ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Cool-Prince หยิ่งนัก...รักซะเลย!!!

    ลำดับตอนที่ #2 : บังเอิญหรือเจตนากันแน่

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.87K
      10
      7 พ.ค. 52

    ตอนที่ 2 : บังเอิญหรือเจตนากันแน่

             “นี่ยัยห่าน...แกเอาแก้วกาแฟร้านสตาร์ลัคไปไว้บนหัวเตียงทำไมน่ะ ทิ้งๆไปซะ!” พี่หงส์บ่นพลางหยิบแก้วกาแฟโยนลงถังขยะในห้องนอน แต่ฉันก็กระโดดรับลูกไว้ได้อย่างแม่นยำท่ามกลางเสียงโห่ร้องของผู้คนในสนาม =_=”

             “พี่หงส์ทำแบบนี้ได้ไง นี่มันเป็นสมบัติล้ำค่าของหนูเลยนะ” ฉันเอ่ยบอกพี่สาวที่ยกมือเท้าเอวทำสีหน้าเอือมระอา

             “ทำไม...แก้วนี้มันฝังเพชรไว้หรือไง หรือ มันใบ้หวยได้ ห๊ะ!!!”

             “นี่เป็นแก้วกาแฟของเลออง” ฉันเอ่ยบอกพี่สาวด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ

             “แก้วของเลอองอะไร นี่มันแก้วของสตาร์ลัคชัดๆ” =_=” ตูล่ะกลุ้มใจ

             “ไม่ใช่...หมายถึงกาแฟแก้วนี้ เลออง ที่เป็นไฮโซดังๆ เขาให้หนูมา”

             “อย่ามาแหลๆ...เลอองคนนั้นเขาจะมายุ่งเกี่ยวกับแกได้ไงห๊ะ ไปซื้อกาแฟแพงๆมาแล้วเสียดายเงินจนต้องเก็บแก้วเอาไว้สิไม่ว่า ทำอะไรไร้สาระจริงนังน้องคนนี้” ให้ตายเถอะ...พูดความจริงทำไมไม่มีใครเชื่อฟะเนี่ย TT^TT

             “พรุ่งนี้ต้องไปเรียนไม่ใช่หรือไง...รีบๆเข้านอนได้แล้ว ทำไมต้องให้ฉันปากเปียกปากแฉะได้ทุกวัน ชิ...ถ้าพ่อแม่ไม่ได้ทำงานต่างจังหวัดกลับมาบ้านอาทิตย์ล่ะครั้ง ฉันคงไม่ต้องเสียเวลามาเทศน์แกแบบนี้แน่ๆ” พี่หงส์บ่นยืดยาวพลางเดินออกไปจากห้อง...ได้สักที

             ฉันวางแก้วกาแฟลงบนหัวเตียงหวังว่าคืนนี้คงจะฝันดีถึงผู้ให้ ก่อนสไลด์ตัวลงบนเตียงนอนแล้วกอดตุ๊กตาควายแดงพลางผล็อยหลับไปอย่างง่ายดายในสี่วินาที ( แกเป็นโนบิตะหรือไง จาก Sw. )

             ในเช้าวันต่อมา...ห้องเรียนยังคงครึกครื้นไปด้วยเสียงเพื่อนๆที่พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน เว้นเสียแต่หยกที่นั่งหน้าบูดบึ้งเอามือกุมแก้มซึ่งมีรอยช้ำเขียวๆอมม่วง

             “เป็นไรอะแก แหม...นิ่งเงียบเชียว ปกติเห็นพูดเป็นต่อยหอย” ฉันทักทายเพื่อนชายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม ทว่า...มันกลับหันควับมาจ้องจิกด้วยสายตาอาฆาต

             “จะให้ฉันพูดคุยอย่างเบิกบานทั้งที่โดนแกต่อยเมื่อวานเนี่ยนะ”

             “แหม...ถ้าแกไม่หยิบกาแฟเย็นของเลอองไปดื่มฉันก็คงไม่ต่อยแกหรอก พอดีมันโกรธจนลืมตัวไปหน่อยน่ะ แหะๆ...” ฉันยิ้มแห้งๆตอบมันไป

