คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 : จุดเริ่มต้น...พระราชินีน้อย(100%+รีไรท์)
บทที่ 1 : จุดเริ่มต้น...พระราชินีน้อย
-
ณ.เมืองเอลฟีเทียร์ เมืองหลวงแห่งราชอาณาจักรวินทาเนียร์
ผู้คนจำนวนมากต่างมารวมตัวอยู่ที่ลานกว้างหน้าพระราชวังหลวงท่ามกลางบรรยากาศที่มืดครึ้มละอองฝนพร่ำลอยมาตามสายลมผู้คนทั้งชายและหญิงต่างมีสีหน้าที่เศร้าหมองกระสับกระส่ายบ้างก็คุกเข่าประสานมืออ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บ้างก็ยืนจับกลุ่มคุยกันสีหน้าวิตกกังวล ในขณะที่ทหารรักษาพระองค์ผู้เฝ้าประตูวังผู้เป็นนายทวารในชุดเกราะสีเงิน และกองทหารรักษาพระองค์ในเกราะแบบเดียวกัน ต่างยืนนิ่งกลางสายฝนที่เริ่มสาดลงมาหนาเม็ดขึ้นเรื่อย ๆ ใบหน้าบ่งบอกถึงความไม่สบายใจอย่างยิ่งยวด เนื่องด้วยราชาอันเป็นที่รักของประชาชนทรงประชวนหนัก มา 1สัปดาห์แล้ว และเมื่อ ครึ่งชั่วโมงที่แล้ว พระอาการเริ่มทรุดหนักพระวรกายเกร็งและชักหนัก เหล่าแพทย์หลวงต่างใช้ทั้งเวทมนต์และสมุนไพรต่างๆ เข้าช่วยรักษาพระอาการ อยู่ในขณะนี้
1 ชั่วโมงต่อมา ท่ามกลางฝนที่ตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ ผู้คนไม่มีใครคิดจะกลับบ้านไปหลบฝนแต่อย่างใด ต่างเฝ้ารอข่าวเกี่ยวกับพระอาการขององค์เหนือหัวอย่างเป็นกังวล และภาวนาให้พระองค์หายดีในที่สุด...
ตึก ๆ ๆ ทหารนายหนึ่งวิ่งมาจากในพระราชวัง และเข้ามาทำความเคารพทหารผู้คาดว่าเป็นหัวหน้า ดูจาการแต่งกายที่ต่างจากผู้อื่น ด้วยชุดเกราะที่เป็นสีเงินยวงสลักลาย ผ้าคลุมผืนใหญ่สีขาวขลิบเงินที่หลัง ดูจากใบหน้าภายนอกแล้วอายุประมาณ 40กว่า ๆ แววตาคมกริบ แต่สีหน้าในยามนี้ดูเคร่งเครียด นายทหารผู้น้อยที่วิ่งมาเมื่อทำความเคารพแล้วก็รายงานเรื่องบางอยากที่ทุกคนรอคอยอย่างแผ่วเบา ให้หัวหน้าเป็นรับทราบเพียงผู้เดียว พลันสีหน้าของนายกองซีดลงอย่างเห็นได้ชัด และไต่ถามความจากทหารชั้นผู้น้อยอีกคำสองคำ ทหารผู้น้อยที่นั่งคุกเข่าข้างนึ่งตอบไปด้วยสีหน้าที่ซีดขาว ร่างกายเกร็งสั่นอย่างเห็นได้ชัด ชายผู้เป็นหัวหน้ากองพยักหน้าเล็กน้อยตบบ่าทหารผู้นำสารเป็นเชิงปลอบใจ ก่อนที่นายทหารหัวหน้ากองจะหันและเดินออกมาหน้ากองทหารที่ยืนนิ่งเหล่านั้น หลายคนที่พอจะได้ยินบทสนทนาของบุคคลทั้งสองเมื่อครู่ต่างยืนก้มหน้าเพื่อสะกดกลั้นอารมณ์ นายทหารหัวหน้ากองมองฝูงชนที่รอฟังข่าวที่บัดนี้ ต่างมองมาที่เขาเพียงผู้เดียว เขาก้มหน้าเล็กน้อยและสูดลมหายใจลึก ๆ ทีนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงที่ดังทั่วกัน
"องค์มหาราชันย์ฟาราเดียร์ อาทีดีสย์ วินทาเนียร์ คาร์จิชเทียร์ ฟาฮาร์ ราชาผู้เป็นที่รักยิ่งแห่งผองเรา ได้สละซึ่งกายหยาบ เพื่อเสด็จสู่ดินแดนอันเป็นต้นกำเนิดของเรา เพื่อรับใช้องค์พระผู้สร้างแล้ว!!!!"
