คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : อันตรายจากความรัก
ตอนที่ 3 : อันตรายจากความรัก
“บอกฉันมาเดี๋ยวนี้นะ...ว่าทำยังไงเรตะถึงได้คบกับแก!!!”
“อ่อกกก...”
ฉันกำลังจะตายเพราะโดนยัยแตงโมบีบคอเค้นความจริงอยู่ในห้องน้ำหญิง ให้ตายสิ...ทำไมไม่ให้ตายดีๆหน่อยนะ อย่างน้อยในห้องน้ำชายก็ได้... =.,=
“นี่...เดี๋ยวยัยซูกัสก็ได้กลายเป็นคุณฮานาโกะผีเฝ้าห้องน้ำคนที่สองหรอก”
ลูกหมีตบไหล่แตงโมที่คลุ้มคลั่งก่อนที่มันจะยอมปล่อยฉันเป็นอิสระ TT^TT
“ฉันก็บอกพวกแกไปแล้วไง ว่าใช้นาฬิกาล็อคเก็ตอันนี้สะกดจิตเขา” ฉันพูดพลางล้วงของกลางที่สวมคล้องคอให้เพื่อนสาวสองคนดู
“อย่ามาขี้จุ๊...เรื่องไร้สาระพรรค์นี้จะเป็นจริงไปได้ยังไง”
แตงโมส่ายหน้าด็อกแด็กไม่เชื่อในสิ่งที่ฉันพูดเช่นเดียวกับลูกหมี
“นั่นสิ...แกไม่ได้เป็นนักสะกดจิตด้วย มันจะได้ผลอะไรขนาดนั้น”
“งั้นทำไมฉันถึงได้เป็นแฟนกับเรตะล่ะ ถ้ามันไม่ได้ผลแบบที่พวกแกว่า!”
เงียบ...ทั้งคู่นิ่งเหมือนหาคำตอบไม่ได้ ก็แน่ล่ะ...ฉันเองยังไม่อยากเชื่อเลยว่ามันจะได้ผลจริงๆนี่มันยิ่งกว่าเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกซะอีก!
“เออ...เอาเถอะ ฉันคิดอะไรไม่ออกเลย”
“นั่นสิ...ฉันก็พูดไม่ออกเหมือนกัน” ลูกหมีเห็นด้วยกับแตงโม
“ออ...แต่แกต้องระวังตัวไว้นะ” อยู่ดีๆยัยเพื่อนรักก็เอ่ยขึ้นมา
“แหม...รู้แล้วน่า ฉันไม่ใจง่ายยอมเผลอตัวเผลอใจให้เรตะหรอก” ฉันพูดพลางตบไหล่แตงโมอย่างเขินอาย แต่มันทำหน้าเบ้ตวาดแว้ดกลับมาว่า
“มะเหงกแหน่ะ...ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น!”
“อ้าว...งั้นระวังเรื่องอะไรเหรอ?” ฉันถามพลางทำหน้าแอ๊บแบ้วกลับไป
“ระวังแฟนคลับเรตะ รับรองว่าแกโดนเขม่นแน่ๆ!!!”
เออ...จริงด้วย เรตะมีคนชอบเป็นร้อยๆพันๆ ใครมาจีบก็ไม่สนใจแถมบอกปัดปฏิเสธแต่อยู่ดีๆฉันก็ฉกเขาไป...พวกหล่อนคงโกรธแน่ๆ คิดแค่นั้นก็รู้สึกหนาวจนขนลุกไปหมดเหมือนความปลอดภัยของชีวิตหายไป 50%
“แก...อย่าพูดให้ฉันกลัวสิ”
ฉันกระตุกแขนเสื้อแตงโมเบาๆ
“เฮอะ...ก็พูดจริงๆ แต่เอาเถอะ...มันอาจไม่มีอะไรก็ได้อย่าเพิ่งคิดมากไปเลย”
อ้าว...ตบหัวแล้วลูบหลังนี่หว่า พูดให้กลัวแล้วมาปลอบใจ =_=*
หลังจากนั้นพวกเราก็โยกย้ายถ่ายเทออกจากห้องน้ำเมื่อหมดคาบพัก แน่นอนว่าเรื่องนี้โด่งดังเร็วมากในชั่วเวลาไม่กี่นาทีเพราะทันทีที่เข้าห้องเรียนก็มีเพื่อนๆมาถามมากมาย ถ้ายัยลูกหมีไม่ได้อยู่กับพวกเราตลอดคงคิดว่ามันเป็นคนกระจายข่าวแน่ๆ แต่ในกรณีนี้แสดงว่าเรื่องเด่นประเด็นร้อนจริงๆถึงได้พูดต่อๆกันจนทั่ว...
