ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ใยร้อยรัก

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 5 : ว่าที่พ่อเลี้ยง VS ว่าที่ลูกเลี้ยง - รีไรท์

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.33K
      7
      26 ก.ย. 64

    บทที่ 5

    ว่าที่พ่อเลี้ยง VS ว่าที่ลูกเลี้ยง

     

            “เดินทางดีๆนะลูก”

            ผู้เป็นมารดาโบกไม้โบกมือให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวน หลังส่งขึ้นรถโดยสารประจำทางเรียบร้อย นับเป็นกิจวัตรที่ต้องทำตั้งแต่ปัณฑ์ธรเพิ่งเข้าโรงเรียนจวบจนมหาวิทยาลัย จากนั้นไปรยาก็จะไปตลาดต่อ เพื่อจับจ่ายของสดมาทำมื้อเย็นในแต่ละวัน ทว่า ช่วงนี้เธอไม่ต้องแบกสังขารขึ้นรถโดยสารประจำทางสภาพใกล้พังอีก เพราะมีสารถีส่วนตัวบึ่งรถยุโรปคันงามมารับมาส่งเสมอต้นเสมอปลายหลังยอมคบหาดูใจด้วย

            จังหวะเพลงสากลยุค 90 ( *** ) ช่วยขับไล่ความเบื่อหน่าย ระหว่างจ้าวแห่งความเร็วจอดแช่กลางท้องถนนที่รายล้อมด้วยรถราแน่นขนัด ดวงตาคมสีเปลือกไม้ลอบมองสาวสวยข้างกายบ่อยครั้ง สมาธิขณะขับรถของภคินกระเจิดกระเจิงไปไหนต่อไหนยามได้กลิ่นแชมพูจากเรือนผมดัดลอน กับ กลิ่นสบู่จากผิวกายขาวนวลเนียนดุจหยวกกล้วย รูปร่างอันแสนทรงเสน่ห์ยั่วยวนจิตใจชายหนุ่มจนร้อนรุ่มทั่วสรรพางค์กาย อยากกระโจนเข้าไปขย้ำอีกฝ่ายแทบขาดใจ แต่คงทำได้เพียงเก็บเอามาเพ้อฝันเท่านั้น เพราะตลอด 2 สัปดาห์ที่คบกัน แค่ปลายนิ้วของหญิงสาวยังไม่มีโอกาสสัมผัสเลย

    กว่าจะฝ่าการจราจรคับคั่งมาถึงตลาดสดได้ก็สูญเสียเวลามากโข ไปรยากระชับถุงผ้าลดโลกร้อนไว้แนบลำตัว พลางทำท่าจะก้าวลงจากรถยนต์คันงามทันทีที่จอดเทียบทางเท้า แต่แล้วก็หันกลับมาชักชวนคนขับให้ไปด้วยกัน

            “ให้ผมไปด้วยจะดีเหรอครับ เดี๋ยวทำเรื่องหน้าแตกให้คุณไปรยาขายหน้าเสียเปล่าๆ” ภคินนึกแหยงกับพฤติกรรมเฟอะฟะของตนเองเมื่อสัปดาห์ก่อน

    อุตส่าห์วางมาดช่วยหญิงสาวหิ้วข้าวของขณะจ่ายตลาด แต่ดันทะเล่อทะล่าพลัดตกรางระบายน้ำ แล้วกวาดเอาแผงปลาข้างเคียงเทกระจาดลงพื้น จนปลาช่อนกับปลาดุกพากันเซิ้งกระแด่วๆเต็มทางเดิน เดือดร้อนหญิงสาวต้องขอโทษขอโพยบรรดาพ่อค้าแม่ขายเสียยกใหญ่ นั่นยังไม่รวมเรื่องที่เขาถามหาบาร์โค้ดบนผักผลไม้ จนกลายเป็นเรื่องขำขันของชาวบ้านร้านตลาด

            “ฉันไม่ถือสาเรื่องเล็กน้อยแบบนั้นหรอกค่ะ คุณภคินเองก็ไม่เคยซื้อของในตลาดสดย่อมทำเรื่องผิดพลาดกันได้” ไปรยาอมยิ้มยามคิดถึงอากัปกิริยาของอีกฝ่ายเมื่อคราวเกิดเรื่อง “แล้วฉันก็ไม่ได้ชวนคุณเข้าไปซื้อของในตลาดค่ะ”

            “อ้าว...แล้วทำไม...” ปกติแล้วหญิงสาวมักให้นั่งรอในรถมากกว่า

            “นี่สายมากแล้ว...กว่าคุณจะรอฉันจ่ายตลาดเสร็จ กว่าจะขับรถไปส่งฉันที่บ้าน คงไปถึงบริษัทราวๆเก้าโมงกว่า แล้วคนบ้างานอย่างคุณจะเอาเวลาไหนไปรับประทานอาหารเช้าคะ?”

            “อย่ากังวลเลยครับ...เดี๋ยวผมสั่งให้คุณกชกรชงกาแฟดำสักแก้วมารองท้อง ก็อยู่ได้ถึงเที่ยงครับ”

            “ถ้าเช่นนั้นคุณคงไม่ต้องการรับประทานมื้อเช้ากับฉันใช่ไหมคะ?” เอ่ยถาม พร้อมเหลียวมองร้านโจ๊กเจ้าเด็ดเป็นนัยยะบอกกล่าวเจตนารมณ์

            ทั้งที่พ่อเสือหนุ่มมักเฉลียวฉลาดทันเกมสาวๆทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต แต่กับไปรยาแล้วเขากลายเป็นลูกเสือไม่รู้ประสีประสา จนมิสามารถคาดเดาคำเชิญชวนง่ายๆของอีกฝ่ายได้เลย

            “ต้องการสิครับ!!!“ กระวีกระวาดล็อครถ แล้วรีบวิ่งตามหญิงสาวที่เดินนำลิ่วไปยังร้านโจ๊กชื่อดัง โดยไม่เกรงกลัวภาพพจน์เสือร้ายจะกลายเป็นลูกแมวเชื่องๆสักนิดเดียว

            กลิ่นข้าวตุ๋นสูตรโบร่ำโบราณหอมหวนเสียจนท้องใครหลายคนในร้านร้องโครกคราก ชายสูงวัยเชื้อสายจีนคนโจ๊กในหม้อสแตนเลสใบใหญ่อย่างชำนาญ แล้วตักใส่ชามว่องไว โรยต้นหอมซอยกับขิงซอยเสร็จ ก็เหยาะพริกไทยตบท้าย พร้อมเสิร์ฟบริการถึงโต๊ะที่มี 2 ลูกค้ารายใหม่นั่งรออยู่