เสียงประกาศของ หัวหน้ากองทหารรักษาพระองค์ของกษัตริย์ แห่งอาณาจักรวินทาเนียร์ สั่งเครือสะกดกลั้นอารมณ์ความโศกเศร้าต่างๆ เพื่อประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน บัดนี้ฝนเทลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ทหารทั้งหลายต่างร่ำไห้อย่างไม่เกรงว่าผู้ใดจะเห็น ปล่อยน้ำตาไหลไปพร้อม ๆ กับสายฝน ประชาชนต่างโศกเศร้า เหลือจะเอ่ย บางคนเป็นลมล้มพับอยู่ตรงนั้นเมื่อได้ทราบข่าวอันน่าสลดใจ ทำให้คนที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ต้องช่วยกันปฐมพยาบาล ทั้งน้ำตา ไม่มีผู้ใดเลยที่สามารถสะกดกลั้นน้ำตามิให้ไหลได้ แม้กระทั่งชายผู้เป็นหัวหน้ากองทหารรักษาพระองค์...
ลำแสงสีขาวจากวิหารศักดิ์สิทธิ์ ถูกร่ายขึ้นฟ้าท่ามกลางสายฝนเป็นสัญญาณว่า พระองค์ได้จากไปแล้วเพื่อเป็นการส่งพระองค์ด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ และเพื่อให้ประชาชนทั้งอาณาจักรได้ทราบทั่วกัน บางคนที่เห็นลำแสงนี้ต่างรำไห้ บางคนคุกเข่าสงบนิ่ง ทั่วทั้งอาณาจักรเต็มไปด้วยความโศกเศร้า...
ณ ห้องหนึ่ง ในพระราชวังหลวง...ในห้องสีขาวเพดานสูง บนเพดานประดับด้วยโคมระย้าและภาพจิตรกรรมแบบเอลฟ์ รอบห้องตกแต่งด้วยผ้าแพรสีขาวสีชมพูสีฟ้า มีโต๊ะเล็ก ๆ ตั้งไว้ที่มุมห้องประดับด้วยลูกไม้และของเล็ก ๆ น่ารักและมีตุ๊กตามากมายวางประดับอยู่รอบห้อง บ่งบอกว่าเจ้าของห้องนี้เป็นเด็กผู้หญิง โคมไฟที่อยู่รอบห้องเพื่อให้แสงสว่างยังไม่ถูกใช้งานในเวลานี้ กลางห้องมีเตียงสี่เสาสีขาวตั้งอยู่...บนที่นอนสีขาวที่อ่อนนุ่มนั้น มีเด็กหญิงตัวน้อย ผิวขาวดูบริสุทธิ์ไร้รอยราคีใด เธอนั่งกอดตุ๊กตาร้องให้สะอึกสะอื้น อยู่เพียงลำพัง ใบหน้าเปรอะไปด้วยคราบน้ำตา...ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อยู่มาวันหนึ่ง องค์ราชา ก็เกิดการประชวน กะทันหันแล้ว...ไม่นาน...ข่าวร้ายก็ดังขึ้น ราวกับสายฟ้า ฟาดลงมากลางดวงใจ ของเด็กน้อย.....ผู้เป็นพ่อได้จากไปแล้ว
"ฮือ...ท่านพ่อ...ท่านจากข้าไปแล้ว..."
...ยิ่งคิดถึง น้ำตามากมายก็ยิ่งไหลนองทั่วใบหน้า ดวงตาของเด็กน้อย แดงก่ำ แต่ นั่นก็เพียงไม่นาน เพราะ เธอคือผู้ที่จะต้องขึ้นเป็นราชินีองค์ต่อไป เพื่อปกครองดินแดนแทนบิดา ราชาผู้ล่วงลับ....ในจิตใจลึกๆแล้ว มิมีผู้ใดอาจล่วงรู้ได้เลยว่า เจ้าหญิงตัวน้อยผู้นี้ คิดอะไรอยู่...
