ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    DEUS : GOD RISES(รับสมัครตัวละคร)

    ลำดับตอนที่ #5 : Episode 1 นักสู้=จอมเวทย์!?

    • อัปเดตล่าสุด 27 ก.ย. 60


      3ปีผ่านไป...

      ในวันสายฝนกันโชกอย่างบ้าคลั่งยามค่ำ แสงดาวและจันทร์ถูกบดบังจากก้อนเมฆ สายลมพัดไปอย่างบ้าคลั่ง วิสัยทัศน์มืดมิดไม่เห็นอะไรนอกจากสายลม ละอองน้ำฝนและความมืดจากราตรี พื้นดินเปียกแฉะจนกลายเป็นโคลน

      ทั้งที่สภาพอากาศย่ำแย่ขนาดนี้ ท่ามกลางป่ารกชันมีหมู่มวลต้นไม้สีเขียวลายตาไปหมด มีเด็กชายเด็กหญิงเผ่าบีสต์หรือเผ่ามนุษย์สัตว์นับ6คนในชุดขาดๆเหมือนผ้าขี้ริ้วไม่มีผิด กำลังวิ่งหนีตายบางสิ่งโดยไม่สนว่าตัวเองจะเปรอะไปด้วยโคลนสักเท่าไหร่ หรือเท้าที่วิ่งไม่ได้สวมอะไรเลย

      ทว่าในกำลังวิ่งเด็กชาย1ในนั้นเกิดวิ่งสะดุดก้อนหนีขึ้นมา เขาล้มลงกุมเท้าข้างที่สะดุดจนเลือดไหล ร้องโอดโอยด้วยเจ็บปวดเพราะเขาวิ่งไปสะดุดซะเต็มแรง

      "ม...ไม่นะ อย่า..... ใคร! ใครก็ได้ช่วยด้วย!!"

      โชคร้ายด้วยความหวาดบางสิ่ง คนอื่นๆหาไม่สนใจเด็กชายเผ่าบีสต์ผู้โชคร้ายแม้แต่น้อย เรียกว่ากลัวจนไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีคนล้มอยู่

      แม้จะเจ็บ แม้จะล้ม เด็กชายก็ยังพยายามจะเอาลุกขึ้นเพื่อมีชีวิตรอด ทว่าความหวังมันได้จบลงตั้งแต่ที่เขาล้มแล้ว.....

      ตึง.......

      บางสิ่งที่มีขนาดใหญ่กำลังย่ำเท้าเดินมาใกล้....

      ตึง.........

      ลมหายใจเด็กชายผู้โชคร้ายแทบจะขาดห้วง ความหวังถูกบดขยี้แหลกละเอียด

      "ขอร้องล่ะ......ไว้ชีวิตพวกเราเถิด......"เด็กชายกล่าวด้วยความหวาดกลัวปนสะอื้นน้ำตานอง

      แววตาที่ฉายความกลัวของเด็กชายได้สะท้อนสิ่งมีชีวิตอันใหญ่โตนับ50เมตร

      สิ่งมีชีวิตสูงนับ50กว่าเมตร รูปร่างคล้ายกิ้งก่ามีหางสีดำเดิน2ขาได้ มีขาล่ำเหมือนช้างสาร แขนสั้นแทบไร้ประโยชน์เหมือนทีเร็กซ์ ฟันหน้าราวกับสัตว์กินเนื้อเฉกเช่นเสือ

      ดวงสีอำพันส้มจ้องเด็กชายผู้โชคร้าย แม้จะเป็นสายตาของสัตว์ทว่าเด็กชายรู้ได้ทันทีว่าสายตาที่มันจ้องมองเขาแสดงถึง........

      ความน่ารังเกียจ ขยะแขยง ไร้ค่า ไม่สมควรเกิดมาหายใจด้วยซ้ำไป.........

      "อย่านะ! อย่าน้าาาาาา!!!!!"

      ตึง!

      แผละ!

      สัตว์ยักษ์ไม่รับฟังอะไรทั้งสิ้น มันยกขาขึ้นและเหยียบบดขยี้ร่างเด็กชายเผ่าบีสต์แหลกเหลวคาที่ ก่อนจะเขี่ยๆเช็คเท้าลงกับพื้นราวกับเขี่ยขี้ให้ออกไปจากเท้า
     

      "ม่ายยยยยยยยยย!!!"

      "กรี๊ดดดดดดดดด!!!"

      "หนีเร็วๆ!"

      "แม่จะช่วยหนูด้วยหนูยังไม่อยากตาย!!!"

      "ทำไมฉันต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วยเนี้ย!!?"

      เสียงตื่นตระหนกปนหวาดกลัวระงมไปทั่วทาง พวกเขาไม่เข้าใจสักนิดว่าเหตุใดมันถึงตามมาฆ่าพวกพ้องของพวกเขาที่หลบหนี ทำไมมันถึงโหดร้ายเพียงนี้

      ที่ตอนนี้พวกเขาต้องหนี! ต้องหนีเท่านั้น! ต้องหนีไปให้ไกล! ต้องหนีเพื่อชีวิตที่เหลือ!!

      ยามใดที่สัตว์อเวจีปรากฏ ความหวังของคนตายถูกทำลาย ความสิ้นหวังปกคลุมคนเป็น นี่คือสัจธรรมของดาวอาคาเซีย

      "ก๊าซ......"สัตว์ยักษ์คำรามครั้งหนึ่ง


      สิ้นเสียงคำรามปากของมันได้อ้าขึ้น เผยให้เห็นพลังแสงสีฟ้าที่กำลังชาร์จอยู่ที่คลุกกรุ่นพร้อมยิง

      ซูมมมม!!

      ทันใดนั้นลำแสงสีฟ้าได้ถูกยิงเอาไปจากปากมัน พลังลำแสงทำลายล้างสีฟ้าแหวกอากาศวิ่งเข้าตรงเหล่าเด็กๆเผ่าบีสต์ที่กำลังวิ่งหนี

      บรึ้มมมมมมม!

      ไม่ใครได้ทันได้สั่งเสียอะไรเลย ลำแสงทำลายของมันกระทบอาบร่างของเหล่าเด็กเผ่าบีสต์จนเกิดการระเบิดอย่างรุนแรง

      แรงระเบิดเผาผลาญป่าไม้และสิ่งมีชีวิตเป็นวงกว้าง ป่าที่เคยอุดมสมบูรณ์ในบริเวณที่โดนกลายเป็นสีดำตอตะโก ร่างของสิ่งมีชีวิตเผาผลาญสลายเป็นฝุ่นควันลอยไปในอากาศ

      "พี่ฮ่ะ! พี่ฮ่ะ! ตื่นสิ! ขอล่ะ ตื่นทีสิพี่!!"

      ท่ามกลางการทำลายล้าง หมู่ควันเริ่มจางหาย ร่างของผู้รอดชีวิตเห็นได้เด่นขึ้นหน่อย เด็กชายเผ่าบีสต์คนหนึ่งพยายามปลุกร่างพี่สาวที่ไร้สติจากแรงระเบิด

      ตึง......ตึง........

      ก้าวเท้ามัจจุราชร่างยักษ์เข้าใกล้ตัวเด็กชายตัวน้อยอย่างไม่รีบร้อน ราวกับสัตว์นักล่าช่ำชองประสบการณ์ หากแต่ด้วยความโกรธเด็กชายหาได้กลัวไม่

      เขาวางร่างพี่สาวลงไว้กับพื้น แววตาแห่งความโกธาฉายแววตัวการที่ทำพี่สาวและพวกพ้องอย่างไม่เกรงกลัว และไม่สนด้วยว่ามันจะยักษ์แค่ไหนแต่มันต้องตายไปกันข้างหนึ่ง!

      "แก! ทำไมแกต้องฆ่าพวกเราไอ้สารเลว!!?"เขาตวาดใส่ด้วยโกรธเกรี้ยว

      "ก็แกมันก็แค่ทาส อย่าริอาจมาขึ้นเสียงกับดิฉันคุณหญิงเป็ด......."