    ความจริงแล้วภคินมักรับประทานมื้อเช้าเป็นพวกขนมปังแซนวิช ไส้กรอก แฮม ไข่ดาว เบคอน กับ น้ำผลไม้คั้นสด ไม่ก็กาแฟดำอย่างเดียวยามเร่งรีบ แต่เขาก็ไม่อิดออดที่จะเปลี่ยนรสชาติ เพียงเพราะปรารถนาใกล้ชิดกับหญิงสาวนานขึ้นกว่าเดิม

            “อร่อยจัง” ชมจากใจจริง

    รสชาติดีกว่าที่คาดคิดไว้เยอะ

            “ร้านโจ๊กนี้เป็นเจ้าโปรดของฉันกับลูกชายค่ะ...สมัยก่อนพวกเราไม่ได้อาศัยในย่านนี้ แต่ก็ชอบพากันมากินบ่อยๆ เพราะเปิดตั้งแต่เช้าจรดเย็น” ไปรยากล่าวจบ จึงค่อยๆละเลียดโจ๊กเข้าปาก

            “ตอนนี้มันกลายเป็นเจ้าโปรดของผมเช่นกันครับ”

            “ดีค่ะ...การรับประทานอาหารเช้า ช่วยบำรุงสมองให้สามารถทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นค่ะ”

            “ดีใจจังที่คุณไปรยาเป็นห่วงผม” ภคินหยอดคำหวาน

            “ฉันมักพูดแบบนี้กับลูกชายบ่อยๆค่ะ”

            จบกัน!

    เสือหล่อชักสีหน้าเหยเก รู้สึกเหมือนโดนแม่ม่ายสาวตอกหน้าเสียหงายเงิบ ตักโจ๊กเข้าปากคำโต โดยหลงลืมว่ามันร้อน เล่นเอาสำลักไอค่อกแค่กลั่นร้าน ไปรยาจึงต้องรีบส่งน้ำให้ดื่มเป็นพัลวัน

            “เป็นอะไรไหมคะ?”

            “ไม่เป็นไรครับ”

            คอ เคอ กระพ้ง กระเพาะ สุกหมดแล้วมั้ง...

            น่าเจ็บใจจริงๆที่ไม่เคยรักษาภาพลักษณ์ให้ดูดีต่อหน้าหญิงสาวจวบจนตลอดรอดฝั่ง ประเดี๋ยวต้องมีเรื่องผิดพลาดเข้ามาแวะเวียน จนความมั่นอกมั่นใจเต็มเปี่ยมเมื่อแรกเริ่มลดน้อยถอยลงเรื่อยๆ หากสาวอื่นที่เคยโดนเขาหักอกรู้เข้า คงต้องหัวเราะเยาะอย่างแน่นอน แต่แล้วภคินก็ต้องสลัดเรื่องฟุ้งซ่านในหัวทิ้งแทบไม่ทัน จู่ๆไปรยาก็ใช้กระดาษทิชชูซับคราบโจ๊กบนปกเสื้อสูทให้อย่างละเมียดละไม ใบหน้าขาวผ่องแต้มเครื่องสำอางเบาบางแย้มยิ้มอ่อนโยนเหมือนนางฟ้าบนสรวงสวรรค์ พร้อมสะกดหัวใจคนตัวโตเกือบหยุดนิ่ง

            “ขอบคุณครับ” พ่อเสือหนุ่มหน้าแดงแปร๊ด ตักโจ๊กกินต่อแก้เขินโดยไม่ลืมเป่า “ผมนี่ทำตัวน่าขายหน้าจริงๆ...เด็กเสียจนเหมือนลูกชายคุณไปรยา มากกว่าคนรักที่กำลังคบหาดูใจ” ตัดพ้อความงี่เง่าของตนเองเล็กน้อย

            “ใครๆก็ทำผิดพลาดกันได้ค่ะ อีกอย่างคุณคงโตเกินกว่าจะมาเป็นลูกชายของฉันอีกคน” คำตอบนั้นฟังเหมือนไม่มีอะไร แต่บอกความนัยว่าหญิงสาวไม่ได้เห็นชายหนุ่มเป็นเด็กสักนิดเดียว

    วุฒิภาวะของภคินมีมากกว่าเธอด้วยซ้ำ มิเช่นนั้นคงไม่สามารถบริหารจัดการงานใหญ่ได้ประสบความสำเร็จก่อนวัยอันควรเช่นนี้

            “คุณไปรยาพอมีเวลาว่างช่วงสัปดาห์หน้าไหมครับ?”

            “ทำไมเหรอคะ?”

            “ผมอยากชวนคุณไปล่องเรือฉลองวันปีใหม่ด้วยกันน่ะครับ” เขาแอบจองโต๊ะหรูตำแหน่งดีเยี่ยมบนเรือสำราญไว้เรียบร้อยแล้ว “ผมสัญญาว่าพอรับประทานอาหารค่ำ และ ชมพลุเสร็จ ก็จะพาคุณส่งกลับบ้านทันทีครับ”

            “เอ่อ...ขอโทษค่ะ ปกติแล้วช่วงวันปีใหม่ฉันมักใช้เวลาอยู่กับลูกชายมากกว่า เราสองคนจะจัดงานฉลองเล็กๆกันที่บ้านตามประสาแม่ลูกน่ะค่ะ” หากต้องเลือกความสุขของตัวเอง กับ ความสำคัญของครอบครัว ไปรยาจำต้องเลือกอย่างหลัง “คุณคงไม่โกรธฉันนะคะ?”

