คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ 5 : สัญญาระหว่างกัน
ตอนที่ 5 : สัญญาระหว่างกัน
สองวันมาแล้วที่มิยูกิรู้สึกว่าตัวเองอยู่อย่างสงบสุขได้บ้าง
เธอไม่เห็นเหตุการณ์กุหลาบสีแดงอีกในช่วงสามวันที่ผ่านมาหลังจากเหตุการณ์อันวุ่นวายในวันนั้นและไม่พบหน้ารุ่นพี่โชเฮอีกเลย
แต่ถึงกระนั้นรุ่นพี่กาเอลก็ยังโผล่หน้าคร่าตามาให้เห็นอยู่บ่อยๆ เพราะเขาต้องมารับผิดชอบหน้าที่ในส่วนที่รุ่นพี่โชเฮไม่ได้มาทำนั่นเอง
สาวๆหลายคนบ่นหาถึงชายหนุ่มที่หายหน้าไปด้วยความคิดถึงแทบทุกคน
แต่มิยูกิกลับยินดีเสียมากกว่าที่ไม่เห็นเขา แม้ลึกๆจะรู้สึกเป็นห่วงนิดหน่อยเพราะคิดถึงการกระทำของตัวเองว่ามันอาจจะแรงเกินไป
“เขาจะเป็นอะไรมากมั้ยนะ?
เฮ้ย!!!...แล้วทำไมต้องไปคิดถึงอีตานั่นด้วยเนี่ย” หญิงสาวตบหน้าตัวเองเบาๆเพื่อลบความรู้สึกผิดที่เกิดขึ้น มันก็สมควรแล้วไม่ใช่เหรอกับความชั่วร้ายที่เขากระทำ
แค่โดนปาไม้กางเขนใส่ยังไม่สาสมกับชีวิตผู้คนที่เขาเข่นฆ่าไปเลยแม้แต่น้อย
“เพื่อนเธอนี่ท่าทางจะอาการหนักนะเนี่ย
เดี๋ยวพูดกับตัวเอง เดี๋ยวทำร้ายตัวเอง” ฮิคารุทักขึ้นเมื่อมองดูพฤติกรรมหญิงสาวบนเตียงด้านบนฝั่งตรงข้าม
“ฉันชินแล้วล่ะ” เรนะตอบกลั้วหัวเราะขณะกำลังทำการบ้านที่โต๊ะเขียนหนังสือไปด้วย
“อะไรกัน...ฉันไม่ได้บ้านะยะ!”
มิยูกิแว้ดกลับมาจนฮิคารุหัวเราะเบาๆ
“คนบ้าก็ชอบบอกว่าตัวเองไม่บ้า
เหมือนกับ คนเมาที่ชอบบอกว่าตัวเองไม่เมานั่นแหละ”
“แต่ฉันไม่ได้บ้าจริงๆนะ...”
หญิงสาวเอ่ยพร้อมน้ำตาที่เอ่อล้นจนฮิคารุนิ่งไปชั่วขณะพลางพูดว่า
“อะไรกัน...ก็แค่แซวเล่นเท่านั้นล่ะ
อย่าขี้แยไปหน่อยเลยน่า พวกผู้หญิงนี่น่าเบื่อจริงๆ” เธอพูดพลางเอนตัวลงไปนอน
“เฮอะ...พูดยังกับตัวเองไม่ใช่ผู้หญิง
ยัยทอมบอยเอ้ย...!!!” เรนะหันไปแขวะเบาๆ
“เรนะ!!!” มิยูกิปรามเพื่อนสาวเพราะกลัวว่าสองคนนี้จะทะเลาะกันเสียก่อน
แต่ศึกก็สงบเพราะฮิคารุไม่ใส่ใจผล็อยหลับไปโดยง่าย ซึ่งไม่นานหลังจากนั้นเรนะก็วางการบ้านก่อนสลบไสลลงบนเตียงแม้จะยังทำไม่เสร็จก็ตาม
จนหญิงสาวอดถอนหายใจเบาๆไม่ได้ เฮ้อ...
