ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    From that day on... จากวันที่เธอไม่อยู่

    ลำดับตอนที่ #4 : From that day on... Chapter THREE

    • อัปเดตล่าสุด 12 พ.ย. 50







    3

     

    เหตุการณ์ในคืนนั้นทำให้เรากลายเป็นองครักษ์พิทักษ์องค์หญิงพลอยลดาไปโดยปริยาย   และพ่อค้าแม่ขายในซอยหอพักก็คงจะคุ้นตากันดีกับภาพเจ้าหญิงในชุดแซ็คไฮโซสีหวานเดินไปไหนมาไหนโดยมีองครักษ์  (สุดเท่ห์)  ที่แต่งตัวทะมัดทะแมงคอยตามดูแลทุกฝีก้าว  (ราวกับเลี้ยงลูก)    ส่วนเราเองก็เต็มใจนะ   เราไม่อยากให้ดาเป็นอะไรไป  และภูมิใจที่ตัวเองนั้นมีประโยชน์กับคนอื่นเขาด้วย   

    ในบางทีเราก็คิดว่า  เราอาจจะเกิดมาเพื่อเป็นครูโดยแท้เลยมั้ง  เพราะนอกจากจะสอนภาษาอังกฤษกับเยอรมันให้เพื่อน ๆ ในเอก   และสอนวิชาเคมีให้กับน้อง ๆ นักเรียน ม.ปลาย แล้ว  เรายังต้องสอนทักษะพิเศษการใช้ชีวิตให้กับองค์หญิงเธออีกวิชาหนึ่งด้วย

                    หลักสูตรใหม่ที่ไม่เคยมีบัญญัติไว้ในกระทรวง  

    แต่ก็เป็นหลักสูตรสำคัญที่ควรจะศึกษาและพัฒนาตนเองอยู่เสมอ  หากอยากมีชีวิตรอดในสังคมอันวุ่นวายวกวนนี้

                   

                    แล้วไป ๆ มา ๆ  องครักษ์ก็กลับกลายเป็นฮีโร่ของเจ้าหญิงไปได้ยังไงก็ไม่รู้

    เพชรนี่เก่งจังเลย   อยากเก่งแบบเพชรมั่งจัง   ดาพูดแบบนี้บ่อยมาก ๆ

                    ไม่หรอก  เราก็แค่ทำเป็น   เราจึงได้พูดประโยคนี้บ่อยพอกัน

                    แต่เพชรนี่สุดยอดเลยน้า  ดาคุยกับเราในคืนที่เรายังนอนไม่หลับกันทั้งคู่  เรานอนเอกเขนกเปลี่ยนเสียงโทรศัพท์ของดาเล่น  ส่วนดาชะโงกหน้ามาดูแล้วพูดต่อ  เป็นผู้หญิงแต่จับผู้ชายตัวโตทุ่ม  ปราบซะอยู่หมัดเลย  คนแถวนั้นอึ้งกันหมดเลยรู้เปล่า

                    เราวางโทรศัพท์ดาคืนที่แล้วลูบหน้าเขิน ๆ   เราเคยเรียนน่ะ  ศิลปะป้องกันตัว

                    เหรอ  ดาอุทานเสียงสูง  ก่อนจะถามต่อ  แล้ว  ในตอนนั้นน่ะ  ทำไมเพชรถึงมาช่วยเราล่ะ  คือ  เราหมายถึงว่า  เราบอกเพชรแล้วว่าเราจะกลับเองน่ะ  ทำไมเพชรยังมารับเราเหรอ

                    เรากอดอกในความมืด  อืมนั่นสินะ  ทำไมเราถึงรู้

                    ก็  เสียงดาตอนนั้นสั่นมากเลยน่ะสิ  สั่นเหมือนกับจะร้องไห้เลย  เราก็เลยคิดว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับดาแน่ ๆ  ต้องเป็นอย่างนี้แน่ ๆ  จำได้ว่าเรารู้สึกร้อนใจอย่างบอกไม่ถูกตอนที่โทรศัพท์ดาถูกตัดสายไป

                    อย่างนั้นน่ะเอง   รู้มั้ยเพชร เราไม่นึกเลยว่าเพชรจะมาช่วยเรา

                    มาสิ   เราต้องมาช่วยดาแน่  ถึงไม่เกิดเรื่องอะไรเพชรก็ต้องมารับดา

                    เอ๋  ทำไมล่ะ

                    แม้ว่าเราสองคนจะอยู่ในความมืดมิดของค่ำคืน  แต่เราคิดว่า  เราเห็นดวงตาเป็นประกายใสของเธอที่จ้องมองเราอย่างสงสัย  หึทำไมน่ะเหรอ

                    เราพลิกตัวไปสบตาคุณหนูขี้สงสัย  แล้วตอบออกไปชัดถ้อยชัดคำ

                เพราะเราไม่คิดว่าดาจะกลับหอเองได้น่ะซีวะฮะฮ่า!” 