      จู่ๆมีเสียงดัดจริตที่ไร้ที่มาดังขึ้นมา แถมเจ้าสัตว์ยักษ์ไม่ได้อ้าพูดร้องแม้แต่น้อย ที่แน่ๆมันเป็นน้ำเสียงของผู้หญิงวัยทองที่พูดด้วยน้ำเสียงที่เหยียดหยามขยะแขยงทุกสิ่งมีชีวิตที่ต่ำกว่าตัวเอง ตัวเองอยู่เหนือจุดที่สูงที่สุดของทุกชีวิต

      "แก......"

      "ฟังดิฉันให้ดีนะเจ้าเศษขยะ เผ่าบีสต์เป็นแค่ขยะที่สร้างความบันเทิงให้แก่ดิฉันเท่านั้น"เจ้าของเสียงนามคุณหญิงเป็ดยังคงเป็นว่าตัวเองเหนือสุดไม่เลิก

      เพราะว่าทั้งหมดนี่มันคือเกมสร้างความบันเทิงของเธอ ที่ใช้เผ่าบีสต์เป็นนักแสดงที่ต้องดิ้นรนเพื่อความบันเทิงไงล่ะ!

      เด็กชายกำหมัดแน่นจนปูดโปน ร่างสั่นเทาด้วยความโกรธ ไอ้คนที่ดูการดิ้นรนเอาชีวิตรอดของคนอื่นไอ้ระยำตัวนี้พรรคนี้มันต้องตายเท่านั้น!!

      "ว้ากกกกก!!!"

      เด็กชายเผ่าบีสต์กู่ร้องดังๆรวบรวมความกล้า วิ่งเข้าไปหาทางสัตว์ยักษ์พร้อมรีดเค้นเวทย์ภายในตัวกระหน่ำซัดเวทย์เข้าใส่มันไปด้วย

      แม้จะดูกล้าหาญ ทว่าเวทย์ที่ยิงไปนั้นมันกลับเจ็บ แทบไม่เจ็บแถมจั๊กจี้เหมือนซัดข้าวสารธรรมดาๆใส่ซะมากกว่า

      "จัดการมันซะ! ทรอเนซิสลูกแม่!!"

      "ก๊าซซซ!"

      ตามคำสั่งสัตว์ยักษ์ ไม่สิ สัตว์อเวจีนาม ทรอเนซิสชาร์จพลังงานไว้ในปาก ก่อนจะพ่นมันออกมาเป็นรูปของกระสุนเวทย์แรงสูงใส่เด็กชาย

      บรึ้มๆๆๆๆๆ!

      แต่กำลังกายของเผ่าบีสต์ไม่ใช่ขี้ๆ เด็กชายใส่ข้อได้เปรียบของเผ่าพันธ์ุนี้วิ่งหลบกระสุนเวทย์ที่ยิงใส่ แม้จะมันจะทำให้เขาเสียจังหวะก็ตามที

      "เปล่าประโยชน์!
    เปล่าประโยชน์! เปล่าประโยชน์!
    เปล่าประโยชน์!!"คุณหญิงเป็ดยังพูดเย้ยหยัน

      ตูม!

      กระสุนเวทย์นัดหนึ่งได้ยิงลงมากระทบกับพื้นใกล้กับตัวเด็กชายเผ่าบีสต์พอดี เขาไหวตัวทันพอดีแต่รัศมีแรงระเบิดกลับอัดกระแทกเด็กชายกลิ้งลงไปกับโคลน และเขากุมท้องด้วยความเจ็บปวดจากแรงกระแทกของการระเบิด

      "อุก.....เจ็บ......"

      มันเจ็บมากจนลุกไม่ขึ้นเชียวล่ะ

      "หึ เจ้าหนูดิฉันขอชื่นชมเลยนะตั้งแต่เล่นเกมเล่าพวกเผ่าบีสต์มา มีแต่แกคนเดียวที่ทำให้ดิฉันคุณหญิงเป็ดคนนี้สนุกได้........"

      ทรอเนซิสเริ่มชาร์จพลังเวทย์ไว้ในปากอีกครั้ง แต่คราวนี้มันไม่คิดจะโจมตีเด็กชาย มันหันปากไปอีกทางนี้

      เด็กชายเผ่าบีสต์คนนี้ได้เบิกตากว้างด้วยความตกใจหัวใจหล่นลงตาตุ่ม

      ทางที่มันหันไป! ทางนั้นเป็นจุดที่พี่สาวของเขานอนสลบไม่ได้สติอยู่!

      "....เพราะฉะนั้นดิฉันจะทำให้แกทรมานใจขาดดิ้นก่อนตาย ด้วยการฆ่าพี่สาวสุดที่สุดรักของแกทิ้งแบบไม่ต้องเก็บศพไงล่ะ!!"

      "พี่....พี่อ่ะ...."

      น้ำตาของเด็กชายค่อยๆไหลพราก 

      เจ็บใจที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้

      เจ็บใจที่ตัวเองมีพลังแค่นี้

      เจ็บใจที่ตัวเองไม่แกร่งพอจะปกป้องใครได้

      เจ็บใจที่โลกอันเฮงซวย สังคมอันระยำที่เอาแต่กดขี่คนอ่อนแอให้จมดิน แล้วเสวยสุขไปกับดินตรงนั้น

      "เตรียมบอกลาพี่สาวสุดรักของแกได้เลย"คุณหญิงเป็ดสั่งปิดบัญชีด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม

      ตามคำสั่งทรอเนซิสชาร์จพลังเวทย์ไว้ในปากอีกครา รอบก่อนยิงใส่เด็กชายแต่คราวนี้มันจะยิงใส่พี่สาวของเด็กชายแบบไม่ให้เหลือซาก!

      "ขอร้องล่ะ........"

      ในใจเด็กชายอธิฐานหวังว่ามีจะมีวีรบุรุษที่ไหนก็ได้มาช่วยพี่สาวเขาที ค่าตอบแทนอะไรไม่สนแล้วขอเพียงพี่สาวปลอดภัยก็พอ ชีวิตตัวเองก็ไม่สนทั้งนั้น

      "ตายซะ"คุณหญิงเป็ดออกคำสั่งดับความหวังนั้นซะ

      ลำแสงพลังเวทย์แรงสูงที่ชาร์จไว้รอมร่อถูกยิงออกไปอย่างไร้ปราณี เป้าหมายก็คือ พี่สาวของเด็กชาย

      ทันใดนั้นเองสายตาของเขาพลันมองภาพที่เกิดขึ้นอย่างช้าๆ ลำแสงสีฟ้าค่อยๆพุ่งดิ่งตรงเข้าหาร่างพี่สาวที่ไม่ได้สติเหมือนหนอนกระดืบๆ ราวกับจิตใต้สำนึกตัวเองจะสื่อว่า ตัวเองอ่อนแอแค่ไหน และนี่คือผลที่ไปหือกับผู้มีอำนาจ

      ที่นี่คือดาวอาคาเซีย ดาวที่ผู้แข็งแกร่งคือที่สุดของอำนาจ พวกอ่อนแอคือลูกไก่ที่รอวันโดนฝังแล้วเหยียบย่ำ

      ณ ตอนนี้เด็กชายตัวน้อยได้รู้แล้วว่า.........

      '....วีรบุรุษน่ะ ไม่มีอยู่จริงหรอก.......'

      มันก็แค่นิทานหลอกเด็ก.......และความฝันลมๆแล้งๆเท่านั้น

      .

      .

      .

      .

      .

      .

      บรึ้มมมมม!!!

      ""!?""

      ในระหว่างจิตใจของเด็กชายเผ่าบีสต์กำลังร่วงหล่นสู่ความสิ้นหวัง

      ดวงตา2คู่ของเขาได้เจอแสงสว่างดวงหนึ่งพุ่งเข้ารับการโจมตีแทนพี่สาวของเขา!!

      "มาได้ไง!?"คุณหญิงเป็ดตกตะลึงในสิ่งที่เกิดขึ้น

      แสงสว่างดวงนั้นฝ่าเปลวไฟจากการระเบิด พุ่งเข้าชนทรอเนซิสจนล้มหงายหลังตึงไปกับพื้นโคลนกระจาย

      หลังพุ่งชนอีกฝ่ายล้มตึงไปแสงสว่างดวงนั้นได้ส่องแสงสว่างไปทั่วบริเวณต่อหน้าเด็กชายเผ่าบีสต์

      "ร....หรือว่า!?"

