คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 4 : โรงเรียนแวมไพร์
ตอนที่
4 : โรงเรียนแวมไพร์
เสียงนกที่ร้องขับขานกันอยู่บริเวณนอกหน้าต่างทำให้สมาชิกในห้องที่หลับใหลเริ่มลืมตาตื่นขึ้นรับเช้าวันใหม่ที่สดใสพอดู
เรนะบิดกายไปมาก่อนลุกขึ้นนั่งอย่างสะลึมสะลือ สายตาเหลือบเห็นฮิคารุซึ่งตื่นก่อนเธอกำลังนั่งมองอะไรบางอย่างตรงบริเวณเตียงของตัวเอง
“สวัสดีฮิคารุ
แหม...ฉันนึกว่าตัวเองจะตื่นเป็นคนแรกเสียอีก” เรนะทักทายด้วยน้ำเสียงงัวเงียนิดหน่อย
“เปล่าหรอก...เพื่อนเธอน่ะตื่นก่อนฉันเสียอีก
เผลอๆยังไม่ได้นอนด้วยซ้ำมั้งเนี่ย” เรนะชักคิ้วขมวดเมื่อฟังคำพูดของรูมเมทสาว
ฮิคารุไม่ตอบอะไรนอกเหนือไปจากพยักเพยิดให้เธอมองทางฝั่งตรงข้าม นั่นคือ เตียงด้านบนซึ่งเป็นของมิยูกิ
เรนะเลยชะโงกหน้าออกไปดูก็พบเพื่อนสาวนั่งห่มผ้าตัวสั่นงันงกด้วยท่าทางหวาดกลัวอยู่บนนั้น
“เฮ้ย...มิยูกิ
เธอเป็นอะไรไปเนี่ย?” เรนะร้องถามพลางปีนขึ้นไปหายังด้านบน
“เรนะ...ฮิคารุ...ระ...รุ่นพี่โชเฮกับรุ่นพี่กาเอลเป็นแวมไพร์...”
น้ำเสียงที่สั่นระริกของมิยูกิทำเอาเพื่อนสาวสองคนถึงกับงุนงง สายตาของเธอนั้นกวาดมองไปรอบๆด้วยความหวาดกลัว
เมื่อคืนนี้รุ่นพี่กาเอลปล่อยตัวกลับมาที่ห้องพักโดยง่ายดายแต่ถึงกระนั้นก็ไม่น่าไว้วางใจอยู่ดี
เธอพยายามข่มตาเท่าไรก็นอนไม่หลับ หวาดผวากลัวว่าพวกเขาจะบุกเข้ามา หรือ เรียกตัวใครสักคนในห้องออกไป
ซึ่งเธอไม่มีวันยอมแน่ๆเลยนั่งเฝ้าอยู่ทั้งคืน
“อะไรนะ...รุ่นพี่โชเฮกับรุ่นพี่กาเอลเป็นแวมไพร์
นี่เธอเป็นไข้ไม่สบายหรือเปล่ามิยูกิ?“ เรนะพูดพลางใช้หลังมือแตะหน้าผากเพื่อนสาวเบาๆ
“ตัวก็ไม่ร้อน...”
“ฉันไม่ได้เพ้อเจ้อเพราะไม่สบายนะ
เชื่อฉันเถอะรุ่นพี่สองคนนั้นเป็นแวมไพร์จริงๆ ฉันเห็นมากับตาเมื่อคืนนี้ รุ่นพี่โชเฮดูดเลือดผู้หญิงคนหนึ่งในสวนกุหลาบตอนนั้นกุหลาบสีขาวมันก็กลายเป็นสีแดงเหมือนที่ฉันเห็นเมื่อคืนวาน
พอดูดเลือดแล้วเขาก็ใช้หมุดแหลมตอกเข้าที่หัวใจเธอคนนั้นจนตายเลย...รุ่นพี่กาเอลยังบอกด้วยว่าไอยะน่ะไม่ได้กลับบ้านแต่โดนรุ่นพี่โชเฮดูดเลือดตายไปแล้วเมื่อวาน
ศพก็ถูกฝังเอาไว้ในสวนกุหลาบ” มิยูกิพยายามเล่าเรื่องราวต่างๆที่ได้รู้ได้เห็นให้เพื่อนทั้งสองคนฟัง
“แต่เมื่อวานรุ่นพี่กาเอลก็ไม่ได้โต้แย้งเรื่องไอยะถูกทางบ้านเรียกตัวกลับไปเพราะมีธุระด่วนไม่ใช่เหรอ?”