“นี่ถ้าฉันไม่ได้ยินจากปากเรตะต้องไม่มีวันเชื่อแน่ๆเลยว่าเธอเป็นแฟนเขา”
“นั่นสิ...ฉันล่ะช็อคจริงๆ เห็นติ๋มๆแบบนี้ก็ไวใช่เล่นนะยะ!” เพื่อนสาวในห้องหลายคนเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเหน็บแนม แต่นี่ยังเบาะๆเพราะถ้าพบสายตาจ้องจิกชนิดแทบมองกันให้ทะลุตายกันไปข้างของผู้หญิงหลายคนที่เพ่งเล็งฉันตั้งแต่ออกจากห้องเรียนยันพ้นประตูรั้วหน้าโรงเรียนในตอนเย็นแล้วล่ะก็...จะหนาวกว่านี้ TT^TT
“เห็นมั้ยแก...ฉันบอกแล้วว่าได้โดนเขม่นแน่ๆ!” แตงโมเอ่ยบอกขณะพวกเรากำลังรอขึ้นรถเมล์ตรงป้าย
“ฉันหวั่นใจยังไงไม่รู้...เวลาโดนมองด้วยสายตาแบบนั้น”
“ก็สมควรล่ะ...แกเล่นจับชายหนุ่มขวัญใจสาวๆทั้งโรงเรียนได้นี่หว่า ถ้าฉันไม่ใช่เพื่อนแกคงเขม่นด้วยเหมือนกัน”
“แสดงว่าแกเห็นมิตรภาพของเพื่อนสำคัญกว่าผู้ชายใช่มั้ย?”
ฉันส่งสายตาเป็นประกายวิบวับให้แตงโมอย่างตื้นตันในน้ำใจ
“เปล่า...ฉันพยายามปลงแล้วคิดว่าเรตะตาถั่วที่เลือกแกเป็นแฟนจนมองข้ามความงามของฉัน!!!”
เล่นเอาพูดไม่ออกเลย =_=”
“ขอโทษนะยะ...ใครจะไปรู้ว่าไอ้วิธีสะกดจิตแบบนั้นมันจะได้ผลง่ายๆ” ฉันตอบมันที่ส่ายหน้าเบาๆ
“เฮ้อ...ช่างเถอะ...พูดไปก็ยังไม่อยากเชื่อว่ามันจะได้ผลจริงๆ อ๊ะ...ฉันกลับก่อนนะรถเมล์มาแล้ว” มันโบกมือบ๊ายบายแล้วกระโดดขึ้นรถเมล์ไป
หลังจากนั้นไม่นานฉันก็กระโดดตามขึ้นคันหลัง ไม่ใช่เพราะเป็นสายที่ผ่านบ้านตัวเองแต่เพราะมีนักเรียนหญิงโรงเรียนฉันกลุ่มหนึ่งตรงดิ่งทำท่าจะเข้ามาหาเลยรีบลี้ภัยก่อน TT^TT
กว่าจะถึงบ้านก็ปาไปเกือบหกโมงเย็นเพราะต้องนั่งรถเมล์อีกสายย้อนกลับมา ฉันรีบตรงดิ่งเข้าไปในห้องรับแขกพลางโยนกระเป๋าแล้วทิ้งตัวตามลงไปบนโซฟา เฮ้อ...เพลียชะมัด
“นี่...” เสียงมารผจญดังขึ้น ทำให้ฉันต้องหันมองน้องชายตัวแสบที่เพิ่งกลับถึงบ้านเช่นกัน
มันถอดสูทนักเรียนสีดำกับเนคไทสีเดียวกันโยนลงบนโซฟา ( พี่น้องนิสัยเหมือนกันเปี้ยบ =_=” ) ก่อนปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีขาวด้านในทุกเม็ดเผยหุ่นที่มีซิกแพคชัดเจน นี่ถ้าไม่ใช่น้องชายแท้ๆคงเลือดกำเดาพุ่งไปแล้วนะเนี่ย =.,=”
“มีอะไร?” ฉันถามกลับไป
“จริงหรือเปล่า...ที่เขาลือไปทั่วโรงเรียนว่าพี่คบกับนักเรียนแลกเปลี่ยนลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่นอะไรนั่น?”
