถวนี้ตอนนี้มีกันอยู่แค่สองคนยังจะถามย้ำแล้วย้ำอีกว่า..ฉันเนี่ยนะ แหม...อยากจะตะโกนใส่หน้าเหลือเกินว่า...ก็แกนั่นแหละ ไอ้เปรต... ให้รู้แล้วรู้รอดกันไป แต่...คิดไปคิดมาคงทำแบบนั้นไม่ได้หรอก ก็เพราะว่าจากที่ลองสังเกตดู ไอ้หมอนี่เป็นคนตัวสูง...มาก ช่วงขายาว...มาก ถ้าลองวาดขาฟาดก้านคอมาสงสัยว่า ไอ้เราเองเนี่ยแหละที่คงต้องลงไปแช่น้ำจากแรงส่งปลายเท้า ไม่เอาล่ะ...ยังไม่อยากเล่นน้ำตอนนี้

    "ฉันไม่ได้จะฆ่าตัวตาย แค่รู้สึกว่าวันนี้อากาศดี ลมพัดเย็นสบายก็เลยปีนขึ้นไปบนรั้วกั้นแล้วกางแขนรับลม แค่นี้เอง" ร่างสูงหัวเราะออกมานิดๆ ก่อนจะอธิบายเหตุผล เริ่มรู้สึกเอ็นดูคนตรงหน้าขึ้นมากลายๆ

    เพล้ง!!! เพล้ง!!! เพล้ง!!!

    (อุ้ย! แตกดังสนั่น ได้ข่าวว่าเป็นหน้าของคนแถวๆนี้ เออ หมอโรงพยาบาลไหนยินดีรับเย็บบ้าง ขอเชิญ)

    "อ้าว!!!" ใบหน้าขาวของคนร่างเล็กในตอนนี้เรียกได้ว่า...เหวอ...สุดๆ

    "ก็คนเค้าหวังดีนี่หว่า แง...หน้าแตกละเอียดเลยอ่ะ" ปากบางสีชมพูระเรื่อขยับบ่นพึมพำๆด้วยภาษาบ้านเกิดของตัวเอง ไม่อยากให้คนตรงหน้าล้อเลียนเอาได้

    "หือ...นายเป็นคนเกาหลีนี่" ร่างสูงทักขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงบ่นแว่วๆ

    "นี่นายแอบฟังฉันบ่นเหรอ ฉันพูดเบาแล้วนะ" คนอะไรว่ะ ประสาทหูดีฉิบเป๋งเลย

    "ปล่าวแอบฟังสักหน่อย ได้ยินแว่วๆน่ะ ฉันก็คนเกาหลีเหมือนกัน" จากนั้นทั้งคู่ก็เปลี่ยนภาษาในการสนทนาทันที

    "อืม..ฉ..ฉัน..ป..ไปก่อนนะ" ร่างเล็กกล่าวลาคู่กรณีตรงหน้าอย่างตะกุกตะกัก ลิ้นของเขาตอนนี้ดูจะพันกันมั่วไปหมด ใบหน้าที่เอาแต่ก้มงุดๆเหมือนกำลังหาของที่ทำตก ดูท่าแล้วไม่อาจสบตาร่างสูงอีกได้ เกรงว่าจะอยู่นานกว่านี้ไม่ได้แล้ว ต้องรีบเผ่นอย่างว่อง

    "อ้าว ไม่คิดจะรู้จักกันไว้หน่อยเหรอ...ว้า...ไปซะแล้ว" ร่างสูงมองตามแผ่นหลังเล็กที่ขี่จักรยานคู่ใจออกไปจนลับตา เห็นหน้าตาของร่างเล็กตอนอายๆน่าเอ็นดูไม่ใช่น้อย

    ชางมินระบายยิ้มออกมาอย่างผ่อนคลาย รู้สึกตัวเองไม่ได้ยิ้มแบบนี้มานานมากแล้ว นับตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งนั้น

    ...หัวใจของผมมันกำลังจะหลุดพ้นจากพันธนาการใช่มั้ย....

    .

    .

    .

    .

    .

    *~*~ Purple Lilac ~*~*

    .

    .

    .

    .

    .

    ชายหนุ่มร่างสูงผิวสีน้ำผึ้งก้มหน้าจดจ่ออยู่กับพ็อคเก็ตบุ๊คในมือที่เจ้าตัวมักหยิบติดกระเป๋ามาเสมอ เพื่ออ่านขั้นเวลารอที่จะทำอะไรสักอย่าง อ่านหนังสือพร้อมๆกับที่ฟังเพลงโปรดไปด้วย ปิดกั้นตัวเองจากโลกภายนอกได้สักพัก รู้สึกดีไม่น้อยที่สามารถสร้างโลกส่วนตัวได้ทั้งๆที่รอบกายมีผู้คนเดินกันมากมายวุ่นวายไปหมด แต่แล้วเขาก็ต้องเงยหน้าขึ้น เมื่อรู้สึกได้ว่ามีคนมายืนอยู่ตรงหน้า

    "เฮ้! แม็กซ์ ทำอะไรอยู่เพื่อน" เสียงทักทายอันแสนคุ้นเคยดังขึ้นแทรกเสียงเพลงที่คนร่างสูงฟังผ่าน I-pod สีบรอนซ์สุดล้ำ

    "อ่านหนังสือฟังเพลงไปเรื่อยเปื่อย แล้วนายล่ะบอมมี่ กำลังจะไปไหนรึปล่าว" ชางมินหรือว่าแม็กซ์ ของเพื่อนๆ เงยหน้าขึ้นตอบเพื่อนสนิทเมื่อคำถามจบลง

    "เราก็มาหานายนั่นแหละ"

    บอมมี่ หรือคิมคิบอม หนุ่มน้อยหน้าตาดี รูปร่างไม่สูงมาก หน้าตาคมสัน ติดจะเคร่งขรึม แต่ซ่อนความน่ารักไว้ในดวงหน้า เขาเป็นเพื่อนสนิทของชางมินตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมที่เกาหลี จนกระทั่งทั้งคู่สอบชิงทุนได้มาเรียนสถาปัตฯที่ฮาร์เวิร์ตเหมือนกัน

    คิบอมมองหน้าเพื่อนพร้อมกับคำถามมากมายที่อยากจะได้รับคำตอบ

     

    "แม็กซ์..."

    "หือ...ว่าไง"

    "นาย...โอเคดีแล้วใช่มั้ย"

    "อืม เราก็ไม่ได้เป็นอะไรหนิ"

    "เฮ้อ นายอย่าทำเหมือนไม่รู้เรื่องอะไรหน่อยเลย ใช่ว่าเราเป็นเพื่อนกันแค่สองสามวันสักหน่อย นายรู้ดีว่าเราอยากจะคุยอะไรกับนาย ตั้งแต่นายกลับมาจากเกาหลี นายเปลี่ยนไป" คิบอมพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้นมาทันที

    "อืม ใช่ เราตัดผม นายจะชมเราใช่มั้ยล่ะ เรารู้ว่าเราหล่อขึ้น ขอบใจนะ" ชางมินเอ่ยเล่นลิ้นกับเพื่อนซี้ที่ตอนนี้บอกได้เลยว่าไม่ได้อยากจะเล่นกับเขาเท่าไร

    "ไอ้บ้า ซีเรียสนะเว้ย ยังจะเล่นอีก รู้ตัวบ้างรึปล่าว ขนาดว่าคุยกันเล่นๆแบบนี้ แต่ตาของนายน่ะมันเศร้ามาก รอยยิ้มของนายน่ะมันอยู่แค่ที่ปาก มันปีนไปไม่ถึงตาอ่ะ เข้าใจที่เราอยากจะบอกรึปล่าว เกิดอะไรขึ้นกับนาย...แม็กซ์" คิบอมมีสีหน้าเคร่งเครียดเหมือนที่เจ้าตัวบอก ความเป็นห่วงเป็นใยถ่ายทอดผ่านตาคู่คมอย่างชัดเจน

    "............"