เรนะแย้งกลับมา
“นั่นเพราะรุ่นพี่กาเอลไม่กล้าพูดความจริง
เพราะกลัวไม่มีใครเชื่อ...”
“งั้นสิ่งที่อาจารย์จูริยืนยันมาล่ะจะเชื่อถือไม่ได้เลยเหรอ
ไม่เอาน่า...มิยูกิเธออาจจะแค่ฝันหรือละเมอไปเท่านั้น ทำใจให้สบายเถอะ” เรนะพยายามปลอบ แม้อยากจะเชื่อคำพูดของมิยูกิแต่สิ่งที่บอกเล่ามามันค่อนข้างเกินความเป็นจริงจนไม่อาจปักใจเชื่อได้
“ทำไมเธอไม่เชื่อฉันล่ะ...สิ่งที่ฉันพูดเป็นเรื่องจริงนะ”
น้ำใสๆปริ่มนัยน์ตาของมิยูกิ เธอไม่รู้จะอธิบายยังไงให้เพื่อนๆเชื่อ
เพราะสิ่งที่พบเจอนั้นมันก็เหนือความคาดหมายของตัวเองเช่นกัน
“ถ้าสิ่งที่เธอบอกเป็นเรื่องจริง
เท่ากับว่าอาจารย์จูริร่วมมือกับรุ่นพี่พวกนั้นด้วย และไม่แน่ว่าอาจารย์เองก็อาจเป็นแวมไพร์ด้วยสินะ...”
สองสาวหันไปมองฮิคารุที่เอ่ยขึ้นมาโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“อะไร...นี่เธอเชื่อด้วยเหรอเนี่ย...ฮิคารุ”
เรนะเอ่ยด้วยสีหน้างุนงง
“ไม่เห็นแปลกนี่
เธออย่ามั่นใจในสิ่งที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าจะไม่มีจริง ในโลกนี้มีสิ่งที่ยังค้นหาไม่หมดทั้งนั้นล่ะ”
ฮิคารุพูดพลางกระโดดจากเตียงด้านบนลงมาหยิบเสื้อผ้าและอุปกรณ์อาบน้ำต่างๆแล้วออกจากห้องไป
“ขอโทษนะมิยูกิ
ฉันเองก็อยากจะเชื่อเธอ แต่ว่า...” เรนะเอ่ยด้วยน้ำเสียงลำบากใจ
ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากเชื่อเพื่อน แต่...
“ไม่เป็นไรหรอกเรนะ
ฉันเข้าใจว่าเรื่องพวกนี้มันยากที่จะเชื่อจริงๆ...” หญิงสาวพยายามควบคุมสติและความฟุ้งซ่านหวาดกลัวทั้งหมดให้เข้าที่เข้าทาง
เอาเถอะ...อย่างน้อยคำพูดของฮิคารุก็ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง...
แม้รู้ว่าผิดกฎของโรงเรียนที่ตั้งไว้
แต่มิยูกิก็จำใจที่จะต้องฝ่าฝืนโดยการนำสร้อยไม้กางเขนที่แอบซ่อนในกระเป๋ามาสวมใส่
พลางจัดปกสูทนักเรียนให้ปิดบังสร้อยเอาไว้
“แต่งตัวเสร็จหรือยังมิยูกิ...?”
เรนะร้องถามขณะสวมใส่รองเท้าอยู่บริเวณหน้าห้อง
“เสร็จแล้วจ้า” เธอตอบกลับไป นัยน์ตากลมโตมองดูตัวเองในกระจกเงาบานใหญ่แล้วถอนหายใจเบาๆ ใจจริงแล้วไม่อยากจะออกไปไหน
แต่ถ้าให้อยู่ห้องเพียงคนเดียวก็น่ากลัวเกินไป รุ่นพี่ทั้งสองคนนั้นอาจเข้ามาฆ่าเธอ
หรือเรียกตัวเธอออกไปฆ่า เหมือนที่ทำกับผู้หญิงคนอื่นๆก็เป็นได้ หญิงสาวพยายามทำใจดีสู้เสือคว้ากระเป๋าแล้ววิ่งตามเรนะออกไปอย่างรวดเร็ว
มิยูกิเดินแนบชิดติดเรนะไปตามระเบียงทางเดินยาวที่มุ่งสู่ห้องเรียน
สายตาก็ล่อกแล่กมองโน่นนี่รอบตัวอย่างหวาดระแวงเพราะไม่ต้องการพบเจอบุคคลผู้น่าหวาดหวั่นสองคนนั้นนั่นเอง
จนเพื่อนสาวอดสงสัยไม่ได้แต่ก็ไม่อยากพูดอะไรเลยพาเดินฉับๆต่อไป...