             “เอาน่าๆ...ไอ้หยก แกก็รู้นี่ว่ายัยห่านมันคลั่งไคล้เลอองขนาดไหน” บลูปลอบใจเพื่อนชาย

             “โธ่เอ้ย...ถ้าฉันรู้ว่ากาแฟแก้วนั้นเป็นของไอ้หยิ่งขี้เก็กนั่น ฉันไม่กระเดือกให้ต่อมรับรสมันเสื่อมหรอก!” พลัวะ!!! ว่าจะไม่แล้วเชียว แต่ก็อดเขกศีรษะกลมๆของมันไม่ได้

             “อย่างแกน่ะ...โอเลี้ยงอาแป๊ะหน้าโรงเรียนก็พอแล้ว หนอย...ได้กินกาแฟคาราเมลสตาร์ลัคยังจะพูดมากอีก” หยกยกมือกุมศีรษะทำหน้าเบ้

             “ฉันจะฟ้องอาจารย์นลินาให้หักคะแนนความประพฤติแก!” เมื่อคำขู่นั้นเปล่งออกมา ฉันก็รีบยอมศิโรราบให้มันแต่โดยดี

             “โหย...แค่หยอกล้อเล็กน้อยตามประสาเพื่อนฝูง ตัวเองต้องฟ้องอาจารย์ด้วยเหรอ” ฉันทำหน้ามุ้ย เอานิ้วจิ้มๆไหล่เพื่อนชายแต่มันปัดออกอย่างไร้เยื่อใย

             “ไม่ต้องมาพูดดีเลย” หยกสะบัดหน้าเชิ่ด

             “เอางี้...พรุ่งนี้ไปเที่ยวห้างสรรพสินค้ากัน เดี๋ยวฉันเลี้ยงข้าวแกหนึ่งมื้อ...โอเคเปล่า?” ฉันยื่นไม้ตายเด็ดไป

             “โอเค!” มันตอบรับโดยแทบไม่ต้องคิด เฮอะ...เรื่องกินเนี่ยไม่เป็นรองใครจริงๆ มิน่าถึงได้อ้วนกลมแบบนี้ =_=”

             “โหย...เลี้ยงแต่หยกคนเดียวเหรอ โคตรลำเอียง!” ยัยบลูที่ฟังอยู่เงียบๆแย้งขึ้นมาเมื่อเห็นตัวเองไม่ได้ส่วนได้ส่วนเสียไปด้วย

             “เออๆ...เลี้ยงแกด้วยก็ได้” เพื่อตัดปัญหาทางการเมือง เอ้ย...การกินระหว่างเพื่อนฝูงก่อนเอ่ยต่อไปว่า “เจอกันตอนสิบเอ็ดโมงนะ ที่ลานน้ำตกชั้นล่างสุด!”

             “โอเค!!!” พวกมันสองคนประสานเสียงตอบรับด้วยสีหน้ามีความสุข ส่วนฉันนี่สิมีความทุกข์สุดๆ...ได้กินแกลบก่อนสิ้นเดือนอีกแล้ว TT^TT

             เช้าวันเสาร์มาถึงรวดเร็วสุดๆราวกับนังคนแต่งมันต้องการกลั่นแกล้งฉัน และถ้าไม่ติดว่ายัยบลูฉลาดเกินมนุษย์แกล้งโทรไปขออนุญาตพี่หงส์เรื่องนัดเจอกันที่ห้างสรรพสินค้าตอนสิบเอ็ดโมง ฉันคงไม่โดนพี่สาวจอมโหดปลุกตั้งแต่เก้าโมงเช้า ชิ...ทั้งที่จะทำเนียนเป็นตื่นสายไปไม่ทันสักหน่อย TT3TT…เลวจริงๆตู 

             เมื่ออาบน้ำแต่งตัวรวมถึงแต่งหน้าเสร็จก็กินเวลาไปเกือบชั่วโมงครึ่ง ฉันหยิบแก้วสตาร์ลัคขึ้นมาจุมพิตหนึ่งทีราวกับคนรัก ( แน่นอนว่าต้องล้างน้ำจนสะอาดเพราะไม่อยากจุ๊บขี้มืออีตาหยก =_=* )