โห...ขนาดน้องชายฉันมันยังรู้เลยเหรอเนี่ย =_=”
“เอ่อ...ทำนองนั้นล่ะ”
ฉันทำท่ายืดนิดๆเหมือนอยากบอกว่า ‘ในที่สุดพี่สาวแกก็หาแฟนได้แล้วนะ โฮะๆๆ...’
“เขาพิการทางสายตาหรือเปล่า ถึงคว้าพี่มาเป็นแฟนเนี่ย!”
“มะเหงกแหน่ะ...พูดแบบนี้เดี๋ยวศพไม่สวยหรอก”
คูก้าหัวเราะเบาๆเมื่อฉันแว้ดกลับไป
“งั้นทำไมเขาถึงมาคบกับพี่ล่ะ ผมเคยได้ยินข่าวลือว่าไอ้หมอนี่มันไม่ยอมคบสาวๆคนไหนเลยไม่ใช่เหรอ?”
“เอ่อ...ถ้าฉันเล่าให้ฟัง แกจะเชื่อมั้ยล่ะ?”
“ก็เล่ามาสิ!”
จากนั้นฉันก็เริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้น้องชายฟัง ตั้งแต่ไปซื้อหนังสือ “คู่มือสร้างรักแบบฉบับสาวฮอต!!!” ยันลองทำตามเทคนิคต่างๆจนถึงยืมนาฬิกาล็อคเก็ตของมันไปทดลอง...
“เว่อร์น่า...พี่ใช้นาฬิกาล็อคเก็ตที่ยืมผม ไปสะกดจิตนายเรตะนั่นจนได้คบเป็นแฟนเนี่ยนะ”
“ก็เออสิ...ฉันไม่ได้โกหกนะ เราเป็นแฟนกันแล้วจริงๆ”
“ผมไม่ได้บอกว่าพี่โกหกเรื่องที่ได้เป็นแฟน แต่รู้สึกว่ามันทะแม่งๆยังไงไม่รู้!”
“ยังไง?”
“ถ้าวิธีสะกดจิตมันทำได้ง่ายขนาดนั้น คนทั่วไปไม่เอาไปใช้จนรักกันทั้งโลกแล้วเหรอ?”
“มันก็ใช่...แต่ในคู่มือเขาเขียนว่าถ้าเป็นเนื้อคู่จะได้ผลนะ ฉันอาจเป็นเนื้อคู่กับเขาก็ได้”
ความจริงฉันไม่เคยเชื่อเรื่องแบบนี้เลย ถ้ามันไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวเอง...