            “ผมเข้าใจ...คนเป็นแม่ย่อมต้องดูแลลูกเป็นธรรมดา แล้วผมจะโกรธคุณได้อย่างไรครับ”

            “ขอบคุณมากนะคะ...ที่เข้าใจกัน”

            แม้ภคินเสียดายเดทชวนฝัน แต่ไม่ติดใจอะไรมากมาย เป็นเรื่องธรรมดาที่คนเราต้องให้ความสำคัญกับครอบครัวอันดับ 1 ส่วนเขาเป็นแค่คนนอกที่เพิ่งผ่านเข้ามาในชีวิตของหญิงสาว คงทำได้เพียงยอมรับสถานภาพตนเอง เอาบัตรล่องเรือสำราญ 2 ใบให้เพื่อนชายไปดินเนอร์ใต้แสงเทียนกับสาวๆ และ จับเจ่าเค้าท์ดาวน์คนเดียวอยู่หน้าจอโทรทัศน์เฉกเช่นที่เคยทำเกือบทุกปี

     

            เฟอร์รารี่ เอนโซ่สีดำคันหรูแล่นปราดจากหน้าประตูรั้วเข้ามาจอดเทียบหน้าคฤหาสน์ศุภณัฐมงคล ด้วยความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แล้วเบรคเอี๊ยดก่อนเสยท้ายบูกัตติ เวย์รอนของเพื่อนรักเพียงเส้นยาแดงผ่าแปด บรรดาคนสวนซึ่งกำลังดายหญ้าบริเวณนั้นแอบลอบถอนหายใจเป็นวรรคเป็นเวร เกรงเกิดโศกนาฏกรรมขึ้นในบ้าน รัชชานนท์ก้าวออกจากเจ้าม้าผยองอย่างองอาจมาดเท่ พับแว่นกันแดดสีดำเก็บใส่กระเป๋าเสื้อสูท พลางสาวเท้าเข้าหาหญิงสูงวัยที่ยืนต้อนรับขับสู้

            “คิดถึงป้าศรีจังเลยครับ” หอมแก้มผู้อาวุโสด้วยความสนิทสนม

            “แหม...คุณนนท์เนี่ยช่างเย้าคนแก่จริงนะคะ”

            “ผมพูดจริงครับ...ถ้าป้าศรียังสาวกว่านี้ ผมจีบไปแล้ว” ถ้อยคำหวานจากชายหนุ่ม ส่งผลให้แม่บ้านคนเก่าคนแก่หัวเราะร่วนอารมณ์ดี

            “พอๆ...คุณคินกำลังรออยู่ที่ห้องโถง รีบเข้าไปด้านในเถอะค่ะ ประเดี๋ยวป้าให้เด็กๆยกน้ำกับขนมไปให้นะคะ”

            “ครับ...แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นวิสกี้เพรียวๆ กับ กับแกล้มสักจานจะดีมากครับ” คนช่างขอยิ้มกริ่ม แต่อีกฝ่ายปฏิเสธความต้องการนั้น โดยหันไปสั่งสาวใช้ให้ตระเตรียมชาร้อนกับคุกกี้ ประหนึ่งไม่เห็นสีหน้าเว้าวอนของเขา

            เจ้าของบ้านเอกเขนกบนโซฟาตัวใหญ่ไม่แยแสภาพลักษณ์ใดๆ มือหนึ่งถือรีโมตคอนโทรลกดไล่ดูรายการน่าสนใจแต่ละช่องบนหน้าจอโทรทัศน์ อีกมือถือถุงมันฝรั่งทอดกรอบที่ลดหายไปกว่าครึ่ง ท่าทีสบายใจของภคินไม่สามารถหลอกตารัชชานนท์ได้ ทั้งคู่รู้จักกันมาเนิ่นนาน จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะสังเกตพฤติกรรมผิดปกติของเพื่อนสนิท

            “เรียกฉันมาเจอที่บ้านหลังเลิกงานแบบนี้ มีอะไรกลุ้มใจสิท่า”

            “รู้ดีนัก...ก็เดาใจฉันต่อเลยสิ” ชายหนุ่มยอกย้อน

            “เรื่องคุณไปรยากับลูกชาย...ฟันธง!!!”

            แม่นเหมือนตอนไม่ได้ซื้อหวย เสือหล่อเหลียวมองเพื่อนชายที่ทรุดกายนั่งข้างๆบนโซฟาเดี่ยว วางถุงขนม แล้วล้วงเอาบัตรล่องเรือสำราญ 2 ใบส่งให้

            “รางวัลสำหรับคนตอบถูก”

            “เฮ้ย...ให้ฉันจริงเหรอ?” รัชชานนท์รีบคว้าบัตรล่องเรือสำราญ 2 ใบนั้นมาไว้กับตัว กุลีกุจอเก็บใส่กระเป๋าเสื้อสูทเกรงอีกฝ่ายเปลี่ยนใจ “นี่มันบัตรวีไอพีเชียวนะเว้ย!!!”

            “ถ้าแกพูดมากกว่านี้ ฉันก็เริ่มจะเสียดายแล้ว” หมั่นไส้ขึ้นมาตงิดๆ

            “แหม...ฉันก็แค่ทักท้วงพอเป็นพิธี เดี๋ยวแกจะหาว่าฉันขี้งกเห็นแก่ของฟรี” รีบแก้ตัวพัลวัน พลางเริ่มเลือกเฟ้นสาวๆในสต็อกที่ต้องการควงคู่ออกเดทบนเรือสำราญ “แล้วบัตรล่องเรือสองใบนี้ มันเกี่ยวอะไรกับคุณไปรยาวะ?”

            “หล่อนไม่ว่างไปกับฉัน เพราะต้องอยู่สังสรรค์กับลูกชายที่บ้าน” เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่จะเสนอหน้าร่วมแจมปาร์ตี้ เนื่องจากปัณฑ์ธรเกลียดเขายิ่งกว่าอะไรดี

            “ถ้าคุณไปรยาไม่ว่างก็พาสาวอื่นไปแทนสิ อย่างคุณพิมพ์วลัญช์ก็ได้...เห็นหล่อนมาหาทุกวันทั้งที่โดนสั่งห้ามเข้าพบ แสดงว่าหลงเสน่ห์แกหัวปักหัวปำเลย” รัชชานนท์เสนอไอเดียตามประสาคนไม่ ( เคย ) คิดมาก เลยโดนเจ้าของบ้านฟาดหมอนอิงใส่เต็มหน้า

            “พอเลย...แกก็รู้ว่าฉันคบหาดูใจกับคุณไปรยาแล้ว จะให้ทำเรื่องแย่ๆแบบเมื่อก่อนได้อย่างไรวะ”

            คนยังแย่อยู่ปล่อยให้พ่อคนดีนั่งซัดมันฝรั่งทอดใส่ปากระบายความเครียดต่อโดยไม่พูดไม่จาตอบโต้ รัชชานนท์ไม่เข้าใจความรักแบบฉบับภคิน แม่ม่ายสาวคนนั้นมีดีอะไร เพื่อนชายถึงต้องเก็บเรื่องหยุมหยิมเอามาฟุ้งซ่านเหมือนคนบ้า

    ไม่มีวันเสียล่ะ...ที่เขาจะจมปลักรักใคร่สาว จนกลายเป็นลูกแมวเชื่องๆไร้ศักดิ์ศรีแบบนี้!!!