“เอ๊ะ....เธอจะไปไหนน่ะเรนะ
ห้องเรียนของเรามันเลยมาแล้วนะ?” มิยูกิทักท้วงทันทีเมื่อเพื่อนสาวพาเดินเลยมาไกล
“อ้าว...ก็ไปห้องคณะกรรมการนักเรียนยังไงล่ะ
อุ้ย...ฉันลืมบอกเธอเมื่อวานแน่ๆเลย คือว่า
คนที่เป็นคณะกรรมการนักเรียนน่ะต้องไปรวมตัวพร้อมกันที่นั่นทุกเช้า เพื่อรอรับงานที่พวกรุ่นพี่จะมอบหมายในแต่ละวันน่ะสิ”
“ห๊ะ!!!” หญิงสาวอุทานอย่างตกใจ รู้สึกโลกสดใสที่กลายเป็นสีเทาไปเมื่อคืนค่อยๆดำมืดลงในขณะนี้
ให้ตายเถอะ...เธอจะต้องไปเผชิญหน้ารุ่นพี่สองคนนั้นทุกเช้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยเหรอเนี่ย
โอ้ย...
“ฉันไม่ไปได้มั้ยเนี่ย?” หญิงสาวหยุดเดินเอาเสียดื้อๆพลางหันหลังจะเดินกลับเข้าห้องเรียน แต่เรนะก็รีบเอี่ยวตัวขวางเธอไว้
“ไม่ได้นะมิยูกิ วันนี้เป็นวันแรกของการเริ่มทำงานเธอก็จะโดดเลยงั้นเหรอ
ฉันว่ามันจะดูไม่ดีนะ”
“แต่ว่า...ฉัน...”
“นี่...อย่าบอกนะว่าเธอยังกลัวรุ่นพี่สองคนนั้น
ไม่เอาน่ามันไม่มีอะไรหรอก เอ่อ...โอเค...เธออาจจะมีปัญหาอะไรกับรุ่นพี่พวกนั้นในเรื่องที่ฉันไม่รู้
แต่ว่า...เธอรับตำแหน่งคณะกรรมการนักเรียนซึ่งมีหน้าที่สำคัญในโรงเรียนมาแล้ว แต่เธอจะทิ้งมันไปง่ายๆโดยไร้ความผิดชอบเหรอมิยูกิ”
คำพูดนั้นเตือนสติเธอ แม้ใจหนึ่งจะกลัวแต่อีกใจหนึ่งก็ค้านขึ้นมา
ว่า เธอกำลังทำสิ่งไม่เหมาะสม นั่นคือ หนีความจริง และ หนีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ
เฮ้อ...เอาเถอะ...ตอนนี้เธอก็อยู่กับเพื่อนแถมยังมีนักเรียนหลายสิบคน พวกเขาสองคนนั้นคงไม่กล้าทำอะไรหรอก
แล้วอีกอย่างอยู่โรงเรียนเดียวกันจะหลบหน้ากันเป็นปีๆคงเป็นไปไม่ได้...
“เฮ้อ...” เธอถอนหายใจอย่างปลงตกกับชีวิต
แล้วจำใจจำยอมเดินตามเรนะไปห้องคณะกรรมการนักเรียนอย่างเลี่ยงไม่ได้จริงๆ...
