คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #48 : ไมเคิล ท็อดด์
“ฉันจะขอบคุณมากถ้าแกไม่เ_ือก, Mr.asshole”
ชื่อ-นามสกุล : ไมเคิล ท็อดด์ / Michael Todd
ชื่อเล่น/ชื่อเรียก : ไมเคิล / Michael
อายุ : 17
ส่วนสูง/น้ำหนัก : 183 cm. / 68 kg.
ลักษณะภายนอก : ไมเคิลเป็นคนตัวสูงโปร่งด้วยขาเรียวยาวสวยแต่แลดูผอมบางด้วยเสื้อผ้าที่เจ้าตัวชอบใส่แบบมิดชิดแต่กับซ่อนรูปร่างที่ดูดีราวกับนายแบบที่หลุดมาจากนิตยสารไม่ว่าจะกล้ามเป็นลอนและซิกแพคขนาดสมส่วนกับร่างกายส่งผลให้เขาดูดีเป็นอย่างมาก รูปร่างหน้าตาของเขาเองก็ไม่ธรรมดา ภายใต้ใบหน้านิ่งเย็นชาคือใบหน้าหล่อเหลาที่สาวๆหลายคนที่เห็นก็ไม่อาจละสายตาไปได้ ดวงตาสีดำสนิทและผมสีดำสั้นเป็นลอนที่เข้ากันอย่างลงตัวกับผิวสีคล้ำของเขา
ชุดที่เขาใส่คือเสื้อฮู้ดสีดำส่วนข้างในจะใส่เสื้อยืดสกรีนคำว่า “Get the F..ck out!” ที่ซื้อมาคู่กับมิเชล กางเกงยีนส์ขาเดฟสีดำและรองเท้าผ้าใบสีดำแถบขาว เจาะต่างหูบนใบหูข้างซ้ายและสวมแว่น(ตามในภาพแหละค่ะ)
ความสามารถพิเศษ : บาสเกตบอล , ความไว , ความคล่องตัวของร่างกาย , เรียนรู้ไวเข้าใจอะไรง่าย , ความจำดี , ตีความภาษากาย , พลิกแพลงของรอบตัวเป็นอาวุธ
ประวัติ : “ไมเคิล ท็อดด์” ไม่ใช่ชื่อจริงของเขาหรอกชื่อจริงของเขาคือ “ออสติน วอล์กเกอร์” เขาเป็นคนแอฟริกัน-อเมริกัน พ่อเขาเป็นชาวแอฟริกัน-อเมริกัน ตกงานแถมยังติดเหล้าเป็นอย่างมาก แม่ของเขาเป็นชาวอเมริกา ด้วยความที่พ่อเขาไม่มีรายได้แม่เขาจึงต้องทำงานหนักอยู่ทุกวันกลับบ้านมาถ้าไม่มีเงินหรือเหล้ากลับมาพร้อมก็จะโดนพ่อทุบตีแต่ก็ทำหน้าที่แม่ที่ดีคอยสอนเขาทุกอย่างและดูแลเขาเป็นอย่างดี ครอบครัวเขาอาศัยอยู่ในอพาร์ทเม้นท์ราคาถูกในห้องมักจะมีขวดเหล้าหรือขยะเกลื่อนกลาดไปหมดลำบากแม่และเขาที่ต้องทำวามสะอาดมันในทุกวัน ทุกวันเมื่อแม่ออกไปทำงานเขาที่ต้องอยู่บ้านกับพ่อจะต้องคอยระมัดระวังและระแวงเสมอเพื่อไม่ให้พ่อทุบตีหรือปาขวดเหล้าใส่เขา สาเหตุที่ทำให้เขาเป็นคนพูดน้อยก็มาจากพ่อของเขานี่แหละที่ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรออกไปก็ไม่เข้าหูอีกคนสักครั้งจนเขาต้องคอยสังเกตุพ่อว่าอยู่ในอารมณ์ไหนเพื่อให้ไม่ไปทำให้พ่อโมโหไปมากกว่านี้ ส่วนแม่ที่ต้องทำงานและคอยรองรับอารมณ์ของชายคนนี้ทุกวันก็ไม่อาจทนไหวจึงป่วยจนตายไปตอนเขาอายุได้ 8 ขวบแต่ดูเหมือนพ่อก็จะไม่สนใจเท่าไรแถมยังบอกเขาว่า “แกจะต้องออกไปหาเงินมาให้ได้ไม่ว่าด้วยวิธีไหน” เขาจึงต้องเรียนรู้ที่จะขโมยหรือไปหาเงินมาไม่ว่าด้วยวิธีไหนก็ตาม ชีวิตเขาก็ต้องวนลูปอย่างงี้ไปเรื่อยจนกระทั่งเวลาผ่านไป 2 ปีพ่อที่ดื่มเหล้าอยู่ทุกวันก็จากไปด้วยโรคตับแข็งระยะสุดท้ายจากพิษสุราเรื้อรัง
หลังจากที่พ่อตายเขาก็ออกมาจากอพาร์ทเม้นท์เพราะเจ้าของจะส่งเขาไปบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าเพราะตัวเขาเองก็ไม่มีญาติที่ไหนเลย เขาจึงเลือกที่จะหนีออกมาดีกว่าเข้าไปอยู่ในนั้นและต้องอาศัยนอนข้างถนนตามซอกซอยต่างๆโดยเอาลังที่ถูกทิ้งไว้มาทำเป็นที่นอนชั่วคราว คุณจินตนาการไม่ออกหรอกว่าเด็ก 10 ขวบที่ต้องนอนข้างถนนในย่านที่ค่อนข้างจะไม่ปลอดภัยเขาจะต้องระวังตัวเองขนาดไหนและต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองรอดไปวันๆ จนกระทั่งเขามาเจอมิเชลที่ตอนนั้นหนีออกมาจากบ้านมาและบังเอิญมาเจอกันเธอที่เห็นเขานั่งอยู่คนเดียวก็ชวนเขาพูดคุยและพยายามเข้าหาเขาแม้ว่าเขาจะเย็นชาใส่เธอเธอก็ไม่หวั่น เวลาที่เขาไปไหนก็จะตามไปด้วยเสมอเป็นอย่างงี้อยู่ทุกวัน วันหนึ่งในขณะที่เขาหลับอยู่เธอก็ออกไปหาของกินเพื่อกะจะเซอร์ไพรส์เขาแต่เธอก็ถูกกลุ่มคนคุกคาม เขาที่ตื่นมาแล้วไม่เจอมิเชลก็ตามหาตัวเธอจนได้ยินเสียงของเธอที่กำลังต่อต้านกลุ่มคนเหล่านั้นด้วยความรู้สึกอะไรก็ไม่รู้จึงทำให้เขาคิดได้เพียงอย่างเดียวว่าเขาจะต้องปกป้องเธอเอาไว้หรืออาจเป็นเพราะเธอเองก็คล้ายๆกันกับเขา ตัวเขาไม่ลังเลเลยที่จะหยิบเอาแท่งเหล็กอะไรสักอย่างแถวนั้นฟาดและแทงไปที่คนกลุ่มนั้นอย่างแรงเมื่อสบโอกาสเขาก็จับมือรีบพามิเชลหนีจากตรงนั้น จากเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับมิเชลพัฒนาขึ้นเขาเชื่อใจเธอมากแบบที่เขาไม่เคยเชื่อใจใครมาก่อนและการที่มิเชลจู่ๆก็พูดขึ้นมาว่า “ถ้ามีพี่จ๋าอยู่ข้างๆแบบนี้ไปตลอด ฉันก็ไม่กลัวอะไรแล้ว” ทำให้เขามีความสุขมาก หลังจากนั้นพวกเขาก็ตกลงกันว่าจะทิ้งตัวตนเก่าของตัวเองไปและเริ่มต้นใหม่เป็นพี่น้องกันที่สัญญาว่าจะไม่ทิ้งกันไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้
