คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : From that day on... Chapter EIGHT
สวัสดีค่ะ ในที่สุดก็มาถึงตอนจบแล้วนะคะ เพชรเขาจะเลือกใครก็ต้องติดตามดูแล้วล่ะ ลุยเลยดีฝ่า>>>>
8
พลอยเข้าใจทุกอย่างแล้วล่ะ
ตอนเย็นที่เพชรมาช่วยพลอยทำกับข้าวนั้น เพชรดูมีความสุขมาก คุยไปก็ยิ้มไปถึงเรื่องที่ได้ใกล้ชิดกับน้องพลอยสุดที่รักของเพชรเขา คืนดีกันแล้วสินะ คงกลับมารักกันเหมือนเดิมแล้ว ส่วนพลอยก็ไม่มีค่าอะไรอีกต่อไป เป็นแค่มนุษย์คนหนึ่งที่ไม่ได้มีความสำคัญมากไปกว่าเพื่อนเลย
เฮ้อ
พลอยคิดมาก ว่าไหม... ก็ความจริงแล้วเพชรไม่เคยมองใครเลยนอกจากน้องพลอย แม้แต่พลอยเองที่เพชรคอยดูแลปกป้อง เพชรก็ไม่ได้ให้ความหมายใด ๆ เพชรไม่ได้ทิ้งพลอยเพราะเพชรไม่เคยคบพลอย แล้วอย่างนี้พลอยจะน้อยใจทำไม จะว้าวุ่นทำไมกัน
พลอยนี่บ้าไปคนเดียวจริง ๆ
และเมื่อคืนที่มีกิจกรรมผูกข้อมือ แม้ว่าทั้งห้องประชุมจะมีเพียงแสงเรือง ๆ จากดวงเทียนไม่กี่เล่ม แต่พลอยก็เห็นเพชรพยักหน้าเรียกน้องเปิ้ลให้มาหา เพชรผูกข้อมือให้น้องและพูดอะไรไม่รู้ตั้งนานสองนาน แต่ไม่ต้องบอกพลอยก็เดาออกว่า เพชรคงขอน้องพลอยคืน
ที่แท้
การที่เพชรเปลี่ยนเสียงเรียกเข้าในโทรศัพท์พลอย ไม่ใช่เพราะมันจะทำให้คิดถึงน้องพลอยเวลาที่ได้ยินหรอก
ที่พลอยเคยพูดคำว่า ‘เพชรกับพลอย คู่กันพอดีเลยเนอะ’ แล้วเพชรเหมือนจะไม่ชอบนั้น ไม่ใช่เพราะการนึกถึงน้องพลอยมันเจ็บปวดหรอก
การที่เพชรเรียกพลอยว่า ‘ดา’ ก็ไม่ใช่เพราะไม่อยากจะรื้อฟื้นเรื่องน้องพลอยหรอก
ทั้งหมดนี้ ไม่ใช่เพราะเพชรอยากจะลืมน้องพลอย แต่เป็นเพราะ เพชรไม่อยากให้มีใครหน้าไหนมาทำอะไรเหมือนกับน้องพลอยต่างหาก
เสียงเรียกเข้านั้น เพชรเขาให้น้องพลอยคนเดียว
ประโยคนั้น เพชรเขาอยากให้น้องพลอยเท่านั้นที่พูดออกมา
ส่วนเพลง One ที่พลอยชอบนั้น เพชรไม่เคยร้องให้พลอยฟัง ก็เพราะอยากจะเก็บไว้ให้น้องพลอยที่เพชรเฝ้ารอ
หรือแม้แต่ชื่อของพลอยเอง พลอยยังไม่มีสิทธิ์จะใช้เลย เพราะ ‘พลอย’ ในหัวใจของเพชรคือน้องพลอย ไม่ใช่พลอยลดาคนนี้
พลอยเข้าใจทุกอย่างแล้ว
พลอยเข้าใจแล้ว ว่าเพชรไม่เคยรักพลอยเลย
“ดา อยู่นี่น่ะเอง”