      แสงสว่างดวงนั้นได้พลันกลายร่างเป็นร่างของมนุษย์ยักษ์ตัวหนึ่งที่มีและตัวสีเงินตัดแดง และมีจุดเด่นคือวงแหวนสีฟ้าครามกลางหน้าอก ปรากฏกายออกมาต่อหน้าแล้วในตอนนี้

      เด็กชายเผ่าบีสต์ที่ได้เห็นร่างของมนุษย์ยักษ์ เขาก็พลันนึกอะไรออกได้

      "เทพพระเจ้า! เทพพระเจ้าที่เป็นข่าวดังอยู่ในตอนนี้นี่นา!"

      และนามของเทพเจ้าองค์นี้ก็คือ ออร์บิส.......



     

      "ถึงแกจะเป็นใครไม่สน! แต่มาทำลายความบันเทิงของดิฉันมันต้องตาย! ลูกแม่ฆ่ามันเลย!!"

      "กี๊ซซซซซ!"

      ไม่ทันจะทำตามคำสั่ง ทรอเนซิสที่เพิ่งลุกขึ้นมาหยกๆถูกซัดหน้าหันไปอีกรอบโดยไม่ทันได้ตั้งตัว 

      ออร์บิสซัดหมัดฮุคท้องเข้าอีกดอก ด้วยแรงหมัดร่างมันถึงกับถอยร่นกุมท้อง ยังไม่ทันจะโต้คืนขาก็ฟาดขึ้นมาเสยคางมันซ้ำ แทบหงายหลังล้ม

      ยังไม่จบแขนทั้ง2ของออร์บิสเข้ามากดและล็อคคอมันลง เข่าซ้ายเข่าขวาตีอัดใบหน้าซ้ำแล้วซ้ำ 

      โลหิตแดงฉานไหลออกจากจมูกจนเปรอะไปทั่วหน้ามัน พอดีกับอารมณ์ที่โกรธผึงจากความเจ็บปวดที่โดนตีเข่า ทรอเนซิสฮึดแรงเสยหน้าขึ้นหลุดล็อคออกมาได้ แล้วเหวี่ยงแขนฟาดใส่ออร์ขิส

      แขนที่เหวี่ยงทำได้แค่เฉี่ยวเฉยๆ เปิดโอกาสให้ออร์บิสคว้าแขนมันจับเหวี่ยงทุ่มลงกับพื้นดินที่ชุ่มช่ำ ดินที่เปียกกระจายเป็นวงกว้าง

      "ฮึ่ม!"

      กร็อบ!

      ทันทีที่ทุ่มมันลงกับพื้น เขาจัดการบิดคว้าที่คว้ามาได้จนสุด แล้วหักแขนมันสุดแรงเกิดจนผิดรูปผิดร่าง โลหิตถูกบิดออกมาเหมือนเวลาเราบิดผ้าขนหนู ส่วนแขนนั้นมีสภาพมันฝรั่งเกลียวเสียบไม้คงไม่ผิด

      "กี๊ซซซซซซซซซซซซซซซ!!!"

      "จบกันเสียที!"ออร์บิสพูด

      ร่างนับหมื่นกว่าตันอย่างทรอเนซิสถูกออร์บิสที่มีส่วนสูงต่ำกว่า6เมตรยกด้วยแขนทั้ง2ข้างล้วน จนตัวมันลอยเหนือพื้นดิ้นไปมาให้หลุดก็ไม่ได้ เพราะไม่ทันจะดิ้นมันก็ถูกจับโยนขึ้นเหนือหัว ก่อนจะโดนกระสุนลำแสงหรือนัคเคิลช็อตที่ถูกซัดซ้ำขึ้นตาม กระแทกอกมันให้เจ็บพร้อมกับระดับความสูงจากพื้นที่สูงขึ้นอีกนับ70เมตรกลางอากาศ

      เมื่อร่างมันถูกส่งลอยขึ้นฟ้า ออร์บิสรวบรวมพลังเวทย์ในตัวไว้ในหมัดอีกคราเพื่อใช้นัคเคิลช็อตเผด็จศึก แต่ประจวบเหมาะกันพอดีที่ทรอเนซิสที่ลอยอยู่กลางอากาศกำลังชาร์จพลังเวทย์ไว้เตรียมปล่อยใส่เหมือนกัน

      "อย่ายอมแพ้นะลูกแม่! ฆ่าม้านนนนนนนนนนน!!!"คุณหญิงเป็ดเชียร์

      เปรี้ยง!

      ซูม!

      ลำแสงพลังเวทย์ทั้งคู่ถูกยิงออกไปพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย และเข้าปะทะกันอย่างจังเหมือนตั้งใจ ก่อเกิดแสงวูบวาบสีครามสลับน้ำเงินราวกับบดขยี้อีกฝ่ายให้ตัวเองอยู่รอด

      ตูม!


      "!?"

      นัคเคิลทะลวงฝ่าลำแสงสีน้ำเงินจนระเบิดกลางอากาศ ไฟจากการระเบิดระเหยน้ำฝนรอบข้างไปหมดสิ้น กระสุนแสงของออร์บิสพุ่งออกมาจากกลุ่มควันจากการระเบิด ยิงเข้าใส่จุดเดิมบนร่างมันเข้าเต็มๆ

      อย่างที่อธิบายไว้ในอารัมภบท ท่านัคเคิลช็อตจะต้องใส่จุดๆเดียวของศัตรูถึง2ครั้งเพื่อปลิดชีพ ซึ่งทรอเนซิสก็หนีไม่พ้นกฎของท่านี้เช่นกัน และคราวนี้พลังทำลายไม่ได้เหมือน3ปีที่แล้วแน่

      บรึ้มมมมมม!!

      นัคเคิลช็อตนัด2ยิงเข้าใส่จุดเดิมที่นัดแรกยิงโดน เหมือนกับจุดไม้ขีดแล้วโยนไปถังดินปืน 

      ร่างทรอเนซิสเกิดการระเบิดอย่างรุนแรงสะเทือนไปทั่วบริเวณ กลายเป็นดอกไม้ไฟเพลิงขนาดใหญ่ท่ามกลางฝนที่ตกลงมาไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เป็นภาพสวยงามในวันฝนตกปริยาย ก่อนจะถูกเหล่าน้ำฝนดับลงไปอย่างรวดเร็ว

      "กรี๊ดดดดดดดด!!! ม่ายจริงงงงงงง!! ลูกแม่มมมมมมมมมมม!!!!!"

      คุณหญิงเป็ดกรีดร้องมาด้วยความช็อคใจขนานหนัก ภาพลูกชายสุดที่รักของเธอระเบิดเป็นโกโก้ครั้นทำเอาใจสลายรับไม่ได้ ก่อนตามมาด้วยเสียงช็อคเป็นลมเมือดในที่สุด คาดว่างานนี้คงสลบอีกนาน

      ทว่าเด็กชายหาสนใจคุณหญิงเป็ดไม่ เขาเดินเข้าดูอาการพี่สาวและพบว่ายังปลอดภัยอยู่ ก่อนจะหันไปมองร่างเทพพระเจ้าที่มาช่วยเหลือพวกเขา2พี่น้องด้วยแววตาที่ปลื้มปิติอย่างไม่วางตา

      หลังจัดการสัตว์อเวจีที่สังหารเผ่าบีสต์เสร็จสิ้น ออร์บิสที่รู้สึกสายตาตัวน้อยๆมองเขา ได้หันมายังเด็กชายเผ่าบีสต์ที่กำลังลุกขึ้นยืนประคองพี่สาวสบตากับเขาอยู่

      "ลุกขึ้นไหวมั้ย?"ออร์บิสย่อเข่าลงพร้อมยื่นมืออันใหญ่โตลงมาทางเด็กชาย

      เด็กชายพยักหน้าตอบ

      "มาสิ มากลับบ้านเกิดพวกเธอกันเถอะ"

      เสียงอันอ่อนโยนจากร่างเทพพระเจ้าดังขึ้นมาทั้งๆที่ไม่มีปากให้ขยับพูด และไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า มันเป็นคำพูดที่ออกมาจากใจอันโอบอ้อมอารีโดยแท้ 

      เมื่อได้ยินคำว่าบ้านเกิด ตาน้ำน้อยๆพลันไหลออกมา ไม่ใช่ไหลมาจากความทุกข์แต่ไหลมาจากความสุขที่จะได้พบหน้าครอบครัวแสนสุขที่ตัวห่างจากไปนับปีๆต่างหาก

      เด็กชายตัวน้อยไม่สนว่าจะมีความทุกข์อยู่ตรงหน้าหรือไม่ แต่ตอนนี้เขาและพี่สาวยังมีสถานที่ที่ต้องหวนกลับอยู่ เพราะฉะนั้นเขาจะไม่ลังเลอะไรทั้งนั้น

      "งั้นผมขอรบกวนด้วยนะครับ........"