ในห้องคณะกรรมการนักเรียนนั้นมีสมาชิกเกือบทุกคนนั่งรวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตากำลังรอรับงานมอบหมายจากโชเฮและกาเอลที่นั่งอยู่ตรงบริเวณโต๊ะด้านหน้า
ก่อนประตูห้องจะถูกเปิดออกพร้อมร่างของหญิงสาวสองคน
“ขอโทษนะคะที่มาช้า” เรนะโค้งศีรษะให้ทุกคนในห้องทันทีเมื่อมาถึงเช่นเดียวกับมิยูกิ เธอค่อยๆเงยหน้ามองดูพวกเขาทั้งสอง
รุ่นพี่กาเอลส่งยิ้มนิดๆให้ในขณะที่รุ่นพี่โชเฮมองดูใบงานในมือหาได้ใส่ใจเธอเลยแม้แต่น้อย
“เข้ามาแล้วก็รีบไปนั่งกับเพื่อนๆเลยครับ”
มิยูกิกับเรนะรีบเข้าไปนั่งประจำที่ตามคำสั่งกาเอล โชเฮส่งใบงานให้เพื่อนชายซึ่งรับไปอ่านอย่างอารมณ์ดี
“งานแรกที่จะให้น้องๆทำในวันนี้และทุกๆวัน
คือ ทุกคนต้องไปตรวจตราความเรียบร้อยของโรงเรียนในตอนเช้า โดยเราจะแบ่งสองกลุ่ม กลุ่มละสิบคนนะครับ...”
“อ๊ายยย...ฉันอยู่กลุ่มไหนก็ได้ ถ้ามีรุ่นพี่กาเอลอยู่ด้วย”
เสียงหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นเบาๆจนคนทั้งห้องต้องอมยิ้มออกมา...
“กลุ่มแรกเลขที่หนึ่งถึงสิบไปตรวจด้านหน้า
ตั้งแต่ประตูโรงเรียนจนถึงตัวอาคาร กลุ่มสองเลขที่สิบเอ็ดถึงยี่สิบไปตรวจด้านหลังตั้งแต่อาคารจนถึงท้ายสวนกุหลาบ...”
มิยูกินิ่งอึ้ง...เพราะเลขที่ของเธอกับเรนะนั้นโดนจับให้อยู่กลุ่มที่สองซึ่งต้องไปตรวจตราความเรียบร้อยในสถานที่ที่ไม่อยากไปที่สุด
สวนกุหลาบ นั่นเอง...
“เอาล่ะครับ...ถ้าน้องๆพร้อมแล้วก็ไปกันได้เลย
พี่จะรับผิดชอบดูแลกลุ่มหนึ่ง ส่วนโชเฮจะรับผิดชอบดูแลกลุ่มสองนะครับ” กาเอลเอ่ยพลางเดินนำลูกทีมตัวเองออกไป ก่อนที่โชเฮจะลุกขึ้นกวาดมองดูลูกทีมที่เหลือในห้อง
มิยูกิหลบสายตานั้นทันทีในใจก็ภาวนาให้เขาจำเธอไม่ได้เพราะความมืดในตอนกลางคืนรวมถึงภาวนาให้รุ่นพี่กาเอลไม่ได้บอกว่าเธอเป็นใครให้รุ่นพี่โชเฮรู้ด้วย...
“เอาล่ะ...ไปกันได้แล้ว” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยแล้วเดินนำออกจากห้อง หญิงสาวรีบลุกตามเรนะไปติดๆพลางปลอบใจตัวเองอยู่ตลอดเวลา
ว่า...ไม่เป็นไรๆ...
การตรวจตราความเรียบร้อยของโรงเรียนนั้น
คือ การเช็คความเรียบร้อยของสถานที่ รวมถึงการทำความสะอาดบางจุดตั้งแต่ตรงบริเวณตัวอาคารเรื่อยไปจนถึงท้ายสวนกุหลาบ
มิยูกิมองดูกุหลาบสีขาวหลายดอกที่ชูช่อแข่งกันบนหนามแหลมมันช่างสวยงามแต่ก็แฝงไปด้วยอันตรายจริงๆ
ตอนนี้สมาชิกในกลุ่มค่อยๆทยอยกระจายกันเข้าไปในสวนกุหลาบเช่นเดียวกับเรนะที่ขยับเท้าจะก้าวเข้าไปแต่เพื่อนสนิทก็ดึงรั้งเองไว้
“พวกเราจะเข้าไปกันจริงๆเหรอ?”