นาฬิกาบนผนังบ่งบอกเวลาเที่ยงคืนกว่าแล้วแต่มันก็หาได้ทำให้มิยูกิหลับลงได้
เธอยืนเกาะขอบหน้าต่างพลางมองกุหลาบสีขาวเบื้องล่างที่กำลังไหวเอนตามแรงลม วันนี้มันก็คงไม่ได้กลายเป็นสีแดงเพราะไร้เงาของเขาคนนั้น
ไม่รู้เพราะอะไร...ทั้งๆที่เธอคิดว่าสิ่งที่โชเฮได้รับนั้นสมควรแล้ว แต่กลับรู้สึกไม่สบายใจยังไงไม่รู้
“ไปดูสักหน่อยดีมั้ยนะ?” เธอครุ่นคิดอย่างลังเลเพราะในตอนนี้ไม้กางเขนสักอันก็ไม่มี เนื่องจากโดนรุ่นพี่กาเอลยึดเอาไปแล้ว
แต่เอาเถอะ...อีตารุ่นพี่โชเฮคงไม่โผล่พรวดพราดออกมา ส่วนรุ่นพี่กาเอลก็ไม่กลัวไม้กางเขน
จะเอาไปหรือไม่เอาไปคงไม่มีผลอะไรมาก หญิงสาวปลงตกพลางค่อยๆแอบย่องออกไปจากห้องพัก...
ปัญหาใหญ่ในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องการแอบออกมานอกห้องพักยามวิกาล
แต่เป็นเรื่องที่เธอไม่รู้ว่ารุ่นพี่ทั้งสองคนนั้นพักอยู่ที่ไหนกันแน่ เพราะรายชื่อที่ติดไว้ตรงกระดานข่าวหน้าห้องทะเบียนก็ไม่มีชื่อพวกเขาว่าพักอยู่ห้องไหนในหอชาย...
แสงไฟสีส้มที่เปิดเป็นจุดๆเว้นระยะห่างๆกันตรงระเบียงอาคารที่ทอดยาว
แม้จะช่วยให้ความมืดเจือจางลงไปได้แต่ก็สร้างบรรยากาศอันไม่น่าพิสมัยอยู่ดี สายตาหญิงสาวคอยระแวดระวังซ้ายขวาไปด้วย
ในใจภาวนาว่าขออย่าให้พบเจออะไรเลย...เกิดมีเงารางๆโผล่ที่ซอกหลืบใดสักแห่งมีหวังได้สติแตกอีกแน่ๆ
“อยู่ที่ไหนกันแน่นะเนี่ย...”
มิยูกิบ่นพึมพำเมื่อยังหาสถานที่เป้าหมายไม่พบ
“มิยูกินี่ชอบแหวกกฎจริงๆนะ!!!”
หญิงสาวหันควับมองต้นเสียงที่อยู่ด้านหลังทันที ก็พบกาเอลยืนนิ่งจ้องมองเธอตาแทบไม่กระพริบ
“รุ่นพี่กาเอล...!!!” หญิงสาวตกใจเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว ในใจร้องหาสิ่งที่จะมาป้องกันตัวแต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าไม่มี
ปฏิกิริยาตอบสนองเลยส่งให้ยกแขนสองข้างขึ้นมาไขว้กันเป็นไม้กางเขน
“อย่าเข้ามานะ!!!” เธอร้องบอก
“ทำอะไรของน้องเนี่ย จะปล่อยพลังเหรอครับ”
กาเอลหัวเราะร่วน จนหญิงสาวตีหน้าแหยจำยอมลดไม้กางเขนจำเป็นอย่างกร่อยๆด้วยความเขินอาย
“เอ่อ...รุ่นพี่กาเอลมาทำอะไรดึกๆดื่นๆคะ?”
“เอ้า...ก็พี่มีหน้าที่ตรวจตราโรงเรียนน่ะสิ
ต้องคอยดูว่าจะมีใครกล้าฝ่าฝืนกฎระเบียบหรือเปล่า แล้วก็เจอจริงๆ ว่าไงสาวน้อย...เธอล่ะมาทำอะไร?”