    "เราเห็นนายดีขึ้นบ้างแล้ว ก็เลยพูด ไม่ใช่ว่าเราไม่เคยสังเกต ก็รู้นิสัยกันดีถามให้ตายถ้านายไม่อยากบอกก็เหนื่อยเปล่า แต่ถ้ายังบอกไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ถึงแม้เราจะเป็นเพื่อนสนิทกัน แต่คนเรามันก็ต้องมีเรื่องส่วนตัวบ้าง เราไม่รู้ว่านายเป็นอะไร แต่ขอให้จำไว้นะว่า เราเป็นเพื่อนนาย อยู่ข้างนายเสมอ" คิบอมเอ่ยกับเพื่อนรักพร้อมกับตบที่บ่าเบาๆเพื่อให้เพื่อนของเขามั่นใจว่าไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวบนโลก

    "อืม ขอบใจนะที่เข้าใจ" ชางมินโอบไหล่คิบอมกลับบ้าง รู้สึกโชคดีอยู่ไม่น้อยที่มีเพื่อนดี รักและจริงใจกับเขาเสมอ

    ...มันก็ไม่ได้มีอะไรเลวร้ายไปซะทุกอย่างหรอก...ว่ามั้ย...

    .

    .

    .

    .

    .

    "วันนี้อาจารย์ไฮเปอร์น่าดูเลย สอนเร็วเป็นบ้า ไม่รู้จะรีบไปไหนของแก" เควินเพื่อนผู้น่ารักของปาร์คยูฮวานบ่นออกมายาวเหยียดหลังจากชั่วโมงคณิตศาสตร์จบลง "นายช่วยติวให้เราหน่อยนะ ริคกี้"

    "หา! ว่าไงนะ ตัวเราเองยังจะเอาไม่รอดจะไปติวให้นายได้ไง" ยูฮวานโวยออกมาเล็กน้อยที่เพื่อนของเขาคิดจะหวังพึ่งให้ติวให้ จะบ้าตายฟังซะที่ไหนล่ะตอนอาจารย์สอน ไอ้ใจบ้านี่ก็ลอยไปไหนของมันว่ะ ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย

    "เดี๋ยวเรามานั่งติวกันเองดีกว่า ไม่เข้าใจตรงไหนก็ฉุดรุ่นพี่ที่เดินผ่านไปผ่านมาให้ช่วยติวก็ได้ โอเค๊" เควินเสนอความคิดที่น่าจะเข้าท่ากับเพื่อน

    "ก็ดีเหมือนกัน ขืนปล่อยไว้มีหวังตอนสอบ เรากับนายได้กอดคอกันตกระนาว แต่ตอนนี้เราไปหาค่าขนมกันดีกว่า" พูดจบยูฮวานก็กอดคอเพื่อนซี้แล้วเดินร้องเพลงกันออกไป

     

    ~*~*~*~*~*

     

    Lamare ร้านอาหารฝรั่งเศสบรรยากาศหรูหรา คลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่แวะเวียนเข้ามาลองลิ้มชิมอาหารรสเลิศ บรรดาเชฟฝีมือดีต่างเร่งทำอาหารกันมือเป็นระวิงด้วยความชำนาญ เพื่อให้เสิร์ฟอาหารได้ทันก่อนที่จะมีใครวีนแตกออกมาเพราะโมโหหิว

    ชางมินทำงานกับที่นี่ตั้งแต่เรียนปีหนึ่งแล้ว หน้าที่ของเขาก็คือช่วยทุกอย่างในร้าน ตั้งแต่ล้างจาน เสิร์ฟอาหาร เช็ดโต๊ะ แคชเชียร์ ผู้ช่วยเชฟ บลา...บลา...บลา... ไม่มีอะไรที่ชิมชางมินทำไม่ได้...ว่างั้นเถอะ และด้วยความที่เป็นคนขยัน ตั้งใจทำงาน ความรับผิดชอบเยี่ยม อัธยาศัยยอด จึงไม่แปลกเลยที่เขาจะได้รับความรักจากทุกๆคนในร้าน รวมถึงความเอ็นดูจากลูกค้าด้วย

    "แม็กซ์ วันนี้เลิกงานกี่โมง" มิสเตอร์สมิทเจ้าของร้านเอ่ยถามเด็กหนุ่มชาวเกาหลีผิวสีน้ำผึ้ง

    "1 ทุ่มฮะ" ชางมินตอบชายแก่ชาวอเมริกันใจดีทั้งๆที่มือก็ยังคงเช็ดทำความสะอาดโต๊ะอยู่

    "ผ่านร้าน Dr. Floris ด้วยใช่มั้ย ฉันวานอะไรหน่อยสิ" ชางมินพยักหน้าเป็นการตอบตกลง "ช่วยไปสั่งดอกไม้ให้ที อ่ะนี่รายการแล้วก็เงินมัดจำ ส่วนอันนี้ฉันให้นาย" มิสเตอร์สมิทยื่นแผ่นกระดาษใบเล็กๆพร้อมกับเงินให้กับเด็กหนุ่ม แต่ดูเหมือนเขาเกรงใจที่จะรับเงินส่วนหลังนี้ไว้

    "รับไปเถอะหน่า นายทำงานเกินค่าจ้างที่ฉันให้ซะอีกนะ" เมื่อชายแก่เจ้าของร้านพูดจบ ชางมินไม่ปฏิเสธที่จะรับเหมือนดังเคย เขาก้มหัวให้ผู้ใหญ่ตรงหน้าด้วยความนอบน้อมพร้อมกับกล่าวคำขอบคุณ แล้วจึงก้าวขาเดินเข้าหลังร้าน เพื่อเก็บของกลับที่พัก

     

    ~*~*~*~*~*

     

    Dr. Floris ตั้งอยู่ห่างจากร้านลาแมร์ประมาณ 4 บล็อกถนน เป็นร้านดอกไม้ขนาดใหญ่ยอดนิยมที่อยู่ใกล้ๆกับมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ต ไม่ว่าจะผู้ใหญ่วัยทำงาน หรือว่านักศึกษาหนุ่มสาวชอบที่จะเข้ามาเยี่ยมชมสั่งจองดอกไม้หลากสีหลายชนิด ไม่ว่าจะงานเล็กงานใหญ่ ห้างร้างต่างๆชอบมาใช้บริการของ Dr. Floris กันทั้งนั้น ที่นี่จึงมีพนักงานในร้านค่อนข้างหลายคนรวมถึงสองเพื่อนซี้..ริคกี้และเควิน..เลิกเรียนเมื่อไรก็จะวิ่งแจ้นมาทำงานหาค่าขนมกันทันที ส่วนที่ริคกี้และเควินรับผิดชอบนั้นคือ ส่งดอกไม้ให้กับลูกค้ารายย่อย ส่วนลูกค้าที่สั่งล็อตใหญ่ หรือไม่ก็งานจัดดอกไม้นั้นเป็นหน้าที่ของพี่ๆพนักงานที่ชำนาญการ

    ชายหนุ่มร่างสูงปั่นจักรยานมาถึงร้านดอกไม้เป้าหมายและจอดลงตรงหน้าร้าน มือใหญ่ผลักประตูกระจกเข้าไป แล้วก็เจอเข้ากับแรงปะทะของ....

    พลั่ก!!!!