“ไร้สาระน่า! มันไม่มีทางเป็นไปได้หรอก”
“ถ้าเป็นไปไม่ได้...ทำไมเขาถึงยอมคบฉันล่ะ?” ฉันถามน้องชายกลับไป
“เขาหลอกพี่หรือเปล่า อาจแกล้งทำว่าตัวเองโดนสะกดจิต”
“งั้นเขาจะหลอกหรือแกล้งทำไมในเมื่อไม่มีเหตุผลอะไรให้ทำแบบนั้น เพราะเขาปฏิเสธผู้หญิงที่เข้ามาทุกคน แถมยังไม่เคยรู้จักฉันมาก่อนด้วยจนกระทั่งเช้าวันนี้”
“เออ...นั่นสินะ...จะว่าเขาแอบหลงรักพี่มานานแล้วก็ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะพี่ไม่ได้มีเสน่ห์ตรงไหนเลย เป็นผมเอาพี่จัสมินดีกว่า”
ขอบใจนะ...ไอ้น้องรัก =_=*
“เอาเถอะๆ...ไม่ต้องคิดให้เสียเวลาหรอก ฉันขึ้นไปทำการบ้านดีกว่าฟังแกพูดแล้วปวดหัวชะมัด!” ฉันตัดบทพลางจะเดินขึ้นบันได แต่เสียงน้องชายที่ดังรั้งท้ายมาก็อดทำให้รู้สึกกังวลใจไม่ได้
“ยังไงๆก็ระวังตัวเอาไว้ด้วยละกัน เพราะไอ้หมอนั่นมีแฟนคลับเยอะแยะเดี๋ยวจะหาว่าผมไม่เตือน!!!”
วันรุ่งขึ้น...ที่โต๊ะอาหารนั้นมีน้องชายตัวแสบนั่งทานแซนวิชกับน้ำส้มที่คุณแม่ทำเผื่อไว้ให้อยู่ก่อนแล้ว เพราะฉันตื่นสายไปหน่อยเนื่องจากเมื่อคืนวานไม่ได้นอนเลยหลับยาวรวดเดียว ไม่งั้นคงไม่เห็นคูก้าเวอร์ชั่นพร้อมไปโรงเรียนแน่ๆ...
“อ้าว...จะไปโรงเรียนแล้วเหรอ?” มันถามฉันพลางยัดแซนวิชคำสุดท้ายเข้าปากไปจนแก้มตุ่ย
“เออสิ...นี่มันจะเจ็ดโมงแล้วนะยะ” ฉันบอกพลางดื่มน้ำส้มรวดเดียวจนหมดโดยไม่แตะแซนวิชเพราะไม่อยากเสียเวลาแล้วทำท่าจะโกยออกนอกบ้าน แต่คูก้ากลับเอ่ยขึ้นว่า...
“นี่...”
“มีอะไร?” ฉันเบรกตัวโก่งถามคูก้าที่ทำสีหน้าเคร่งเครียด
“ถ้า...แซนวิชอันนี้พี่ไม่กินผมขอนะ...”
ฟังแล้วอยากด่าโคตรเหง้าศักราช แต่ไม่อาจทำได้ TT^TT
“ตามใจแกสิ!” ฉันตอบพลางจะออกตัวจากจุดสตาร์ท...
“นี่...” น้องชายจอมแสบรั้งเอาไว้อีกทำให้ฉันต้องหันไปตวาดมันทันที
“แกจะกินอะไรก็กินไปเลย ไม่ต้องขอ!”