กาเอลถามหญิงสาวกลับไป
“เอ่อ...คือ...ฉันไม่เห็นรุ่นพี่โชเฮมาหลายวันแล้ว
ก็เลยสงสัยเท่านั้น”
“เป็นห่วงโชเฮงั้นเหรอ?”
“เปล่าสักหน่อยยย!!! ก็แค่อยากรู้ว่าตอนนี้เป็นยังไงบ้างเท่านั้น”
ชายหนุ่มอดขำไม่ได้เมื่อเห็นหญิงสาวเถียงกลับมาทันควัน
“เอาเถอะ...ถ้าอยากเจอก็ไปที่ห้องคณะกรรมการนักเรียนกัน
มา...เดี๋ยวพี่พาไป” คำพูดของกาเอลทำให้มิยูกิอดขมวดคิ้วนิดหน่อยไม่ได้
“เอ๊ะ...พวกรุ่นพี่ไม่ได้พักในหอชายเหรอคะ?”
“ใช่...พวกเราอาศัยในห้องคณะกรรมการนักเรียนน่ะ”
“แต่ว่า...ห้องมันเล็กเท่านั้น...”
เท่าที่หญิงสาวจำได้ ห้องคณะกรรมการนักเรียนนั้นไม่กว้างมากนัก ไม่มีโซฟาหรือสถานที่ๆพอจะนอนได้เลยแม้แต่น้อย
แต่เมื่อรุ่นพี่กาเอลยืนยันเช่นนั้นมิยูกิก็จำใจต้องเชื่อไว้ก่อน แม้จะอดระแวงไม่ได้ก็ตาม
ภายในห้องคณะกรรมการนักเรียนนั้นเหมือนเดิมทุกอย่างไม่ปรากฎร่างของโชเฮในนั้นเลย
หญิงสาวที่ชะโงกดูจากหน้าห้องหันไปเขม่นมองชายหนุ่มซึ่งยืนอยู่ข้างๆอย่างไม่เชื่อใจเท่าไรนัก
“ไหนล่ะคะ รุ่นพี่โชเฮน่ะ?”
เธอเอ่ยถาม
“เขาคงไม่นอนกันโจ่งแจ้งแบนั้นหรอก
มิยูกิอย่ากลัวพี่ขนาดนี้เลย เข้าไปเถอะ...” กาเอลดันร่างหญิงสาวให้เข้าไปภายในห้องก่อนปิดประตูล็อคลงกลอน...
“ทำไมต้องล็อคห้องด้วยล่ะคะ?”
เธอถามกลับไปโดยเร็ว
“ก็แค่กันคนอื่นๆเห็นพวกเราเท่านั้นล่ะ”
กาเอลยิ้มพลางเดินไปที่กระดานไวท์บอร์ดตรงหน้าห้องแล้วเคาะมันเบาๆสามครั้ง
ผนังห้องก็สั่นไหวค่อยๆหมุนเคลื่อนออกมาช้าๆปรากฏห้องลับในผนังที่ถูกแอบซ่อนเอาไว้ท่ามกลางความอึ้งของมิยูกิ
“นี่มันอะไรกันเนี่ย...!!!”
เธอนึกไม่ถึงเลยว่าจะมีห้องลับแบบนี้ภายในโรงเรียนด้วย...
“พวกเราต้องการความเงียบและความเป็นส่วนตัวในเวลานอนน่ะ”
“ก็เลยสร้างห้องลับแบบนี้ขึ้นมาเหรอคะ?”
ให้ตายเถอะ...รุ่นพี่พวกนี้ช่างมีอภิสิทธิ์เหลือล้นจริงๆ
ทั้งออกกฎกติกาในโรงเรียน ทั้งสร้างห้องลับ...
“เปล่าหรอก...ห้องลับนี้ถูกสร้างมานานแล้ว
ก่อนมิยูกิจะเกิดเสียอีกนะ เอาเถอะ...อย่าเพิ่งถามอะไรมากเลย โชเฮอยู่ในนั้นล่ะ เข้าไปสิ...”