เวลาผ่านไป 3 เดือน เขาสอนอะไรให้มิเชลไปหลายอย่างมากเพื่อที่จะเอาชีวิตรอดถึงแม้เธอจะทุลักทุเลในตอนแรกแต่เมื่อเวลาผ่านไปตอนนี้เธอเองก็สามารถใช้ความรู้ที่เขาสอนไปได้อย่างคล่องแคล่ว พวกเขาใช้ชีวิตแบบอยู่ไปวันๆขโมยเงินเอ่ยขโมยของเอ่ย แม้แต่ทำทุกอย่างทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เงินมาแต่พวกเขาก็ไม่เคยเบื่อกับชีวิตแบบนี้เลย วันหนึ่งขณะที่พวกเขาขโมยเงินมาจากหญิงคนหนึ่งเสร็จก็เจอเขากับผู้ชายที่เขามาหาพวกเขา ในที่แรกพวกเขาต่างไม่ไว้ใจจึงหยิบเอาแท่งเหล็ก แท่งไม้ อะไรที่พอจะใช้เป็นอาวุธได้ขึ้นมาพร้อมที่จะโจมตีแต่ชายคนนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “เด็กที่มีความสามารถอย่างพวกเธอไม่ควรใช้มันอย่างสูญเปล่าอย่างงี้ เพราะฉะนั้นมาอยู่ในความดูแลของฉันเถอะฉันสัญญาว่าจะดูแลเป็นอย่างดี” พวกเขาต่างปฏิเสธพร้อมกันและเดินหนีออกไป ตั้งแต่นั้นพวกเขาก็เจอคนคนนี้อยู่ทุกที่คอยเฝ้ามองและจับตาดูพวกเขาแต่พวกเขาก็ไม่แคร์ จนในวันหนึ่งพวกเขาที่กำลังขโมยของในร้านสะดวกซื้ออยู่นั้นด้วยความโชคร้ายที่มีตำรวจอยู่แถวนั้นพอดีและเห็นว่าพวกเขากำลังขโมยของและวิ่งไล่ตามจับ พวกเขาที่วิ่งหนีมาก็ไปซ่อนตัวอยู่หลังถังขยะใบใหญ่แถวนั้นแต่ตำรวจคนนั้นก็ตามมาเจอและกำลังจะจับกุมพวกเขา ชายคนนั้นก็โผล่ออกมาและเข้ามาพูดคุยกับตำรวจว่ากำลังทำอะไรกับลูกๆของเขาเมื่อเคลียร์กันไปมาก็จบที่ชายคนนั้นจ่ายเงินคืนให้กับเจ้าของร้านและเรื่องก็จบไป ความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นทำให้พวกเขาไว้ใจคนคนนี้จึงยอมฟังข้อเสนอของเขาไว้ ซึ่งมันก็คือเขาจะรับดูแลพวกเขาส่งเสียให้โดยแลกกับการที่พวกเขาจะต้องช่วยงานเล็กน้อยซึ่งมันคืองานอะไรเขาเองก็รู้ดี
ชายคนนี้ชื่อ “จอห์น เอเวอร์เร็ตต์” เป็นพ่อค้ายารายใหญ่ของเมืองนี้ ตั้งแต่พบกับคนคนนี้ชีวิตของพวกเขาก็เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก พวกเขาได้อยู่บ้านที่อบอุ่น มีอาหารดีๆให้กิน มีเตียงนุ่มๆให้นอน ดูแลเราเหมือนลูก