"หุบปากของเธอเดี๋ยวนี้นะ ให้รู้ซะบ้างใครเป็นพี่ใครเป็นน้อง"
"ไม่เกี่ยว สันดานอย่างพี่ ไม่นับเป็นพี่หรอก เลวซะเหลือเกิน"
เสียงตะโกนทะเลาะกันดังลั่นทะลุผ่านฝาผนังห้องพักบังกะโลเก่า ๆ ชายหาดตะโละวาว
นี่มันตีอะไรแล้ว ดึกดื่นน้าสาวทั้งสองของฉัน ตื่นขึ้นมาทุ่มเถียงอะไรกัน แถมยังด่าทอกันหยาบคายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จะครึ่งชั่วโมงแล้วก็ยังไม่มีที่ท่าจะหยุด
ฉันนอนนิ่งอยู่บนเตียงเดียวกับพี่สาวและไม่ได้หลับเลยตั้้้้้งแต่เอนตัวนอน
เราขึ้นเรือเล็กออกจากท่าเรือปากบารามายามค่ำ คืนเดือนแรม ทะเลเป็นสีดำ คืบก็ทะเลศอกก็ทะเล ไกค์พาเราออกเดินทางมาอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ทั้งที่อีกไม่กี่วันก็็็็็็็็็็จะปิดเกาะเพราะฤดูมรสุม แต่พวกเขายืนยันว่ายังทัน เราสามารถไปเกาะตะรุเตาได้ในคืนนี้ เราจึงมาที่นี่ และพักที่บังกะโลแห่งนี้
วันนี้ทุกอย่างผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปเสียหมด รถทัวร์ช้าพาเรามาถึงท่าเรือหลังกำหนด ไกค์ไม่พร้อม พวกเราสามสิบกว่าชีวิตนั่งรออาหารเย็นจนค่ำมืด และต้องรีบออกเดินทาง เรือสปีดโบ้ตมีปัญหา ต้องใช้เรือยนต์ขนาดเล็กออกเดินทางไปยังตะรุเตา รอบตัวมืดไปหมด ไม่มีแสงไฟและไร้แสงดาว พวกเรารู้สึกแต่เพียงเรือเพยิบขึ้นลงตามจังหวะของคลื่น สาวรุ่นใหญ่สมาชิกแทบทั้งหมดของทัวร์ชุดนี้นั่งเงียบกริบ ตักข้าวกล่องเข้าปากอย่างเนือย ๆ มองตากันไปมา
เกือบสี่ชั่วโมง การเดินทางฝ่าคลื่นสูงลูกแล้วลูกเล่าซึ่งบางทีม้วนตัวเป็นคันสูงยาวน่าหวาดหวั่น จบสิ้นลง เรือทุกลำจอดเทียบท่าที่เกาะตะรุเตา พวกเราทยอยขึ้นฝั่ง เสียงคลื่น ความมืด และเสียงเงียบเพราะความตึงเครียดหวั่นเกรงของพวกเรา ทำให้ไกค์ชุดนี้พูดแทบไม่ออก
รถบรรทุกหกล้อมาจอดตรงหน้าท่าเรือ ทั้งสามสิบกว่าชีวิตมองหน้ากันเลิกลั่ก ใครคนหนึ่งส่งเสียงถามว่า "ให้เราขึ้นรถคันนี้เหรอ ? " ไกค์ชาวเลตัวเล็กแกร็นตะโกนตอบ "ครับพี่ ๆ" พี่ป้าน้าอาหลายคนในกลุ่มทัวร์หัวเราะก่อนที่จะมีคนส่งเสียงดังบอกว่า "ลุยเลยพวกเรา มาถึงขั้นนี้แล้ว เรือเล็กนั่งมาแล้ว คราวนี้นั่งรถใหญ่กันบ้าง" หลายคนพากันหัวเราะ แต่ก็มีไม่น้อยที่นิ่งเงียบ ทว่าทุกคนยอมขึ้นรถแต่โดยดี ในตอนนั้นฉันรู้สึกตัวว่าเป็นเหมือนกะหล่ำปลีที่อัดแน่นในรถบรรทุก
การเดินทางด้วยรถขนกะหล่ำบนเกาะตะรุเตาเวลาสี่ทุ่มเศษ ไม่ได้ช่วยให้เราผ่อนคลาย เพราะนอกจะไม่เห็นวิวใด ๆ แล้ว เส้นทางที่ขรุขระทำให้การแล่นของรถขยอกไม่ต่างจากเรือเล็กโต้คลื่นซึ่งพวกเราเพิ่งผ่านมาเมื่อสักครู่ แต่เพิ่มสีสันตรงที่เมื่อเรายืนบนรถบรรทุก หัวต้องคอยก้มหลบกิ่งไม้อยู่หลายครั้งก่อนจะมาถึงบังกะโลอันน่าสะพรึงแห่งนี้
ทันทีที่ลงจากรถไกค์ทั้งสี่นัดหมายเวลาพวกเราในตอนเช้าเรียบร้อย ทุกคนก็แยกย้ายเข้าที่พัก รีบอาบน้ำและเข้านอน กลุ่มย่อตสี่คนของฉันมีน้าสาวสองคน พี่สาว และฉัน พักบ้านแฝดที่ใช้กำแพงร่วมกัน น้าทั้งสองอยู่ห้องปีกขวาส่วนฉันกับพี่สาวนอนห้องปีกซ้าย