      บัดนี้เด็กน้อยได้รู้แล้วว่า บนโลกอันโหดร้ายยังคงมีวีรบุรุษที่ส่องแสงประกายเจิดจ้าอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ..........


     .

     .

     .

     . 

     .
      

      แต่หารู้ไม่ว่าเหตุการณ์การต่อสู้ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้น ได้มีบางสิ่งกำลังจับตามองมาตั้งแต่ต้นยันจบอยู่

      ห่างออกไปนับ4กิโลเมตร ได้มียานลำหนึ่งจอดอยู่ภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้จนแทบมองไม่ออก

      ชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนที่นั่งนักบินที่อยู่ด้านหน้าสุด กำลังนั่งมองภาพออร์บิสผ่านทางหน้าจอมอนิเตอร์ ซึ่งไม่เข้ากับดาวแห่งนี้ที่มีอารยธรรมพอๆกับยุคกลางอย่างแรง

      "เอาไงดีหัวหน้า"มีเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังออกมาจากลำโพงเล็กๆบนแผงควบคุมยาน

      "เหมือนตอนนี้ทางเขายังไม่รู้สึกถึงเรา กลับกันก่อนเถอะ"ชายที่นามว่าหัวหน้าตอบ

      "หว่า เสียดายจัง นึกว่าจะบินตามไปซะอีกเผื่อเราจะได้ค้นคว้าอะไรเกี่ยวกับเจ้ามนุษย์ยักษ์มั้ง"น้ำเสียงปนเสียดายของชายหนุ่มอีกคนดังขึ้นมาเสริม

      "เอาไว้ทีหลัง เรายังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับทั้งมนุษย์ยักษ์ทั้งสัตว์ประหลาดตัวนั้น อย่าเสี่ยงจะดีกว่า ไว้กลับไปที่ยานสเปซตรั่มแล้วค่อยคุยกัน"

      "ครับๆ เข้าใจแล้วครับ"

      แม้พยายามพูดให้ธรรมดาแต่ชายหนุ่มมิอาจปกปิดความเซ็งจิตในน้ำเสียงไม่ได้อยู่ดี

      "ยานทีก้าออกตัวได้"

      ว่าจบไอพ่นใต้ท้องยานได้ขับเคลื่อนให้ยานลอยตัวสูงขึ้น หลังจากนั้นยานก็ได้เดินหน้ากลับเต็มกำลังอย่างเงียบเฉียบ บินเข้ากลีบเมฆหายไปโดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้การมาของยานปริศนาลำนี้แม้แต่คนเดียว..........




      เวลาที่พวกเราประชุมกันเราต้องอยู่ในที่สว่าง แต่เวลาเราดูโปรเจคเตอร์เราต้องอยู่ในที่มืดหน่อยเพื่อจะมองเห็นสิ่งที่ฉายได้ชัดๆ และตรรกะนี้ก็ใช้ได้กับกลุ่มคนเหล่านี้

      ชีวิตทั้ง7ชีวิตที่นำโดย'หัวหน้า' กำลังนั่งเก้าอี้ดูวีดีโอที่ฉายจากโปรเจคในห้องมืด ซึ่งมันเหตุการณ์ตั้งแต่ตอนที่ทรอเนซิสโผล่มายันตอนที่ออร์บิสบินจากไป

      "นี่ตรูกำลังดูอุลตร้าแมนอยู่หรือไงฟ่ะ"ชายหนุ่มผมยาวพูดประชดขณะดูวีดีโอ

      "ว้าวๆ ไหงมนุษย์ยักษ์ตัวนั้นถูกไม่มีช้างน้อยล่ะ สงสัยเป็นหมั่น555+"เสียงชายหนุ่มอีกคนกล่าวอย่างอารมณ์ดี ทว่าดันไปรบกวนคนอื่นเข้า

      ผลก็คือ ถูกเพื่อนอีกคนจัดการเอาเทปมัดปากไว้ซะเลย จบ

      เมื่อคนเล่นมุขโดนปิดปาก คนอื่นก็ดูวีดีโอได้อย่างสบายใจไม่ต้องมีอะไรกวนใจจนจบ ยกเว้น เสียงอู้อี้ที่มาเป็นระยะ

      หลังดูจบไฟในห้องก็ได้เปิดจนหน้าทุกอย่างได้ชัดเจน ซึ่งดูจากสภาพห้องก็รู้ได้ว่า นี่เป็นห้องประชุมเล็กๆแน่

      ชายหนุ่มที่ทุกคนในห้องเรียกว่า หัวหน้า ขึ้นจากเก้าอี้หน้าสุดขึ้นมาอธิบาย

      คุจิวะ ไอซ์ หรือชื่อเล่น ไอซ์ อายุ22ปี นี่เป็นนามของบุคคลที่ถูกเรียกว่า หัวหน้า เขามีลักษณะรูปร่างหน้าตาใบหน้าเรียวเข้ารูป ผิวขาวเหลืองอ่อนๆ ผมสีน้ำเงินสดใส เรียกได้ว่าเป็นเทพบุรุษโดยแท้

      โดยทุกคนนั้นจะใช้ชุดยูนิฟอร์มของหน่วยGAT(Galaxy Away Team) เป็นชุดสีเทาตัดน้ำเงินเข้ม หน้าอกซ้ายจะมีสัญลักษณ์หน่วยGATอยู่ ส่วนหน้าอกขวาจะมีตัวอักษรA-Z เป็นสังกัดของทีม ซึ่งทีมของพวกเขาเป็นตัวZ

      GAT คือหน่วยงานที่ถูกจัดตั้งโดยWPF(
    World Peaceable Federation) ออกไปสำรวจอวกาศนอกสุริยจักรวาลเพื่อค้นหาดาวดวงใหม่ที่สร้างสัมพันธมิตรได้ มีทรัพยาการกลับไปบำรุงโลกได้ หรือใช้เป็นบ้านใหม่ของมนุษยชาติได้

      และการมาสำรวจที่ดาวอาคาเซียก็เป็น1ในหน้าที่พวกเขาเช่นกัน

     

      ดวงตาเรียวสีไพรินอันเฉลียวกวาดสายตาไปยังลูกทีมทุกคน

      "เอาล่ะ นี่คือข้อมูลทั้งหมดที่เราเก็บมาได้จากการสำรวจ สเปอร์นอฟช่วยอธิบายหน่อย"

      "คร้าบ"เสียงของชายหนุ่มนาม สเปอร์นอฟ ผู้ประจำตำแหน่งนักวิทยาศาสตร์ของยานขานรับ

      สเปอร์นอฟ เอซ นักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะที่ได้การบรรจุเข้าหน่วยGATด้วยวัย18ปี(ปัจจุบัน19ปี) เขามีผมซอยสั้นสีแดงชวนแสบตา ผิวขาวอมชมพูติดซีด จมูดโดงรั้น ดวงตาสีแดงโกเมนนิ่งๆ มึนๆบ่งบอกนิสัยของเจ้าตัวได้เป็นอย่างดี

      เขาค่อยๆลุกขึ้นมาอย่างไม่เต็มใจนัก แต่ก็ช่วยไม่ได้เขาคือนักวิทยาศาสตร์ ต้องอธิบายข้อมูลให้กระจ่าง โดยเฉพาะข้อมูลด้านวิทยาศาสตร์ของดาวดวงนี้