“ค่ะ” เธอก้าวเท้าเข้าไปในห้องลับ
พลางหันกลับไปมองกาเอลซึ่งยืนนิ่งไม่ยอมเข้าไปด้วย
“อ้าว...แล้วรุ่นพี่กาเอลไม่เข้ามาด้วยเหรอคะ?”
“ไม่ล่ะ...พี่ว่ามิยูกิคงมีธุระอยากคุยกับโชเฮเป็นการส่วนตัวมากกว่ากระมัง
ถึงได้กล้าแอบย่องออกจากห้องพักกลางดึกแบบนี้ ทั้งๆที่รู้ว่าพวกเราเป็นใครแท้ๆแต่กลับไม่กลัวเลย”
หญิงสาวยิ้มแหยๆ...ใครจะไม่กลัว แต่ทำใจดีสู้เสือต่างหาก
“แล้วถ้ารุ่นพี่โชเฮจะทำร้ายฉันล่ะคะ?”
หญิงสาวหวาดระแวงเมื่อคิดถึงเหตุการณ์ในสวนกุหลาบที่เขาจ้องเล่นงานเธอจนไม่กล้าเดินเข้าไปต่อ
“อันนั้นก็แล้วแต่บุญแต่กรรม
ฮ่าๆๆ...ล้อเล่นน่ะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็ร้องเรียกพี่ละกัน” กาเอลส่งยิ้มให้หญิงสาวที่ถอนหายใจเบาๆก่อนจะเดินเข้าไป
ภายในห้องลับนี้มีทางที่ถูกปูด้วยศิลาหยาบสีคล้ำทอดยาว
ผนังสองข้างมีคบเพลิงถูกจุดไว้เป็นระยะช่วยให้พอมองเห็นซึ่งไปสุดที่ห้องโถงเล็กๆและจากตรงนี้ไปไม่มีแสงสว่างใดๆเหลือไว้แต่ความมืดสลัวเท่านั้น
กลิ่นอับชื้นปะทะเข้าจมูกจนรู้สึกกระอักกระอ่วน ก่อนจะพบเงาบางสิ่งที่วางอยู่ในห้องนี้คล้ายกับโลงศพ!
หญิงสาวหันรีหันขวางพลางคว้าคบเพลิงตรงผนังทางเดินมาเพิ่มความสว่างให้ภายในห้องนี้
ก็พบว่าเป็นโลงศพจริงๆ มีจำนวนถึงห้าโลงด้วยกัน ทำจากหินสามโลง ส่วนอีกสองโลงทำจากไม้สีดำ
มันถูกวางเรียงรายไว้บนพื้นอย่างเป็นระเบียบ ภาพตรงหน้าค่อนข้างเขย่าขวัญพอสมควร
หัวใจเธอเต้นตึกตักอย่างไม่มีสาเหตุ แต่ต้องพยายามสงบสติอารมณ์แล้วตะโกนเสียงดังถามไถ่บุคคลที่รออยู่ภายนอก
“รุ่นพี่กาเอล...โลงไหนเป็นของรุ่นพี่โชเฮค้า!!!”
“ลองเคาะไปเรื่อยๆ
เดี๋ยวก็เจอ!!!” ขอบใจมาก...มิยูกิอดขบเขี้ยวเคี้ยวฟันไม่ได้
ไม่มีทางที่เธอจะสุ่มมั่วเคาะทุกโลงแน่นอน เกิดมีแวมไพร์อื่นๆโผล่พรวดพราดขึ้นมาไม่ต้องหัวใจวายเสียชีวิตคาห้องเหรอเนี่ย...