"เจ้าหญิงซิลฟาเรีย เพคะ....เตรียมพระองค์ได้แล้วเพคะ พิธีจะเริ่มแล้วนะเพคะ"
...นางกำนัน ผู้เป็น พี่เลี้ยงคนสนิทกล่าวเตือนเจ้าหญิงองค์น้อยเพื่อให้แต่งพระองค์เสียใหม่เพื่อเข้าพิธีพิสูจน์ตนต่อมงกุฎศักดิ์สิทธิ์...
"อะไรกัน พิธีไว้อาลัยยังมิทันล่วงไปไม่เกิน 2 วัน ทำไมทุกคนถึงคิดถึงแต่เรื่องสืบราชบัลลังก์กันนะ... ท่านพ่อ..."
เจ้าหญิงองค์น้อยกล่าวขึ้นมาด้วยความน้อยใจและร้องไห้อย่างเงียบ ๆ บนเตียง แต่เพียงไม่นาน เมื่อเธอเห็นสีหน้าที่ลำบากใจปนกับความเศร้าดวงตาของนางยังบวงแดงอยู่ แสดงให้เห็นว่านางเองก็พึ่งผ่านการร้องไห้มาเช่นกัน
เห็นเช่นนั้นแล้วเจ้าหญิงพระองค์น้อยก็ลุกขึ้นยืน วางตุ๊กตาที่เปรอะไปด้วยคราบน้ำตาของพระองค์เอง ไว้ที่เตียงเช่นเดิม ก่อนจะหลับตาลงสูงลมหายใจเข้าลึก ๆ หนหนึ่ง ดวงตาที่บวมและแดงก่ำด้วยร่องรอยของน้ำตาของเจ้าหญิงองค์น้อย บัดนี้บ่งบอกถึงการตัดสินใจบางอย่าง......
"เอาล่ะ เราเข้าใจแล้ว เราจะเตรียมตัวเพื่อเข้าพิธี...."
เธอเอ่ยด้วยเสียงที่ยังสั่นเครือก่อนจะเดินเข้ามาสวมกอดนางกำนันผู้เป็นพี่เลี้ยงและคนสนิทผู้นี้
"ขอโทษนะ....ที่ทำตัวเป็นเด็กนะทีด้า...ทั้ง ๆ ที่ รู้อยู่แล้วว่าจะเป็นเช่นนี้และ อีกไม่นาน เราก็จะขึ้นเป็นราชินีแล้วแท้ๆ"
เจ้าหญิงน้อยหันมามองนางกำนัน พร้อมกับยิ้ม แต่รอยยิ้มนี้กลับแฝงไว้ด้วยอารมณ์ที่หลากหลายเกินจะบรรยาย....สายตาที่มองไปข้างหน้าอย่างมุ่งมั่นเติบโตเกินกว่าอายุ 12 ชันษาของเจ้าหญิงองค์น้อย ซึ่งสำหรับเอลฟ์ที่มีอายุขัยที่นานนับร้อยปีแล้ว อายุเพียง 12ปี นั้นแล้ว ยังถือว่ายังเด็กมาก...แม้แต่สำหรับมนุษย์แล้วก็ถือว่าเด็กเกินจะรับตำแหน่งนี้...
ทีด้ามองเจ้าหญิงองค์น้อยด้วยสายตาที่สงสารจับจิต ทั้งที่พึ่งสูญเสียบิดาผู้เป็นที่รักไปตลอดกาลหลังจากสูญเสียมารดาไปตั้งแต่เมื่อครั้งยังเล็กมาก ยังต้องรับแบกภาระอันใหญ่หลวงไว้บนบ่าเล็ก ๆ ของเด็กหญิงผู้นี้ ก่อนจะก้มลงกอดเจ้าหญิงองค์น้อย ไว้หวังให้คลายความทุกข์ลงบ้างสักเล็กน้อยก็ยังดี...เจ้าหญิงองค์น้อยกอดตอบ ก่อนเอ่ยเบา ๆ ข้างหูของนางกำนัน
"ไม่เป็นไร..ข้าต้องไม่เป็นอะไร..."
.
.
.