    "อุ๊ย ขอโทษครับ" ปากน้อยละล่ำละลักกล่าวคำขอโทษทั้งที่ยังไม่ได้เงยมองหน้า ร่างเล็กกำลังจะเดินออกจากร้าน แต่เจ้าตัวไม่ได้มองอะไรเลยจึงชนเข้ากับร่างสูงที่กำลังจะเดินเข้า

    "ไง เรา ซุ่มซ่ามจริงนะ" ชางมินเอ่ยทักทายทันทีที่พอจะรู้แล้วว่าร่างเล็กที่ชนเขาเป็นใคร

    "นาย!!!" ริคกี้ถึงกับพูดไม่ออก เมื่อได้เจอกับคนที่ทำให้เขาหน้าแตกยับไม่มีชิ้นดีอีกครั้ง

    "มาทำอะไรที่นี่เหรอ ซื้อดอกไม้รึไง" ชางมินยิงคำถามต่อเพื่อให้บทสนทนาไม่ขาดตอน

    "ฉันทำงานที่นี่" พูดได้แค่นี้ก็ใส่จุดฟูลสต๊อปจบประโยค

    "ดีเลย ฉันมาสั่งดอกไม้ของร้านลาแมร์" พูดพร้อมยื่นรายการและเงินมัดจำให้โดยไม่ต้องพูดอะไรมากเพราะลาแมร์เป็นลูกค้าประจำ รู้กันดี แต่สำหรับชางมิน เพิ่งมาร้านนี้ครั้งแรก

    "เดี๋ยวจะไปส่งให้ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว...เชิญ" ริคกี้พูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ใบหน้าเรียบเฉย

    "เฮ้ คุยกันก่อนสิ ยังไม่รู้จักชื่อกันเลย ฉัน..ชิมชางมิน แต่คนที่นี่เค้าเรียกกันว่า..แม็กซ์" ชางมินแนะนำตัวเองกับร่างเล็ก ทั้งที่ฝ่ายนั้นยังไม่ได้ถามอะไรสักคำ

    ร่างสูงมองใบหน้าขาวใสนั้นแล้วพอจะประเมินสถานการณ์ออกจึงเอ่ยต่อว่า "ขอบใจนะ วันนั้นอ่ะ" ร่างเล็กเลิกคิ้วสูงด้วยความแปลกใจ

    "ถ้านายไม่มาดึงไว้ ฉันอาจจะหัวทิ่มลงไปเล่นน้ำในแม่น้ำแล้วก็ได้" พูดจบแล้วตามด้วยรอยยิ้มจริงใจ "ว่าแต่ ไม่คิดจะบอกชื่อกันหน่อยเหรอ"

    "ริคกี้ ปาร์คยูฮวาน" ร่างเล็กยังคงคอนเซ็ปต์ถามคำตอบคำเช่นเคย

    "ห๊ะ! ลินคินปาร์ค" ร่างเล็กทำหน้ายักษ์ขึ้นมาทันที "โอเคๆ ริคกี้ ปาร์ค"

    ชางมินมองหน้ามุ่ยๆของคนตัวเล็กกว่าแล้วนึกหมั่นเขี้ยว จึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงขี้เล่น "ไม่ค่อยพูดค่อยจาเลย ยังเจ็บหน้าอยู่รึไง"

    "เจ็บหน้า?????"

    "อ้าว ลืมซะแล้ว หน้าแตกละเอียดขนาดนั้น หมอยังรับเย็บอยู่ป่ะ"

    "หืม!! หยุดเลยนะ ไม่ต้องมาล้อเลียน ฉันไม่สนใจหรอกว่านายจะพล่ามยังไง คนเค้ามีความปรารถนาดีไม่อยากให้ใครตาย มันก็เป็นความภูมิใจลึกๆที่ทำให้ตัวเองรู้สึกดีที่ได้ทำดี คนใจบาปอย่างนายคงสัมผัสความรู้สึกแสนวิเศษแบบนั้นไม่ได้หรอก" ริคกี้เบรคแตกขึ้นมาทันใด เมื่อรู้สึกว่าร่างสูงตรงหน้าเล่นไม่เลิกสักที

    "คนใจบาปเหรอ นั่นน่ะสินะ ฉัน...มันเป็นคนใจบาป" คำพูดของริคกี้จี้เข้ากลางใจดำของชางมินอย่างจัง เหมือนเหล็กแหลมร้อนแดงจี้ไปยังแผลที่ยังไม่หายดีให้กลับมาเหวอะหวะอีกครั้ง ความซึมเศร้าเริ่มแผ่ปกคลุมรอบกายร่างสูง ผิดกับตอนแรกที่ดูร่าเริงจนน่าหมั่นไส้ แต่ตอนนี้กลายเป็นว่า แม้แต่น้ำเสียงก็สัมผัสได้ว่า..ปวดร้าว..

    "นาย...เป็นอะไรรึเปล่า ฉันขอโทษ ฉันพูดไม่ได้คิด ไม่ได้ตั้งใจว่านายแบบนั้นนะ คือว่า..เอ่อ.."

    "เปล่าหรอก ไม่ได้เป็นอะไร ฉันไปก่อนนะ"

    ริคกี้มองตามแผ่นหลังกว้างด้วยความรู้สึกผิดลึกๆและนึกห่วง เอ่ยชื่อของคนที่เพิ่งจากไปด้วยน้ำเสียงเลื่อนลอย "แม็กซ์..ชิมชางมินเหรอ"

     

    ~*~*~*~*~*



    ...กลับมาอีกแล้วสินะ ความรู้สึกแบบนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยจริงๆว่าคำพูดของมิตรใหม่สะกิดแผลใจเข้าเต็มเปา จะกล่าวโทษเขา..ก็ใช่เรื่อง เรามันมีชนักติดหลัง ไม่อย่างนั้นก็คงไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับคำพูดแบบนั้นง่ายๆหรอก

    .

    .

    .

    "เอ๊ะ!!!"

    ชางมินหลุดคำอุทานออกมาทันใด เมื่อได้เห็นล็อคเกอร์ของตัวเองมีบางสิ่งบางอย่างแขวนไว้ที่ตัวลูกบิด หลังจากที่เดินคิดอะไรเรื่อยเปื่อยจนมาถึงที่นี่ด้วยความเคยชิน

    ทุกๆวันเขาจะมาที่ล็อคเกอร์ก่อนเข้าเรียนและหลังเลิกเรียนเสมอ เอาของมาไว้แล้วก็ไป มาเอาของไปแล้วก็กลับ เป็นแบบนี้ทุกวัน

    แต่สำหรับวันนี้...ไม่ใช่...

    ดอกสีม่วงอ่อนดอกเล็กๆรวมกันเป็นช่อผูกด้วยริบบิ้นสีขาว แนบมากับม้วนกระดาษสีขาวผูกด้วยริบบิ้นสีม่วง ทำให้ชางมินต้องหยุดให้ความสนใจกับพวกมัน ซึ่งต่างไปจากทุกวันที่เขาจะรีบเก็บของ และเดินออกไปอย่างรวดเร็ว มือใหญ่ค่อยๆคลายปมริบบิ้นสีม่วง เพื่อคลี่กระดาษออกอ่านข้อความด้านใน



    To: Maxx

    คุณคงสงสัยว่าฉันคือใคร คงไม่ใช่ตอนนี้ที่คุณจะได้รู้

    สิ่งที่คุณควรจะรู้มากที่สุดคือ ฉันเป็นห่วงคุณ....มาก...

    ฉันเฝ้ามองคุณมานาน รอยยิ้มอันแสนอบอุ่นทำให้ฉันประทับใจทุกครั้งที่ได้เห็น

    แต่ตอนนี้...มันหายไป มีแต่ความเศร้าหมองและเจ็บปวดเข้ามาแทนที่

    ฉันอยากให้รอยยิ้มอบอุ่นแบบนั้นกลับคืนมา

    หวังว่า ความห่วงใยเล็กๆ อาจจะทำให้คุณค่อยๆรู้สึกดีขึ้น..ได้บ้าง

    ~Lilac Princess~

     

     

    เมื่ออ่านข้อความจบ มือใหญ่ม้วนกระดาษและพันริบบิ้นไว้เหมือนเดิม จากนั้นจึงเก็บจดหมายและช่อดอกไม้ไว้ในล็อคเกอร์ แปลกใจไม่น้อยที่ของทั้งสองอย่างทำให้อารมณ์หมองๆเมื่อครู่ ดีขึ้นมาได้อย่างที่เขาว่า อย่างน้อยๆในช่วงเวลาที่จิตใจกำลังแย่ ก็ยังมีความห่วงใยของใครสักคนส่งมาถึง

    ...ใครกันนะ?...