“ทำไมฉันต้องลงทุนเสี่ยงชีวิตด้วยนะเนี่ย”
เธอพึมพำกับตัวเอง พลางใช้คบเพลิงส่องดูโลงศพทุกโลงอยู่ชั่วครู่ก็ค่อนข้างแน่ใจว่ารุ่นพี่สองคนนั้นต้องนอนในโลงไม้สีดำเป็นแน่
หญิงสาวค่อยๆย่างเท้าเข้าไปที่โลงไม้ใบหนึ่งมันถูกปิดไว้ก็จริงแต่ไม่สนิทมากคาดว่าคงเป็นของรุ่นพี่กาเอล
แสดงว่าอีกโลงต้องเป็นของรุ่นพี่โชเฮแน่นอน
มิยูกิรวบรวมสติแล้วถอนหายใจเบาๆเพื่อผ่อนคลายความเครียด
ยกมือเล็กๆขึ้นมาทำท่าจะเคาะ แอ๊ดดดด!!! ฝาโลงเปิดโพล่งออกมาโดยที่มือเธอยังไม่ทันได้แตะ
พลัน...โชเฮก็เด้งพรวดขึ้นมานั่งท่ามกลางความตกใจของหญิงสาวซึ่งถอยหลังกรูชนโลงไม้อีกโลงจนมันเปิดอ้าออกแล้วหล่นตุ๊บลงไปนั่งจ้ำเบ้าภายในนั้นอย่างแรง
“โอ้ยยย...” หญิงสาวร้องครางด้วยความเจ็บ สายตาเหลือบมองโชเฮที่นั่งหลับตาก่อนที่เขาจะทิ้งตัวเอนกายลงไปนอนในโลงใหม่อีกครั้ง...อย่าบอกนะว่า...นายละเมอ...
“อีตาบ้าเอ้ย...” มิยูกิสบถเบาๆพลางยันตัวเองลุกจากโลงศพของกาเอล เดินตรงเข้าไปหาเป้าหมาย
ใช้มือเคาะฝาโลงที่เปิดทิ้งไว้เบาๆ ก็อกๆๆ...
“รุ่นพี่...” เธอยั้งคำพูดไว้เท่านั้น เพราะคิดว่าแค่มาดูอาการเขา ไหนๆฝาโลงก็เปิดอ้าทิ้งไว้แล้วก็ดูเอาเองละกัน
เธอหยิบคบเพลิงที่ตกพื้นขึ้นมาพลางส่องมองแวมไพร์หนุ่มที่นอนหลับใหลในโลงไม้ ใบหน้างดงามนั้นช่างน่าหลงใหล
บาดแผลฉกรรจ์บนแก้มขวาก็เจือจางลงไปมากทีเดียว คงไม่เป็นอะไรแล้วกระมัง...
“บุกรุกเข้ามารบกวนคนอื่น แล้วยังเอาไฟมาส่องหน้าอีก
ไร้มรรยาทจริงๆ!!!” นัยน์ตาสีเขียวมรกตเบิกโพลงแล้วลุกขึ้นนั่งทันที
“กรี๊ดดดดดดดดดด...” หญิงสาวตกใจผงะถอยหลังล้มลงไปนั่งจ้ำเบ้าในโลงไม้ของกาเอลเป็นรอบที่สอง
“มิยูกิเป็นอะไรไป
อ้าว...ทำอะไรของเธอน่ะ ฮ่าๆๆ” กาเอลที่วิ่งเข้ามาเพราะได้ยินเสียงร้องของหญิงสาวอดหัวเราะไม่ได้เมื่อพบเธอในสภาพทุลักทุเลพยายามลุกออกจากโลงไม้ของตัวเขาเอง
ก่อนตรงเข้าไปช่วยพยุงขึ้นมา
“ชอบก็ไม่บอก
พี่ทำให้สักโลงเอามั้ย หึหึ...” เขาพูดกลั้วหัวเราะในขณะที่หญิงสาวรู้สึกอายอย่างบอกไม่ถูก
โชเฮลุกขึ้นจากโลงถามด้วยน้ำเสียงห้วนๆอย่างไม่สบอารมณ์
“นายเอายัยนี่เข้ามาในห้องนี้ทำไม!!!”