             “แล้วจะรีบไปรีบกลับนะคะ...ที่รัก” พูดกับตัวจริงไม่ได้ก็พูดกับของๆเขาไปก่อนก็ยังดี...เฮ้อ ก่อนจะรีบออกจากบ้านเพราะเหลือเวลาอีกเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น

             ตอนห้างสรรพสินค้าเพิ่งเปิดเป็นช่วงเวลาที่ฉันชอบพอสมควร เพราะคนไม่หนาแน่นจนรู้สึกอึดอัด อยากซื้อหรืออยากทานอะไรก็เลือกได้ตามสบาย ฉันเหลือบมองนาฬิกาข้อมือที่บ่งบอกว่าเหลืออีกสิบห้านาทีก่อนถึงเวลานัดจึงได้เดินเตร็ดเตร่ฆ่าเวลาโดยการชมสินค้าต่างๆ

             เสื้อผ้า เครื่องประดับมากมายหลากหลายยี่ห้อที่ตั้งโชว์อยู่ในตู้กระจกของร้าน มีหลายอย่างที่ฉันแอบมองอยู่บ่อยครั้งเพราะความชอบส่วนตัวแต่ไม่มีปัญญาหาซื้อมาสวมใส่เนื่องจากราคาค่อนข้างแพง เอาเป็นว่า...แค่ได้มองแล้วเก็บเอาไปฝันก็มีความสุขแล้ว ( เรียกคะแนนสงสารจากคนอ่าน หรือ คะแนนสมเพช ฟะเนี่ย )

             ฉันเดินมาถึงโซนนาฬิกาข้อมือพลางมองดูความงดงามของเวลาในตู้โชว์ต่างๆอย่างสนใจ พนักงานสาวคนหนึ่งปรี่เข้ามาหาด้วยคำพูดและท่าทางที่ฝึกปรือจนชำนาญ

             “นี่เป็นนาฬิกาโลว์เหล็ก ( ยี่ห้อคุ้นๆ =_=” ) ที่เพิ่งนำเข้ามาจากสวิสเซอร์แลนด์เลยนะคะคุณน้อง สายและตัวเรือนทำจากทองคำขาวชั้นดีไม่มีลอกแม้เวลาผ่านไปร้อยล้านปี ประดับเพชรและพลอยชั้นเลิศ กระจกหน้าปัดกันกระสุนไม่มีวันแตก ( จะเอาไว้ใส่ในสงครามเหร้อ =[]= ) กันน้ำกันไฟไม่มีวันตายค่ะ” ฟังๆดูแล้วนี่มันนาฬิกาหรืออาวุธสงครามฟะเนี่ย

             “เอ่อ...ราคาเท่าไรคะ?” จริงๆก็พอรู้อยู่ว่าราคาแพง แค่ถามไปตามมรรยาทเท่านั้น

             “ไม่แพงค่ะ...ห้าแสนแปดเท่านั้นเอง ซื้อตอนนี้มีโปรโมชั่นลดเหลือสี่แสนแปดค่ะ” โห...สี่แสนแปด ซื้อนาฬิกาเรือนละ 199 ได้กี่เรือนฟะเนี่ย

             “เอ่อ...ไม่...”

             “ไม่ซื้อไม่เป็นไรค่ะ ลองใส่ดูก่อนได้นะคะคุณน้อง ชอบหรือไม่ชอบค่อยตัดสินใจ เพราะเรามีโปรโมชั่นลดราคาถึงสิ้นเดือนนี้ค่ะ” เธอยังคงพรีเซ้นท์ต่อไป

             “ไม่มีเงินค่ะ”

             “อ้าว...แล้วก็ให้พูดอยู่ได้!” หล่อนทำสีหน้าผิดหวังพลางเดินจากไป ใช่สิ...ฉันมันไม่รวยนี่ยะ! ในตอนนั้นเองเสียงหนึ่งก็ดังแว่วเข้ามาในหู