            อีกด้านหนึ่งมีคนฟุ้งซ่านไม่ต่างกัน คำเชิญชวนของชายหนุ่มเมื่อตอนสายสร้างความรู้สึกผิดในใจหญิงสาวไม่น้อย ดวงตาคู่งามดับประกายลงทันทีที่เธอกล่าวคำปฏิเสธ และ สะท้อนความผิดหวังออกมา กระทั่งใบหน้าหล่อเหลาพลอยสลดหดหู่ ไปรยาไม่ได้อาลัยอาวรณ์ภคินเยี่ยงคนรัก...

    ช่องว่างระหว่างวัย กับ ระยะเวลาคบหาดูใจยังสวนทางกันเสมอ นั่นคือ อายุห่างกันมาก และ รู้จักกันสั้น เกินกว่าจะก่อเกิดความผูกพัน แต่ความทุ่มเทที่เขาพยายามเอาชนะใจนั้น ทำให้ไขว้เขวบางครั้งบางคราวตามประสาคนขาดรักมานาน

            ซุปมันฝรั่งในหม้อใหญ่ถูกคนด้วยทัพพีครั้งแล้วครั้งเล่า บรรดาคนหิวกลืนน้ำลายรอรับประทานมื้อเย็นอย่างใจจดใจจ่อ แต่ไม่มีทีท่าว่าคนใจลอยจะปรุงเสร็จเสียที ในที่สุดพิมพ์ก็อาสากล้าตายทักท้วงเจ้านายก่อนซุปจะข้นเป็นสตู

            “คุณแป้งคะ...ดิฉันว่าน่าจะสุกพอกินได้แล้วนะคะ”

            “อุ้ย...ขอบใจที่เตือนจ้ะ” รีบปิดเตาแก๊สอย่างรวดเร็ว

            น่าขายหน้าจริงๆ!!!

    ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยทำตัวสะเพร่าจนลูกน้องต้องตักเตือน ระยะหลังๆเรื่องของท่านประธานบริษัทยักษ์ใหญ่มักรบกวนจิตใจเสมอๆ ไปรยาตักซุปใส่ชามแล้ววางกลางโต๊ะ เป็นจังหวะที่ปัณฑ์ธรกลับถึงบ้านพอดี

            “ปัน...วันนี้กลับบ้านเร็วจังลูก” ทักทายลูกชาย ซึ่งกำลังยกมือไหว้ทุกคนอย่างนอบน้อม “เอาข้าวของไปเก็บที่ห้อง แล้วมากินข้าวกินปลาด้วยกันเร็ว”

            “แม่กับพวกพี่ๆกินกันก่อนเลยครับ วันนี้ผมมีการบ้านหลายวิชาต้องทำ”

            “ถ้าลูกจะกินเมื่อไรก็บอกละกัน เดี๋ยวแม่จะอุ่นกับข้าวไว้ให้”

            “โอเคครับ” เขาตั้งท่าจะขึ้นบันไดไปชั้นบน ทว่า ก็ต้องหันกลับมากล่าวกับผู้เป็นมารดาเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ “แม่ครับ...สัปดาห์หน้าผมขอออกไปสังสรรค์กับเพื่อนๆได้ไหมครับ?”

            “เมื่อไรจ๊ะ?”

            “วันที่สามสิบเอ็ดครับ พอดีเพื่อนๆนัดเลี้ยงส่งท้ายปีเก่ากัน” ปัณฑ์ธรรีบแจกแจง “แต่แม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ขากลับเพื่อนๆจะขับรถมาส่งถึงหน้าบ้านเลย”

            “ถ้าเช่นนั้นก็ได้จ้ะ แต่ลูกต้องระมัดระวังตัวด้วยนะ” ไปรยาค่อนข้างเป็นห่วงเรื่องนิสัยมุทะลุดุดันของลูกชาย อาจสร้างเรื่องสร้างราวจนทะเลาะวิวาทกับคนรอบข้างได้ง่ายๆ

            “ครับแม่” รับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะก็รีบสาวเท้าขึ้นชั้นบน

            หากปัณฑ์ธรเป็นผู้หญิง เธอคงไม่ยอมปล่อยให้ออกไปสังสรรค์กับเพื่อนๆกลางค่ำกลางคืนแน่นอน ภัยสังคมสมัยนี้มีมากมาย จนชีวิตแทบไม่หลงเหลือความปลอดภัยเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ แต่การเลี้ยงลูกชายมีข้อแตกต่างจากลูกสาวพอสมควร ไม่ใช่เรื่องดีที่พ่อแม่จะบังคับพวกเขาให้อยู่ในกรอบตลอดเวลา ต้องสร้างเกราะป้องกันให้เรียนรู้โลกนอกกรงทอง โดยปล่อยเป็นอิสระเสียบ้าง อนาคตจะได้ช่วยเหลือตัวเองยามประสบปัญหาต่างๆ เมื่อปราศจากบุพการีคอยอุ้มชู

            เรื่องวันส่งท้ายปีเก่าฉุกใจไปรยาให้หวนนึกถึงเรื่องของภคินอีกครั้ง ในเมื่อตอนนี้เธอว่างแล้ว ก็น่าจะสนองตอบคำเชิญชวนนั้นเพื่อไม่ให้เสียน้ำใจ ครั้นคิดได้ก็รีบขอตัว 3 พนักงานที่กำลังรับประทานอาหารเย็นเอร็ดอร่อย ไปโทรศัพท์ตรงริมระเบียงอีกฟากของห้องครัว

            “คุณภคินเหรอคะ...วันส่งท้ายปีเก่าฉันไปกับคุณได้แล้วนะคะ พอดีลูกชายเพิ่งมาขออนุญาตไปสังสรรค์กับเพื่อนๆวันนั้น...แค่นี้นะคะ...สวัสดีค่ะ”

            สายโทรศัพท์ถูกตัดไปแล้ว แต่รอยยิ้มยังปรากฏบนใบหน้าสวย น้ำเสียงดีอกดีใจของอีกฝ่ายแสดงความยินดีปรีดาประหนึ่งถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 ก็ไม่ปาน ยังไม่นับเรื่องโวยวายทวงบัตรล่องเรือสำราญ 2 ใบจากรัชชานนท์ จนดังทะลุผ่านปลายสายเข้ามา...