แถมยังให้เราไปโรงเรียนถึงแม้จะมีคนที่ดูถูกดูแคลนบ้างแต่ก็ไม่ได้แย่มากมิเชลเองก็ดูมีความสุขในช่วงเวลาหลังเลิกเรียนที่จอห์นไม่เรียกเราไปทำงานมิเชลกับเขามักจะไปตรงจุดที่มีนักท่องเที่ยวเยอะๆพร้อมกับวิทยุสำหรับเปิดเพลงและมิเชลจะเริ่มการเต้น Street dance ของเธอ ถึงจะดูปกติแต่พวกเขาก็ต้องทำตามข้อตกลงที่จอห์นบอกทำให้พวกเขาบ้างครั้งก็ไปเป็นเด็กวิ่งยาบ้างดูต้นทางบ้างหันเหความสนใจพวกตำรวจบ้างแต่ช่วงหลังมานี้จอห์นไม่ค่อยให้พวกเขายุ่งกับพวกยามากนักแต่งานอื่นๆก็ยังคงทำอยู่อาจจะเป็นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนและดูแปลกๆแต่ทั้งเขาและมิเชลก็ไม่ขัดที่จะเรียกเขาว่าพ่อ ถึงแม้จะมีเงินจากจอห์นแต่พวกเขาก็ยังคงขโมยเล็กๆน้อยๆอยู่เป็นค่าขนมเช่นจากพวกนักท่องเที่ยวตามทางหรือกลุ่มคนที่มาดูการเต้นของมิเชล ช่วงเวลาแห่งความสุขของเขาก็ผ่านไปอย่างงี้เรื่อยๆจนถึงปัจจุบัน
นิสัย : ถ้าจะให้อธิบายถึงไมเคิลคำจำกัดความของเขาคงจะเป็น “หล่อแต่อันตราย” “ความหนาวอันเย็นยะเยือกที่ทำให้รู้สึกสบายใจ” ไมเคิลเป็นคนไม่ค่อยพูดเรียกว่าไม่ค่อยอยากจะพูดซะมากกว่าที่เขาไม่ชอบก็เพราะความเคยชินที่เคยอยู่กับพ่อของตนที่ถึงพูดอะไรออกไปก็ไร้ค่าทั้งสิ้นจึงเลือกเงียบและคอยสังเกตพฤติกรรมของคนอื่นดีกว่า เขาไม่เชื่อใจใครง่ายๆและกว่าจะทำให้เขาเชื่อใจคงจะเป็นเรื่องที่ยากมาก เขาเป็นคนที่ใจเย็น สุขุม รอบคอบเกินเด็กวัยเดียวกันซะอีกการที่เขาจะทำอะไรสักอย่างทุกอย่างล้วนถูกกลั่นกรองออกมาแล้ว โลกส่วนตัวค่อนข้างสูงไม่ชอบเข้าสังคมหรือมีปฏิสัมพันธ์กับใครทั้งสิ้น เขารำคาญเสียงคนโวยวายหรือเสียงผู้หญิงเป็นอย่างมากและมักจะมองไปที่คนๆนั้นด้วยสายตาที่อยากจะฆ่าให้ตายเขาเองก็ยังไม่รู้เหตุผลแต่แค่รู้สึกว่ามันน่ารำคาญเท่านั้นเอง แต่ถึงจะใจเย็นขนาดไหนถ้ามีคนมาดูถูกเหยียดหยามเขาหรือมิเชลก็จะเลือดขึ้นหน้าขึ้นมาทันทีและยังติดนิสัยที่มักจะเรียกคนพวกนี้ว่า “Mr.asshole” แต่ทุกอย่างย่อมมีข้อยกเว้นซึ่งก็คือมิเชลเวลาเขาอยู่กับเธอเขาจะเหมือนกลายเป็นอีกคนไปเลยล่ะ คุณสามารถรู้สึกได้เลยว่าบรรยากาศโดยรอบจะดูสดใสขึ้นมา ถ้านิสัยเสียอื่นๆก็คงเป็นตอนที่ออกหมัดไปแล้วครั้งหนึ่งถ้าเกิดไม่มีใครมาหยุดล่ะก็เขาจะกลายเป็นอีกคนทันที จะเปลี่ยนไปราวกับปีศาจกระหายเลือดที่จะไม่หยุดจนกว่าตัวเองจะพอใจและจะสรรหาอะไรก็ตามที่หยิบได้มาเป็นอาวุธในระหว่างนั้นเขาจะยิ้มไปด้วยซึ่งภาวนาไว้เถอะว่าคุณจะไม่เจอกับตัวเองส่วนคนที่สามารถหยุดความบ้าดีเดือดของเขาได้คงจะมีแค่มิเชล