      สเปอร์นอฟขยับแว่นคู่ใจให้เข้าที่ ก่อนอธิบายข้อมูลที่พวกได้มาจากการสำรวจรอบแรก

      ดาวที่พวกเขามาเยือนสำรวจนั้นชาวดวงดาวนี้เรียกว่าดาวอาคาเซีย ด้านพื้นที่ของดาวจะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางใหญ้กว่าโลกถึง3เท่า อารยธรรมและเทคโลยีจะคล้ายในช่วงยุคกลางหรือยุคมืดของยุโรป แน่นอนสภาพสังคมและความเชื่ออาจจะคล้ายคลึงกับดาวโลกด้วย

      ด้านเผ่าพันธ์ุนั้นจะมีเผ่าพันธ์ุที่มีลักษณะเหมือนกับพวกเรา และเรียกตัวเองว่ามนุษย์ ซึ่งน่าจะเป็นเผ่าพันธ์ุที่มีจำนวนเยอะที่สุดเลยก็ว่าได้ ทว่าไม่ใช่แค่มนุษย์อาศัยอยู่เท่านั้น

      จากเท่าที่เราพบมาจากการแทรกซึมเข้าไปสำรวจ จะมีเผ่าอื่นที่มีอารยธรรมเหมือนกันด้วย

      เผ่าบีสต์ เผ่านี้จะมีลักษณะคล้ายมนุษย์แต่แตกต่างกันตรงที่พวกเขามีหูและหางของสัตว์อยู่ด้วย มีร่างกายแข็งแรง มีความสามารถพิเศษแตกต่างกันไปตามลักษณะเผ่าพันธ์ุที่แตกแขนงย่อยออกมา

      ถึงอย่างนั้นเผ่านี้มีจำนวนมากรองลงมาจากมนุษย์ นอกจากนี้ยังถูกมนุษย์ปฏิบัติราวกับทาสไม่ผิด การปฏิบัติต่อเผ่านี้ถือว่าแย่ไม่มีผิด บางคนถึงกับถูกมนุษย์ข่มขื่นจนตายไปเลยก็มี(ฟังมาจากคนในหมู่บ้าน)

      เหมือนสาเหตุเหล่านี้จะมาจากกลุ่มทางศาสนาที่มีอำนาจมากในดาวดวงนี้ มีชื่อว่า ศาสนจักรแห่งแสง ที่มีความเชื่อความเผ่าบีสต์คือเผ่าที่น่าขยะแขยง ไม่สมประกอบ

      "ค_ย.......ยุคกลาง"

      จู่ๆมีเสียงขัดจังหวะการอธิบายขึ้น น้ำเสียงนั้นบ่งบอกว่าคนพูดไม่สบอารมณ์อย่างหนัก ทำเอาทุกคนหันไปมองทางเดียวกัน

      ชายหนุ่มอีกคนที่มีผมสีบลอนด์ชมพูเหมือนนมเย็นใส่วิป ใบหน้าเรียวได้รูป ดวงตาสีฟ้าซีดที่ควรแสดงเสน่ห์คนหล่ออารมณ์ขันกลับฉายแววความเดือดดาลขึ้นมา คิ้วขมวดกันเป็นปมเชือกซะแล้ว

      "เซ็น ไม่อยากจะพูดหรอกนะ กรุณาอย่าขัดเวลาคนกำลังพูดจะได้มั้ย?"สเปอร์นอฟเตือนชายหนุ่มที่พูดขัด โดยไม่สนว่าอีกฝ่ายจะเป็นรองหัวหน้าก็ตามที

      "โทษที ของขึ้นไปหน่อย"เช็นเกาหัวขอโทษ เหมือนเขาจะเผลอของขึ้นเมื่อได้ยินคำว่าขมขื่น

      ความรู้สึกที่เหยียดหยามและอยากเอาปืนมากรอกหน้าไอ้พวกขมขื่นเพศแม่เกือบพรวดพล่าน จนเกือบได้เผลอชักปืนขึ้นมาจริงๆซะแล้ว

      "ผมพอเข้าใจความรู้สึกนะเซ็น ความจริงตอนไปสำรวจผมเองก็อยากจะช่วยทาสพวกนั้นอยู่นะ แต่ถ้าตอนนั้นช่วยได้คงช่วยไปนานแล้วถ้าไม่ติดว่ามีคนคุ้มเข้มตั้งหลายคน อีกอย่างเรายังทำอะไรสุ่มเสี่ยงไม่ได้ ไม่งั้นจะปานปลายเป็นปัญหาใหญ่ทีหลังก็ได้ เข้าใจนะ?"

      ไอซ์พูดระบายความรู้สึกในใจพร้อมตักเตือนเซ็นไปในตัวด้วย ตัวเขาต้องขอยอมรับเลยว่าดาวนี้เถื่อนจริง เก่งจริง รวยจริงถึงจะอยู่ได้ ความยุติธรรมอยู่ในมือผู้ที่ทั้งรวยทั้งแข็งแกร่งเท่านั้น มันทำเอาเขาหงุดหงิดกับตรรกะนี้เหมือนกัน

      ซึ่งเซ็นที่ได้ฟังก็เข้าใจ และพยักหน้ารับแต่โดยดีเพราะมันก็คือความจริง

      "เอาล่ะ ฉันจะอธิบายต่อเลยนะ"สเปอร์นอฟพูด

      และเผ่าอีกเผ่าที่ในหมู่มนุษย์กล่าวขานถึงความแข็งแกร่งอีกเผ่าหนึ่ง นั้นก็คือเผ่าเอลฟ์ จะมีลักษณะต่างจากมนุษย์ตรงที่มีความกว้างใบหูที่ยาวแหลมออกมา และมีเส้นผมสีทองอร่าม แถมมีอายุขัยยืนยาวนับ100ปีเลยทีเดียว ทักษะเด่นๆที่เหล่าเอลฟ์ถนัดกันก็คือ ก็สิ่งที่เรียกว่า เวทย์มนตร์อย่างช่ำชอง มีสายตาที่เฉียบคมมาก และมีธนูเป็นอาวุธคู่กายเหมือนเกิดมาเพื่อเอลฟ์โดยเฉพาะ ราวกับเกิดมาจากท้องแม่ด้วยกัน

      ตามข้อมูลที่ได้มาจากการสอบถามคนจากหมู่บ้านพบว่า จำนวนประชาการของเผ่านี้รองลงมาจากบีสต์และมนุษย์ ส่วนมากมักจะอาศัยอยู่ในป่าดงพงไพรไม่ค่อยออกมาสุงสิงกับใครนัก อยู่กันแบบกระจายตัวเป็นหมู่บ้าน

      ด้านความสัมพันธ์กับเผ่ามนุษย์นั้น จะดีจะแย่ขึ้นอยู่กับอาณาจักรหรือเมืองที่อยู่ใกล้เคียง ถ้าเจออันที่ดีก็แล้วไป แต่ถ้าเจอกลับที่ที่มนุษย์มีอำนาจสูงสุดก็ซวยเต็มๆ เช่น อาณาจักรเอ็มเพอร์เรอ เพราะโดนจับเป็นทาสแน่ไม่ต้องถาม

      ว่ากันว่า ถ้าขุนนางคนใดมีทาสเอลฟ์จะถือว่ามีฐานะที่สูงส่งมากๆ แปลว่า สถานะหน้าตาในสังคมจะดูดีขึ้นเป็นกองเลยทีเดียว

      คราวนี้มาถึงสิ่งที่เราและผู้คนบนดาวนี้ เรียกมันว่า เวทย์มนตร์

      อย่างที่รู้กันถ้าในอ่านเรื่องแฟนตาซี เวทย์มนตร์มันคือพลังปาฏิหารย์ที่อยู่ในกายของแต่ละคน ที่สามารถนำมาประโยชน์ได้ต่างๆ ไม่ว่าจะโจมตี ป้องกัน รักษา เป็นต้น ซึ่งที่มาไม่ค่อยแน่ชัดนักในตอนนี้

      ถ้าในทางวิทยาศาสตร์อาจจะสรุปได้ว่า เวทย์มนตร์เป็นอนุภาคชนิดหนึ่งที่อยู่ภายในกายคนบนดาวนี้ สามารถสร้างปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติได้ด้วยตัวเอง และดึงออกมาใช้งานได้ดั่งใจนึกเมื่อรู้จักใช้วิธีควบคุมมัน นอกจากนี้ยังเอามันมาประยุกต์เป็นวิธีใช้งานใหม่ได้ หรือเอาวัตถุดิบมาผสานกันเป็นอุปกรณ์เฉพาะทางก็ยังได้

      เวทย์มนตร์จะแบ่งออกเป็น4ะาตุหลักๆ ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ และมีธาตุพิเศษอยู่2ธาตุ แสงกับความมืด ด้วยแต่ละธาตุจะหักล้างกันไปตามคุณสมบัติของธาตุนั้นๆ ซึ่งแต่ละคนจะมีธาตุเหล่านี้แตกต่างกัน

      ด้านอานุภาพของเวทย์มนตร์จะขึ้นอยู่กับผู้ใช้เป็นหลัก ยิ่งมีมากยิ่งพลังทำลายเยอะตาม คนที่เกิดมามีพลังเวทย์เยอะหรือมีธาตุในตัวมาก ถือว่าเป็นคนมีพรสวรรค์มากขึ้นเท่านั้น

      และนี่คือทั้งหมดของข้อมูลที่ได้มาการสำรวจครั้งแรกเท่านั้น......