เราว่าแล้วว่าดาต้องมานั่งอยู่ตรงนี้ ม้าหินอ่อนหน้าหอพักหญิง ที่ ๆ เราเคยพูดเปิดใจกับดาและยังเป็นที่ที่มองท้องฟ้ายามค่ำคืนได้สวยจริง ๆ เราคิดว่าดาคงชอบดูดาวจากตรงนี้ถึงได้เดาว่าดาอยู่ที่นี่ และก็ถูกต้องด้วย
“เราตกใจแทบแย่ที่ตื่นมาไม่เจอดา ออกมานั่งคนเดียวอย่างนี้มันอันตรายรู้ไหม”
ดายังคงก้มหน้านิ่ง ไม่ทักเราสักคำเลย เรารู้สึกเอะใจอะไรบางอย่างจึงนั่งลงข้าง ๆ แล้วสบตาค้นหาว่าเพื่อนรักเป็นอะไรไป แต่ดากลับเบือนหน้าหนีเรา เอ ..เราพูดอะไรผิดไปหรือเปล่านะ
“ดา ”
เราเรียกชื่อเธอเบา ๆ แล้วโอบไหล่เธอไว้ ในตอนนั้นเองที่เราเพิ่งสังเกตเห็นหยดน้ำใส ๆ ไหลลงจากดวงตาของเธอ ดาร้องไห้!
“ดา ใครทำดาบอกเราเลย”
ผู้หญิงข้าง ๆ ในชุดนอนเม้มปากกลั้นสะอื้นแล้วส่ายหน้าไปมา เราจึงเขย่าหัวไหล่เธออีกครั้ง
“ดา เกิดอะไรขึ้นบอกเราได้ไหม เราไม่มีอะไรปิดบังกันไม่ใช่เหรอ ดา ”
เราหยุดไว้แค่นี้เพราะเหมือนยิ่งพูดดาก็ยิ่งร้องไห้ บอกตรง ๆ ว่าเราทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะช่วยเธอยังไง ได้แต่กอดเธอไว้แน่น ๆ และเช็ดน้ำตาให้เธอ น้ำตาที่ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดไหลเลย
เพชรจะดีกับพลอยทำไม คนที่เพชรควรจะดีด้วยก็คือคนที่นอนข้าง ๆ เพชรคนนั้นต่างหาก!
คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายของค่ายนักไต่ฝันจึงให้น้องค่ายและพี่ค่ายทุกคนนอนรวมกันในห้องประชุม พลอยเข้าใจแต่ก็ทำใจรับไม่ได้จริง ๆ ที่น้องพลอยมานอนข้าง ๆ เพชรในขณะที่อีกข้างของเพชรเป็นพลอยเอง พลอยต้องแกล้งทำเป็นหลับทนฟังสองคนนั้นคุยหัวเราะกันจนเขาทั้งคู่หลับไปพร้อมกัน พลอยไม่ไหวแล้วจริง ๆ พลอยก็แค่ส่วนเกิน
พลอยไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้ และนั่นก็ยิ่งทำให้เพชรกอดพลอย ปลอบใจพลอย เพชรคงไม่รู้หรอกว่าความหวังดีของเพชรนั้นทำร้ายพลอยแค่ไหน เพชรมาทำดีกับพลอยทำไมในเมื่อ ในเมื่อสิ่งที่เพชรทำนั้นมันไม่ใช่ความรักเลยสักนิด
ก้อนเมฆบนฟ้าค่อย ๆ เคลื่อนเข้าบดบังดวงจันทร์ทำให้โลกใบนี้มืดลงไปอีก ลมหนาวพัดแรงขึ้นและยังพัดพาไอเย็นจากน้ำค้างมาด้วย เราเริ่มเป็นห่วงกลัวดาจะเป็นหวัดเพราะชุดนอนของเธอบางนิดเดียวและดาเองก็มักจะแพ้อากาศด้วย แต่ชวนกลับแล้วดาก็บอกว่ายังไม่อยากนอน โอเค ดาไม่นอน เพชรก็ไม่นอน
เราไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าอะไรทำให้เธอเป็นแบบนี้ แต่สังหรณ์ว่าสาเหตุอาจเป็นเพราะตัวเราเองนั่นล่ะ เพราะปกติแล้วเวลาเกิดอะไรขึ้นดาจะบอกเราเป็นคนแรก แต่ครั้งนี้ดาไม่ยอมบอกก็เลยคิดได้อย่างเดียวว่าเป็นเรื่องเราแน่ ๆ เราตัดสินใจรอให้ดาเย็นลงหน่อย นั่งอยู่ข้าง ๆ ตรงนี้ไม่หนีไปไหน เสียงสะอื้นของดาเงียบลงแล้ว เธอกำลังมองท้องฟ้า คงรอเวลาที่ก้อนเมฆก้อนใหญ่นั้นลอยพ้นไปจากดวงจันทร์ของเธอล่ะมั้ง
“เพชร ”
พลอยลดาเอ่ยเรียกเราน้ำเสียงเลื่อนลอย เราขานรับเบา ๆ แล้วหันไปหาเธอ
“เพชรยัง อยากรู้เรื่องความรักของเราอยู่ไหม”
เราเบิกตากว้างในความมืด แปลกใจจริง ๆ ที่จู่ ๆ ดาก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา ดาจำได้ด้วยหรือนี่ ครั้งนั้นที่เราเล่าเรื่องน้องพลอยให้ดาฟัง ตอนท้ายเราบอกว่าวันหลังให้ดาเล่าเรื่องของดาบ้าง จำได้ว่าดาเขินหน้าแดงขึ้นมาเลย เธอยิ้มและไม่ได้พูดอะไรอีก
“เรา เอ่อ อยากรู้สิ เคยบอกแล้วไงว่าเราฟังดาเสมอ”
ดาหันมามองสบตาเรานิดหนึ่ง แล้วดวงหน้าใสที่บัดนี้หมองเศร้าก็ก้มลงมองพื้นดินเบื้องหน้า
“เราเป็นคุณหนูอยู่กับบ้าน อ่อนแอ ทำอะไรก็ไม่ค่อยเป็น เพื่อน ๆ ไม่ค่อยเล่นกับเราหรอกเพราะเราคุยไม่สนุก เล่นมุขก็ฝืด เราเองเข้าใจและไม่โทษพวกเขาหรอก เรามันไม่ดีเองแหละแต่เราอยากปรับตัวนะ อยากเป็นคนธรรมดาเหมือนอย่างที่คนอื่นเขาเป็นกัน ไม่ใช่ตัวประหลาดอย่างนี้”
ดาถอนใจและเงยขึ้นไปมองบนท้องฟ้า กลุ่มเมฆหนาทึบนั้นค่อย ๆ เคลื่อนที่ผ่านดวงจันทร์ไปแล้ว ทำให้แสงจันทร์สาดส่องลงมาบนพื้นโลกอีกครั้ง เธอยิ้มออกมาบาง ๆ ราวกับว่า เมื่อสิ่งเลวร้ายในชีวิตเธอผ่านพ้นไป เธอก็ได้พบกับเขาคนนั้น ผู้เปรียบเสมือนดวงจันทร์ที่ส่องแสงสว่างให้เธอพ้นจากความมืดมน
“เราตัดสินใจย้ายมาอยู่หอพักเพื่อเรียนรู้ชีวิตภายนอกและหวังจะให้ตัวเองเข้มแข็งขึ้น และเราก็พบว่ามันไม่ง่ายเหมือนในละครเลย อาจเป็นเพราะเราไม่ได้เข้มแข็งเหมือนนางเอกมั้ง แต่โชคดีที่มีเขาคนนั้นคอยดูแลปกป้อง ช่วยเหลือเรา และเขาก็คอยรับฟังเราทุกเรื่องเลยนะ ปกติแล้วเราไม่ได้เปิดใจคุยกับใครทุกคนหรอก แต่ไม่รู้ทำไมเราถึงอยากคุยกับเขามากมาย เพื่อนเรายังถามเลย ว่าทำไมตอนเราอยู่กับ เพ เอ่อ กับเขาคนนั้นเราโม้เก่งจัง ฮิฮิ พูดแล้วก็ขำเนอะเพราะเราไม่รู้ตัวเลย..”