“เปล่า...ไม่ใช่เรื่องนั้น” มันปฏิเสธกลับมา
“งั้นมีอะไร ฉันจะรีบไปโรงเรียน”
“ถ้า...ผมเป็นพี่จะไม่รีบไปโรงเรียนหรอก”
“อ้าว...ทำไมล่ะ?” ฉันฟังแล้วอดสงสัยไม่ได้
“เวลาว่างๆก่อนเข้าแถวตอนเช้าคงมีสาวๆหลายคนจ้องเล่นงานพี่แน่ๆ เพื่อความปลอดภัยไปโรงเรียนพร้อมกับผมเถอะ”
มันยิ้มแฉ่งเห็นฟันครบสามสิบสองซี่ แต่ฉันกลับไม่รู้สึกยินดีกับข้อเสนอนั้นเลย
“จะบ้าเหรอ...ฉันไม่ได้สนิทกับอาจารย์ฝ่ายปกครองเหมือนแกนะ จะได้เอ้อระเหยจนต้องเข้าออกที่นั่นเป็นว่าเล่น!” ฉันปฏิเสธพลางวิ่งออกไปจากบ้านทันที
ให้ตายเถอะ...ไร้สาระที่สุด ใครจะมาทำอะไรในโรงเรียนที่คนเยอะแบบนั้นได้ ทว่า...วิ่งไปได้สักพักฉันก็ต้องยูเทิร์นกลับมา
“อ้าว...ตัดสินใจไปโรงเรียนพร้อมกับผมแล้วใช่เปล่า?” มันถามพลางกัดแซนวิชของฉันเข้าปาก
น้องใครฟะ...กินจุจริงๆ =_=*
“เปล่า...แต่เอาไอ้นี่มาคืนให้แกเพราะฉันคงไม่ต้องใช้มันแล้ว”
ฉันถอดนาฬิกาล็อคเก็ตที่สวมส่งคืนให้มันที่แบมือรับ
“แน่ใจใช่มั้ย...ว่าจะไม่ไปโรงเรียนพร้อมผมจริงๆ?” คูก้าถามย้ำกลับมาอีกครั้ง
“เออสิ...แล้วแกก็รีบๆไปโรงเรียนด้วยล่ะ” ฉันบอกพลางวิ่งออกไปทันที เพราะไม่อยากเก็บของๆคนอื่นเอาไว้กับตัวเกิดทำหายขึ้นมาจะยุ่ง แม้มันอาจไม่มีราคาแต่ก็คงมีค่าสำหรับน้องชายฉันถึงได้เก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี
ทันทีที่ถึงโรงเรียนฉันก็รู้สึกถึงรังสีอำมหิตรอบๆตัวเต็มไปหมด มีผู้หญิงหลายคนทั้งมัธยมศึกษาตอนต้นและมัธยมศึกษาปลายต่างเพ่งเล็งมาทางฉัน ทั้งจ้องมอง ทั้งจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์ จนรู้สึกขนลุกยังไงไม่รู้ จะหาที่พึ่งก็ไม่ได้เพราะแตงโมกับลูกหมียังไม่มา ฉันพยายามเดินเร็วๆเพื่อเข้าอาคารเรียนแต่รู้สึกขามันก้าวช้าผิดปกติคงเพราะโดนกดดันจากบรรยากาศรอบตัวกระมัง
“นี่...เธอน่ะ...”
ฉันเหลียวไปมองนักเรียนหญิงระดับเดียวกัน ห้อง C ราวๆห้าถึงหกคน ถ้าจำไม่ผิดพวกนี้ตั้งชื่อกลุ่มว่า R-F มาจาก Reita Fanclub พวกเธอเข้ามารายล้อมฉันเอาไว้... =[]=”
“เอ่อ...มีอะไรเหรอ?” ฉันถามกลับไปด้วยสีหน้าเป็นปกติ แม้ในใจอดหวาดกลัวไม่ได้
“มาด้วยกันหน่อยสิ” ผู้หญิงคนหนึ่งที่ซอยผมซึ่งย้อมเป็นสีน้ำตาลจนสั้น ใส่ต่างหูห่วงเงินอันเล็กๆ ดูท่าทางเป็นหัวโจกเอ่ยบอก
“เอ่อ...คือ...” ยังไม่ทันจะพูดอะไรก็มีผู้หญิงอีกสองคนหิ้วปีกฉันไปทันที
“ปล่อยฉันนะ!!!” ฉันโวยวาย แต่ยัยหัวโจกนั่นหันกลับมาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า
“เงียบๆ...ถ้าไม่อยากเจ็บตัว!”