“มิยูกิ เธอมีธุระกับนายน่ะสิ
เอาล่ะ...งั้นฉันจะออกไปคอยข้างนอกละกัน”
“เอ่อ...รุ่นพี่กา...เอล”
หญิงสาวจะรั้งตัวเขาไว้แต่ไม่ทัน ให้ตายเถอะ...ต้องอยู่กับอีตารุ่นพี่โชเฮสองต่อสองอีกแล้ว
รู้สึกไม่ค่อยดีเลย...
“มีธุระอะไรก็ว่ามา!!!” โชเฮตวาดถามเสียงดังพลางนั่งลงบนฝาโลงของตัวเอง
“เอ่อ...ก็ไม่มีอะไรมากหรอก แค่เห็นว่ารุ่นพี่โชเฮหายหน้าหายตาไปสองวันแล้วเลยมาดูว่าตายหรือยังเท่านั้น
แต่ฉันคงต้องผิดหวังเพราะดูเหมือนบาดแผลนั่นใกล้จะหายแล้วนี่...” แม้ลึกๆไม่ได้ต้องการพูดแบบนี้แต่ปากโพล่งออกไปเสียแล้ว
“เฮอะ...ขอโทษทีที่ทำให้เธอผิดหวัง
ฉันไม่ตายง่ายๆเพราะไอ้ของกระจอกๆแบบนั้นหรอก” น้ำเสียงไม่ยี่หระต่อความผิดของโชเฮทำให้มิยูกิอดหมั่นไส้ขึ้นมาไม่ได้
“ก็ว่างั้นล่ะ
พวกบาปหนาฆ่าคนอย่างนาย โดนของแค่นี้แล้วตายก็ดูสบายเกินไป อย่างนายน่ะนะ...ไม่น่าจะตายด้วยไม้กางเขนหรอก
ต้องโดนตอกหมุดตรงหัวใจแล้วสาปส่งวิญญาณไม่ให้ได้ไปผุดไปเกิดเท่านั้นถึงจะสาสมกับความผิดที่ก่อเอาไว้!!!”
มิยูกิตวาดใส่เพราะความโมโห เมื่อความทรงจำเรื่องไอยะหวนกลับเข้ามา ทั้งๆที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวก็ต้องมาตกเป็นเหยื่อของอีตานี่...
คำพูดของหญิงสาวทำให้แวมไพร์หนุ่มถึงกับโกรธจนตัวสั่น
มือสองข้างกำแน่นราวกับความอึดอัดในใจกำลังจะประทุออกมา...
“เธอ...คิดว่าฉันอยากฆ่าคนนักหรือไง!!!”
เขาส่งเสียงลอดไรฟันออกมา สายตาก็จ้องมองหญิงสาวอย่างกินเลือดกินเนื้อ
“ก็เห็นทำอยู่ไม่ใช่หรือไง!!!”
มิยูกิตวาดกลับไปอย่างไม่เกรงกลัว เอาวะ...ตายเป็นตาย...
“แล้วยังไง...มนุษย์ทานอาหารประทังชีวิตให้อยู่รอด
แวมไพร์เองก็เช่นกันต้องดูดเลือดมนุษย์เพื่อประทังชีวิตให้อยู่รอด ต่างคนต่างต้องดิ้นรนมีชีวิตอยู่
ฉันกับเธอก็เหมือนกันเพียงแต่วิถีทางมันต่างกันเท่านั้น!!!” คำพูดของชายหนุ่มทำเอาหญิงสาวอึ้งไปชั่วขณะ เธอรู้สึกเหมือนความโกรธรวมถึงเหตุผลเรื่องคุณธรรมที่มีไว้โต้เถียงกับเขามันเลือนลางลงไป
เพราะเมื่อคิดดีๆก็เป็นดั่งที่เขาพูด ไม่ว่าใครๆก็ต้องดิ้นรนเพื่อให้ตัวเองมีชีวิตอยู่รอดทั้งนั้น...
“เอ่อ...แต่ก็ไม่จำเป็นต้องดูดเลือดมนุษย์นี่
เลือดสัตว์อื่นๆก็มีเยอะแยะ อย่างหมาหรือแมว....”