                    พูดจบเราก็ระเบิดหัวเราะลั่น  ซึ่งพอดีกับที่ฝ่ามือน้อย ๆ ของคนนอนข้าง ๆ หวดเข้าที่แขนเราดังป้าบ   ดากึ่งยิ้มกึ่งบึ้งแล้วพลิกตัวหนีไปอีกทาง  ทิ้งคำพูดสะบัด ๆ ไว้ก่อนนอนว่า

                    เพชรอ้า  ไม่พูดด้วยแล้ว!”

                    ยิ่งงอนเราก็ยิ่งขำ  ดาก็เลยพลิกตัวมาตีเราอีกแป๊ะ!  แถมมีขู่อีกว่าถ้ายังไม่หยุดหัวเราะจะยันให้ตกเตียงเลย  หูย  น่ากลัวจัง   พอคุณเธอเจอเราทำหน้าล้อเลียนก็โมโหใหญ่  รัวกำปั้นใส่เราไม่หยุดเลย  เราก็เลยต้องรวบตัวเธอเอาไว้ในอ้อมแขน  เมื่อนั้นล่ะ  เธอจึงหยุด

                    เราเพิ่งรู้ว่าดาตัวนิ่มมากเลย  หอมด้วย  อุ่นดีด้วย   วิเศษกว่าหมอนข้างเปื่อย ๆ ของเรา  100  เท่า  และเราก็ผล็อยหลับไปอย่างมีความสุข

     

                    ในสายตาของใคร ๆ ดาอาจจะเป็นคุณหนูบอบบาง  ทำอะไรไม่ค่อยเป็น   ขี้งอน  อ่อนแอ   แต่สำหรับเราแล้ว  เรามองเห็นความกล้าหาญอยู่ลึก ๆ ในใจเธอนะ   พลอยลดากล้าจินตนาการ  กล้าคิด  กล้าฝัน  และที่สำคัญ เธอกล้าที่จะทำตามหัวใจตัวเอง  ก็ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าโลกภายนอกนั้นซับซ้อนและอันตราย  แต่เธอก็กล้าที่จะก้าวเท้าออกจากคฤหาสน์มาสัมผัสและพิสูจน์ตัวเอง   เราเคยถามดาว่าดาไม่กลัวหรือ   ดาก็ตอบเราตรง ๆ ว่ากลัว  แต่ก็อยากทำ   เราจึงอดทึ่งไม่ได้กับผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนี้   นับถือเธอจริง ๆ ที่สามารถเอาชนะความกลัวในใจตัวเองได้

                    เราเสียอีก   ที่ยังกลัวในสิ่งที่ไม่ควรกลัว

    เราว่า  เราเองต่างหากที่อ่อนแอ 

     

                    และนอกจากนี้   ดายังเป็นคนที่จิตใจดีงามมากถึงมากที่สุดคนหนึ่งที่เราเคยรู้จักมา   ดามองโลกในแง่ดี  และมักจะสงสารหรือเห็นใจคนอื่นอยู่เสมอ  บางทีก็เป็นห่วงคนอื่นมากกว่าตัวเองแล้วก็ทำให้เราต้องเป็นห่วงดาอีกที  สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้เราสบายใจเมื่ออยู่ใกล้เธอ  เพราะว่าเราสามารถวางใจได้สนิทว่าเธอจะไม่เป็นพิษเป็นภัยกับเรา  ทั้งต่อหน้าและลับหลัง

                    และยังมีอีกหนึ่งความพิเศษของดา  ที่ทำให้เรา..ช้อบ  ชอบที่จะอยู่ใกล้ ๆ

                    ดาจ๋า..เย็นนี้มีอะไรกินบ้างจ๊ะ

                    ใช่แล้ว  พลอยลดาทำอาหารเก่งมาก ๆ  ดาเล่าว่าคุณแม่ท่านส่งไปเรียนกับหัวหน้าเชฟที่โรงแรมของคุณพ่อตั้งแต่เธออยู่ ม. 3  จนแม้ตอนนี้ก็ยังไปฝึกทำอาหารในเวลาว่างอยู่เสมอเลย 

                    เพชรอยากกินอะไรล่ะจ๊ะ 

                    โอ้โฮ  สั่งรายการได้ด้วย   ก็นอกจากจะทำอาหารอร่อยแล้ว  ดายังทำอาหารได้หลายประเภทด้วยนะ  ทั้งอาหารไทย  จีน  ฝรั่ง  เก่งสุดยอดไปเลย  ส่วนเราน่ะเหรอ  ถนัดที่สุดก็อาหารญี่ปุ่นน่ะแหละ  บะหมี่ไง  (กึ่งสำเร็จรูปด้วย  อิอิ)

                    ดาเดินไปเปิดตู้เก็บของแห้งในครัวเล็ก ๆ ของห้อง   แล้วก็บ่นเหมือนเคยว่า

                    มีแต่มาม่าอีกแล้ว

                    ใครว่า  ยำยำต่างหาก  จัมโบ้ด้วยนะ

                    ก็เหมือนกันนั่นล่ะ

                ใครว่าเหมือน  คนละยี่ห้อกันชัด ๆ

                    เพชรนิ!”   ดาปิดตู้แล้วค้อนขวับ  เราจึงต้องรีบหุบปากฉับ  เพราะเดี๋ยวปากจะพาซวยอดกินของอร่อย