     

            ผืนน้ำเจ้าพระยานิ่งสงบสะท้อนแสงไฟเรืองรองจากยอดปรางค์วัดอรุณ จับตาจับใจยิ่งกว่าที่เคยเห็นในภาพถ่ายหรือสารคดีบนหน้าจอโทรทัศน์หลายร้อยหลายพันเท่า เปลวเทียนไหววูบวาบตามแรงลมเสมือนร่ายรำตามบทเพลงจากไวโอลิน ซึ่งบรรเลงโดยนักดนตรีฝีมือฉกาจ อาหารราคาแพงเต็มโต๊ะ มากมายเสียจนไปรยาไม่คิดว่าสามารถรับประทานได้หมด แค่ชมทิวทัศน์งดงามขณะเรือสำราญลำโตแล่นทวนกระแสน้ำก็อิ่มสุขแล้ว

            บรรยากาศริมฝั่งชลนทีว่าวิเศษแล้ว หญิงสาวในชุดเดรสยาวสีครีมเหลือบมุกตรงหน้ายิ่งน่าตื่นตาตื่นใจกว่า ใบหน้าขาวผ่องแต้มเครื่องสำอางอ่อนๆ ใต้เรือนผมดัดลอน สะกดหัวใจเสือหนุ่มเหมือนโดนร่ายมนตร์ ไม่เสียแรงที่อุตส่าห์วิงวอนร้องขอบัตรล่องเรือสำราญ 2 ใบคืนจากเพื่อนชายจนสำเร็จ กระนั้นก็ยังต้องแลกด้วยไวน์เก่าของสะสมผู้เป็นบิดาตั้ง 2 ขวด

            หวังว่าพ่อของเขาคงไม่บินกลับมากอดจูบลูบไล้ลูกๆในตู้โชว์เร็วๆนี้

            “ผมดีใจจริงๆที่คุณไปรยาให้เกียรติมาร่วมฉลองส่งท้ายปีเก่ากับผม...ขอบคุณครับ”

            “ฉันต้องเป็นฝ่ายขอบคุณมากกว่าค่ะ ถ้าไม่ได้คุณ คงไม่มีโอกาสชมความงามของกรุงเทพฯแบบนี้แน่ๆ”

            “ผมก็แค่อยากทำให้เดทแรกของเราสองคนมีความหมายที่สุดครับ” ชายหนุ่มกล่าว “อีกอย่างในสายตาของผมตอนนี้ ทิวทัศน์ของกรุงเทพฯยามราตรียังสวยสู้คุณไม่ได้เลยครับ” ถ้อยคำหวานไม่ได้สะท้านใจม่ายสาวเสียเท่าไร เพราะเคยเจอสารพัดมุกจีบหญิงมาค่อนข้างมาก แต่นัยน์ตาใสซื่อของภคินซึ่งสะท้อนเพียงภาพเธอต่างหากเล่า ที่สั่นสะท้านหัวใจดวงน้อยให้เขินอาย

            “คำหวานแบบนี้ใช่ไหมคะ ที่ทำให้ผู้หญิงทุกคนสิ้นท่ามานักต่อนัก” เธอหัวเราะเบาๆอย่างอารมณ์ดี

            "ไม่ใช่ทุกคนหรอกครับ” จ้องมองสตรีตรงหน้าด้วยความหลงใหล “อย่างน้อยก็มีคุณคนหนึ่งที่ไม่หลงคารมผมเสียที แต่สักวันผมจะต้องเอาชนะใจคุณให้ได้”

            “ฉันจะรอดูวันนั้นนะคะ”

            ทั้งคู่ไม่ได้พูดคุยอะไรต่อจากนั้น ต่างคนต่างนั่งรับประทานอาหารต่อเงียบๆ โดยมีทิวทัศน์ฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาคละเคล้าบทเพลงรักแสนหวานขับกล่อมบรรยากาศให้หวานหอมยิ่งขึ้น มีบ้างที่ดวงตาสบประสานระหว่างกัน แต่ไปรยาต้องเป็นฝ่ายเลี่ยงหลบทุกครั้ง เพราะกลัวใบหน้าหล่อเหลาของบุรุษหนุ่มในชุดสูทสีเทาจะสั่นคลอนใจตัวเอง

    ตลอดเวลาบนเรือสำราญนั้น มีหลายคนให้ความสนใจคู่ควงของท่านประธานแห่งบริษัทศุภณัฐมงคล แต่พวกเขาก็ไม่คิดติดใจอะไร เพราะกลายเป็นเรื่องชินตาเสียแล้วที่มีสาวๆแนบขนาบเสือหนุ่มจอมเจ้าชู้

            ปีศักราชใหม่กำลังใกล้เข้ามาในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า บรรดาแขกและพนักงานต่างยุติสิ่งที่กำลังทำ แล้วรอคอยเวลานับถอยหลังเพื่อเฉลิมฉลองวันปีใหม่ด้วยกัน เรือสำราญหยุดนิ่งกลางกระแสธารเยื้องสะพานพระราม 8 สายเคเบิลมากมายทอแสงสีเหลืองทองอร่ามเรืองถึงผืนน้ำเบื้องล่าง เข็มนาฬิกาเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆท่ามกลางความใจจดใจจ่อของทุกคน

            “อีกไม่กี่วินาทีวันปีใหม่ก็จะมาถึงแล้วครับ” เสียงกัปตันเรือประกาศผ่านลำโพง “สิบ เก้า แปด เจ็ด หก ห้า สี่ สาม สอง หนึ่ง...สุขสันต์วันปีใหม่ครับ!!!”

            ท้องนภาสว่างไสวด้วยพลุจำนวนมหาศาลหลากสีสัน เสียงไชโยโห่ร้องดังลั่นจากทั่วสารทิศ แขกเหรื่อเริ่มลุกออกมาเต้นรำตามจังหวะดนตรีที่ถูกเปิดดังกระหึ่ม ภคินถือโอกาสนี้ล้วงกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินใต้เสื้อสูทออกมามอบแก่หญิงสาว

            “คุณไปรยา สุขสันต์วันปีใหม่ครับ”

            “ตายจริง...ขอบคุณมากค่ะ” รับมาถือไว้ด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย “ฉันมัวแต่ยุ่งๆเรื่องงานกับเรื่องลูก เลยไม่มีเวลาหาซื้อของขวัญมาให้คุณ...ขอโทษจริงๆค่ะ”

            “ไม่จำเป็นหรอกครับ ของขวัญที่ดีที่สุดสำหรับผม คือ การที่คุณไปรยาสละเวลามาดินเนอร์ด้วยกันคืนนี้ครับ” ถ้อยคำหวานเยิ้มเปลี่ยนสีหน้าคนฟังแดงระเรื่อ “ขอบคุณสำหรับค่ำคืนที่แสนวิเศษนะครับ” พยายามเลื้อยมือข้ามโต๊ะ หมายสัมผัสมือเรียวบางของอีกฝ่าย

            อีกนิดเดียว...