“เธอเปลี่ยนจากทานเนื้อหมูเนื้อวัว
ไปทานเนื้อหมาเนื้อแมวให้ฉันดูหน่อยสิ...” เมื่อโดนสวนกลับมาแบบนี้ก็ต้องพ่ายแพ้ต่อเหตุผลของเขาโดยสิ้นเชิง...
“เอ่อ...แต่ฉันไม่อยากให้นายฆ่าใครอีกนี่
ไม่รู้เหรอว่า...มันบาปนะ แล้วคนที่ตายเขาก็มีญาติพี่น้องด้วย” มิยูกิพยายามอ้างเหตุผล หากแต่แวมไพร์หนุ่มกลับเหยียดยิ้มกับคำพูดนั้น
“เฮอะ...แม่พระเหลือเกินนะ แต่ฉันไม่มีความจำเป็นต้องทำตามคำพูดเธอสักหน่อย”
“เอ่อ...งั้นนายก็อย่าฆ่าคนรู้จักหรือเพื่อนๆของฉันจะได้มั้ย
ขอล่ะ...อย่าทำร้ายพวกเขาเลย” มิยูกิพยายามอ้อนวอนจนถึงที่สุด
แม้จะดูเห็นแก่ตัวกับคนส่วนใหญ่แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ช่วยใครเลย โชเฮมองดูหญิงสาวแล้วส่ายหน้าเบาๆอย่างระอา
“นี่คงเป็นเหตุผลจริงๆที่เธออุตส่าห์ดั้นด้นมาถึงที่นี่สิท่า
เอาเถอะ...ถ้ากล้าขอก็กล้าให้ ฉันจะไม่ฆ่าคนรู้จักกับเพื่อนๆของเธอ แต่...มีอะไรมาแลกเปลี่ยนล่ะ?”
เขากอดอกถาม
“เอ่อ...ออ...ฉันก็จะไม่บอกคนอื่นๆเรื่องที่นายเป็นแวมไพร์ไง
ดีมั้ย...?”
“เฮอะ...เสียเปรียบชะมัด ถ้างั้นฉันฆ่าเธอซะก็จบ!!!”
“ก็ฉันไม่มีอะไรมาให้แลกเปลี่ยนนี่”
“เออ...ช่างเถอะ เอาตามสัญญานั่นก็ได้
ฉันไม่ฆ่าคนรอบตัวเธอ เธอก็ห้ามบอกใครเรื่องที่ฉันเป็นแวมไพร์ จบ!!!
เอาล่ะ...เชิญออกไปได้แล้ว ฉันจะพักผ่อนต่อ” เขาโบกมือไล่ก่อนกลับเข้าไปนอนในโลงของตัวเองโดยไม่แยแสหญิงสาวเลยแม้แต่น้อย
แต่เธอก็รู้สึกยินดีที่เขายอมให้ให้สัญญาพลางรีบเดินออกไปจากห้องลับทันที
“เป็นไงบ้างมิยูกิ?” กาเอลซึ่งรออยู่ตรงห้องคณะกรรมการนักเรียนเอ่ยถาม
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ
แค่ขอให้เขาอย่าฆ่าคนรอบตัวฉันก็เท่านั้น จริงๆก็เข้าใจว่า...แวมไพร์ต้องดูดเลือดมนุษย์เหมือนกับที่มนุษย์ต้องทานอาหารเพื่อประทังชีวิต
แต่ฉันก็ไม่อยากให้เขาเข่นฆ่าใครมากจนเกินไป...” มิยูกิตอบตามความรู้สึกของเธอเอง
“แล้วโชเฮว่าไงบ้างล่ะ?”
“เขาก็ให้สัญญาว่าจะไม่ฆ่าคนรอบตัวฉันน่ะค่ะ”
คำตอบของมิยูกิทำให้กาเอลขมวดคิ้วขึ้นมาทันที
“งั้นเหรอ...น่าแปลกจริงแฮะ”
“เอ๊ะ...ทำไมเหรอคะ?” เธอเอียงคอถามเขาด้วยความสงสัย
“ก็คนอย่างหมอนั่นยอมฟังคำพูดของคนอื่นเนี่ย
น่าแปลกจะตาย...”