    .

    .

    .

    .

    .

    "มาถึงตรงนี้แล้วไปยังไงต่อแล้วล่ะ" หนึ่งในสองเพื่อนซี้เอ่ยออกมาพร้อมกับมือเล็กที่เกาหัวแกร็กๆ สาเหตุที่ทำให้เด็กหนุ่มทั้งคู่มีอาการแบบนี้ นั่นก็เพราะเจ้าโจทย์สมการคณิตศาสตร์ที่ทำไปทำมาแล้วก็เกิดอาการไปต่อไม่ถูกขึ้นมา

    "โอ๊ย มึนไปหมดแล้ว รู้งี้ตั้งใจฟังอาจารย์ก็ดีหรอก" ยูฮวานยกมือขึ้นนวดขมับตัวเอง และเปลี่ยนไปขยี้ผมจนหยุ่งเหยิงเหมือนไม่เคยเจอหวี

    "ลบสองบรรทัดสุดท้ายออกซะ แล้วลองคิดใหม่" เสียงนุ่มๆจากด้านหลังดึงให้หัวกลมๆที่ซุ่มกันอยู่ของสองคู่หูหันไปเจอเข้ากับหน้าหล่อๆของใครบางคน

    "ชางมิน!!" ยูฮวานเอ่ยออกมาด้วยความตกใจ ผิดกับเพื่อนของเขาที่ทำหน้างุนงง

    "ได้ข่าวว่า ฉันเป็นรุ่นพี่พวกนายนะ แต่ก็เอาเถอะที่นี่สังคมอเมริกัน เรื่องการลำดับอาวุโสไม่ใช่เรื่องซีเรียส" ชางมินเอ่ยออกไปเพื่อเป็นการต่อบทสนทนามากกว่าที่จะต่อว่าจริงๆ

    "ใครเหรอ ริคกี้" เควินเอ่ยถามเพื่อนซี้ด้วยเสียงแผ่วเบา ด้วยเกรงว่าร่างสูงจะได้ยิน

    "เขาชื่อชิมชางมินน่ะ คงจะเป็นรุ่นพี่อย่างที่เขาบอกนั่นแหละ" ยูฮวานตอบด้วยเสียงกระซิบกระซาบไม่ต่างไปจากเพื่อน

    หลังจากนำของไปเก็บเสร็จ ชางมินจึงเดินออกมาบริเวณลานกว้างของคณะที่มีโต๊ะม้านั่งหินอ่อนวางเรียงราย สำหรับให้นักศึกษานั่งทำงาน นั่งพักผ่อน หรืออะไรก็แล้วแต่ตามอัธยาศัย ซึ่งเขาก็ได้เห็นเด็กสองคนเอาหัวชนกันทำหน้ายุ่งอยู่ ก็คงจะเป็นน้องๆในคณะไม่น่าพลาด แล้วก็เป็นดังนั้นจริงที่เด็กทั้งสองกำลังต้องการความช่วยเหลือจากรุ่นพี่อยู่พอดี

    ชางมินอธิบายโจทย์คณิตศาสตร์อย่างชำนาญ พร้อมกับสอนเทคนิคการคิดต่างๆให้อย่างไม่มีกั๊ก จนรุ่นน้องตัวยุ่งทั้งสองถึงกับครางออกมาด้วยความรู้สึกทึ่ง เมื่อไม่เข้าใจตรงไหนชางมินก็จะจี้จะย้ำจนกว่ารุ่นน้องของเขาจะเข้าใจตรงตามกันจริงๆ แต่ถ้าเข้าใจแล้วก็จะพยักหน้าหงึกหงักอย่างรุนแรง เหมือนไม่เคยมีใครอธิบายได้เข้าใจเท่าคนนี้มาก่อน จนชางมินต้องจับหัวกลมๆนั้นเอาไว้ กลัวว่าคอจะหักซะก่อน

    บรรยากาศในการติวนั้นไม่ได้เคร่งเครียดอะไร เป็นกันเองและสบายๆ เพราะสมองคนเรานั้นจะเปิดรับสิ่งต่างๆเพื่อการเรียนรู้ได้ดีที่สุดก็ตอนนี้ที่สมองเราผ่อนคลายไม่มีภาวะตึงเครียด จึงดูเป็นการติวที่น่าเข้าไปร่วมวงด้วยในสายตาของคนที่ผ่านไปมา

    แต่..กลับมีคนบางคนรู้สึกอยากจะหายตัวออกจากวงซะมากกว่า เพราะรู้สึกว่าตัวเองจะเป็นส่วนเกิน ไม่มีใครทำให้คิดหรอก สังเกตจากอาการและแววตาของเพื่อนตัวเองที่มองติวเตอร์มันดูพิเศษและลึกซึ้ง จึงทำให้รู้สึกอยากจะ....เปิดทาง....

    "เออ รุ่นพี่ฮะ ผมขอไปซื้อขนมกับน้ำก่อนนะฮะ รู้สึกสมองเริ่มล้าๆแล้ว" เควินเอ่ยขออนุญาต ชางมินพยักหน้าตอบรับเล็กน้อย

    "เควิน เราไปด้วย" ยูฮวานทำท่าจะลุกตาม แต่ก็ถูกสายตาวาวๆอย่างรู้ทันของเพื่อนหยุดเอาไว้

    "หยุดเลย โอกาสมาถึงแล้วยังไม่คว้าไว้อีก" เควินพูดเสียงแผ่วเบาราวกระซิบ ยูฮวานอ้าปากกำลังจะเถียงแต่ก็ต้องหุบฉับพลัน "เรารู้ว่านายคิดอะไรอยู่ ริคกี้ เพราะฉะนั้นอยู่ที่นี่แหละ"

    ยูฮวานจำใจ(เต็มใจมากกว่า)ต้องนั่งลง มองใบหน้าหล่อที่กำลังก้มอยู่ด้วยความชื่นใจ....แสบนักนะเควิน แต่ก็ขอบใจนะเพื่อน....

     

    ~*~*~*~*~*



    นับจากวันนั้น ความสนิทสนมของชางมินและยูฉวานก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ ได้ติวหนังสือกันเกือบทุกวัน ไปกินข้าว เดินเล่นด้วยกันบ้าง พูดคุยเหย้าแหย่ จิกกัด หยอกล้อกันตามประสา ดูจะเป็นการกระทำที่น่ารักที่คนเป็นคู่รักเขามีต่อกัน แต่ก็ไม่ใช่ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างยังอยู่ในกรอบของการเป็น..รุ่นพี่รุ่นน้อง..

    และก็นับจากวันนั้นอีกเหมือนกันที่แทบจะทุกวัน ช่อดอกสีม่วงอ่อนพร้อมกับจดหมายข้อความดีๆ ที่ในตอนแรกเป็นสิ่งแปลกประหลาด แต่ตอนนี้กลายเป็นสิ่งคุ้นเคย จะมาคอยอยู่ที่ตู้ล็อคเกอร์บ้าง ที่รถจักรยานบ้าง

    ช่อดอกไม้สีม่วงอ่อนดูสดใสและอ่อนโยน กับข้อความไม่สั้นไม่ยาวที่ทำให้อุ่นซ่านลึกๆในหัวใจ จนบางครั้งทำให้ชิมชางมินลืมไปเลยว่าตัวเองกำลังทุกข์

    ชีวิตของชางมินในช่วงนี้ดูจะมีความสุขและมีชีวิตชีวามากขึ้น หลังจากที่มรสุมทางอารมณ์ซัดกระหน่ำ มีเพื่อนใหม่รุ่นน้องที่ทำให้เขาหัวเราะและยิ้มได้ในทุกวัน และไหนจะความห่วงใยของใครบางคนที่ส่งมาให้เสมอ ดูเหมือนไม่มีอะไรที่จะทำให้เขากลับไปทุกข์ใจได้อีกแล้ว

    ...แต่ มักมีคนบอกว่าช่วงระยะเวลาแห่งความสุขนั้นผ่านไปเร็วเสมอ...