พวกนั้นพาฉันเข้าไปในห้องน้ำหญิงตรงแถวสนามบาสเก็ตบอล ก่อนผลักฉันเข้าไปจนกระแทกกับผนังอย่างแรง
ตึงงงง!!!
“โอ้ย...เจ็บนะ ฉันไปทำอะไรให้พวกเธอเนี่ย!” ฉันโวยวายถามกลับไป ยัยหัวโจกรีบปรี่เข้ามาประชิดตัวโดยเร็ว
“นี่เธอยังไม่รู้ตัวอีกเหรอว่าทำอะไร ผิงผิง...ช่วยบอกยัยนี่ทีสิ!!!” เธอหันไปเอ่ยบอกเพื่อนสาวที่มัดแกละสองข้าง
“ได้สิ...ดรีม”
ผิงผิงเดินเข้ามาประกบฉันไว้อีกคนพลางเอ่ยบอกว่า
“ฉันไม่รู้ว่าเธอไปอ่อยเรตะวิธีไหนเขาถึงได้ยอมคบกับผู้หญิงโง่ๆห้องจีอย่างเธอ และมันก็ทำให้พวกเราไม่พอใจมากเพราะไม่ว่าจะมองยังไงเธอกับเขาก็ไม่เห็นจะเหมาะสมกันเลยสักนิดเดียว”
ฉันฟังอย่างอึ้งๆนึกไม่ถึงเลยว่าจะมีคนกล้ามาหาเรื่องแบบในซีรีย์ญี่ปุ่นหรือเกาหลี รู้งี้เชื่อที่น้องชายตัวแสบพูดก็ดีเพราะปกติมันไม่ค่อยชอบให้ฉันไปโรงเรียนพร้อมกันแท้ๆ สงสัยมีเซ้นท์แน่ๆว่าพี่สาวสุดที่รักจะต้องโดนหาเรื่องแบบนี้ TTwTT
“ฉันไม่ได้อ่อยเขานะ...” ฉันพยายามปฏิเสธข้อกล่าวหา
“แล้วเธอใช้วิธีไหนล่ะ เขาถึงได้หลงผิดมาคบเธอแบบนี้เนี่ย ห๊ะ!!!” หัวโจกที่ชื่อดรีมตะคอกใส่หน้าฉัน
“ฉัน...แค่...”
ถ้าบอกว่า...ฉันสะกดจิตเขา พวกหล่อนจะเชื่อเหรอเนี่ย
“ว่าไง!!!”
ดรีมผลักอกฉันอย่างแรงแต่นั่นไม่ได้ทำให้ฉันปริปากบอก เพราะคิดว่าพวกเธอคงไม่มีสมองพอจะเข้าใจไม่เช่นนั้นคงไม่กล้ามาหาเรื่องคนอื่นแบบไร้มนุษยธรรมเยี่ยงนี้แน่ๆ
“จะใช้วิธีไหนมันก็เรื่องของฉัน...หรือพวกเธออิจฉาอยากเอาวิธีฉันไปใช้บ้างล่ะ ถ้างั้นจะได้สงเคราะห์บอกให้!!!” ฉันตอกกลับไปเพราะรู้สึกโมโหมาก
ไม่มีเหตุผลเอาซะเลยกับการมาหาเรื่องเพราะผู้ชายคนเดียว ฉันไม่ได้ไปแย่งแฟนใครสักหน่อย ทำไมจะไม่สิทธิ์คบเขาล่ะ!!!
“หนอย...ยัยนี่!!!”
ดรีมเงื้อมือทำท่าจะตบฉัน ในตอนนั้นเอง...
“ทำอะไรกันน่ะ?” เสียงสวรรค์เอ่ยขัดขึ้นก่อนที่กลุ่ม R-F จะแตกสลายวิ่งกระจายไปคนละทิศละทาง ฉันมองต้นเสียงนั้นจากหน้าห้องน้ำก็พบว่าเป็นเรตะนั่นเอง
“เป็นอะไรมั้ยครับซูกัส?”