      "เอาล่ะ ตอนนี้มีใครจะถามอะไรมั้ย?"สเปอร์นอฟถาม

      เซ็นยกมือขึ้นถาม"แล้วข้อมูลเกี่ยวกับมนุษย์ยักษ์กับสัตว์ประหลาดล่ะ?"

      สเปอร์นอฟส่ายหน้าพร้อมถอนหายใจ"ถ้าได้มาจริง ป่านนี้ฉันคงพูดไปนานแล้วล่ะ"

      ข้อมูลอันนี้เขาจนปัญญาจริงๆ เพราะตอนไปสำรวจกับหัวหน้าและน้องสาวเขาก็ไม่ยักรู้ว่ามีตัวพรรคนี้ด้วย

      "เพราะแบบนี้ไงล่ะ พวกเราถึงต้องไปสำรวจอีกรอบ"ไอซ์พูดขึ้นมาจนทุกคนต้องหันมามอง

      "ไม่ต้องห่วงหรอก เราต้องเช็คสภาพยานทีก้าให้พร้อมก่อนถึงจะค่อยไป ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา เราแยกย้ายไปพักก่อนแล้วค่อยคุยกันอีกทีว่าใครจะกันดี"

      "Yes, sir!"ทุกคนขานรับแล้วแยกย้ายไปพักผ่อนกันตามอัธยาศัย

      .

      .

      .

      .

      .

      .


      ไม่กี่ชั่วโมงต่อมากลุ่มคนทั้ง3ที่จะได้สำรวจในครั้งที่2ได้เดินเข้ามายังส่วนของโรงเก็บยานพาหนะของยานสเปซตรั่มที่พวกเขาอาศัยอยู่

      ภายในโรงเก็บยานนี้จะมียานพาหนะอยู่ไม่ถึงสิบ มีทั้งรถยนต์วิบาก2คัน ยานสำรวจและกู้ภัยขนาดเล็กอีกคน เป็นต้น ทว่ามียานรบลำหนึ่งที่กินพื้นที่ไปมากชาวบ้าน

      ยานที่มีลักษณะคล้ายเครื่องบินรบ มีปีกกว้างคล้ายเหยี่ยวช่วงกลางยาน ปลายหน้ายานเหมือนจงอยปากอินทรี มีกระจกครอบห้องนักบินอยู่ถึงตามจุดหน้า กลาง หลังไว้ชัดเจนว่าขึ้นไปขับตรงไหนได้ โดยทั่วไปยานจะมีสีออกเทาเขม่าแต่จะมีสีแดง น้ำเงิน เหลืองตัดกันตามส่วนหน้า กลาง หลังของยานเป็น3ส่วนตามลำดับ

      นี่แหละคือ รูปร่างของยานทีก้า ยานที่กินเนื้อที่โรงเก็บไปมากที่สุด และเป็นยานรบที่ประสิทธิภาพสูงของGAT ทีมZอีกด้วย

      รหัสของมันคือ FF-E3T เป็นยานรบรุ่นใหม่ที่สร้างเสร็จมาทันพอดีกับตอนที่ทีมZที่ต้องออกอวกาศตามทีมก่อนหน้าไป ซึ่งมีประสิทธิสูงกว่ายานรบของทีมอื่นก่อนหน้าเสียออกอีก แม้จะอยู่ในช่วงทดลองก็ตาม

      ชื่อทีก้านั้นไม่ได้ตั้งขึ้นมาเล่นๆ เพราะความหมายของคำว่าทีก้า แปลว่า เลข3ตามภาษาอินโดนีเซีย สื่อถึงว่ายานลำนี้สามารถแยกตัวออกมาได้เป็นยานทั้ง3ลำนี่เอง ได้แก่ ยานอัลฟ่า ยานเบต้า และยานแกมม่า


      ความจริงเวลานัดไว้หลังประชุมคือ 3ชั่วโมงข้างหน้า ทว่าก่อนจะถึงเวลาไม่กี่นาทีได้มีคนมาก่อนแล้ว

      หญิงสาวผู้มีใบหน้ากลมมีแก้ม ผมสีแดงเพลิงแสบตา ดวงตาเรียวคมกริบ
    นัยน์ตาสีมรกตวาวใส จมูกโด่งรั้นเชิด ผิวขาวอมชมพูติดซีด จุดเด่นที่เตะตาของเธอ คือ มีรอยสักสีเขียวคล้ายโดนข่วน เป็นสาวสวยอีกคนแต่ท่าทางนั้นเหมือนพวกเหย่อหยิ่ง แต่ดันเตี้ย ย้ำ เตี้ยจริงๆ ซึ่งมันก็ใช่จริงๆ

      พอมองดูเธอก็คล้ายกับสปอร์นอฟอยู่หลายจุด ใช่แล้ว เพราะเธอคือคู่แฝดของสเปอร์นอฟ นาม สปาน่า เอซ

      เธอมองไปยังยานทีก้าที่กำลังตรวจเช็คสภาพอยู่ โดยผู้หญิง เฮ้ย ผู้ชายคนหนึ่งอยู่ตำแหน่งวิศวกรประจำยานหรือนายช่าง ความจริงเมื่อตะกี้ก็เกือบนึกนะว่าเป็นญ.หญิงอยู่

      เขาบ่นไปเช็คสภาพไปตามนิสัยเขา อันนี้สปาน่าเข้าใจเพราะคนๆนี้นิสัยก็ยังคงเส้นคงวาตั้งแต่เข้าทีมด้วยกันแล้วที่บ่นไปทำไป แต่งานกลับออกมาเนียบเกินคาด

      ถ้าถามว่าเหตุไหนเธอถึงมายืนดูคนเค้ากำลังซ่อมอยู่? เอาง่ายๆ......

      "โย้ เกย์จังชอบสีม่วงป่ะ?"

      ....กวนบาทาชาวบ้านครับท่านผู้อ่าน

      เคร้ง.......

      เสียงประแจหลุดออกจากมือกระทบลงกับเกราะยานทีก้า หญิง เฮ้ย ชายหนุ่มผมสีแดงยาวสลวยหันมาจ้องเธออย่างกินเลือดกินเนื้อ

      "อะไรกันเล่า เดี๋ยวจ้องมากก็ท้องเป็น....."

      สปาน่าหัวเราะอย่างขบขับ แต่ไม่มันไรเสียงเหล็กทะลุได้ดังกังวาลขึ้นมาทั่วโรงเก็บ และ......

      "เมื่อกี้ตรูได้ยินนะโว้ยอีเตี้ย"

      "โอเค ขอถอนคำพูด"

      ใกล้ๆฝ่าเท้าเธอปรากฏประแจอันหนึ่งที่ไม่รู้พุ่งมาจากไหน ปักทะลุเสียบพื้นเหล็กอยู่ เป็นนัยว่าถ้าขืนพูดอีกคราวหน้าจะเป็นหัวเธอแน่แท้

      "ไม่แหย่ใครไม่แหย่ไปแหย่นายช่างยานเรา คราวหน้าเธอหัดแหย่ให้ถูกคนด้วยนะ"

      "อย่ามาซ้ำเติมฉันสักทีได้ป่ะไอ้คุณสเปอร์นอฟ"สปาน่าหันมาพูดประชันกับฝาแฝดชายตัวเอง

      "อ้าว นี่เธอรู้เปล่าว่าฉันเป็น......