     

    "เฮ้ แม็กซ์ นั่นเจ้าริคกี้นี่" คิบอมร้องทักออกมาเมื่อเห็นหลังของรุ่นน้องที่คุ้นเคยอยู่ไวๆ

    "เหรอ เออ ใช่ เรามีเรื่องจะคุยกับริคกี้พอดีเลย ไปด้วยกันหน่อยสิบอมมี่" คิบอมพยักหน้าเออออ และเดินตามชางมินไป

    ชายหนุ่มทั้งสองเดินตามยูฮวานจนมาถึงบริเวณที่วางตู้ล็อคเกอร์ รู้สึกประหลาดใจที่รุ่นน้องมาทำธุระอะไรแถวๆนี้

    แต่แล้ว..ภาพที่ปรากฏตรงหน้าทำให้ช่วงขายาวหยุดนิ่ง สายตาที่ส่งออกไปดูว่างเปล่า ผิดกับคนข้างๆที่ดูจะตกใจและแปลกใจ

    มือเล็กค่อยๆแขวนช่อดอกสีม่วงอ่อนกับม้วนจดหมายไว้กับลูกบิดของตู้ ใบหน้าขาวใสนั้นเจือรอยยิ้มสดในไว้ในดวงหน้าอย่างเปิดเผย ดูก็รู้ว่าเจ้าตัวคิดยังไงกับคนที่จะได้รับของเหล่านี้

    ใบหน้าเล็กที่มีรอยยิ้มไม่เลือนรางหันเพื่อที่จะกลับออกไป แต่ก็ต้องเจอเข้ากับสายตาว่างเปล่า และอาการนิ่งงันของคนที่คิดถึงเสมอ หัวใจดวงน้อยกระตุกอย่างรุนแรง สิ่งเดียวที่นึกออกคือ..ไปให้พ้นจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด.. ยูฮวานรีบวิ่งออกไปทันทีด้วยความรู้สึกตระหนก

    "ริคกี้ เดี๋ยวก่อนสิ" กลับเป็นเสียงของคิบอมที่เรียกรุ่นน้องเอาไว้ มองเพื่อนตัวเองและรุ่นน้องสลับกันไปมาอย่างหาคำตอบ

    ไม่รอช้า คิบอมเดินไปหยิบช่อดอกไม้ออกมาและเปิดจดหมายออกอ่านด้วยเสียงอันเบา

     

    To: Maxx

    ฉันชอบคุณจริงๆนะ ฉันกล้าบอกความในใจกับคุณ

    แต่..กล้าไม่มากพอที่จะบอกคุณว่าฉันคือใคร

    ทุกวันนี้ฉันดีใจที่สุดที่รอยยิ้มที่เฝ้ารอนั้นกลับมา

    แค่นี้ก็ทำให้คนๆนี้มีความสุขมากแล้ว..จริงๆ..

    ~Lilac Princess~



    เมื่อจดหมายจบลง คิบอมเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนที่ตอนนี้แววตาฉายความกังวลไม่มีปิดบัง เขาสัมผัสถึงความกลัวอะไรบางอย่างจากตัวของเพื่อนได้อย่างดี คิบอมเอื้อมมือไปตบเบาๆที่ไหล่ของชางมินต้องการให้กำลังใจ อยากรู้จะแย่ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ไม่อยากจะถามเพราะเพื่อนอยู่ในโหมดที่ไม่อยากตอบ

    "ฉ..ฉัน..ฉ..ฉัน" มีเพียงเท่านี้จริงๆ ที่เปล่งออกมาจากปากเรียวของชางมินได้



    ~*~*~*~*~*



    จากวันที่ทุกอย่างกระจ่างชัด ชางมินไม่เคยได้เจอกับเจ้าคนตัวเล็กนั้นอีกเลย ยูฮวานหายไปพร้อมๆกับช่อดอกไลแลคที่จากวันนั้นมาก็ไม่เคยปรากฏที่ล็อคเกอร์หรือที่จักรยานอีกเลยเช่นกัน

    จะตามหาตัวเจ้าเด็กนั่นไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าอยากเจอจริงๆตามหาแป๊บเดียวก็ได้พบแล้ว นอกจากว่าเจ้าตัวต้องการ...หลบหน้า...

    ชางมินมาหายูฮวานที่ Dr. Floris ทุกวัน กะจะเคลียร์กันให้รู้เรื่อง แต่คำตอบที่ได้กลับมาคือ... "ริคกี้ไม่อยู่ฮะ รุ่นพี่" นี่คือคำตอบจากปากของเควิน ดูท่าเจ้ารุ่นน้องคนนี้ออกจะกระอักกระอ่วนใจที่จะตอบเขา ความคิดที่อยากจะเคลียร์จึงพังลงทุกครั้งที่ได้ยิน

    และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ชางมินมาที่ Dr.Floris เพื่อจุดประสงค์เดิม

    "ริคกี้ ไปส่งดอกไม้ฮะรุ่นพี่" คำตอบที่แปลกออกไป แต่ได้ใจความเดิม

    "ฝากบอกริคกี้ด้วยนะ พี่อยากคุยด้วย" พูดแค่นั้นก็เดินจากไป เควินชะเง้อชะแง้มองตามหลังรุ่นพี่ไปจนแน่ใจว่ากลับไปแล้วจริงๆ ปากเล็กจึงขยับเรียกคนที่เล่นซ่อนแอบให้ออกมา

    "ออกมาเลยไอ้ริค" ยูฮวานเดินออกมาจากหลังร้านด้วยท่าทีหงอยๆ "แกนะแก ทำให้ฉันต้องเป็นคนโกหก" สรรพนามแทนตัวเปลี่ยนไปด้วยความยั้วเจือหมั่นไส้

    "white lie นะเพื่อน" ยูฮวานพูดด้วยเสียงอ่อยๆเพื่อจะบอกว่าเป็นการโกหกที่จำเป็นนะ

    "white บ้านป้าแกน่ะสิ เฮ้อ ไปเคลียร์กับพี่เค้าให้จบๆซะทีซิ ให้มันรู้เรื่องกันไปเลย จะรักไม่รัก จะชอบไม่ชอบ จะคบจะเลิก ให้เห็นดำเห็นแดงไปเลย มัวแต่อั้นกันอยู่นั่นแหละ" เควินร่ายยาวอย่างสุดทน "ไม่รู้ล่ะ แกต้องไปโบสถ์เป็นเพื่อนฉันด้วย จะไปสารภาพบาปกับคุณพ่อสักหน่อยว่าที่ทำไปน่ะ..เพื่อนมันบังคับให้ทำ.." พูดจบก็สะบัดหน้าพรืดเดินเข้าหลังร้านไป

    "รู้แล้วแหละหน่า" ยูฮวานตะโกนตามหลังเพื่อนไป โดยไม่ได้รู้เลยว่าบทสนทนาเมื่อครู่นั้น คนที่ทุกคนคิดว่ากลับไปแล้ว ได้ยินทั้งหมด..ทุกคำ..



    ~*~*~*~*~*



    ...นานเท่าไรแล้วนะ ที่ผมไม่ต้องบังคับตัวเองให้ลืม...