ณ.บริเวณลานพระราชพิธีในพระราชวัง ผู้คนต่างทยอยเดินมารวมตัว ทหารที่คอยรักษาความสงบเรียบร้อยทำงานกันอย่างแข็งขัน ผู้คนในชุดพิธีต่างพากันเดินมายังลานพระราชพิธี ชุดกระโปรงยาวสีขาวประดับดิ้นเงิน พันด้วยผ้าคลุมไหล่สีฟ้าอ่อนใส สำหรับผู้หญิง และ ชุดเสื้อแขนยาวเข้ารูปสีขาว และชุดทหารตามตำแหน่งหน้าที่สีอ่อน ที่มีผ้าคลุมปักตราสัญลักษณ์ของหน่วยที่ตนเองสังกัด บนผ้าคลุมด้านหน้า กลัดด้วยเข็มกลัด ขนนก หยดน้ำ ใบไม้ และไฟ อย่างใดอย่างหนึ่งตามธาตุที่ตนสังกัดทั้งชายและหญิง ใบหน้าของแต่ละคนเต็มไปด้วยความสุข หลังจากผ่านความทุกข์ที่พึ่งผ่านพ้นไป....
ลานพระราชพิธีสีขาวประดับด้วยดอกไม้นานาชนิดส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ไปทั่วบริเวณ กำแพงสีขาวที่ประดับตกแต่งด้วยสีทอง ภาพปูนปั้นและลวดลายงดงามอ่อนช้อยตามแบบสถาปัตยกรรมของเอลฟ์ ปรากฏให้เห็นทั่วทั้งบริเวณ แสงไฟที่เกิดจากเวทมนต์บริเวณเพดานส่งกระทบผนังสีขาวทำให้สว่างไสวทั่ว ไม่นานนัก เกิดเสียงฮือฮาจากทางด้านหลัง บริเวณทางเข้า
* * *
.
"พระองค์หญิงเจ้าหญิงซิลฟาเรีย เอล์ลลู วินทาเนียร์ ฟาราเดียร์ อาทีดีสย์ เสด็จมายังลานพระราชพิธีแล้ว...!!!"
เสียตะโกนก้องของทหารมหาดเล็กประกาศก่อนที่ทุก ๆ คนจะพร้อมใจคำนับทำความเคารพ
...การนำพระนามของกษัตริย์องค์ก่อนมาต่อท้ายชื่อนั้น เป็นการแสดงว่า ผู้นั้นคือ รัชทายาทอันดับ 1 ผู้มีสิทธิ์ชอบธรรมในการสืบราชบัลลังก์
..เหล่าทหารยืนเรียงแถวเคารพ ตรงกลางปูลาดด้วยพรมทักทอพิเศษสีทอง ที่เต็มไปด้วยกลีบดอกไม้หลากสี ผู้คนในชุดเต็มยศต่างยืนทำความเคารพ ปลายทางปรากฏเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ใบหน้ากลมรูปไข่ ใบหูแหลมยาวได้รูปตามแบบของเอลฟ์ ผิวขาวเนียนละเอียด ดวงเนตรสีเขียวประกายทองกลมโต แต่ก็ยังคงปรากฏรอยสีแดงเล็กน้อยที่ใต้ดวงตา ผมสีทองสลวยถูกจัดแต่งไว้อย่างเรียบร้อย ประดับพระเกศาด้วยเครื่องประดับสีเงินและ อัญมณีเล็ก ๆ แวววาว ชุดกระโปรงยาวสีขาวเข้ารูป แต่งชายกระโปรงด้วยดิ้นลายทองปักเป็นลายดอกไม้และเหล่าพฤกษาดูอ่อนช้อย มีผ้าคลุมสีทอง และเครื่องประดับสีเงินยวงที่งดงาม ส่งให้เห็นถึงความตั้งใจจริงของผู้ที่ประดิษฐ์ขึ้นมา...
...เจ้าหญิงองค์น้อยก้าวเดินอย่างสง่าผ่าเผย ดวงเนตรมองตรงไปเบื้องหน้า...สายตาเยี่ยงราชบิดา...มองจุดหมายที่อยู่สุดทาง...พระราชบัลลังก์สีทอง...ผ้าคลุมและเครื่องทรงที่หนักอึ้งสำหรับเด็กอายุ 12 นั้น มิได้เป็นปัญหาในการเดินครั้งนี้เลยแม้แต่น้อย...ผู้คนมองตามแต่ละย่างก้าวของพระองค์ด้วยใจจดจ่อ แต่ละก้าวเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและการตัดสินใจที่แน่วแน่แล้ว...ทุกคนต่างนิ่งเงียบเฝ้าคอยดูวินาทีสำคัญที่เจ้าหญิงองค์น้อยนี้จะสวมมงกุฎและขึ้นเป็นราชินีที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์
.