ดาหันมายิ้มให้เราแล้วกล่าวต่อไปแช่มช้า “เราไม่เคยคิดเลยว่าคนที่ไม่ใช่คุณพ่อคุณแม่ ไม่ใช่ญาติพี่น้อง ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนจะทำดีกับเราขนาดนี้ แต่เรื่องมันก็จบแค่นี้ล่ะเพราะเขาไม่ได้ ไม่ได้ชอบเราหรอก เขามีคนที่ชอบอยู่แล้ว และเขาก็รอคอยคนรักของเขาอยู่ทุกลมหายใจ เรารู้ เรารู้ดี”
เรา เราอึ้งอยู่นานและพยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่ดาเพิ่งบอกเรามา เขาคนนั้น ถ้าไม่ใช่เราก็ไม่รู้ว่าจะใช่ใครแล้วล่ะ นี่ดา ดาชอบเราเหรอเนี่ย เราไม่เคยรู้เลย . ไม่เคยรู้เลยสักนิด
“ดา คือ ” เราไม่อาจพูดคำใดออกมาได้เลย เรา สับสน
พลอยลดาถอนใจเบา ๆ แล้วหันมาสบตา ดวงตาสวยของเธอเริ่มปรากฏแววแจ่มใส บางที การที่ได้พูดอะไรออกไปคงทำให้เธอสบายใจขึ้น
“เพชร เราชอบเพชรนะ”
เราสบตาเธอนิ่งราวกับต้องมนต์สะกด ความรู้สึกสบสนว้าวุ่นในใจบัดนี้หยุดนิ่งราวกับรอคอยคำตอบจากตัวเราเองว่า ตกลงแล้ว เราคิดยังไงกับดากันแน่
เราดึงมือบางของดามากุมไว้ แล้วตัดสินใจบอกเธอด้วยคำพูดที่เราคิดว่า ตรงใจเราที่สุดแล้วล่ะ
“ดา เราก็ชอบดานะ รักดานะ แต่ว่า แบบเพื่อน”
ดวงตาใสของเธอหลบวูบเมื่อจบประโยคนั้น เราขบริมฝีปากและบีบมือเธอแน่นขึ้น ก่อนจะบอกอีกประโยคจากหัวใจ
“แต่ดาอย่าหายไปจากชีวิตเรานะ เพราะถ้าดาไม่อยู่ เราก็คง อยู่ไม่ได้”
พลอยขอบใจเพชรมากนะสำหรับประโยคสุดท้ายนี้ ขอบใจที่ทำให้รู้ว่าพลอยเองก็มีค่าสำหรับเพชรเหมือนกัน แม้จะไม่ได้ยิ่งใหญ่เท่าใครแต่พลอยก็มีตัวตนในสายตาเพชร เพียงแค่นี้พลอยก็ดีใจแล้ว แม้ว่าน้ำตาจะเอ่อคลอแต่พลอยก็ยิ้มให้กับตัวเอง บอกตัวเองว่าทำดีที่สุดแล้ว กล้าหาญที่สุดแล้วล่ะ
การที่พลอยตัดสินใจบอกความในใจให้เพชรฟังไม่ใช่ว่าตั้งใจจะแย่งเพชรมาจากน้องพลอยหรอกนะ พลอยไม่ทำอย่างนั้นเด็ดขาด และรู้ว่าเปล่าประโยชน์ด้วยเพราะเพชรไม่เคยหวั่นไหวให้ใครอยู่แล้ว แต่ที่ทำไป พลอยก็แค่อยากให้เพชรรู้ไว้ ว่าพลอยรักเพชรนะ ก็เหมือนที่เพชรเคยบอกไงว่า คนบางคน เขาแค่อยากจะ ‘ให้’ ก็เท่านั้นเอง
เพชรปฏิเสธพลอยมาอย่างนี้ก็ดีแล้วล่ะ พลอยจะได้ทำใจง่ายขึ้น พลอยเข้าใจว่าความรักกับการอกหักมันเป็นของคู่กัน ดังนั้น ถ้าเราพร้อมจะรักใครสักคนก็หมายความว่าเราต้องพร้อมจะอกหักด้วย ต้องขอบใจเพชรอีกทีนะเพราะถ้าไม่ได้เพชร ชีวิตช่วงวัยรุ่นของพลอยก็ไม่อาจสมบูรณ์ได้เลย
ถ้าไม่ได้เจอเพชร พลอยก็คงไม่เคย ‘อกหัก’ และคงไม่รู้จัก ‘ความรัก’ ด้วยเช่นกัน
“ไอ้บ้า!”