    คงจะตั้งแต่ที่เด็กคนนั้นก้าวเข้ามาในชีวิต คงจะตั้งแต่ที่เสียงพูดคุยแจ่มใส เสียงหัวเราะเบิกบาน รอยยิ้มเปี่ยมสุขเป็นสิ่งที่ชินตาชินใจ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเด็กคนนั้นที่ผมได้เห็นทุกครั้งที่ได้พบ ทุกวันนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองยังมีชีวิต ยังมีจิตใจ ยังยิ้มได้หัวเราะเป็น ก็เพราะเด็กคนนั้น

    จนกระทั่งได้รู้ความจริงที่เจ้าเด็กคนนั้นไม่ได้คิดกับผมแค่รุ่นพี่ ผมจึงได้รู้ตัวว่า..ความกลัว..มันได้กลับมา

    .....ความรักของนายบริสุทธิ์เหลือเกิน ริคกี้ ฉันจะทำร้ายนายหรือเปล่า ฉันจะทำลายความรักนั้นทิ้งหรือเปล่า...ทำยังไงดี.....

    .

    .

    .

    .

    .

    ร่างสูงยังคงตกอยู่ในภวังค์อันเลื่อยลอย นั่งคิดอะไรต่างๆนานาที่ผ่านมาบนม้านั่งตัวยาวสีขาว สักพักเสียงสวบสาบจากด้านหลังดึงความสนใจให้ต้องหันไปมอง

    "เจอตัวสักทีมานั่งทำอะไรอยู่ที่นี่" คิบอมเดินมานั่งข้างๆชางมินทันทีที่พูดจบ

    "คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยน่ะ"

    "เรื่องริคกี้...ใช่มั้ย"

    "อืม เรากลัวว่าตัวเองจะทำร้ายริคกี้"

    "ทำไมนายคิดแบบนั้น หรือว่าจะเป็นเรื่อง...." คิบอมนึกขึ้นมาได้จึงหยุดคำพูดไว้แค่นั้น เพราะเพื่อนของเขาไม่เคยเล่าสักทีว่าเจ้าตัวไปเจออะไรมา หลังจากกลับจากเกาหลี "เราก็พอจะดูออกนะ เด็กนั่นชอบนายมาก นายคงเป็นรักแรกของเขา" คิบอมพูดเสริมจากสิ่งที่เขาได้สังเกตมา

    "ความรักเปรียบดังกุหลาบ สวย หวาน เย้ายวน ชวนสัมผัส น่าหลงใหล แค่ได้มองก็เคลิบเคลิ้มรัญจวนใจแล้ว แต่ถ้า..ลองเอื้อมมือไปสัมผัส ก็ไม่แปลกถ้าจะเจอความเจ็บปวดจากหนามคม" คิบอมยังคงพูดต่อ "เด็กนั่นมีใจให้นาย กล้าที่จะบอกความในใจ แต่ก็กล้าไม่มากพอที่จะเปิดเผยตัว ไม่เลือกกุหลาบให้เป็นดั่งความรักของตัวเอง เพราะไม่วายต้องเจ็บปวด"

    "ไลแลค" ชางมินเอ่ยออกมาแผ่วเบา

    "ใช่ ไลแลค ไลแลคสีม่วง รักแรกอันแสนหวาน เด็กนั่นเลือกที่จะให้ความรักของตัวเองเป็นแบบนี้" คิบอมเอ่ยถ้อยคำที่เป็นดังบทสรุป และชี้ทางให้กับเพื่อนรัก

    "เราควรทำยังไงดี" ชางมินก้มหน้าลง พร้อมกับมือทั้งสองกุมที่ขมับ

    "อย่าคิด อย่าถามสมอง ถามหัวใจ ถามมันให้ดีว่าที่มันเต้นอยู่ทุกวันนี้เพื่ออะไร" พูดจบคิมคิบอมก็ยันตัวลุกขึ้น "เราว่าเวลานี้นายคงอยากอยู่กับตัวเองมากกว่า เราไปล่ะกัน ตอบใจตัวเองให้ได้นะ แล้วนายจะไม่ทุกข์กับมันอีก"

     

    ~*~*~*~*~*



    .....ทำไม ผมต้องรักเขา?.....

    คำถามสั้นๆที่ผมไม่เคยคิดที่จะถามตัวเองเลย ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาของคนๆนั้น ความประทับใจเมื่อแรกพบ ทำให้ผมอยากเห็นใบหน้านั้นทุกวันๆ รอยยิ้มอันแสนอบอุ่นเหมือนน้ำที่คอยประพรมหัวใจให้ชุ่มฉ่ำเสมอ ...ก็คนมันอยากจะรัก จำเป็นด้วยเหรอ ต้องถามหาเหตุผล...

    ...จนกระทั่ง...หลังวันหยุดยาวที่ผ่านมา ผมสังเกตเห็นว่า ใบหน้าคมคายนั้นมีบางอย่างที่เลือนไป แต่กลับปรากฏบางสิ่งเข้ามาแทนที่

    ผมเคยย้ำบอกกับตัวเองเสมอว่า ผมจะยังคงอยู่ตรงนี้ เฝ้ามองเขาแบบนี้ไปเรื่อยๆ รอให้อะไรสักอย่างพาให้ผมกับเขาได้รู้จักใกล้ชิดกัน ไม่อยากจะวิ่งตาม ให้เขาต้องวิ่งหนี เพราะเชื่อแน่ว่า...ถ้าเราทั้งสองคนเป็นของกันและกันจริงๆ จะอยู่ไกลกันแค่ไหน จะจากกันนานเพียงใด ไม่วายก็ต้องกลับมารักกันจนได้...

    และในที่สุด...อะไรสักอย่างที่ว่าก็ทำให้ผมได้รู้จักกับเขาจริงๆ ถึงแม้ว่าการเจอกันครั้งแรกจะไม่เป็นอย่างที่หวัง และมันช่างบังเอิญซะเหลือเกิน และดูท่าพ่อคุณก็ยั่วโทสะได้ดีเหลือหลาย จนบางครั้งนึกหมั่นไส้อยู่ไม่น้อย...ทว่า...

    ใบหน้าคมเข้มที่เวลาหยอกล้อเล่นลิ้นแย้มยิ้มร่าเริงนั้น แต่ดวงตากลับหม่นหมองไร้แววรื่นเริง หัวใจของผมที่มักเต้นแรงเสมอเมื่อได้อยู่ใกล้ เห็นดังนั้นแล้วมันกลับกระตุกขึ้นมาทุกครั้ง พร้อมกับสั่งการให้สมองประมวลคิดออกมาให้ได้ว่า...เพราะอะไร?...บัดนี้คำถามนั้นก็ยังคงอยู่ในใจตลอดมา

    สัญชาตญาณแห่งหัวใจของผมบอกทันทีว่าต้องลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง เพื่อให้คนๆนี้กลับมาเป็นดังก่อน ..แต่..ต้องไม่ใช่ริคกี้ ปาร์คยูฮวาน

    ปฏิสัมพันธ์ของเราสองคนนั้นดูเผินๆเหมือนจะเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องที่สนิทชิดเชื้อกันดี ที่สามารถพูดคุยปรึกษาหารือกันได้ทุกเรื่อง ตั้งแต่เรื่องถ่ายไม่ออกตอนเช้ายันเรื่องจะแก้สมการคณิตศาสตร์ 10 ข้อ ยังไงดีให้เสร็จทันเวลา

    ..แต่ใครจะรู้ความจริง..มีกำแพงที่มองไม่เห็นกั้นกลางระหว่างเราสองคนเอาไว้ คงเนื่องมาจากรุ่นน้องที่..คิดไม่ซื่อ..กับรุ่นพี่

    แน่นอน..ความลับไม่มีในโลก..ไม่นานความจริงก็ต้องปรากฏ ผมเพิ่งเข้าใจความรู้สึกของขโมยที่ถูกจับได้คาหนังคาเขาก็คราวนี้ สายตาว่างเปล่าของเขาส่งมาให้ผม ความรู้สึกหนึ่งเดียวที่สัมผัสได้ตอนนั้นคือ...ทำอะไรไม่ถูก...มือผมสั่นไปหมด รีบวิ่งให้พ้นจากตรงนั้น โดยมีแต่คำพูดว่า..เขารู้แล้ว ทำยังไงดี..