             “น้องเลอองไม่สนใจนาฬิกาเรือนนี้เหรอคะ เป็นสินค้า Limited Edition มีเพียงหนึ่งร้อยเรือนในโลกเท่านั้นนะคะ” พนักงานสาวอีกคนกำลังพรีเซ้นท์นาฬิกาเรือนหนึ่งให้กับชายหนุ่มรูปงามที่ฉันหมายตาเอาไว้... เลอองอยู่ในชุดลำลอง ใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวกับกางเกงสแล็คสีดำ ผมสีน้ำตาลถูกเซตเอาไว้อย่างลงตัว ดูเท่ห์จนฉันรู้สึกได้เลยว่าผู้หญิงหลายคนที่เดินผ่านไปผ่านมารวมถึงพนักงานสาวๆจับจ้องเขาตาแทบไม่กระพริบ

             “ไม่เอา...ถ้ามีเรือนเดียวในโลกแล้วค่อยติดต่อมาละกัน” เขาปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยพลางเดินออกไปจากบูทขายนาฬิกา ฉันเลยปรี่เข้าไปหาอย่างรวดเร็ว

             “เลออง” เขาปรายตามองฉันแต่ไม่พูดอะไร

             “เอ่อ...จำฉันได้มั้ย?”

             “ไม่” ตอบโดยแทบไม่ต้องคิด อีตานี่อัลไซเมอร์หรือไงฟะเพิ่งเจอกันเมื่อวานซืนแท้ๆ TT^TT 

             “เอ่อ...เมื่อวานซืนฉันไปถือกล่องบริจาคตรงหน้าห้างสรรพสินค้า แล้วก็เจอนายที่ร้านสตาร์ลัค” เขานิ่งเงียบไปสักพักก่อนตอบกลับมาว่า

             “อ๋อ” สั้นมาก =_=” เขาเชิ่ดหน้าแล้วยักไหล่นิดๆพลางเดินฉับๆจ้ำอ้าวออกไปโดยไม่ใส่ใจฉันเลยแม้แต่น้อย ให้ตายเถอะ...ใครจะไปยอม โอกาสเจอกันไม่ได้มีง่ายๆนะเฟ้ย!!! คิดได้ดังนั้นฉันก็รีบตามไปโดยเร็ว...

             “นี่ๆ....ฉันชื่อห่านนะ” ฉันแนะนำตัวขณะวิ่งไล่ตามเขาไปที่ลิฟท์

             “ใครถาม” เขาตอบกลับมาสั้นๆพลางเดินเข้าไปในลิฟท์แล้วทำท่าจะกดปิด มีเหรอจะยอม...ฉันสวมวิญญาณจีจ้ารีบกระโดดแทรกตัวเข้าไปอย่างรวดเร็วก่อนประตูจะปิดพอดิบพอดี ซึ่งภายในนั้นมีแค่ฉันกับเขาเท่านั้น

             “ขอโทษนะที่ตามมา เอ่อ...คือฉัน...” แม้จะดูใจง่ายไปหน่อย ( ไม่หน่อยมั้ง จาก Sw. ) แต่ฉันก็อยากสารภาพความรู้สึกที่มีต่อเขามาตลอดสองปี...

             “คือ...ฉัน...ชะ...ชอบ...” ครึ่กกก...กึงงงง!!! เสียงหนึ่งดังขึ้นก่อนที่ลิฟท์จะกระตุกและค้างอยู่กับที่...ซวยแล้วตู!!!

             “กรี๊ดดด!!!” ฉันร้องด้วยความหวาดกลัว พลางโผเข้ากอดเขาด้วยความตกใจ

             “ถอยออกไป” เลอองเอ่ยพลางดันฉันออกห่าง “ ฉันไม่อยากตกเป็นข่าวหน้าหนึ่งบันเทิงอีก” 

             “จะตกเป็นข่าวได้ไง พวกเราอยู่กันแค่สองคนเองนะ” เลอองไม่ตอบอะไรในทันทีพลางชี้ไปยังกล้องวงจรปิดที่กระพริบไฟสีแดงๆอยู่เหนือเพดานด้านบน