    จะได้แตะเนื้อต้องตัวครั้งแรกในฐานะคนรัก

            “อ้าว...แม่!!!”

            แทบชักมือกลับไม่ทัน

    จู่ๆปัณฑ์ธรก็โผล่พรวดเข้ามากลางวงอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ไม่ใช่เพียงเขาที่ตกใจ ขนาดผู้เป็นมารดาของเด็กหนุ่มก็ยังตกตะลึงไม่ต่างกัน

            “ปัน...ลูกมาที่นี่ได้อย่างไร?”

            “ผมมาสังสรรค์กับเพื่อนๆตรงโน้นครับ” เขาชี้ไปทางโต๊ะที่อยู่อีกฟากของเรือ มีชายหนุ่มหญิงสาววัยไล่รุ่นกันกำลังสรวลเสเฮฮาอยู่ราว 7-8 คน “แล้วแม่มาทำอะไรที่นี่ครับ?”

            “เอ่อ...คือ...” ครั้นโดนซักกลับมาบ้าง เลยลนลานจนคิดหาข้อแก้ตัวไม่ถูก

            “เรามาสังสรรค์กันตามประสาคนทำธุรกิจร่วมกันน่ะครับ” ภคินช่วยอธิบาย เขาเองก็ไม่อยากให้ปัณฑ์ธรรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับไปรยาเช่นกัน

            “คนอย่างนายมีคนทำธุรกิจร่วมกันเป็นร้อยเป็นพัน แต่เจาะจงเลือกสังสรรค์กับแม่ฉันสองต่อสองเนี่ยนะ?”

            “พอดีเราต้องปรึกษาหารือเกี่ยวกับคอนเซ็ปต์งานอีเว้นท์ครั้งต่อไป แล้ววันนี้แม่กับคุณภคินก็ว่างตรงกัน ก็เลยนัดกันมาพูดคุยน่ะจ้ะ” ไปรยาอ้างเหตุผลข้างๆคูๆ แต่ดูเหมือนลูกชายยังมีสีหน้าท่าทางระแคะระคาย “ถ้าไม่เชื่อก็ถามคุณภคินดูสิจ๊ะ”

            โบ้ยมาเสียอย่างนั้น...

    แต่ไม่เป็นไรเพื่อหญิงในดวงใจ พ่อเสือร้ายเลยยินยอมพยักหน้าหงึกหงักเป็นการยืนยัน

            “แล้วของขวัญนั่นมันอะไร?” ปัณฑ์ธรยังสงสัยไม่เลิก เมื่อเหลือบพบกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงิน คล้ายกล่องเครื่องประดับมีค่ามีราคา

            “ปัน...หยุดซักถามแบบนั้นได้แล้ว เสียมรรยาท!!!” ผู้เป็นมารดาเริ่มรู้สึกว่าลูกชายกำลังละลาบละล้วง “กลับไปนั่งกับเพื่อนๆของตัวเองได้แล้ว”

            “ไม่เป็นไรครับคุณไปรยา” ภคินปรามอย่างไม่ถือสา พลางหันไปกล่าวกับเด็กหนุ่ม “ผมแค่ให้ของขวัญปีใหม่ตามมรรยาท และ ถือเป็นของตอบแทนที่คุณไปรยาจัดอีเว้นท์ออกมาดีเยี่ยมทั้งสองครั้งด้วย”

            คนฟังยักไหล่น้อยๆอย่างไม่ยี่หระมากนักกับคำแก้ตัว รู้ความจริงอยู่เต็มอก แต่ไม่อยากพูดออกมาให้เสียเรื่องเสียราว ร่างสูงโปร่งเดินกลับโต๊ะเพื่อนๆของตัวเอง โดยไม่หลงลืมจับตา มองคนรุ่มร่าม ซึ่งพยายามจะฉวยโอกาสจับมือแม่ของเขาเมื่อสักครู่

    โชคดีได้บัตรล่องเรือสำราญฟรีหลายใบจากกชกร ที่แอบสั่งเพิ่มให้หลังโดนภคินไหว้วานซื้อ มิเช่นนั้นคงไม่ได้มาสอดส่องความสัมพันธ์ของทั้งคู่แน่ๆ

     

            วันทำงานแรกของปีใหม่ไม่ได้แตกต่างจากทุกๆวันที่ผ่านมาสักเศษเสี้ยว หลายคนต้องทิ้งความสนุกสนานเพื่อกลับมาทำงานหาเงินต่อตามวิถีแห่งชีวิต เช่นเดียวกับท่านประธานบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ต้องพบปะกองเอกสารจำนวนมากรอคอยอยู่บนโต๊ะ

    การประสบความสำเร็จในวงการธุรกิจอาจเป็นเรื่องดี แต่กลับต้องสละเวลาส่วนตัวเป็นข้อแลกเปลี่ยนนั้น ดูไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย ภคินหวังพักร้อนยาวเกินสัปดาห์เหมือนพนักงานคนอื่นๆ แต่ถ้าทำเช่นนั้นบริษัทศุภณัฐมงคลอาจต้องสูญเสียกำไรจำนวนหลายร้อยล้านบาทก็เป็นได้ ฉะนั้นแล้วความสุขเล็กๆน้อยๆจากการเดทเพียงไม่กี่ชั่วโมงจึงเป็นช่วงเวลาอันมีค่าที่สุด แต่จนแล้วจนรอดก็ยังโดนปัณฑ์ธรตามมาป่วน ทำให้ไปรยาต้องขอตัวกลับบ้านพร้อมลูกชายหลังเรือสำราญเข้าเทียบท่า

    คิดแล้วมันน่าเสียดายจริงๆ!!!