เมื่ออาบน้ำเสร็จ ฉันบอกราตรีสวัสดิ์พี่สาวก่อนที่เธอจะเงียบหลับไป ส่วนตัวฉันตีหนึ่งก็แล้ว ตีสองก็แล้วยังไม่ได้นอน ทั้งที่รู้ว่าพรุ่งนี้จะมีกิจกรรมไปดำน้ำซึ่งต้องใช้พลังงานมาก
จนกระทั่ง... หูฉันได้ยินเสียงคล้ายสัตว์วิ่งเร็ว ๆ ฝ่าพงหญ้า เสียงนั้นดังมาจากด้านหลังบังกะโล ฝีเท้าสี่เท้าขนาดใหญ่และหนัก วิ่งควบสวบ ๆ ผ่านหลังบ้านไปกลับ ๆ อยู่อย่างนั้นไม่หยุดหย่อน จะว่าเป็นเสียงของลมก็ไม่ใช่ เสียงดังอยู่อย่างนั้นเกือบครึ่งชั่วโมง ก่อนที่จะได้ยินเสียงน้าสาวสองคนทะเลาะกัน ถึงกับจะตัดพี่ตัดน้อง ใจอยากจะออกไปดูทั้งหลังบังกะโลและออกไปเคาะห้องน้า แต่ไปไม่ได้ ฉันไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะขณะนั้น ฉันเห็นตัวเองนอนหงายห่มผ้านิ่ง ๆ อยู่บนเตียง โดยที่พี่สาวตะแคงหลับอยู่ข้าง ๆ ถึงแม้ไม่เข้าใจเหตุการณ์นี้แต่กลับรู้ว่าตัวฉันเองไม่ได้ฝันและไม่ได้ตายแล้ววิญญาณหลุดออกจากอย่างในละครหลังข่าว
สักครูหนึ่งเสียงฝีเท้าสัตว์ป่าเงียบไป เสียงน้าสาวสองคนทะเลาะกันเบาลงและฟังไม่เป็นภาษา ได้ยินแต่จำแนกไม่ได้ว่าเป็นภาษามนุษย์ภาษาใดในโลก ฉันเริ่มมั่นใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ปกติและเร้นลับ จึงกำหนดใจสวดมนตร์ให้เกิดสติ ขับไล่ความกลัว สวดหลายบทหลายรอบ เสียงข้างห้องก็เงียบหายไปฉับพลัน ภาพในความรู้สึกเห็นน้าทั้งสองนอนหลับอยู่บนเตียงอย่างปกติชัดเจน ไม่มีการทะเลาะกันแต่อย่างใด ฉันยังคงพยายามข่มตาหลับแต่ก็ไม่หลับจนกระทั่งฟ้าสาง
เสียงนกเล็ก ๆ ดังมาจากนอกหน้าต่าง แสงอาทิตย์อ่อนยามเช้าลอดเข้ามาพร้อมเสียงคลื่นกระทบฝั่งอยู่ใกล้ ๆ ฉันอ่อนเพลียจนไม่อยากลุกจากที่นอน พี่สาวอาบน้ำแต่งตัวพร้อมจะออกไปข้างนอกและเร่งให้ตื่น
ฉันฝืนลุกขึ้นพร้อมกับความสงสัยเรื่องที่เกิดขึ้นเมืรอคืน เมื่อเมื่ออาบน้ำแต่งตัวเสร็จ จึงเดินไปเคาะประตูห้องน้าสาว ในห้องเห็นน้าทั้งสองกระปรี้กระเปร่า ตื่นเต้นที่จะได้ออกไปชมทะเล ฉันไม่อาจเก็บความสงสัยไว้ลำพังจึงเอ่ยถามเลียบเคียง
"หลับสบายมั้ยคะเมื่อคืน ?"
"อืม...ก็ดีนะ สงสัยเพลียเพราะการเดินทาง"
"อ้าว...เพลียแล้วดึก ๆ ตื่นมาคุยอะไรกันตั้งนานคะ ? " ฉันถามพร้อมกับมองตาน้าทั้งสอง
น้าทั้งสองขมวดคิ้ว แล้วหันไปมองตากัน ด้วยความสงสัย
ก่อนที่คนหนึ่งจะตอบว่า "ไม่นะ ไม่ทันได้คุยอะไรกันเลย หลับสนิท มาตื่นก็เช้านี้เลยเนี่ยแหละ"
"จริงเหรอคะ ! " ฉันพลั้งปากถามกลับด้วยความฉงน
..........
เมื่อจบความสงสัยเรื่องเสียงน้าทะเลาะกัน ฉันก็ไม่ลืมสะสางประเด็นสัตว์วิ่งในพงหญ้าสูงหลังบ้านพักจึงเดินดิ่วออกจากห้องน้าสาวอ้อมไปหลังบ้าน ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้ฉันต้องยืนงงพักใหญ่ มันไม่ใช่ทุ่งหญ้าอย่างที่ฉันคิด ทว่าเป็นลานโล่งกว้างสุดสายตา
มาถึงตอนนี้ฉันไม่รู้จะบอกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเป็นฝีมือใครหรืออะไร รู้แต่เพียงว่าทันทีที่กลับจากเที่ยงตะรุเตา ฉันจะรีบหาข้อมูลความลี้ลับบนเกาะนี้
#######
ความคิดเห็น