อย่าเพิ่งตกใจ เราด่าไอ้ปอมัน “แกจะเคืองข้าไม่ได้นะเว่ย”
“ข้าไม่ได้เคืองเว้ย!”
ดูหน้าคนไม่เคืองดิ หงิกยังกับอะไรดี ซึ่งสาเหตุก็มาจากเรื่องในค่ายนักไต่ฝันที่เราเพิ่งเล่าให้ฟังนี่ล่ะ สมน้ำหน้ามัน อยากงกทำงานพิเศษดีนัก อดไปค่ายกับพวกเราเลย
“แล้วเพชรจะเอาไงต่อ” ปอมันถามมา “คนเก่าก็กลับมาแล้ว คนใหม่ก็ก้าวเข้ามา แกจะเลือกคนไหนวะ หรือจะเอาหมดแม่งเลยทั้งคู่”
ไอ้นี่! วอนหาเรื่องซะแล้ว!
“เฮ้ย ๆ” ไอ้ปอรีบยกมือยอมแพ้เมื่อเห็นเราจะปล่อยหมัด มันมองซ้ายมองขวากลัวคนในร้านพิซซ่าตกใจ เราจึงลดหมัดลง ความจริงก็ไม่ได้กะจะต่อยมันจริง ๆ หรอก ก็แค่หมั่นไส้เล็ก ๆ ว่ะ
“แล้วไอ้เปิ้ลเป็นไงบ้าง ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปี” ปอถามถึงรุ่นน้องอดีตนักกีฬาในสีมันที่ได้หัวใจน้องพลอยไปครอง
“ก็สบายดี” เราตอบแล้วแอบกลั้นยิ้ม อิอิ สบายดีมาก โดนเราแกล้งซะขวัญกระเจิง “คืนสุดท้ายข้าผูกข้อมือให้มัน แล้วก็บอกให้มันดูแลน้องพลอยของข้าดี ๆ ด้วย”
“เหรอวะ” ไอ้ปอตาโตแล้วยกนิ้วให้ เห็นเราเป็นพระเอกขึ้นทันตาเชียว
“อือ ข้าขอคำสัญญาจากปากมัน ว่ามันจะไม่มีวันทิ้งพลอย และมันก็สัญญา” เราเล่าย้อนไปถึงเหตุการณ์ตอนนั้น และนั่นคงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เราสามารถทำให้น้องพลอยได้
“เออ แต่ข้ามาคุยกับดาทีหลัง แกรู้มั้ย ดานึกว่าข้าไปขอน้องพลอยคืนเว่ย ข้างี้งงเลย ต้องทำความเข้าใจกันใหม่ตั้งนาน”
“ดาคงแคร์แกมากว่ะ แกนี่เสน่ห์แรงจังนะ ดาก็ชอบแก น้องพลอยก็กลับมาหาแก”
“น้องพลอยไม่ได้กลับมาหรอก น้องมีแฟนแล้วแกก็รู้”
“อ้าว ก็ไหนบอกว่ากลับมาแล้ว”
เราขำหน้าไอ้ปอตอนมันงงจริง ๆ เลย เหมือนหมางงอ่ะ ลองนึกภาพตามดิ
“ก็กลับมาแค่วันนั้นวันเดียวแหละ วันที่เรามีความสุขที่สุด”
ใช่แล้ว เราเองรู้อยู่แก่ใจว่าน้องไม่มีทางกลับมา แต่เราก็ยังเฝ้ารอปาฏิหาริย์ และในที่สุดเราก็สมหวังแม้ว่ามันจะเป็นแค่ 1 วันก็ตาม แต่จากกันคราวนี้เราไม่ได้รู้สึกเสียใจอย่างเมื่อก่อนเลย นั่นคงเป็นเพราะ สิ่งที่เราต้องการคือ อยากพบน้องพลอยคนเดิม แค่นั้นล่ะมั้ง