             “ลิฟท์ไม่ได้ค้างเพราะไฟดับ เพราะงั้นกล้องวงจรปิดก็ยังทำงานอยู่ตลอด ฉันไม่อยากให้ภาพแย่ๆหลุดออกไปเป็นขี้ปากชาวบ้าน” รู้สึกจ๋อยขึ้นมาในทันใด TT^TT เลอองทำสีหน้าเบื่อหน่ายก่อนคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรหาใครบางคน

             “เซน...ฉันติดอยู่ในลิฟท์ ช่วยไปบอกพนักงานให้รีบมาแก้ไขเร็วๆเข้า!” พูดจบก็กดวางสาย ถ้าจำไม่ผิดอีตาเซนคงเป็นคนขับรถที่เคยแว้ดๆใส่ฉันเมื่อสองปีที่แล้ว ชิ...ยังไม่ตกงานไปอีกหรือเนี่ย

             ห้านาทีผ่านไปลิฟท์ยังคงค้างอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย โชคดีที่ไฟไม่ดับเลยทำให้พัดลมระบายอากาศให้พวกเราได้หายใจร่วมกันต่อไปไม่ขาดใจตายเสียก่อน หลังจากยืนได้สักพักฉันก็ทรุดลงไปนั่งกับพื้นเพราะความเมื่อย ในขณะที่เลอองยืนพิงผนังตรงมุมหนึ่งของลิฟท์ ไม่แสดงสีหน้าหรือท่าทางหวาดกลัวแต่อย่างใด

             “นายไม่กลัวบ้างเหรอ?” ฉันเอ่ยถามเพื่อทำลายความเงียบที่ครอบคลุมไปทั่ว

             “กลัวอะไร?” เขาถามกลับมาสั้นๆ

             “กลัวลิฟท์ตกอะไรแบบนั้น” คิดแล้วน่าเสียวไส้ชะมัด 

             “ไร้สาระ!” คำตอบนั้นทำให้ฉันนั่งเงียบไม่กล้าถามอะไรต่อไป

             สิบนาทีผ่านไป ลิฟท์ยังคงไม่ขยับเขยื้อนไปไหนเช่นเดียวกับฉันและเขาที่ประจำตำแหน่งเดิม ให้ตายเถอะ...พนักงานกำลังซ่อมแซมหรือกำลังเดินมาเนี่ย ช้าเหลือเกิน แต่...ก็ดีเหมือนกันเพราะมันทำให้ฉันอยู่กับเลอองสองต่อสองนานขึ้น หุหุ... ก่อนที่ฉันจะถามเขาเพื่อทำลายความเงียบอีกครั้ง

             “นายเป็นลูกคนเดียวหรือเปล่า?” เห็นหยิ่งและเอาแต่ใจเหลือเกิน แต่ไม่กล้าพูดออกไป =_=”

             “เปล่า”

             “เอ่อ...มีพี่หรือน้องเหรอ?”

             “พี่”

             “พี่ชายหรือพี่สาว?”

             “พี่ชาย” นี่เองสินะ...ที่เขาเรียกว่า ถามคำตอบคำ =_=” แม้จะไม่ใช่เรื่องส่วนตัวมากมาย อย่างดารานักแสดงบางคนก็เอ่ยถึงพี่น้องของตัวเองตามหน้าหนังสือบันเทิงต่างๆ ทว่า...เลอองไม่เคยเล่าพวกนี้เลยแม้แต่น้อยขนาดฉันติดตามข่าวคราวเขามาถึงสองปีก็เพิ่งมารู้วันนี้นี่ล่ะ

             “เหมือนกันเลย...ฉันก็มีพี่เหมือนกันแต่เป็นพี่สาวนะ”

             “ใครอยากรู้” ฮึ่ย...อีตานี่สะกดคำว่า มนุษย์สัมพันธ์ กับ มรรยาททางสังคม เป็นมั้ยฟะเนี่ย!

             “เอาเป็นว่าฉันอยากบอกละกัน เอ่อ...แล้วพี่นายชื่ออะไรเหรอ?”