เธอร้องถาม
”เอ้า...ถ้าไม่เข้าไป
งานก็ไม่เสร็จสิมิยูกิ“
“ให้คนอื่นๆรับผิดชอบในส่วนนี้ก็ได้นี่...มีสมาชิกตั้งหลายคน”
ไม่ว่ายังไงเธอก็ไม่อยากเหยียบย่ำเข้าไปในสวนแห่งนี้
“มิยูกิ...สวนกุหลาบกว้างมากเลยนะ
ถึงจะมีสมาชิกสิบคนแต่ก็ใช่ว่าจะดูแลได้ทั่วถึง ไม่เอาน่า...ถ้าเธอกลัวก็อยู่ข้างๆฉันไว้ละกัน”
เรนะปลอบใจด้วยการจับมือเพื่อนสาวแล้วส่งยิ้มให้ ทว่า...มันไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย
กลิ่นหอมของกุหลาบในยามสายแม้จะไมได้หอมฉุนแบบเมื่อคืน
แต่มิยูกิก็กระอักกระอ่วนใจอยู่ดีเมื่อคิดว่าบนพื้นดินที่เหยียบย่ำอาจมีซากศพหญิงสาวซึ่งถูกหลอกล่อให้กลายเป็นเหยื่อที่ไหนสักแห่งรวมถึง...ไอยะ...รูมเมทของเธอ...
“ไฮไลท์ของโรงเรียน Rosaceae
ก็คือสวนกุหลาบสีขาวแห่งนี้จริงๆ...สวยชะมัดเลย” เรนะชื่นชมดอกไม้งามรอบตัวอย่างร่าเริง ขณะที่มิยูกิเดินตามเพื่อนสาวติดๆไม่ได้ใส่ใจความสวยงามที่เรนะพูดถึงเลยแม้แต่น้อย
เพราะบรรยากาศรอบตัวมันเงียบสงัดเนื่องจากสมาชิกคนอื่นๆกระจัดกระจายไปคนละทางเลยมีเพียงพวกเธอสองคนเท่านั้นในตอนนี้
พลัน...มิยูกิเหลือบไปพบไฟฉายของตัวเองที่วางอยู่บนพื้นไม่ห่างจากเส้นทางเดินสักเท่าไร
ให้ตายสิ...ลืมไปเลย...เมื่อคืนเธอคงทำตกเพราะตกใจนั่นเอง
“เอ่อ...” มิยูกิจะร้องเรียกเรนะให้หยุดรอ
แต่ต้องเปลี่ยนใจเมื่อเห็นไฟฉายนั้นไม่ได้อยู่ห่างไกลสักเท่าไร เลยรีบวิ่งไปคว้ามาไว้ในมือเพื่อจะได้รีบกลับไปหาเรนะที่เดินนำล่วงหน้า
หากแต่...เท้าสองข้างมันกลับไม่ขยับเขยื้อนตามที่ใจต้องการเมื่อสายตาพบคราบเลือดมากมายบนลานดินว่างๆ
ความทรงจำหวนรำลึกนึกถึงเรื่องราวเมื่อคืน...บริเวณนี้คงเป็นที่ๆผู้หญิงคนนั้นถูกฆ่าตายนั่นเอง
คิดแค่นั้นร่างกายของมิยูกิก็รู้สึกหนาวอย่างฉับพลัน เธอกลัวกับภาพที่เห็นและความคิดที่กำลังตามมาหลอกหลอนเลยหันตัวกลับจะวิ่งออกไป
แต่ต้องหยุดชะงักเมื่อพบโชเฮยืนกอดอกอยู่ตรงหน้า
“มาเอาของที่ลืมไว้สินะ” เขาเอ่ยถาม นัยน์ตาสีเขียวมรกตจ้องมองเธอไม่วางตา...เป็นอันรู้ว่าเขาจำเธอได้!!!
“เอ่อ...คือ...” หญิงสาวยืนนิ่ง สายตากวาดมองรอบๆเพื่อหาทางหนีทีไล่ ก็พบว่า รอบตัวนั้นมีแต่ขวากหนามของต้นกุหลาบเพราะเขายืนบังทางออกเอาไว้...
“ฉันครุ่นคิดทั้งคืนเชียวนะว่าควรจะทำยังไงกับเธอดี
แหม...ช่างเป็นปลาที่ติดเหยื่อได้ง่ายดายเหลือเกิน” โชเฮเอ่ยพร้อมก้าวเท้าเข้ามาช้าๆ
แย่แล้ว....นี่เธอหลงกลเขาแล้วหรือเนี่ย
หญิงสาวใจหายเมื่อรู้ว่าติดกับโชเฮเข้าจังๆ
“รุ่นพี่โชเฮจะฆ่าฉันงั้นเหรอ...?”