“อ๋อ เออ มักน้อยดีว่ะ”
“ยัง ยังมีอีกอย่างหนึ่งนะ” สิ่งนี้เราเพิ่งนึกได้เมื่อดาพูดขึ้นมานั่นเอง “แกจำได้ไหมที่ข้าเคยเล่าว่า น้องพลอยกำชับเพื่อน ๆ ไม่ให้บอกข้าว่าน้องมีแฟนแล้วอ่ะ”
“จำได้ดิวะ ข้าว่าน้องคงกลัวแกเสียใจมั้ง”
“เฮ้ย !” เราเผลอร้องด้วยเสียงไม่เบานักจนคนในร้านหันมามองกันพรึ่บ เราจึงต้องลดวอลลุ่มตัวเองลงหน่อย “แกพูดเหมือนดาเปี๊ยบเลย”
“เฮ้ย !” คราวนี้ไอ้ปอเสียงดังบ้าง คนในร้านก็หันมามองอีกรอบ คงนึกสงสัยว่าไอ้สองคนนี้นี่มันอะไรกันนักกันหนาฟะ
“ดาบอกข้าว่า น้องพลอยคงไม่อยากให้ข้าเสียใจ ก็ถ้าน้องไม่อยากให้ข้าเสียใจก็หมายความว่า น้องรู้ ว่าถ้าข้ารู้ ข้าต้องเสียใจมาก ๆ แน่ ใช่ไหม”
“ใช่ แล้วไง”
“ก็หมายความว่า น้องรู้ว่าข้ารักน้องมาก ใช่ไหม”
“ก็ ใช่”
“นั่นล่ะ สิ่งที่ข้าต้องการ”
“ ? ”
“ข้าพอใจแล้วว่ะ ขอแค่น้องพลอยรู้ไว้ว่าข้ารักน้องพลอย รักเสมอ”
ไอ้ปอวางพิซซ่าในมือลงแล้วปรบมือแบบไม่มีเสียง ทำหน้าชนิดที่ว่าปลื้มสุดขีด นี่ถ้ามันกรี๊ดได้คงกรี๊ดไปแล้ว
“เอ้อ แล้ว” เพื่อนของเราถามขึ้นหลังจากดื่มน้ำอัดลมรวดเดียวหมดแก้ว “แกจะเอาดาไปไว้ไหนวะ”
เราชะงักมือที่กำลังตัดพิซซ่า
มันถามว่าอะไรนะ
“ไม่ต้องงงเลยไอ้เพชร แกจะเอาไงกับดาของข้า”
เราอมยิ้มให้กับคำที่มันใช้เรียกดา นี่ดาเป็นของแกตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย
“ข้าไม่ได้ชอบดาแบบนั้น จะคบได้ไง”
“ดาน่ารักนะเว่ย แล้วเขาก็มีใจให้แกด้วย ลองคบดูซิ เดี๋ยวก็รักกันเองแหละ”
“ไอ้ทุเรศ! ข้าไม่ใช่พวกเห็นใครน่ารักก็จีบอย่างแกนะเว่ย” ไอ้ปอโดนเราว่าก็หน้าบูดไปใหญ่ อีกอย่าง .. ทำไมเราจะไม่รู้ว่าที่มันยุนั้นน่ะ มันประชด “เราก็เป็นเพื่อนกันต่อไป ดาคงยังไม่เคยเจอใครเทคแคร์เธอดีอย่างข้ามาก่อนก็เลยประทับใจและคิดว่าเป็นความรักล่ะมั้ง หรือจะรักจริงก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ แต่ข้าก็ทำตัวปกติ ดาก็เป็นดาคนเดิม เราสองคนไม่มีอะไรพิเศษกว่าคำว่าเพื่อนหรอกน่า”