    .....ทำไม ผมต้องรักเขา?.....

    คำถามที่ผมเฝ้าวนเวียนถามตัวเองหลังจากนั้น ซ้ำไปซ้ำมาเหมือนพวกย้ำคิดย้ำทำ

    ..ถ้าไม่รัก คงไม่ต้องบ้าไปคนเดียวแบบนี้..

    ..ถ้าไม่รัก คงไม่ต้องมาทุกข์อยู่แบบนี้..

    ..ถ้าไม่รัก คงเข้าไปทำความรู้จักได้สนิทใจมากกว่านี้..

    ..แล้วที่ทำมาล่ะ เพื่ออะไร?..

     

    ~*~*~*~*~*



    ความสับสนและว้าวุ่นใจทำให้ยูฮวานพาตัวเองมายังโบสถ์เพื่อสงบอารมณ์ บางทีการที่ได้มาอยู่ในเขตของพระเจ้าอาจทำให้คิดอะไรขึ้นมาได้บ้าง

    ...พระเจ้าครับ เขารู้แล้วว่าผมมีใจให้เขา ต่อจากนี้ไปผมจะทำยังไงดี ผมยอมรับ ผมมันขี้ขลาด ไม่กล้ารับรู้ผลที่จะตามมา จึงต้องคอยหลบหน้าเขาแบบนี้ ผมอยากเห็นเขายิ้ม อยากเห็นเขามีความสุข แต่...ถ้าเขาปฏิเสธความห่วงใยจากผม ผมคงทนไม่ได้ เพราะฉะนั้น...ผมจึงเลือกอยู่ในที่ที่มองเห็นเขา...อยู่ฝ่ายเดียว...

    ...ผมอยากจะขออ้อนวอน ขอให้เขาเปิดใจรับผมบ้าง แค่เปิดใจเท่านั้น...ผมขอแค่นี้จริงๆ...

    ร่างเล็กยังคงหลับตาสวดมนตร์ภาวนาด้วยจิตใจที่เริ่มคลายความกังวล ไม่รู้เลยว่าบัดนี้ไม่ใช่เพียงแค่เขาคนเดียวที่มาขอความเห็นใจจากพระเจ้า ผู้มาเยือนคนใหม่ก็มาเพื่อเจตนาเดียวกัน

    ชางมินค่อยๆย่อตัวลงคุกเข่าบนแท่นที่นั่ง สองมือหนารวบกุมเข้าหากัน หลับตาทำจิตใจให้สงบ ปากขยับสวดมนตร์เพื่ออ้อนวอนสิ่งที่ปรารถนา

    ...พระเจ้าครับ ถ้าเขารู้สิ่งที่ผมเคยทำมา เขาจะรับได้มั้ย เขาจะยังมีใจให้ผมหรือเปล่า เขาจะให้โอกาสคนอย่างผมมั้ย ผมไม่อยากจะเป็นคนหลอกลวง แต่...ถ้าเขาได้รู้ความจริง แล้วโบกมือลาผมไป ผมคงไม่มีสิทธิ์จะรั้งเขาไว้ได้ ไม่ใช่ไม่คิดจะรัก แต่ไม่กล้าที่จะรัก เพราะฉะนั้น.....

    ...ผมอยากจะอ้อนวอน ขอให้เขาให้โอกาสคนอย่างผมบ้าง ขอแค่โอกาส...ผมขอแค่นี้จริงๆ...

     

    ยูฮวานลืมตาขึ้น ผ่อนลมหายใจแผ่วเบา ค่อยๆลุกแล้วหันหลังเพื่อที่จะกลับ แต่แล้วหัวใจกลับถูกกระตุก เมื่อได้เห็นหน้าคนที่กำลังคิดถึง และ...คนๆนั้นเปิดตามองมาที่เขาพอดี

    ร่างสูงค่อยๆลุกขึ้นและเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ระยะทางเพียงไม่กี่เมตร แต่ดูเหมือนมันจะไกลกว่าปีแสง

    ตาสบกันนิ่งนาน ความคิดของคนทั้งคู่ต่างแบ่งแยกออกเป็นสอง

    ...จะอยู่ หรือ จะไป...

    ...จะพูด หรือ จะเงียบ...

    ...จะสู้กับความจริง หรือ จะวิ่งหนีมันต่อไป...

    .

    .

    .

    .

    .

    ไม่มีคำพูดใดๆเอ่ยออกจากปากของชายหนุ่มทั้งสอง หลังจากที่เขาทั้งคู่เดินพ้นออกมาจากโบสถ์ ทั้งชางมินและยูฮวานเลือกที่จะใช้ความเงียบเป็นตัวกดดันซึ่งกันและกัน เพื่อให้คนใดคนหนึ่งปริปากพูดออกมาก่อน เหมือนจะเป็นการเล่นสงครามประสาท

    "ฉัน...ไม่ใช่คนดีที่นายสมควรจะรักหรอกนะ" แล้วก็เป็นชางมินที่ทนไม่ได้จนต้องเป็นฝ่ายเอ่ยทำลายความเงียบ เมื่อเขารู้สึกว่าความกดดันของมวลอากาศรอบๆตัวเริ่มมากขึ้นจนรู้สึกอึดอัด เหมือนจะหายใจไม่ออก "นายจะรักคนที่เกือบได้ชื่อว่าเป็น...ฆาตรกร...ลงเหรอ"

    คำถามที่ออกจากปากได้รูปนั้น ทำให้ชายหนุ่มร่างเล็กที่ยืนข้างๆถึงกับต้องสะบัดหน้าขึ้นมองชายร่างสูงอย่างรวดเร็ว หน้าตาบ่งบอกความสงสัยอย่างชัดเจน

    ไม่รั้งรอคำถามใดๆจากร่างเล็ก ชางมินเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เป็นเหมือนบาดแผลเรื้อรังในใจ ด้วยน้ำเสียงที่พยายามกดกลั้นความเจ็บปวดเอาไว้ ยูฮวานตั้งใจฟังด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ไม่แสดงอาการใดๆ ไม่เอ่ยถามอะไรที่เป็นการขัดจังหวะและชะงักเรื่องราวที่ร่างสูงกำลังเล่า

    จนกระทั่ง....เสียงถอนหายใจดังยาวแผ่วเบาได้ดังขึ้นเป็นสัญญาณจบละครชีวิตจริงทั้งหมด ไม่ใช่เพราะเหนื่อยกายที่ต้องเล่าเรื่องยาวเหยียดโดยไม่ได้หยุดพัก แต่..มันเหนื่อยที่หัวใจ

    การที่เราต้องมาฟื้นฝอยหาตะเข็บเล่าเรื่องที่อยากจะลืมที่สุดในชีวิตให้คนอื่นฟัง มันช่าง..บีบหัวใจ..เหลือเกิน คนที่นั่งฟังอยู่ก็ดูจะเป็นผู้ฟังที่ดีไม่มีที่ติ อิริยาบถในตอนนี้ก็ยังคงเหมือนตอนเริ่มเล่าไม่มีผิดเพี้ยน

    .....ช็อคกับเรื่องที่เพิ่งรู้ใช่มั้ย?.....

    .....ไม่คาดคิดกับสิ่งที่ฉันเคยทำมาใช่หรือเปล่า?.....