เจ้าหญิงทรงพระราชดำเนินมาถึงบริเวณ พระราชบัลลังก์ ด้านหน้าคือ แท่นพระราชพิธี...บนแท่น มีมงกุฎสีทองปรากฏอยู่กลางลำแสงสีทอง มีรัศมีงดงามเปี่ยมไปด้วยอำนาจ เจ้าหญิงหันมายิ้มทักทายทหารราชองครักษ์ที่ยืนเฝ้าแท่นพิธีเล็กน้อย เป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยน...ทหารยิ้มตอบและโค้งทำความเคารพเจ้าหญิงก่อนที่เจ้าหญิงจะก้าวขึ้นไปสู่แท่นพิธี และยืนสงบนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง เพื่อเป็นการรำลึกถึงพระราชบิดา ราชาผู้ล่วงลับ ทุก ๆ คนยืนสงบนิ่งตาม...
สักพักเจ้าหญิงเงยพระพักตร์ขึ้น ทอดพระเนตรไปยัง มงกุฎที่ลอยเด่นอยู่เบื้องหน้า สูดลมหายใจเข้าลึก ๆทีหนึ่ง ก่อนจะนั่งคุกเข่าลงหน้าแท่นพิธี เพื่อเริ่มพิธี...
....
"ตัวแทนแห่งพระผู้สร้างและเหล่าบรรพกษัตริย์ เอย....
...เราในนามของเจ้าหญิงแห่งราชอาณาจักรวินทาเนียร์ รัชทายาทอันดับ 1 ราชธิดาแห่งองค์มหาราชันย์ฟาราเดียร์ อาทีดีสย์ วินทาเนียร์ คาร์จิชเทียร์ ฟาฮาร์ ผู้สืบสายโลหิตจากอดีตกาล จากบรรพกษัตริย์ผู้ถือกำเนิดจาก เส้นผมอันศักดิ์สิทธิ์ และลมหายใจอันบริสุทธิ์แห่งพระผู้สร้าง...เราพระองค์หญิงเจ้าหญิงซิลฟาเรีย เอล์ลลู วินทาเนียร์ ฟาราเดียร์ อาทีดีสย์ ขอพระองค์ผู้เป็นตัวแทนแห่งพระผู้สร้าง โปรดรับรองในการที่เราจะขึ้นเป็นราชินีแห่งราชอาณาจักรวินทาเนียร์ !!!..."
เจ้าหญิงยกพระหัตถ์ขึ้น เพื่อสัมผัสกับมงกุฎที่ลอยอยู่กลางลำแสงสีทอง...ผู้คนทั่วทั้งบริเวณต่างเงียบจนแทบจะหยุดหายใจ...เพื่อเฝ้ารอดูวินาทีแห่งประวัติศาสตร์
ทันที่ที่พระหัตถ์ของเจ้าหญิงสัมผัสกับมงกุฎ ก็บังเกิดสายลมพัดแรงรอบ ๆ องค์ สายลมเริ่มหมุนวนราวกับพายุครู่หนึ่ง...ก่อนที่พายุขนาดย่อมลูกนั้นก็เปลี่ยนสีเป็นสีฟ้า และค่อย ๆ กลายเป็นสีเขียว เหลือง แดง และทันใดนั้น เกิดแสงสว่างสีขาวรัศมีกว้างครอบคลุมทั่วบริเวณลายพิธี สายลมบัดนี้เปลี่ยนเป็นสีรุ้งสว่างสดใส...
ทุก ๆ คนต่างใจจดจ่ออยู่กับพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ มิมีผู้ใดเฉลียวใจเลยว่า จะเกิดอะไรต่อจากนี้....
ณ. มุมหนึ่งในลานพิธี คนกลุ่มหนึ่งในชุดนักบวชและสวมผ้าคลุมสีขาวปกปิดใบหน้าทำให้ไม่อาจทราบได้ว่าเป็นผู้ใด...
"พวกท่านจำแผนทั้งหมดได้แล้วใช่หรือไม่..." เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบาเพื่อให้ได้ยินเฉพาะในกลุ่ม
"ใช่ เราจำได้" อีกเสียงหนึ่งตอบอย่างแผ่วเบาเช่นกัน ขณะที่คนอื่นๆ ในกลุ่มต่างพยักหน้ารับ
"ว่าแต่ท่าน มิเปลี่ยนใจแล้วแน่นะ...ว่าจะให้ท่านผู้นั้นขึ้นแทน"...อีกเสียงหนึ่งเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจ
"แน่นอน..." ... เสียงที่ตอบกลับมา แฝงความกังวลในน้ำเสียงเล็กน้อย ทุก ๆ คนมองหน้ากันอยู่พักหนึ่งก่อนจะตัดสินใจแยกย้ายไปประจำจุดเพื่อทำตามแผน...