“เฮ่ย แกอย่าดูถูกความรู้สึกผู้หญิงนักสิวะ ”
“ไอ้บ้า! ข้าก็ผู้หญิงนะเว้ย”
“เออ.. ข้าลืม”
เราหลุดหัวเราะออกมาจนได้ ก่อนจะพูดต่อ “ข้ากับดาอ่ะ เรารู้สึกดีต่อกันมากก็จริง แต่ถึงยังไงเราก็คงคู่กันไม่ได้หรอก แกเข้าใจไหมวะปอ เราคู่กันได้แม้สุดท้ายจะไม่ใช่คู่กัน”
เพื่อนเก่าแก่ตั้งแต่สมัยมัธยมต้นนิ่งไปอึดใจหนึ่งก็พยักหน้า เราถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ให้กับสัจธรรมของชีวิตที่แม้จะทำให้ใครต่อใครต้องเจ็บปวด แต่มันก็เป็นธรรมดาของโลกที่ต้องยอมรับให้ได้
“ก็คงเหมือนเรื่องข้ากับน้องพลอยมั้งแก ข้าคงเกิดมาแค่ได้รักน้องพลอย เราไม่ได้คู่กันแต่ไม่ได้หมายความว่าข้าต้องหยุดรักใช่ไหม”
ปอเอื้อมมือมาจับมือเราเป็นการปลอบใจ แล้วพูดน้ำเสียงจริงจังแบบที่ทำให้เรานิ่งฟังได้เสมอ
“เวลามันทำให้แกเจ็บ ต่อไปนี้เวลาจะช่วยให้แกหายเอง แกเชื่อข้านะเว่ยเพชร ในเมื่อเวลาพรากคนของแกไป อีกไม่นานเวลาก็จะพาคนของแกกลับมา แม้ว่าคน ๆ นั้นอาจจะไม่ใช่คน ๆ เดียวกันก็ตาม ”
เรายิ้มให้กับถ้อยคำคม ๆ จากเพื่อนรัก “ไม่มีใครแทนที่น้องพลอยได้หรอกปอ”
“ข้ารู้และข้าก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีใครมาลบอดีตของแกได้ แต่ข้าหมายความว่า สุดท้ายแกต้องได้เจอคู่ของแก”
Open House .
งานนิทรรศการของมหาวิทยาลัยที่เปรียบเสมือนการ ‘เปิดบ้าน’ ให้ผู้คนภายนอกได้เข้ามาเยี่ยมชมศักยภาพของนักศึกษาและมหาวิทยาลัยได้เปิดแล้วอย่างเป็นทางการ นักเรียนจากหลายโรงเรียนและประชาชนทั่วไปเข้ามาชมงานอย่างล้นหลามไม่ต่างจากปีที่แล้ว ซึ่งพวกเขาก็ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้าไปชมงานของแต่ละคณะที่ต่างซุ่มซ้อมเตรียมงานกันหลายเดือน
นักศึกษากลุ่มนี้ก็เช่นกัน พวกเขาตื่นเต้นไม่น้อยไปกว่าใครเลยเมื่อคิวต่อไปที่จะขึ้นโชว์ดนตรีที่เวทีกลางของมหาวิทยาลัยคือวงของพวกเขา!
“และขอต้อนรับวงน้องใหม่ที่ฝีมือไม่ใหม่เลย Strawberry Hard Core!”