เขาเดินเข้ามาในห้องน้ำหญิงอย่างไม่เกรงสายตาใคร พลางใช้สองมือจับใบหน้าฉันและไล่ไปตามเนื้อตัวราวกับต้องการเช็คความผิดปกติ
“ไม่เป็นอะไรหรอก...เอ่อ...เรตะคุงรู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ที่นี่?” ฉันถามกลับไปเพราะไม่คิดว่าเขาจะมาช่วยไว้ราวกับอัศวินขี่ม้าขาว ให้ตายเถอะ...มันทำให้ฉันปลื้มมากกว่าเดิมอีกนะเนี่ย...
“ออ...พอดีจัสมินเห็นคุณโดนลากตัวไปก็เลยรีบมาบอกผมนะ”
เรตะเหลือบมองไปทางหญิงสาวผมยาว หน้าตาสะสวยที่ยืนเยื้องด้านหลัง
“ขอบคุณนะคะ”
ฉันยิ้มหล่อนให้นิดๆ รู้สึกเกรงใจพอสมควรเพราะเธอเพิ่งสารภาพรักกับเรตะไปเมื่อเร็วๆนี้ คงชอบเรตะมากแต่กลับต้องมาช่วยฉันที่ได้คบกับเขา...รู้สึกผิดยังไงไม่รู้ TT^TT
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ อ๊ะ...เดี๋ยวฉันขอตัวก่อนนะคะ”
จัสมินยิ้มหวานแล้วเดินออกไปจากตรงนั้น ทิ้งให้ฉันอยู่กับเรตะเพียงลำพังสองคน
“ซูกัสไม่เป็นอะไรจริงๆใช่มั้ย?” เขาถามย้ำอีกครั้ง
“จ๊ะ...ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
รู้สึกหัวใจเต้นแรงพิกล คงเพราะยังตื่นเต้นจากเหตุการณ์เมื่อสักครู่ และ เขินที่ต้องอยู่กับเขาเพียงลำพังแบบนี้
“โล่งอก...ผมเป็นห่วงแทบตาย ออ...เมื่อเย็นวานผมรอที่หน้าโรงเรียนตั้งนานแต่มีคนบอกว่าซูกัสกลับไปแล้ว วันนี้ตอนเช้าจะไปรับก็ไม่รู้ทางไปบ้าน แย่จังเลย...ผมเป็นแฟนที่ไม่เอาไหนจริงๆ ไม่งั้นซูกัสคงไม่โดนเล่นงานแบบนี้แน่ๆถ้ามีผมอยู่ด้วย” เรตะก้มหน้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้า
“เอ่อ...ไม่ใช่ความผิดของเรตะคุงหรอก ฉันขอโทษที่ไม่ได้รอกลับบ้านด้วยเพราะ...” ฉันยั้งเอาไว้เพราะอายที่จะพูด
“เพราะอะไรเหรอ?” เขาถามกลับมา
“เอ่อ...เพราะฉันไม่เคยมีแฟนน่ะสิ ก็เลยไม่รู้ว่าคนที่เขาคบกันต้องทำยังไงบ้าง”
อายชะมัด! เหมือนกำลังประจานให้คนที่รักรู้ว่าตัวเองไร้เสน่ห์สุดๆ TT^TT เรตะเงียบไปชั่วครู่ก่อนยิ้มนิดๆแล้วตอบว่า
“ผมดีใจนะ...ที่ได้เป็นแฟนคนแรกของซูกัส” เขาพูดพลางกอดฉันเอาไว้
อ้ากกกกก!!!...ตายกี่ชาติก็ยอม ทั้งคำพูดและการกระทำของนายจะทำให้ฉันตายเพราะหัวใจสูบฉีดเลือดเร็วเกินไปนะ TT///TT ว่าแล้วก็กอดตอบแบบเนียนๆ...ฮี่ๆๆ
ความคิดเห็น