             “จะรู้ไปทำไม” เขาไม่ตอบ แต่เอ่ยถามกลับมาว่า “แล้วทำไมเธอชื่อห่าน?” นัยน์ตาสีน้ำตาลเหลือบมองฉันนิดๆ อ๊ายยยย...จำชื่อฉันได้ด้วย

             “เอ่อ...พ่อแม่ตั้งน่ะ คงเพราะพี่ฉันชื่อ หงส์ ฉันก็เลยได้ชื่อ ห่าน สงสัยถ้ามีน้องอีกคนต้องชื่อ เป็ด แน่ๆ ฮ่าๆๆ”

             “สิ้นคิด!” คำตอบสั้นๆนั้นทำให้ฉันอึ้งไปเลย ก่อนเงียบอีกครั้งด้วยความเศร้าใจ...

             ผ่านไปอีกสิบนาที...ลิฟท์ยังคงค้างคาอย่างเบิกบานใจ ฉันนั่งกร่อยๆอยู่บนพื้นรู้สึกเฉาและหดหู่อย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่คิดว่าการได้อยู่สองต่อสองกับคนที่ชอบคงโรแมนติกเหมือนในหนัง ซึ่งความเป็นจริงมันช่างอึดอัดเหลือเกิน

             “เลออง” ฉันเรียกชื่อเขาเบาๆแต่ไม่ได้รับเสียงตอบกลับมา เอาเถอะ...ในที่แคบเท่านี้ยังไงก็ต้องได้ยิน

             “นายรู้หรือเปล่า ว่า...พวกเราเคยเจอกันเมื่อสองปีก่อน ไม่รู้ว่านายจะจำได้มั้ย แต่ฉันจำได้แม่นเชียวล่ะ ตอนนั้นฉันวิ่งตัดหน้ารถนายเพื่อเก็บซองผ้า...เอ่อ...ซองทุนการศึกษาจนมีเรื่องกับคนขับรถ ตอนนั้นนายลงมาถามว่าเกิดอะไรขึ้นและจะชดใช้ค่าเสียหายให้แต่ฉันไม่เอา ไม่รู้เพราะอะไรตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้ฉันก็ประทับใจในตัวนายและชอบนายมาตลอดเลย” ฉันเล่าความหลังและสารภาพความรู้สึกออกไปด้วยความเขินอาย ก่อนจะหันไปมองว่าเขามีสีหน้ายังไง ทว่า...ภาพตรงหน้ากลับทำให้ช็อก เลอองกำลังฟังไอพอตอยู่ =[]=” แล้วเมื่อสักครู่ฉันพูดให้ใครฟังฟะเนี่ย!!!

             “เลออง!!!” ฉันเรียกด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม แต่เขาก็ยังไม่ตอบกลับมา หลับตาฮัมเพลง Makes me wonder ของ Maroon 5 อยากจะบ้าตาย TT^TT เลยได้แต่นั่งเงียบๆฟังเพลงที่เขาร้องด้วยความซาบซึ้งใจ คนอะไรหล่อก็หล่อ ร้องเพลงก็เพราะ >//< ( ความเศร้าเมื่อสักครู่หายไปไหน =_=” จาก Sw. )

             แกร๊กกก...ครืดดดด...ในที่สุดลิฟท์ก็ขยับใช้งานได้อีกครั้งก่อนประตูจะเปิดออก ปรากฏเจ้าหน้าที่และพนักงานจำนวนหนึ่ง

             “คุณเลอองไม่เป็นไรใช่มั้ยครับ/ค่ะ?” ให้ตายสิ...คนที่ติดอยู่ในลิฟท์เมื่อสักครู่มีฉันอยู่ด้วยมั้ยเนี่ย

             “ขออภัยนะครับ เพราะระบบขัดข้องค่อนข้างเยอะเลยทำให้การซ่อมแซมล่าช้า แต่พวกเราก็เร่งมือเต็มที่แล้วเมื่อรู้ว่าคุณเลอองติดอยู่ด้านใน” ขนาดเลอองยังใช้เวลาซ่อมเกือบสามสิบนาที นี่ถ้าฉันติดคนเดียวไม่กินเวลาไปสักสามสิบชั่วโมงเหรอเนี่ย 