“เอ่อ...ฉันว่าเขาคงรำคาญน่ะค่ะ ก็เลยยอมรับปาก”
มิยูกิหัวเราะแห้งๆตอบกาเอลที่ยิ้มนิดๆ ก่อนที่เขาจะเคาะกระดานไวท์บอร์ดเบาๆสามครั้ง
ผนังนั้นก็ค่อยๆเคลื่อนกลับเข้ามาตามเดิม มันดูปกติไม่ผิดสังเกตเลยแม้แต่น้อยเมื่อมองจากภายนอกแล้ว...
“เอาล่ะ...เธอควรกลับเข้าห้องพักได้แล้วนะ
เดี๋ยวฉันไปส่ง...” กาเอลโอบไหล่หญิงสาวแล้วพาเดินออกไปยังหน้าห้องคณะกรรมการนักเรียน...
“เอ่อ...ไม่ต้องไปส่งก็ได้ค่ะ
แค่นี้ก็รบกวนรุ่นพี่กาเอลมากแล้ว ขอบคุณมากๆเลยนะคะที่คอยช่วยเหลือมาโดยตลอด”
มิยูกิโค้งศีรษะให้เขา
“โอเค...ตามใจ
งั้นคืนนี้ฝันดีนะครับ” รอยยิ้มของกาเอลชวนให้หัวใจเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ
มิยูกิแพ้ใบหน้าหวานๆที่งดงามของเขาจริงๆ เมื่อประตูห้องคณะกรรมการนักเรียนถูกปิดเรียบร้อย
หญิงสาวก็หันหลังกลับเพื่อจะออกไปจากบริเวณนี้ ทว่า...เธอพบเรนะที่ยืนอยู่ไม่ห่าง...
“เรนะ...เธอออกมาทำอะไรที่นี่เนี่ย?”
มิยูกิร้องถามเพื่อนสาวพลางตรงเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว
“ฉันน่าจะถามเธอมากกว่านะมิยูกิ
เธอน่ะออกมาทำอะไรดึกๆดื่นๆ ฉันตื่นขึ้นมาดื่มน้ำแล้วไม่พบเธอก็เลยนึกเป็นห่วงน่ะสิ”
เรนะตอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด แน่นอนว่าไม่พอใจพอสมควรที่มิยูกิออกจากห้องพักหลังเที่ยงคืนทั้งๆที่รู้ว่าผิดกฎของโรงเรียน
“เอ่อ...คือ...ฉัน...” หญิงสาวพยายามหาคำตอบที่เหมาะสม ให้ตายเถอะ...จะให้บอกไปตรงๆว่ามาเจรจากับแวมไพร์ให้เลิกฆ่าคนก็ไม่ได้
มีหวังคราวนี้เรนะต้องหาว่าบ้าแน่ๆ
“อ๊ะ...ไม่ต้องบอกฉันพอเดาได้ แอบออกมาพบกับรุ่นพี่กาเอลใช่มั้ยล่ะ
เมื่อสักครู่ฉันเห็นเธอกับเขาอยู่ด้วยกัน”
“ไม่ใช่อย่างที่เธอคิดนะ...”
มิยูกิพยายามจะแก้ตัว แต่เรนะก็ยกมือปรามเอาไว้
“แหมๆๆ...ไม่ต้องอายน่า...ฉันไม่เอาไปบอกใครหรอกเรื่องเธอกับรุ่นพี่กาเอล
ยินดีด้วยนะ....รู้หรือเปล่าว่าเธอกุมหัวใจผู้ชายที่ฮอตติดอันดับของโรงเรียนเลยนะเนี่ย”
มิยูกิหัวเราะแห้งๆให้กับคำพูดของเพื่อนสาว
แม้อยากจะอธิบายความจริงแต่ก็ทำไม่ได้ เลยทอดถอนหายใจปล่อยให้เรนะเข้าใจไปแบบนั้นก่อนละกัน...
ความคิดเห็น