มิยูกิร้องถามด้วยความตกใจ เท้าสองข้างถอยหนีด้วยความกลัว...
“แล้วจะให้ฉันเก็บเธอเอาไว้ทำไมล่ะ
ในเมื่อเธอรู้ความลับของฉันแล้ว!!!” เขาก้าวเท้าเข้ามาอย่างกระชั้นชิดจนมิยูกิถอยกรูติดกับต้นกุหลาบที่ขึ้นหนาทึบพันกันจนไม่อาจหนีออกไปไหนได้...
“ยะ...อย่าเข้ามานะ...กรี๊ดดดด....เรนะๆๆๆ...เรนะช่วยฉันด้วย
รุ่นพี่โชเฮจะฆ่าฉัน” เธอกรีดร้องขอความช่วยเหลือ ในขณะที่เขาก้าวเข้ามาจนเกือบถึงตัวเธออยู่แล้ว...
”ไม่มีใครได้ยินเสียงเธอหรอกเพราะฉันบังตาพวกนั้นไว้แล้ว”
นัยน์ตาสีเขียวของโชเฮเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท เขี้ยวสองข้างค่อยๆงอกยาวออกมาเหมือนสัตว์ป่าที่เตรียมตระครุบเหยื่อ
มิยูกิตกใจกลัวลนลาน...ในตอนนั้นเองสมองของเธอคิดอะไรขึ้นมาได้ก่อนจะกระชากสร้อยไม้กางเขนที่ห้อยอยู่ที่คอตัวเองจนขาดแล้วปาใส่หน้าเขาอย่างแรง
“อย่าเข้ามานะ!!!”
“โอ้ยยยยยย...” ไม้กางเขนนั้นโดนหน้าซีกขวาโชเฮอย่างจัง เกิดรอยไหม้สีดำขนาดใหญ่ค่อยๆลึกเข้าไปในร่องแก้มซีดๆจนเห็นกระดูกสีขาว
โชเฮใช้มือปิดรอยแผลที่ไหม้ลึกจนเกิดควันสีขาวคละคลุ้งอย่างเจ็บปวด แม้ร่างกายจะต้องแสงแดดได้เพราะเป็นแวมไพร์มานาน
แต่ยังไม่อาจมีพลังมากพอจะต่อกรกับอำนาจของพระผู้เป็นเจ้าได้ ชายหนุ่มรีบหันหลังกลับก่อนอันตราธานหายไปราวกับใช้เวทย์มนต์
เข่าของหญิงสาวอ่อนจนแบกรับน้ำหนักร่างกายตัวเองไม่ไหว
มิยูกิทรุดลงไปนั่งบนพื้นด้วยความตื่นตระหนกที่เหลือทิ้งไว้ในจิตใจ เกือบไปแล้ว...เธอเอื้อมหยิบสร้อยไม้กางเขนที่ขาดมาไว้กับมือ
คงไม่มีสิ่งไหนที่จะปกป้องได้นอกจากสิ่งๆนี้เท่านั้น...
การปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการนักเรียนในช่วงเช้าเสร็จสิ้นลงเมื่อเสียงออดดังหมดคาบ
มิยูกิเลยขอแยกตัวไปเข้าห้องน้ำเพื่อสำรวจดูร่างกายตัวเองและซ่อมแซมสร้อยไม้กางเขนที่ขาดให้ใช้ได้ดังเดิม
ในตอนนี้เธอเริ่มเข้าใจบางสิ่งบางอย่างแจ่มแจ้ง ไม่แน่ว่าสาเหตุที่ทางโรงเรียนสั่งห้ามไม่ให้นักเรียนสวมใส่เครื่องประดับรวมถึงไม่มีสัญลักษณ์ทางศาสนาภายในโรงเรียนอาจเป็นเพราะสาเหตุนี้ก็ได้
ทว่า...รุ่นพี่สองคนนั้นเป็นเพียงคณะกรรมการนักเรียน เขาจะมีอำนาจมากพอที่จะออกกฎกติกาต่างๆได้เชียวเหรอ
ทำไมกันนะ...พวกคณะอาจารย์ถึงได้เห็นพ้องต้องกัน มิยูกิสงสัยขึ้นมาตะหงิดๆก่อนจะสวมสร้อยคอกลับเข้าที่เดิมแล้วเดินออกจากห้องน้ำเพื่อไปเรียนวิชาแรกซึ่งเป็นคาบของอาจารย์จูริ...