             เลอองไม่สนใจยังคงฟังไอพอตต่อ เชิ่ดหน้านิดๆไม่ตอบพนักงานเหล่านั้นพลางเดินออกไปจากลิฟท์อย่างรวดเร็ว ไม่แม้แต่ร่ำลาเพื่อนร่วมชะตากรรมอย่างฉันด้วย ฮือ... ตอนนั้นเองสายตาก็เหลือบไปเห็นปากกาด้ามสีเงินตกอยู่บนพื้นเลยหยิบมันขึ้นมาดู ทั้งลวดลายและการออกแบบที่คลาสสิกดูดีมีสไตล์ น้ำหนักเหมาะมือ รวมถึงตัวอักษรย่อ L ที่จารึกอยู่บนด้าม ทำให้มั่นใจได้ทันทีว่าเป็นของเขา!

             ฉันรีบวิ่งตามเลอองไปทันทีเพื่อคืนปากกาด้ามนี้ให้ ก่อนเห็นหลังไวๆของเขาเข้าไปในร้านฟิตเนสฟาสต์เลยไม่รอช้ารีบวิ่งตามเข้าไป ทว่า...พนักงานหน้าร้านกลับกันฉันเอาไว้

             “มาสมัครสมาชิกหรือว่ามาหาใครคะ?”

             “เอ่อ...หนูเอาของมาคืนให้เลอองน่ะค่ะ ยังไงช่วยตามหรือฝากให้เขาหน่อยได้มั้ยคะ?” 

             “เห็นว่าจะไม่ได้นะคะ เพราะมีคนมาขอพบคุณเลอองแทบทุกวันเสาร์ อ้างว่าเป็นญาติพี่น้องเพื่อนฝูง หรือพยายามฝากของให้เขา ซึ่งทางเราเห็นว่าเป็นการรบกวนสมาธิของเจ้าตัวและลูกค้าท่านอื่นๆจึงไม่ขอรับค่ะ” เมื่อโดนปฏิเสธกลับมา ฉันเลยถามไปว่า

             “แล้วเลอองจะกลับออกมาเวลาไหนคะ?”

             “เอ่อ...ไม่ทราบค่ะ บางวันก็บ่ายถึงเย็น ไม่ก็ค่ำถึงดึกก่อนเวลาห้างปิดเล็กน้อย” ผลสรุปก็คือ ฉันไปหาซื้อลูกชิ้นปิ้งมานั่งกินแถวหน้าร้านฟิตเนสฟาร์ตเพื่อรอเลอองไปด้วย แต่จนแล้วจนรอดสามชั่วโมงผ่านไปก็ไม่ปรากฏแม้แต่เงาของเขาออกมา เฮ้อ...ให้รออย่างไร้จุดหมายแบบนี้คงไม่ไหวแน่ๆพี่หงส์ได้กระทืบตายถ้ากลับช้า ฉันเลยต้องตัดใจเก็บปากกาด้ามนั้นไว้กับตัวแล้วกลับบ้านอย่างเศร้าใจ

             “ยัยห่าน...นี่ปากกาของใครน่ะ?” พี่หงส์ถามเมื่อเห็นฉันเดินลงบันไดมาจากชั้นบนหลังอาบน้ำเสร็จ

             “ของหนู” ฉันตอบส่งๆไป

             “ไม่เชื่อ!” ไอ้พี่จอมโหดตอบกลับมาทันทีทันควัน

             “โหย...พี่หงส์ไม่เชื่อเลยเหรอเนี่ย มันอาจเป็นของหนูก็ได้นะ” ฉันพูดพลางเปิดตู้เย็น เทน้ำจากเหยือกใส่แก้วแล้วดื่มอย่างกระหาย

             “ไม่มีทาง...อย่างแกน่ะแลนเสล่อแท่งละห้าบาทก็หรูแล้ว แต่นี่มันปาร์คเก้นะยะ อย่างต่ำราคาที่ขายๆกันก็เป็นพัน แล้วนี่มันสินค้า Limited Edition สั่งทำพิเศษแน่ๆ อย่างต่ำก็เป็นหมื่น!” พรวดดด!!! น้ำในปากฉันพ่นใส่พี่หงส์เต็มๆ แต่มันฉลาดพอเอี้ยวตัวหลบเลยไปโดน ไอ้เฉาก๊วย แมวดำสัตว์เลี้ยงแสนรักของฉันแทน =_=”