    .....รู้แบบนี้แล้ว นายยังคิดที่จะรักฉันอีกมั้ย?....

    คำถามอีกมากมายที่อยากจะถามร่างเล็กพรั่งพรูในความคิดอย่างยากจะหยุดยั้ง ความเงียบอันแสนอำมหิตแผ่ออกมาจากคู่สนทนาจนชางมินต้องค่อยๆถอยออกจากที่ตรงนั้น กลัวเหมือนกันว่าจะได้ยินคำพูดประมาณว่า.....ฉันรักคนอย่างนายไม่ลงแล้วจริงๆ.....

    ช่วงขายาวที่กำลังจะก้าวให้พ้นจากบริเวณนั้น ถูกหยุดการกระทำด้วยคำพูดจากปากเล็กๆที่ไม่ดังมากนัก แต่แฝงไว้ด้วยความจริงจังและหนักแน่นของร่างเล็กที่รู้สึกว่าเพิ่งจะหาปากตัวเองเจอ

    "ขอโอกาสให้ฉันได้รักนาย...ได้มั้ย" ยูฮวานเงยหน้าขึ้นมองแผ่นหลังของคนที่กำลังจะเดินจากไป ชางมินรู้สึกอึ้งกับคำพูดของร่างเล็กอยู่ไม่น้อย หน้าตาคมเข้มดูจะตื่นๆ ด้วยความคาดไม่ถึงกับสิ่งที่ได้ยิน

    "ขอโอกาสให้ฉันทำให้นายมีความสุขอีกครั้งได้มั้ย...ชิมชางมิน" ยูฮวานเอ่ยตอกย้ำความตั้งใจของตัวเอง เมื่อร่างสูงได้หันมาเผชิญหน้ากับเขา ใบหน้าขาวใสไม่มีซึ่งร่องรอยของการหยอกเหย้า ชางมินเอื้อมมือไปจับมือของคนตรงหน้าขึ้นมากุม ตาเรียวคมจับจ้องใบหน้าขาวใสนั้น สายตาที่สื่อออกไปบ่งบอกได้ถึงความตื้นตัน

    "คำพูดนั้นมันควรเป็นของฉันต่างหากล่ะ" ชางมินเอ่ยออกมา และหยุดเว้นจังหวะเล็กน้อยให้ได้ลุ้น "ให้โอกาสคนเลวๆอย่างฉันได้รักนาย...ได้มั้ย"

    ไม่ต้องรีรออะไรอีกต่อไปแล้ว เพียงคำพูดสั้นๆแต่ดูเหมือนเป็นบทสรุปของทุกสิ่งทุกอย่าง ที่คนสองคนอยากได้ยินจากกันและกันมากที่สุด ชางมินดึงยูฮวานเข้ามากอดไว้แนบอก วงแขนใหญ่ค่อยๆรัดรึงคนทั้งสองให้แนบแน่นมากยิ่งขึ้น น้ำตาที่สกัดกลั้นไว้ บัดนี้มันได้ล้นทะลักออกมายากจะเก็บกัก

    "เรามาเริ่มต้นด้วยกันนะ ถึงฉันจะทำให้นายลืมเรื่องเหล่านั้นไม่ได้ แต่ฉันจะทำให้นายอยู่กับมันได้โดยที่มันไม่มาทำร้ายนายอีก" ยูฮวานเอ่ยกับร่างสูงทั้งที่ยังอยู่ในอ้อมกอดของเขา ยิ่งทำให้คนที่ได้ยินหลั่งน้ำตาออกมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

    ไลแลคต้นใหญ่บานสะพรั่งเต็มไปด้วยช่อดอกสีม่วงอ่อนที่บดบังใบสีเขียวสดจนแทบมิด ค่อยๆสลัดดอกน้อยๆที่อ่อนแรงร่วงหล่นสู่พื้น โปรยปรายรายรอบตัวชายหนุ่มสองคนที่ยังคงไม่คลายอ้อมกอดออกจากกัน เหมือนต้องการแสดงความยินดีที่จะมีคู่รักคู่ใหม่เกิดขึ้น

    .

    .

    .

    .

    .

    .....คำว่า...รัก...ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะมาถึงเมื่อไร แต่อยากจะขอร้อง ขอให้นายยังคงอยู่เคียงข้างฉัน จับมือกันไว้เดินไปข้างหน้าด้วยกัน อาจจะดูเห็นแก่ตัวที่ฉันต้องการความรักจากนายเพื่อบรรเทาหัวใจที่บอบช้ำ โดยไม่รู้ว่าตัวฉันเองจะมีให้นายเมื่อไร แต่...ขอให้รู้ไว้เถอะว่าเมื่อถึงวันนั้น ฉันจะมีให้นาย...คนเดียว...

    ~ชิมชางมิน~

     

    ...ไลแลค...รักครั้งแรกที่แสนหวาน... ถึงแม้ว่าความรักของฉันมันจะเป็นแบบนั้นไม่ได้ แต่...ขอให้มันเป็นรักครั้งสุดท้ายที่นิรันดร์..จะได้มั้ย

    ...คำว่า...รัก...ไม่รู้นานเท่าไรที่ได้รับมัน ไม่รู้เลยจริงๆ แต่...ขอสัญญาว่า จะรอคำนั้นจากนาย...คนเดียว...

      ~พักยูฮวาน~



    *~FIN~*

     

    *~Hyejae talks with you~* : ว่ามั้ย ว่ามันเอื่อย..เฉื่อย ไม่รู้น่าเบื่อไปปล่าว กะจะให้ซึ้ง ไม่รู้ซึ้งมั้ย กร๊ากกกกกกกก ไม่รู้จะมีคนผิดหวังรึปล่าว ที่มินริคออกมาอิหรอบนี้ เดี๋ยวจะมีคนมาคอมเม้นท์ว่า....ฉันผิดหวังมากเลยรู้มั้ย...ยัยจอย...อ๊ากกกกกกก ม่ายนะ โอ้ แม่เจ้า

    ถ้าไม่ได้เป็นอย่างที่ต้องการให้เป็นต้องขออภัยด้วยเจงๆ จอยรู้สึกว่าคู่นี้จะให้แฮปปี้เอนสะดิ้งเลยนั้น คงจะมิเหมาะมิควร โดยเนื้อเรื่องที่ผ่านๆมานั้น ถ้าคนที่ได้อ่าน mimosa จะเข้าใจว่า น้องมินเจอะอะไรมา (เค้ามีเหตุมีผลนะ) แต่กลายเป็นว่าอิชั้นทำให้ริคระทม (งึมๆๆๆๆ)

    ...เรื่องเล่าของดอกไม้...ลำดับต่อไป ดอกอะไรดี???? (ติ๊กต๊อกๆๆๆๆ) ไม่ต้องรอลุ้นแล้ว บอกเลยก็แล้วกัน

    ...Gloxinia....ดอกไม้แห่งรักแรกพบ คู่ไหนดีล่ะ?????? (ติ๊กต๊อกๆๆๆๆ) คู่ไหนที่ยังไม่ปรากฏในโปรเจคต์นี้ ก็คู่นั้นแหละ (แกก็บอกไปเลยว่ายูซู เอ้า สาวกเตรียมเฮ)

    ...ไปดีกว่าเดี๋ยวโดนไซโคให้รีบอัพ ฟิ้ววววววว....

    พีเอสสึ ขอออกตัวหน่อยนะ เค้าแต่งฟิคไม่เก่งนะ จะเรียกตัวเองว่านักเขียนยังเรียกได้ไม่เต็มปากเลย เป็นแค่นัก(อยากจะ)เขียนก็เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นเม้นท์โลด ช่วยด้วยนะตะเอง เค้าขอร้อง...อันนยอง...

    พีเอสสึ 2 รักนะ จู...จุ๊บ >_<

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×