      "ฝาแฝดชายไงล่ะอายุ19เหมือนกัน อย่าริอาจมาเรียกตัวเองว่าพี่ชายหน่อยเลยนะจ้ะคุณน้องชาย-----"ช่วงท้ายเธอพูดลากเสียงสูงกวนประสาท

      "ว่าไงนะ!?"สเปอร์ถึงกับฉุนกึก

      "พอๆเลยพวกนาย"

      "หัวหน้า!"

      ในระหว่างที่2พี่น้องกำลังจะได้ระเบิดศึกทางปาก ไอซ์เดินเข้ามาพอดีเลยพูดห้ามทั้งคู่ไว้ทัน ไม่งั้นพี่น้องคู่นี้คงทะเลาะกันไม่เป็นงานแน่แท้

      "รายงานสถานะยานทีก้าหน่อยวิซาร์"ไอซ์ถามถึงสภาพยานกับนายช่างของยานสเปซตรั่ม

      นายช่างวิซาร์ตอบไปเช็คยานไป

      "ตอนนี้ยานทีก้าพร้อมออกรบได้ทุกเมื่อ เครื่องยนต์ยานไม่มีอะไรสึกหร่อ ลำแสงเลเซอร์กับมิสซายต์พร้อมรบเต็มอัตราศึก ระบบแยกตัวและประกอบยานไร้ปัญหา คงไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงแล้ว.....ว่าแต่หัวหน้าให้เตรียมอาวุธแบบนี้มันเหมือนจะเอาไปก่อสงครามเลยนะนั้น"

      วิซาร์กังวลเล็กน้อย ไม่คิดว่าหัวหน้าตัวเองจะจัดเต็มด้านอาวุธให้ยานทีก้าขนาดนี้

      "เผื่อไว้น่ะ เราเองก็ไม่รู้ว่าจะได้สัตว์ประหลาดขนาด50เมตรตอนไหนไม่รู้"

      นายช่างประจำยานพยักหน้ายอมรับเหตุผลไอซ์

      "สปาน่าขับยานแกมม่า สเปอร์นอฟขับยานเบต้า ส่วนผมขับยานอัลฟ่า มีใครจะสลับเปลี่ยนไปขับยานอื่นมั้ย?"ไอซ์ถามลูกทีมที่จะไปกับเขาทั้ง23คนด้วยน้ำเสียงที่เคร่งครึม เพื่อยืนยันความแน่ใจ

      ""ไม่ครับ/ค่ะ!""คู่แฝดตอบอย่างแข็งขัน แสดงเจตนารมย์ของตัวเองชัดเจนจนไอซ์พอใจกับปฏิกิริยา

      "ภารกิจครั้งนี้ของพวกเราคือ แฝงตัวเข้าไปในเมืองใหญ่ หาข่าวสารและข้อมูลมากให้เยอะที่สุดรวมถึงข้อมูลของมนุษย์ยักษ์และสัตว์ประหลาดตัวนั้นด้วย เข้าใจนะ?"

      ""Got it!""คู่แฝดยกนิ้วโป้งเป็นอันเข้าใจกัน

      "งั้นใน3นาทีไปเตรียมอุปกรณ์ของตัวเองให้พร้อมซะ!"

      ""รับทราบ"

      กล่าวจบทั้ง3ก็รีบไปเปลี่ยนชุดนักบินพร้อมหยิบอาวุธของแต่ละคนอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพากันขึ้นยานทีก้าทะยานออกจากยานแม่ไป.....


      ทว่าพวกเขาหารู้ไม่ว่า ชะตากรรมกำลังพาพวกเขามาพบพานกับบุคคลหนึ่งอยู่ในอนาคต.......






      ยามรัตติกาลมักกล่าวกันว่าเป็นช่วงที่น่ากลัวที่สุด ไร้แสง เงียบสงันจนน่าประหลาด ดูน่ากลัว หรือเหตุผลอื่นว่ากันไป แต่ที่แน่ๆมันช่วงเวลาที่เหล่าคนชั่วช้าชอบทำเรื่องจัญไรมากเป็นที่สุด

      คืนค่ำเมฆกลบดวงจันทร์ ในตรอกซอกซอยแคบแห่งหนึ่งในอาณาจักรเอ็มเพอร์เรออันเป็นอาณาจักรที่เกรียงไกรที่สุด ที่เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นของขยะเน่าเสียจากความมักง่าย มีร่องน้ำเสียอยู่ ลับตาคน ห่างไกลชุมชน แถมไร้ไฟ

      เรียกว่า....มีคุณสมบัติให้ทำเลวโดยไม่มีใครรู้เต็มๆ

      ในตรอกซอยนี้มีเหล่าชายฉกรรจ์นับ6คนที่มีเข็มกลัดดาบสีต่างกันยืนคุ้มเชิงให้กับใครบางคน

      และคนที่ว่านั้นเป็นชายหน้าตาหล่อเหลา ใส่ชุดผู้ดีมีชาติตระกูล แต่ขอโทษอย่ามองคนจากหน้าตา เพราะนี้มันกำลังยืนครอมและกดร่างเด็กสาวตัวเล็กคนหนึ่งให้นอนหงายดิ้นไปไม่ได้ แถมเป้ากางเกงถูกถอดให้เจ้าโลกลืมตาดูโลก พร้อมกระซวกพรมจรรย์เด็กสาวอยู่รอมรอ

      "ไม่นะ! อย่าทำหนูเลย!!"

      เสียงของเด็กสาววัย9ขวบในชุดสีขาวโปร่งที่ถูกเหล่าชายฉกรรจ์ฉีกทิ้งเป็นผ้าขี้ริ้ว กำลังกรีดร้องคอแทบแตก ทว่าคงไม่มีใครมาช่วยหรอก

      เพราะพวกชายฉกรรจ์หรือก็คือนักผจญภัย ใครรับบทเป็นผู้กล้ามาขัดจังหวะ คงได้โดนกระทืบยั้บคาตีนชัวร์

      "ฮ่าๆๆๆ ไม่ใครมาช่วยแล้วล่ะสาวน้อย"ชายผู้มีชาติตระกูลค่อยเผยรอยยิ้มอันน่ารังเกียจ พร้อมกับใบหน้าที่แสดงความหื่นกามจนความหล่อหาย ความอุบาทแทนที่

      ....ภายนอกดูดี ภายในเน่าแฟะของแท้......

      บอกนี้ไงคนเลวถึงย่ำยีคนอื่นได้ถ้าหน้าตามันดูดีมีชาติตระกูลไว้ใช้หลอกล่อเป็นหน้ากากชวนเชิญสวยงามที่ปกปิดความทุเรศจริงๆของมัน

      ส่วนเหล่านักผจญภัยทั้ง6ก็รู้ทั้งรู้ว่ามันผิดเต็ม แต่ก็นะเงินไม่เข้าใครออกใคร

      เพราะแบบนี้ไงถึงเลิกทำงานชั่วๆไม่ได้ ก็ค่าจ้างมันแพงนี่นา.....

      ชายจอมหื่นกามนอนคร่อมเด็กสาว ก่อนนำมือมาปิดปากเธอและค่อยๆบรรจงเลียแก้มอันวัยเยาว์อย่างช้าเพื่อลิ้มรสความวัยเยาว์บนเรือนร่าง ตั้งแต่แก้มจนถึงหน้าท้องจนสาแก่ใจ

      ".....จากนั้นไปเรามาเป็นหนึ่งเดียวกันนะจ้ะน้องสาว-----"

      ชายผู้ดีมีชาติตระกูลยิ้มชั่วร้ายไม่เหลือเค้าหล่อ ความหื่นขึ้นหน้ามิด จมูกหายใจเป็นหืดเป็นหอบ หัวใจเต้นกันรั่วๆ  สารแห่งความสุขความตื่นเต้นหลั่งไหลสู่สมองกลายเป็นความฟินที่จากที่ไหนไม่ได้

      เพราะแบบนี้ไงเมื่อได้ยินเรื่องของสาวงามที่ไหนไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ เขาจะใช้อำนาจของตระกูลฉุดมาสำเร็จความใคร่ให้จงได้ เขาเสพติดมันเหมือนอาหาร3มื้อซะแล้ว

      ยิ่งขณะทำแล้วหญิงสาวร้องไห้มันช่างยิ่งฟินเหลือเกิน

      ความคิดอันสุดน่ารังเกียจแสดงออกมาผ่านใบหน้าอันหื่นกามจนไม่รู้ว่าตัวมันระยำไปถึงขั้นไหนแล้ว ช่างเถอะ นี่ความสุขตรูจะทำอะไรมันก็เรื่องตรู

      บัดนี้ถึงเวลาที่ต้องลิ้มรสความสุขกามรมย์ได้เสียที!!