            เสือหนุ่มเอนกายพิงพนักเก้าอี้เพื่อรวบรวมสมาธิก่อนเริ่มทำงาน ยกถ้วยกาแฟดำขึ้นจิบสร้างความกระฉับกระเฉง พร้อมกางแฟ้มเอกสารตั้งท่าจะตรวจตราตัวหนังสือ และ ตัวเลขบนหน้ากระดาษ ทว่า เสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นขัดจังหวะนั้น ฉุดอารมณ์ทั้งหมดดิ่งลงเหวทันที ถอนหายใจเฮือกใหญ่ตัดสินใจกดรับสายเพื่อนชายคนสนิทอย่างว่องไว

            “มีอะไรไอ้นนท์...อย่าบอกนะว่าเพิ่งตื่น” สายตาเหลือบมองนาฬิกาแขวนผนัง จวน 10 โมงกว่าแล้ว แต่ก็ยังไม่ปรากฏเงารัชชานนท์ตั้งแต่มาถึงบริษัทกระทั่งบัดนี้

            “เปล่าๆ...แต่จะบอกว่าวันนี้ขอลางานหนึ่งวัน” เสียงลมที่ซัดผ่านเข้ามาทางปลายสาย ทำให้น้ำเสียงอีกฝ่ายอู้อี้เกือบฟังไม่รู้เรื่อง “ตอนนี้ฉันอยู่เสม็ดกับสาวๆ กว่าจะกลับถึงกรุงเทพฯคงปาไปทุ่มสองทุ่มโน่นล่ะ”

            “อะไรวะ...เอาเวลางานไปใช้เที่ยวแบบนี้ได้อย่างไร หยุดตั้งสามวันยังไม่หนำใจอีกเหรอ?”

            “แหม...ก็ฉันไม่ได้ออกไปเห็นเดือนเห็นตะวันเท่าไรนี่หว่า เลยลืมไปเลยว่าวันนี้ต้องเริ่มทำงานแล้ว สรุปพรุ่งนี้เจอกัน...บาย”

            เหมือนรู้แกวเพราะรัชชานนท์ชิงตัดสายก่อนภคินขยับปากด่า ให้มันได้แบบนี้สิ...เอาไว้กลับมาเมื่อไรพ่อจะเลือกแฟ้มสันหนาเป็นพิเศษเฉาะกบาลสักทีโทษฐานทำให้อิจฉา ตั้งท่าจะเริ่มงานต่ออีกครั้ง พลัน อินเตอร์คอมบนโต๊ะทำงานก็ดังขึ้น

            “มีอะไรครับคุณกชกร?” เขาถามเลขานุการสาวที่ติดต่อเข้ามา

            “ฝ่ายประชาสัมพันธ์ชั้นล่างแจ้ง ว่ามีคนขอเข้าพบคุณภคินค่ะ”

            “ใคร...วันนี้ผมไม่ได้นัดใครไว้นะ”

    เท่าที่จำได้ไม่มีผู้บริหารในเครือต่างสาขา หรือ ลูกค้ารายใหญ่คนไหนแสดงความจำนงขอเข้าพบวันนี้

            “เอ่อ...ปัณฑ์ธรค่ะ” กล่าวด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก

    ไม่รู้ว่าหลานชายคิดจะทำอะไร จึงกล้าบุกมาพบเจ้านายของหล่อนถึงบริษัทเยี่ยงนี้ กลัวความผิดเพราะมีเรื่องทรยศเป็นชนักปักหลังเอาไว้อยู่

            “ให้ขึ้นมาพบผมได้เลย!” ภคินอนุญาตโดยไม่ต้องตรึกตรองอะไรมากมาย

            ไม่นานเกินรอประตูห้องทำงานก็ถูกเปิดพลัวะ เด็กหนุ่มในชุดนักศึกษาก้าวเข้ามาหยุดยืนตรงโต๊ะตัวใหญ่ ซึ่งมีเจ้าของห้องนั่งรออยู่ สีหน้าท่าทางแลเอาเรื่องไม่น้อย ทำให้กชกรที่ยืนละล้าละลังตรงหน้าประตูใจคอไม่ค่อยดี แต่หล่อนจำใจต้องเดินออกไป เพราะโดนเจ้านายโบกมือไล่ขอความเป็นส่วนตัวชั่วครู่

            “เวลานี้นายน่าจะเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยนะ” เขาตำหนิก่อนเริ่มเปิดประเด็นถาม “มีธุระอะไรถึงมาหาผมที่บริษัทล่ะครับ?”

            “นายกำลังคบกับแม่ฉันใช่ไหม?” คำถามนั้นกระตุกใจคนฟังจนแทบหลุดไปอยู่ที่ปลายรองเท้าหนังราคาแพง

            “ทำไมถามแบบนั้น?”

            “แค่ตอบมาว่าใช่หรือไม่ใช่ก็เท่านั้น เป็นลูกผู้ชายหรือเปล่า กล้าทำก็ต้องกล้ารับสิ!”

            แสงแดดยามสายไม่ได้ช่วยขับไล่ความอึมครึมภายในห้องทำงานตอนนี้เลยสักนิดเดียว ภคินกดดันกับคำถามของอีกฝ่ายยิ่งกว่าเจรจาธุรกิจกับลูกค้ารายใหญ่เสียอีก ระบายลมหายใจออกมาช้าๆระหว่างชั่งใจ ว่าควรตอบความจริงหรือโกหกเพื่อเอาตัวรอด

            “ใช่...ผมกำลังคบกับคุณไปรยา” ยอมรับโดยดุษณี หาประโยชน์จากการปิดบังไม่ได้ ในเมื่อวันใดวันหนึ่งปัณฑ์ธรก็ต้องทราบอยู่ดี แต่แล้วต้องเอะใจอะไรบางอย่างขึ้นมา “แล้วนายรู้ได้อย่างไร?”

            “แค่เห็นสายตานายตอนจ้องมองแม่ฉันก็รู้แล้ว...ฉันไม่ใช่เด็กอมมือนะ ที่ใครจะมาตบตาอะไรง่ายๆ” ตามสัญญาที่ให้ไว้กับกชกร เด็กหนุ่มไม่ยอมให้อาผู้แสนดีต้องโดนร่างแหไปด้วย “แล้วการที่ฉันมาที่นี่ก็เพื่อมาคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้!!!”

            “ว่ามาสิ”

            “ฉันต้องการให้นายเลิกคบกับแม่ฉัน!!!”

            “ผมทำตามคำขอไม่ได้หรอก” ภคินปฎิเสธทันที

            “นี่ไม่ใช่คำขอ แต่เป็นคำสั่ง!!!”

            “มีสิทธิ์อะไรมาสั่งผม?”