ลักษณะคำพูด : เป็นคนที่พูดเสียงทุ้มต่ำแลดูมีอำนาจ คำพูดที่ออกมาอาจจะไม่สุภาพและไม่ค่อยน่าอภิรมย์ไปสักหน่อย(?) อาจมีการพูดเหน็บแนมกับบุคคลเหล่านั้นเล็กน้อยถึงปานกลางแต่ถ้าตอนหัวร้อนขึ้นมาอาจถึงขั้นพ่นสบถคำหยาบออกมาแบบไม่ไหวหน้าใครเลยแต่ถ้าอยู่กับมิเชลล่ะก็จะเป็นน้ำเสียงที่มีความอบอุ่นขึ้นเยอะจนคุณสามารถสัมผัสได้ถึงจะออกแบบเหนื่อยอกเหนื่อยใจแต่ก็ไม่ได้รำคาญอะไรเลย เขาจะแทนตัวเองว่า ‘ฉัน’ , ‘พี่(มิเชลเท่านั้น)’ แทนคนอื่นว่า ‘นาย/เธอ/ตาแก่(จอห์นเท่านั้น)/ชื่อของคนคนนั้น’ ถ้าเขาหัวร้อนขึ้นมาสรรพนามจะเปลี่ยนขึ้นมาทันที
Ex.1 “อีตัวอย่างพวกแกมันน่ารำคาญ!!!”
Ex.2 “ขอโทษนะฉันไม่มีธุระกับคนโง่ดักดานอย่างแกว่ะ”
Ex.3 “ถ้านายบอกว่าคนผิวสีเป็นพวกไร้ค่าล่ะก็ แล้วทำไมผิวนายถึงเป็นสีขาวล่ะ”
Ex.4 “ตาแก่จะออกไปข้างนอกใช่ไหมงั้นช่วยซื้อขนมมาด้วยมิเชลมีเรื่องไม่สบายใจ….เธอไม่ต้องเถียงพี่ด้วยดูจากการที่ไหล่เธอคู้ลงจากปกติพี่ก็รู้แล้ว”
Ex.5 “พี่เคยคิดนะว่าโลกนี้มันจะโหดร้ายจนพี่เจอเธอก็ทำให้พี่คิดว่าในความโหดร้ายก็มีสิ่งดีๆยังเหลืออยู่”
เพลงที่บ่งบอกถึงตัวละคร : City Wolf - Protector
สิ่งของที่พกติดตัว : นาฬิกาพกใส่รูปที่ถ่ายพร้อมกัน 3 คนกับมิเชลและจอห์น , ลูกอม , จูปาจุ๊บ , ช็อกโกแลตบาร์
เพิ่มเติม : - ไมเคิลพอเต้น Street dance ได้บ้างเพราะบางครั้งมิเชลจะชวนเต้น
- จอห์นที่ถึงแม้จะดูหวังผลประโยชน์แต่จริงๆเขามองว่าไมเคิลกับมิเชลเป็นลูกและพวกเขาเป็นครอบครัวกันจริงๆ
- ที่เห็นเหมือนว่าไมเคิลสู้เก่งนี้เป็นเพราะสภาพแวดล้อมสอนเขา การสู้เขาเลยไม่มีแบบแผนอะไรที่ตายตัวหยิบอะไรได้ก็เอาอันนั้นมาเป็นอาวุธ
- เขาเองพอมีเส้นสายในเมืองและในหมู่ตำรวจที่สนิทๆกัน คงไม่ต้องถามว่าทำไมถึงต้องสนิทกับตำรวจไว้มั้ง
- มิเชลเปรียบเหมือนทุกอย่างของเขาและเขาเองก็คิดว่าเธอคือเทพธิดานำพาโชคของเขา
- ไมเคิลรักครอบครัวใหม่ของเขามาก แต่เขาก็ไปเคารพหลุมศพของแม่ทุกปีกับมิเชลและจอห์นพร้อมกับทำความสะอาดและวางดอกไม้ที่ซื้อมาให้
ความคิดเห็น