      .

      .

      ปุ้ก!

      "อุก......."

      จู่ๆไม่ทันจะได้เสียบเจ้าโลก หน้าตาของผู้จะขมขื่นมีสีหน้าคล้ำดำเขียว แสดงความเจ็บปวดจุกเสียดท้องน้อยซะจนร้องไม่ออก ถ้าสังเกตดีน้ำตาจำนวนหนึ่งได้ไหลรินออกมาย่อมๆ ตาเหลือกขึ้นขวา

      "ช้าง....น้อย.....ตรู......."

      ท่ามกลางความสงสัยของเหล่านักผจญภัยที่ถูกจ้างมารวมถึงเด็กสาวที่เกือบถูกข่มขื่น ร่างของผู้ว่าจ้างหลังตั้งขึ้นมาพร้อมกุมกล่องดวงใจไว้ ก่อนโอนเอนล้มลงไปทั้งๆในสภาพนั้น แถมน้ำลายยังฟูปากอีกต่างหาก

      สรุปล้มได้ทุเรศชิบ........

      หลังชายผู้ดีได้ล้มตึงไปได้ปรากฏเสาดินขนาดเท่าขวดน้ำตั้งตระหง่านมาแทนที่ ทำให้นักผจญภัยรู้ว่ามีใครใช้เวทย์เสกเสาดินนี้ขึ้นมากระทุ้งกล่องดวงใจผู้ว่าจ้างแน่

      "ใครว่ะ!?"

      เมื่อรู้ดังนั้นนักผจญภัยทุกคนต่างรีบหันไประวังรอบด้านอย่างตื่นตระหนก

      ไอ้คนๆนั้นมันร่ายเวทย์กันตอนไหน?

      ในกลุ่มพวกมันมีนักเวทย์อยู่ ถ้ามีใครร่ายเวทย์อยู่มันน่าจะรู้ไปนานแล้ว

      แล้วมันทำได้ยังไง? คำถามวนไปในสมองนักผจญภัยกันหมด

      กรึ่ก....

      เสียงรองเท้าเหยียบหินกระทบกันใจกลางวงนักผจญภัย ทำเอาทุกคนล้วนหันมาดูกันพลันไว

      "!?"

      ใจกลางวงที่ควรมีผู้ว่าจ้างกับเด็กสาวได้มีร่างของชายหนุ่มในจุดจอมเวทย์สวมฮู้ดสีดำที่บางส่วนขาดวิ่นยืนอุ้มร่างเด็กสาวที่ทำหน้าอึ้งๆอยู่ มาไว้ในท่าอุ้มเจ้าหญิง

      "ไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?"จอมเวทย์ปริศนาถามเด็กสาวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน

      เด็กสาวพยักหน้าหงิกๆทั้งที่ยังอึ้งไม่หาย

      "แกเป็นนักเวทย์สินะ?"นักผจญภัยที่ใช้ดาบถามพร้อมชี้ดาบใส่

      "ถ้าใช่ล่ะ"

      "ก็ตายโทษสถานยุ่งไม่เข้าเรื่องไงล่ะเฟ้ย!!"

      กล่าวจบนักผจญภัยคนนั้นได้ใช้เวทย์เสริมกำลังพื้นฐานเป็นออร่าสีเหลืองบาง ถีบเท้าพุ่งตวัดดาบใส่จอมเวทย์หนุ่มอย่างรวดเร็ว!

      ทว่าแววตาอันลิงโลดของนักผจญภัยได้หยุดลง จอมเวทย์หนุ่มทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดถึง เขาเบี่ยงตัวหลบไปซ้ายทั้งๆยังอุ้มเด็กสาวอยู่จนฉิวไปนิดเดียว คล้องแขนของนักผจญภัยคนนั้นขณะกำลังพุ่งตัวด้วยแขนข้างเดียว

      โครม!!

      จอมเวทย์หนุ่มบิดตัวทวนเข็มนาฬิกา ใช้แรงที่พุ่งมาเสริม จัดการคล้องแขนและเหวี่ยงทั้งหน้าทั้งตัวมันให้หน้ากระแทกกับกำแพงใกล้ๆ ด้วยแรงพุ่งที่เสริมด้วยเวทย์มันมากและแรงพอให้หน้ามันทะลุฝังคากำแพงเป็นตะปูตอกอิฐ

      "ลืมไปบังเอิญว่าผมเองก็เป็นนักสู้คนหนึ่งด้วย"จอมเวทย์หนุ่มกล่าว

      เมื่อรู้ว่านักผจญภัยนายนี้โดนจัดการไปเรียบร้อย ร่างของทุกคนสั่นสะท้านอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

      ในสายตาของนักผจญภัยที่เหลือต่างสลักกันในใจแล้วว่า หมอนี่คือสัตว์ประหลาด เพราะว่าความจริงคนที่โดนจัดการตะกี้คือคนที่เก่งที่สุดแล้ว ต่อให้รวมกันก็สู้ไม่ได้ ทว่าในพริบตาไม่ถึงนาทีกลับโดนจอมเวทย์นั่นจัดการซะเอง

      ปีศาจชัดๆ!!

      จอมเวทย์หาไม่สนใจสายตาที่มองตัวเองเป็นสัตว์ประหลาด เขาได้เสกเวทย์ลมขึ้นมาหอบร่างเด็กสาวในอ้อมกอด ส่งเธอให้ไปยังที่ปลอดภัยโดยที่เด็กสาวยังไม่ทันได้กล่าวขอบคุณด้วยซ้ำ

      เขามองไปยังเด็กสาวที่ถูกเวทย์ลมหอบไปจนลับตา ก่อนหันมามองเหล่านักผจญภัยที่สะดุ้งสั่นเป็นลูกนก คล้ายรู้ว่ารายต่อไปเป็นพวกเขา

      "ค....คือ ปล่อยผมไปได้มั้ยครับ......"นักผจญภัยถามขอร้องชีวิตแบบตะกุกตะกักด้วยความกลัว


      ทว่ากลับที่ได้มาคือการส่ายหน้า.......


      ในค่ำคืนนั้นเองมีเสียงโหยหวนดังไปทั่วตรอก เสียงกระดูกหักดังเป็นจังหวะเหมือนบรรเลงเปียโน กว่าจะรู้ว่ามีอะไรขึ้นกับพวกชั่วเหล่านี้ ในช่วงบ่ายๆพวกมันก็ถูกอัดจนน่วมยิ่งกว่ากระสอบทราบไปซะแล้ว......


    To be continued






    ---------------------------------------------------------------------------------------

     ความรู้สึกของคุณเมื่อเปิดเทอมแล้ว.......

    ในภาพอาจจะมี ข้อความ  

    ขอบคุณภาพจากเพจ โทคุ&กันดั้ม


      ขอโทษที่มาสายนะครับ ช่วงนี่ผมยุ่งมาก การบ้านก็ต้องทำ บอกตามตรงว่าเหนื่อย แต่ผมไม่มีวันทิ้งนิยายที่เตรียมการมาตั้งแต่เดือนกุมภาแน่

      ส่วนคุณวิโอเล็ตหรือก็คือmilkkey-tg รบกวนช่วยไปดูตอนcommentที่อัปเดตล่าสุดด้วยนะครับ ที่คุณส่งมามีปัญหาสำหรับผมเต็มๆ ช่วยไปแก้ตามที่ผมบอกไว้ด้วยนะครับ



      ภาพของออร์บิสไม่มีนะครับเพราะมันเป็นตัวที่ทางคนเขียนคิดขึ้นมาเอง แต่แรงบันดาลใจของงออร์บิสได้มาจากอุลตร้าแมนออร์บ เดอะเฟิร์ส

    ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ultraman orb origin



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×