            “สิทธิ์ในฐานะลูก...ถ้านายจะคบกับแม่ฉันในฐานะเพื่อนร่วมงานฉันไม่ว่า แต่เป็นเรื่องพรรค์นี้ฉันยอมไม่ได้!!!” เขาไม่มีวันยอมให้ใครมาแย่งความรักจากผู้เป็นมารดาไปง่ายๆ โดยเฉพาะเสือผู้หญิงอย่างภคินยิ่งไม่มีทาง

            “พรรค์นี้ของนาย มันพรรค์ไหนล่ะ?” ท่านประธานบริษัทหนุ่มไม่เข้าใจ “การคบหาระหว่างผมกับคุณไปรยาไม่ได้มีเรื่องผิดศีลธรรมเลย ผมคบกับหล่อนด้วยความบริสุทธิ์ใจเท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะมอบให้ผู้หญิงคนหนึ่งได้”

            “บริสุทธิ์ใจ?” คนฟังย้ำคำนั้นด้วยสีหน้าเหยียดหยาม ยกมุมปากขึ้นน้อยๆประหนึ่งอยากขำเสียเต็มประดา “จะให้ฉันเชื่อว่าคนที่เปลี่ยนผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าอย่างนายจริงใจกับแม่ฉันเหรอ...โอ้ย... อยากจะหัวเราะให้ฟันร่วง”

            “จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็เป็นสิทธิ์ของนาย กาลเวลาจะเป็นเครื่องช่วยพิสูจน์เอง”

            “ไม่มีกาลเวลาอะไรทั้งนั้น...เพราะวันนี้ฉันต้องทำให้นายเลิกกับแม่ฉันให้ได้!!!” ปัณฑ์ธรประกาศกร้าว

            “ไร้สาระ! เนี่ยน่ะเหรอไม่ใช่เด็กอมมือ นายอายุขนาดนี้แล้วยังทำอะไรไม่มีเหตุผลแบบนี้ ต่อไปภายภาคหน้าจะดำเนินชีวิตได้อย่างไร ความรักมันไม่ใช่เรื่องที่จะมาสั่งให้รักให้เลิกง่ายๆนะ”

            “นายไม่ต้องมาสั่งสอนฉัน!!!” เด็กหนุ่มทวีความโมโห เมื่ออีกฝ่ายอยากจะมาเป็นคนในครอบครัวเขาเสียให้ได้ “อยากลองดีใช่ไหม?”

            มือหนาคว้าที่ทับกระดาษบนโต๊ะทำงานขึ้นมาปาใส่ภคินสุดแรงหมายข่มขู่ให้เข็ดหลาบ ทว่า ฤทธิ์ของมันร้ายแรงเกินกว่าที่คาดคิดไว้นัก เมื่อกระแทกเข้ากับศีรษะของท่านประธานหนุ่ม เลือดแดงฉานก็หลั่งรินออกจากบาดแผลตรงหน้าผากทันที ก่อนที่อาวุธนั้นจะกระเด็นกระดอนไปกระทบตู้เหล็กเก็บเอกสารด้านหลังจนเกิดเสียงดังสนั่น

            “คุณภคินเกิดอะไรขึ้นคะ?” เลขานุการสาวเปิดประตูพรวดเข้ามาแล้วต้องตะลึงงันกับภาพตรงหน้า “ว้าย...นี่มันอะไรกันปัน” หันไปเค้นเอาคำตอบจากหลานชายซึ่งยืนตัวสั่นเพราะความกลัว

            ไม่คิดว่าการสั่งสอนเบาะๆ จะทำให้ฝ่ายตรงข้ามเลือดตกยางออกถึงเพียงนี้

            “ผะ...ผมก็แค่สั่งสอนไอ้หมอนั่นให้รู้สำนึกเท่านั้น ช่วยไม่ได้อยากมายุ่งกับแม่ผมเอง!!!” พูดจบก็รีบวิ่งออกจากห้องทำงานไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งภคินให้กุมบาดแผลอาบเลือดอยู่เบื้องหลังโดยไม่ไยดี

            กระดาษเช็ดหน้าถูกกชกรทึ้งออกจากกล่องเป็นว่าเล่น เพื่อเอามากดบาดแผลไม่ให้เลือดไหลมากกว่านี้ สีหน้าท่าทางลนลานของหล่อนดูเดือดเนื้อร้อนใจมากกว่าคนเจ็บหลายร้อยเท่า ขณะที่เจ้าตัวไม่ได้รู้สึกรู้สาเสียเท่าไรเพราะยังชาอยู่ จึงโบกมือปรามอีกฝ่ายให้สงบสติอารมณ์ลง

            “ผมไม่เป็นไรครับ”

            “ไม่เป็นไรได้อย่างไรคะ เลือดยังไหลไม่หยุดเลย” เลขานุการสาวเถียงกลับทันควัน “ดิฉันต้องขอโทษแทนหลานชายด้วยนะคะ ปันยังเด็กก็เลยวู่วามทำอะไรไม่คิดให้ถี่ถ้วน” ยกมือไหว้ปลกๆแทนคนกระทำ

            “อย่ากังวลเลย...ผมไม่ติดใจเอาความหรอกครับ”

    แผลเล็กๆไกลหัวใจตั้งเยอะ คราวก่อนเกือบตายเพราะไข่เจียวกุ้งแห้งยังรอดมาได้

    ไม่อยากจะคุย...

            “อย่างไรเสียดิฉันก็ต้องขอโทษแทนหลานชายด้วยค่ะ เอาเป็นว่าจะรีบโทร.เรียกรถพยาบาลให้นะคะ” กล่าวจบก็ผลุนผลันออกไป

    ครั้นพ้นบริเวณห้องทำงานของท่านประธานบริษัทแล้ว สีหน้าคนร้อนใจก็ค่อยๆปรับเปลี่ยนเป็นกระหยิ่มยิ้มย่อง ประหนึ่งปลาบปลื้มผลงานของปัณฑ์ธรเสียเหลือเกิน

            ให้เจ็บบ้างก็ดี...

    จะได้รู้สึกเหมือนหล่อน ตอนเห็นชายหนุ่มที่แอบหมายปองคลุกคลีอยู่กับไปรยา

    ดอกฟ้าอยู่ใกล้แค่เอื้อมแท้ๆ แต่ดันไปคว้าดอกหญ้ามาเชยชมเสียได้!!!

     

    *** ยุค 90 = ช่วงปีคริสตศักราช 1990-1999

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×