แท่นพิธี...สายลมสีรุ้งค่อย ๆ สลายตัว และทำให้เห็นว่าภายในสายลมนั้นคือ บอลแสงสีขาว สว่าง สดใสจนผู้ที่อยู่ในลานพิธีตาพร่าตาม ๆ กัน บางคนต้องเอามือมาบังตาเพื่อป้องกันแสง แม้ว่าต้องการดูสักเพียงใดก็ตาม ในบอลแสงสีขาวนี้ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นด้านใน
พลันบังเกิดสายลมกรรโชกแรงขึ้นอีกวูบหนึ่ง ผู้คนต้องหลับตาเพราะแรงลม ชั่วขณะที่ลมพัดนั้น บอลแสงค่อย ๆ อ่อนแสงลงเรื่อย ๆ และสุดท้าย สิ่งที่ทุกคนเห็นก็คือ บอลแสงนั้นหดเล็กลงจนเหลือขนาดไม่มากนักเมื่อแสงจางลง ทำให้ทุกคนเห็นก็คือ เจ้าหญิงพระองค์น้อย ทรงประทับยืนหลับตา ผายมือออกด้านหน้าราวกับรับพลังบางอย่าง บนเส้นพระเกศาสีทองซึ่งจัดแต่งไว้อย่างเรียบร้อยปรากฏเป็นมงกุฎสีทอง ซึ่งเปลี่ยนรูปร่างจาก มงกุฎราชาอันแข็งแกร่งของ ราชาฟาราเดียร์ เป็นมงกุฎราชินี สีทองประดับเพชรที่งดงามและแฝงไว้ด้วยความอ่อนโยน
พระนางค่อย ๆ ลืมพระเนตรขึ้น ก่อนจะกล่าวปฏิญาณต่อมงกุฎ ด้วยน้ำเสียงที่หวาน นุ่มนวล
"บัดนี้ มงกุฎแห่งราชันย์ ยอมรับเรา ในฐานะราชินีแห่งราชอาณาจักรวินทาเนียร์แล้ว...เราขอสัญญาว่าเราจะยึดมั่น ตั้งมั่นในศักดิ์และศรี และคุณความดี ของ เอลฟ์ ผู้กำเนิดจาก เส้นผมอันศักดิ์สิทธ์และ ลมหายใจอันบริสุทธิ์ แห่งพระผู้สร้าง เราจะสรรค์สร้างสิ่งดีงาม เราจะยกย่องท่านไว้เหนือเรา...ตราบ จนกว่าวันกลับสู่ดินแดนแห่งการกำเนิด หรือ จนกว่าจะพบผู้ที่มีคุณสมบัติพร้อมและสมควรเป็นนายคนต่อไปของท่าน ขอให้ท่านเคียงคู่เรา อยู่กับเรา ปกครองอาณาจักรร่วมกับเรา จนกว่า วันนั้นจะมาถึง..."