“เอ้า...เธอยังไม่เข้าห้องเรียนอีกเหรอ?”
อาจารย์จูริส่งเสียงทักขึ้นมาขณะที่หญิงสาวกำลังจะเดินไปถึงห้องเรียนของตัวเอง
“เอ่อ...พอดีหนูไปตรวจตราโรงเรียนมาน่ะค่ะ”
เธอหยุดยืนตอบอาจารย์สาว
“งั้นเหรอ
เป็นคณะกรรมการนักเรียนสินะ อ๊ะ...ตรงคอเธอมีอะไรน่ะ?” มิยูกิใจหายวาบเมื่อโดนอาจารย์จูริทักขึ้นมา
เธอรีบเอามือดึงปกเสื้อเพื่อบังสร้อยคอที่สวมใส่จนมิด ทว่า...อาจารย์สาวตาไวพอพลางเดินเข้ามาใกล้
“นี่...ฉันเห็นนะ เธอแอบใส่สร้อยคอใช่มั้ย
ฉันเตือนแล้วไง...ว่าโรงเรียนนี้ห้ามสวมใส่เครื่องประดับทุกชนิด อะไรกัน...เป็นถึงคณะกรรมการนักเรียนกลับทำผิดกฎเสียเอง
ถอดออกมาเดี๋ยวนี้เลย!!!” อาจารย์สาวแบมือขอ แต่มิยูกิไม่ยินยอมเพราะนี่เป็นสิ่งเดียวที่จะปกป้องเธอให้รอดพ้นจากภัยอันตราย
“ไม่ค่ะอาจารย์”
“นี่!!!...เธอกล้าขัดคำสั่งฉันงั้นเหรอ
ถอดออกเดี๋ยวนี้!!!” พูดจบหล่อนก็เอื้อมมือมากระชากสร้อยจากคอของหญิงสาว
ทันทีที่จี้ไม้กางเขนปรากฎต่อหน้าอาจารย์จูริ เสียงกรีดร้องก็ดังลั่นทั่วระเบียงอาคาร
“กรี๊ดดดดดดดดดด...” อาจารย์สาวรีบปล่อยมือสร้อยคอพลางถอยกรูออกห่าง มิยูกิยืนอึ้งด้วยความตกใจเมื่อเห็นหน้าตาสวยงามนั้นบิดเบี้ยว
นัยน์ตาสีสดใสกลับกลายเป็นสีดำสนิทไร้แวว มีเขี้ยวสีขาวงอกยาวออกมา แต่ก็เกิดขึ้นในชั่วระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น
ทุกอย่างก็กลับเป็นปกติดั่งเดิม
“อะ...อาจารย์” มิยูกิแทบไม่เชื่อสายตา อะไรกัน...อย่าบอกนะว่า อาจารย์ก็เป็นแวมไพร์...
“กะ...แก...แกกล้าสวมเครื่องประดับกับจี้บ้าๆนั่น
ฉันจะไล่แกออก...ฉันไล่แกออกกกกกกก!!!” อาจารย์สาวโวยวายด้วยเสียงที่ดังแสบแก้วหู
จนนักเรียนแต่ละห้องเริ่มโผล่หน้าออกมามุงดูว่าเกิดอะไรขึ้น ในขณะที่หญิงสาวยังตกใจไม่หาย
“มีอะไรกันครับ เสียงดังเชียว?”
กาเอลเดินเข้ามาถามไถ่ มิยูกิเห็นเขาก็ถอยห่างอย่างหวาดระแวง
“กาเอล...กาเอล...นังผู้หญิงคนนี้มันสวมใส่สิ่งนั้น!!!”