สิ้นเสียงประกาศจากพิธีกรหนุ่ม สามหนุ่มนักศึกษาจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ในชุดดำก็ก้าวขึ้นบนเวทีเรียกเสียงกรี๊ดจากสาว ๆ และเสียงปรบมือเกรียวกราว แล้วตามด้วยนักศึกษาสาวเท่ห์จากคณะอักษรศาสตร์ในชุดดำและผมซอยสั้นกัดสีทอง (ซึ่งไม่อยากจะคุยเลยว่าเรียกเสียงกรี๊ดจากสาว ๆ ได้ดังกว่านักดนตรีชายเมื่อครู่นี้อีก)
มือกีตาร์หญิงมองลงไปเบื้องล่างเวทีเพื่อหาใครบางคน และไม่นานสายตาเธอก็สบกับสาวน้อยตัวเล็กในชุดนักเรียนมัธยมปลายคนหนึ่งที่มองเธออยู่เหมือนกัน เธอคนนั้นโบกมือให้ รัตน์มณีคลายยิ้มออกมาได้แม้ว่าข้างกายของเด็กสาวคนนั้นจะมีใครอีกคนหนึ่งนั่งอยู่ด้วยก็ตาม
และเมื่อทั้ง 4 เตรียมเครื่องดนตรีเรียบร้อย ทำนองเพลงหวานคุ้นหูในแบบฉบับฮาร์ดคอร์ก็เริ่มขึ้นจากกีตาร์สองตัว ตามด้วยเสียงใส ๆ ของนักร้องนำที่ก้าวขึ้นเวทีมาในชุดแซ็คสีขาว สาวน้อยบอบบางผมลอนสีน้ำตาลสวยดูอ่อนหวานราวกับนางฟ้าแห่งปุยเมฆ และเสียงกรี๊ดกับเสียงปรบมือต้อนรับก็เรียกยิ้มหวานจากเธอ ซึ่งมันก็ทำให้หนุ่ม ๆ แถวนั้นถึงกับตาค้างไปหลายนาที
พลอยลดาหันมองมือกีตาร์สาวเท่ห์ราวกับขอกำลังใจ รัตน์มณีจึงยิ้มพร้อมพยักหน้าหนักแน่นแทนคำชมเพราะวันนี้ดาทำได้ดีมากราวกับนักร้องมืออาชีพเลยจริง ๆ
มือกีตาร์หนุ่มผู้ซึ่งกำลังโซโล่อย่างคล่องแคล่วเกือบโซโล่หลุดเหมือนกันเมื่อพบว่าสตรอเบอรี่ของใจคนนี้มาหยุดอยู่ข้าง ๆ เธอร้องเพลงขับกล่อมผู้ชมเบื้องล่างด้วยเสียงใส ๆ ส่วนเขาก็ร้องแบบร็อคและฮาร์ดคอร์ กลายเป็นดนตรีแนวใหม่ที่ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเข้ากันได้ดีขนาดนี้ ซึ่งสิ่งสำคัญก็คงมาจากสมาชิกในวงนั่นเอง พวกเขามีความรัก ความสามัคคี รวมไปถึงการยอมรับและเคารพในตัวตนของกันและกัน
ถึงซับซ้อนแต่สวยงาม ทั้งขื่นขมและอมหวาน
แม้สับสนอยู่เหมือนกัน แต่ฉันยังพอใจ
ร้อนก็ร้อนอยู่เดี๋ยวเดียว เดี๋ยวก็ซึ้งก็สดใส
ทุกข์โศกมาก็หายไป รักให้ครบทุกอย่าง
จะมาร้ายดียังไง แต่ใจก็ยังต้องการ
ในทุก ๆ วัน โลกหมุนด้วยความรัก
มีอีกหลายต่อหลายคน เขาอดทนก็เพื่อรัก
รักผลักดันให้รู้จัก ให้หาหนทางใหม่
ฉันจะล้มตั้งหลายที ดีที่รักมาฉุดไว้
รักสร้างสรรค์สิ่งมากมายและหลอมละลายทุกหัวใจ
จะมาร้ายดียังไง แต่ใจก็ยังต้องการ
ในทุก ๆ วัน โลกหมุนด้วยความรัก
ความรักเปรียบเสมือน เหมือนอากาศที่มันช่วยหล่อเลี้ยงให้ทุกชีวิตได้คงอยู่
มีลมหายใจ โลกจึงยังงดงาม
หากว่ายังมีรัก ชีวิตยังมีหวังรออยู่
ยังอุ่นหัวใจ โลกหมุนด้วยความรัก*
(* เพลง โลกหมุนด้วยความรัก ศิลปิน โบว์ สุรัตนาวี)
ความคิดเห็น