                    ถ้างั้นก็กินยำยำไปละกัน

                    นั่นไง โดนซะแล้วเพชรเอ๋ย    เรารีบถลาไปง้อองค์หญิงเป็นการด่วน  ง้อยังไงน่ะเหรอ  ก็เข้าไปจิ้ม ๆ ที่แก้ม แล้วร้องต๊อยแน ๆ เหมือนโอ๋เด็กนั่นล่ะ  แล้วดาก็เหมือนเด็กจริง ๆ เพราะเธอยิ้มออกมาในที่สุด   เฮ้อบอกแล้วว่าเหมือนเลี้ยงลูก

                    ชั้นล่างของหอพักมีครัวเล็ก ๆ ไว้สำหรับประกอบอาหารกินเอง  แต่คนในหอส่วนใหญ่กินกันมาจากข้างนอกแล้ว   ครัวนี้จึงไม่ค่อยมีใครมาใช้บริการ ยกเว้นตู้เย็นที่คนนิยมนำของกินมาแช่เป็นประจำ   เราชอบแช่ปีโป้ในช่องแช่แข็ง  กินแบบแช่แข็งอร่อยดีนะ   ส่วนดาชอบแช่ผลไม้  และผักกับเนื้อสัตว์สำหรับทำอาหารอร่อย ๆ  (ให้เรากิน  อิอิ)

                    และมื้อนี้ก็เป็นอีกมื้อวิเศษสุดยอด   ดาทำสปาเก็ตตี้ซีฟู้ดให้กิน  (แต่เส้นยำยำนะ)

                    ดาทำอาหารเก่งจัง   เราชมยิ้ม ๆ จากใจจริง   คนถูกชมก็ยิ้มหวานแล้วยืดอย่างภูมิอกภูมิใจ

                    จะบอกว่าเราเป็นกุลสตรี  เป็นแม่บ้านแม่เรือนใช่ไหมล่า..

                    เราแทบสำลักเส้นยำยำ  คุณเธอกล้าพูดแฮะ  เหอ ๆ กุลสตรีที่ไหนรีดผ้าซะไหม้โบ๋กันล่ะจ๊ะ    แต่เราไม่กล้าพูดหรอก  (เดี๋ยวคุณเธออารมณ์บูดแล้วจะอดกินของดีอีก)  ได้แต่หัวเราะตามเธอไปอย่างนั้น  หะหะ

                    เพชร  โตขึ้นอยากเป็นอะไรเหรอจ๊ะ  

                    เราเหรอ…”  คำตอบของเราชะงักไปเพราะคำถามจากคนสวยตรงหน้ามันทะแม่ง ๆ ยังไงชอบกล  ยังกับเราเป็นเด็กน้อยยังงั้นล่ะ  แต่ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วเราก็เลยตอบเป็นเสียงหนูเพชรซะเลย   หนูอยากเป็นนักเคมีค่ะ  อยากประดิษฐ์ของเล่นนาโนค่า…”

                    ปรากฏว่าดาขำจนหน้าแดง  เราเลยเพิ่งรู้สึกตัวว่า  ทำไปได้

                   

                    อ้าว   แล้วทำไมเพชรถึงไม่เรียนทางสายวิทย์ล่ะ  เรียนอักษรฯ แล้วเป็นนักเคมีได้เหรอ   ดาถามมาซื่อ ๆ จนเราอดยิ้มไม่ได้   ก่อนจะส่ายหน้าเป็นคำตอบว่า  ไม่ได้หรอก  แต่เราก็มีเหตุผลที่เลือกอักษรศาสตร์นะ

                    เรากะว่า  พอเรียนจบแล้วเราจะเรียนปริญญาตรีอีกใบในทางวิทย์ล่ะ

                    เอาอย่างนั้นเหรอ  ดาถามมา  เราจึงพยักหน้าหนักแน่น  ใช่  อย่างนั้นเลยล่ะ

                   

                    เออดา  ค่ายที่พี่หมิวบอกอ่ะ  สนใจไหม   เราถามขึ้นหลังจากที่ชามแรกหมดไปแล้วและกำลังเดินไปตักชามที่สอง

                    ค่ายนักไต่ฝันน่ะเหรอ   เพชรไปไหมล่ะ  เพชรไปเราก็ไป

                    เราชะงักมือที่กำลังจะตักสปาเก็ตตี้ยำยำเพิ่ม    คิดง่ายดีแฮะ  ถ้าเราไปดาก็ไปงั้นเหรอ  ก็ดีเหมือนกัน   แต่คิด ๆ ดูแล้วก็อดขำไม่ได้อ่ะ   อิอิ..เหมือนลูกแหง่ติดแม่เลยวุ้ย

                    ว่าไงนะเพชร  โหเรื่องพวกนี้ล่ะหูดีขึ้นมาเชียวคุณหนู

                    เปล๊าไม่มีอะไร ฮ่าฮ่า

                   

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×