อาจารย์จูริปรี่เข้าไปเขย่าแขนชายหนุ่มแล้วชี้หน้ามิยูกิด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
“เอ๊ะ...สิ่งนั่น?” กาเอลทวนคำพูดด้วยความงุนงงสักพักก่อนพยักหน้าอย่างเข้าใจ แล้วเดินไปหามิยูกิที่ถอยห่างออกห่างจากเขาเรื่อยๆ
“มิยูกิ จะไปไหนครับ?” เขาถามเธอด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“อย่าเข้ามานะ...” เธอจับจี้ไม้กางเขนที่ห้อยคอชูใส่หน้าเขาเพื่อหวังให้กาเอลออกห่างจากตน ทว่า...มันกลับไม่ได้ผล
“กำลังทำอะไรน่ะครับ?” เขาเอื้อมมือจับไม้กางเขนนั้นด้วยท่าทีปกติทุกอย่าง
“น้องสวมสร้อยคอไม่ได้นะครับ
มันผิดกฎโรงเรียน แล้วตอนหลังก็อย่าขัดคำสั่งจนอาจารย์โกรธขนาดนี้สิครับ
เอามา...พี่ขอเถอะ” กาเอลถอดสร้อยไม้กางเขนออกจากคอหญิงสาวแล้วนำใส่กระเป๋าเสื้อสูทท่ามกลางความอึ้งของเธอ
อะไรกัน...ทั้งๆที่รุ่นพี่โชเฮกับอาจารย์จูริยังกลัวไม้กางเขน แต่ทำไมรุ่นพี่กาเอลถึงไม่เป็นอะไรเลย
ชายหนุ่มมองหญิงสาวที่ตกตะลึงพลางหัวเราะเบาๆในลำคออย่างอดขำไม่ได้ แล้วกระซิบข้างหูเธอเบาๆ
“ฉันบอกแล้วไง
แวมไพร์ก็มีทั้งดีและไม่ดี ฉันเป็นแวมไพร์ดีจึงไม่กลัวไม้กางเขน
เธอไว้ใจฉันเถอะนะ...” เขาพูดจบก็หันไปเอ่ยกับนักเรียนมากมายที่ยืนมุงดูด้วยความสนใจ
“ทุกคนครับกลับเข้าห้องเรียนได้แล้ว
ไม่มีอะไรแค่การเข้าใจผิดเล็กๆน้อยๆ” หลายคนเริ่มทยอยกลับเข้าห้องเรียนตามคำสั่งของกาเอล
ก่อนที่เขาจะหันมาพูดกับเธอ
“มิยูกิเองก็เข้าห้องเรียนได้แล้วนะ”
แม้หญิงสาวจะยังคงมึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เธอก็จำใจเข้าห้องเรียนโดยดีเพราะไม่อยากทนกับสายตาอาฆาตของอาจารย์จูริเพียงลำพัง...
เมื่อเห็นว่าทุกคนแยกย้ายกันไปหมดแล้ว
กาเอลเลยถอนหายใจเบาๆพลางมุ่งสู่ห้องคณะกรรมการนักเรียน ภายในห้องนั้นมืดสนิทเนื่องจากกระจกทุกบานถูกม่านหนาปิดเอาไว้หมดจนแทบไม่เห็นอะไร
ถึงกระนั้นในความมืดสลัวก็ปรากฏเงารางๆของใครบางคนนั่งอยู่ตรงเก้าอี้ตัวหนึ่งตรงมุมห้อง
“เป็นยังไงบ้าง?” เขาถามบุคคลที่อยู่ในห้องเมื่อปิดประตูลงกลอนเรียบร้อย...
“ถามทำไม...?” โชเฮตอบกลับมาสั้นๆ
“ไหนขอดูแผลหน่อยสิ” กาเอลเปิดม่านบางส่วนเพื่อให้แสงส่องเข้ามาได้บ้าง จนพอเห็นรอยแผลขนาดใหญ่บนใบหน้าด้านขวาของโชเฮ
“ฉันจะรักษาให้” เขาเอื้อมมือไปแตะรอยแผลบนใบหน้าของชายหนุ่ม พลัวะ!!! โชเฮกลับปัดมือนั้นออกไป
“ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน จะไปไหนก็ไปเลย...ไป้!!!”
เขาตวาดใส่ด้วยน้ำเสียงมีน้ำโหจนกาเอลหัวเราะเบาๆ
“ตามใจละกันพ่อหนุ่มอารมณ์ร้อน
แต่ถ้ารอให้หายเองก็ช้าหน่อยนะ” นัยน์ตาสีเขียวมรกตมองดูสหายที่เดินออกไปจากห้องพลางส่งเสียงจิจ๊ะเบาๆในลำคอ...
“เฮอะ...ฉันไม่เห็นอยากได้รับความช่วยเหลือจากใคร
ไม่ว่าหน้าไหนมันก็สวะทั้งนั้น!!!”
ความคิดเห็น