             “เป็นหมื่นงั้นเหรอ!!!” ตายแล้ว...ส่งคืนหรือขายต่อดีเนี่ย อ๊ะ...ประมูลในเว็บไซต์แฟนคลับเลอองน่าจะได้ราคาสูงอยู่ ( ชั่วจริงๆตู )

             “ตกลงนี่มันปากกาของใคร?” พี่หงส์ถามย้ำอีกครั้ง

             “ของเลออง”

             “ห๊ะ!!!...แกขโมยเขามาเหรอไอ้น้องเลว ฉันรู้ว่าแกคลั่งไคล้แต่ไม่นึกว่าจะมีนิสัยขี้ขโมยแบบนี้” พี่หงส์ฟาดฝ่ามือใส่ฉันไม่ยั้ง

             “โอ้ยๆ...จะบ้าเหรอ เขาทำตกไว้...พอดีวันนี้บังเอิญติดลิฟท์กับเขาที่ห้างสรรพสินค้า” บังเอิญจริงๆนะ TT^TT แต่เจตนาตามเข้าไป =_=”

             “โล่งอกไป...แล้วอย่าลืมส่งคืนให้เขาล่ะ อย่าคิดชั่วเอาไปเก็บไว้นอนกอดหรือขายต่อเชียว บาปกรรม!” แหม...ไม่สงสัยเลยว่าพี่หงส์กับฉันเป็นพี่น้องแท้ๆกันหรือเปล่า รู้ความคิดที่แอบซ่อนในสมองฉันเสียด้วย

             “ออ...ลืมบอก วันนี้แกไม่ได้เอามือถือไปมีคนโทรมาหาเยอะแยะเลย แต่ฉันไม่ได้รับแล้วปิดเสียงไป วางอยู่ตรงโต๊ะรับแขกน่ะ” พี่สาวจอมโหดพูดพลางเดินขึ้นชั้นบน

             ฉันเดินเข้าไปในห้องรับแขกก็พบโทรศัพท์มือถือกำลังนอนเกลือกกลิ้งบนโต๊ะเลยคว้ามาไว้กับตัว ในตอนนั้นเองสายเรียกเข้าก็ดังขึ้นพอดี

             “ฮัลโหล” ฉันกรอกเสียงเข้าไป

             “ยัยบ้า...แกหายไปไหน ลืมอะไรไปหรือเปล่า!!!” เสียงยัยบลูแว้ดเข้ามาจนขี้หูฉันหลุดร่อน TT^TT

             “เป็นบ้าอะไรของแกเนี่ย โวยวายเสียงดังทำไมหนวกหูจริงๆ”

             “ไม่ให้โวยวายได้ไง วันนี้แกสัญญาว่าจะเลี้ยงข้าวฉันกับหยก พวกฉันไปยืนรอตรงลานน้ำตกตั้งแต่สิบเอ็ดโมงจนถึงสามโมงเย็นแกก็ไม่มา โทรไปก็ไม่รับ”  เออว่ะ...ลืมไปเลย =_=”

             “ขอโทษที...ฉันลืมจริงๆ พอดีวันนี้เจอเลอองล่ะแก...” แล้วฉันก็เริ่มเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้เพื่อนสาวฟังตั้งแต่ต้นจนจบ

             “อ๋อ...แกก็เลยลืมเพื่อนฝูงหมดพอได้เจอเลออง” ยัยบลูทำเสียงเอือมระอา

             “ประมาณนั้น แหะๆ...“ ฉันสารภาพแต่โดยดี

             “เอาเถอะๆ...เห็นว่าเป็นเพราะหนุ่มในฝันแกถึงได้ยกโทษให้ วันจันทร์ก็มาชดใช้ในส่วนที่ค้างคาละกัน ชิ...” พูดจบมันก็วางสายไป เฮ้อ... เค้าผิดตรงไหนเนี่ย ( ยังไม่รู้ตัวอีก จาก Sw. )

    + +++ 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×