ลำแสงแห่งมงกุฎราชาบังเกิดขึ้นอีกครา...แต่คราวนี้ แสงทวีความรุนแรงและสว่างยิ่งกว่าเมื่อครู่ จนทุกคนต้องรีบยกมือขึ้นมาปิดป้องกันสายตา ก่อนลำแสงนั้นจะพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า และแตกกระจายราวกับดอกไม้ไฟ เป็นสัญญาณว่า พระราชินีพระองค์ใหม่ ได้ถือกำเนิดแล้ว
ขณะเดียวกันที่วิหารต่าง ๆ ทั่วทั้งอาณาจักรก็บังเกิดลำแสงจากยอดวิหารพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า และแตกกระจายเป็นดั่งดอกไม้ไฟเช่นกัน นำมาซึ่งความปลื้มปีติยินดีของเหล่าราษฎร ผู้คนต่างออกมาเฉลิมฉลอง ความทุกข์ได้ผ่านพ้นไปแล้ว ต่อจากนี้ จะมีแต่เพียงความสุข
เจ้าหญิงทรงลุกยืนขึ้น ด้วยพลังของมงกุฎศักดิ์สิทธิ์ได้ทำให้ฉลองพระองค์เครื่องทรงของเจ้าหญิงพระองค์น้อยเปลี่ยน เป็นชุดสำหรับผู้ที่เป็นราชินี เครื่องประดับพระเกศาสีเงินกลายเป็นรัดเกล้าทองคำประดับด้วย อัญมณีรูปหยดน้ำสีแดงเล็ก ๆ ผ้าคลุม คลิปด้วยขนนกสีขาวส่วนตัวผ้าเป็นสีทอง ชุดกระโปรงยาวสีขาวแปรเปลี่ยนเป็นสีชมพูอ่อนดูสมวัยส่วนดิ้นทองประดับ ก็ทอประกายสีทองแวววาวยิ่งกว่าเดิม มีสายคาดเอวทองคำประดับอัญมณีเล็กๆ สีแดง เขียว และ ฟ้า ดาบสั้นสีเงินในฝักทองคำประดับอัญมณีที่รูปหยดน้ำห้อยอยู่ที่ด้านข้างของพระองค์
เจ้าหญิงพระองค์น้อย ซึ่งบัดนี้คือพระราชินี แห่งราชอาณาจักรวินทาเนียร์ หันพระภักษ์มายิ้มให้ทุก ๆ ก่อนจะหมุนตัวกลับขึ้นไปนั่งลงบนพระราชบัลลังก์
"ขอพระราชินี จงทรงพระเจริญ ยิ่งยืนนาน!!!"
ทุก ๆ คนต่างพร้อมใจกันคุกเข่าทำความเคารพและเอ่ยสรรเสริญต่อพระราชินีพระองค์ใหม่ของราชอาณาจักรวินทาเนียร์ ราชินีผู้มีพระชันษาน้อยที่สุดเท่าที่เคยมีมานับแต่อดีตกาล ในจิตใจของทุกคนเต็มไปด้วยความยินดี เพราะสำหรับเอลฟ์แล้ว คำตัดสินของมงกุฎถือเป็นที่สุด แต่ทุกคนก็ยังเชื่อว่า มีผู้ที่ไม่ต้องการให้เจ้าหญิงพระองค์น้อยผู้นี้ขึ้นเป็นราชินี ด้วยเพราะอ่อนชันษา เป็นแน่
ทันใดนั้น คนกลุ่มหนึ่งอาศัยจังหวะที่ทุก ๆ คนคุกเข่าลงเพื่อถวายความเคารพ วิ่งฝ่าฝูงชนขึ้นมา
"หลบไป!! เปิดทางด้วย!! หลบไป!!!"...เสียงของชายชุดขาวดังขึ้นขอแหวกทางวิ่งไป ยังราชบัลลังก์ที่พระราชินีน้อยประทับอยู่
"อะไรกันน่ะพวกท่าน โอ๊ย! พวกท่านจะไปไหนน่ะ ที่นี่ลานพิธีนะ!!"
.ผู้คนต่างตื่นตกใจต่อการกระทำของคนกลุ่มนี้ และล้มกันไปคนละทิศคนละทาง ส่วนผู้ที่คิดจะจับกลุ่มคนชุดขาวนี้ไว้ก็ถูกถีบบ้าง สะบัดจนหลุดบ้างจนต้องกระเด็นตาม ๆ กัน....
ในขณะที่ทหารรักษาพระองค์โดยรอบ ๆ ลานพิธี ถูกคนอีกส่วนจับตัวเอาไว้มิให้ไปขัดขวางการกระทำการครั้งนี้ จะคงเหลือก็เพียง ราชองค์รักษ์บริเวณแท่นพิธีราชบัลลังก์ที่ราชินีประทับอยู่
"ทหาร!! ปกป้ององค์ราชินี!!"
หัวหน้าองค์รักษ์ตะโกนลั่นเพื่อสังการ เหล่าทหารองค์รักษ์ที่ยังคงเหลืออยู่วิ่งมาขวางระหว่างคนกลุ่มนั้นและ ราชินีตัวน้อย พร้อมด้วยอาวุธที่หยิบออกมาพร้อมปกป้องพระองค์...พระนางทอดพระเนตรด้วยความตกพระทัย สีพระพักตร์เป็นกังวล...เพราะเป็นห่วงเหล่าทหารของพระองค์
ความคิดเห็น