ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ใยร้อยรัก

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 2 : จีบแม่ แพ้ลูก - รีไรท์

    • อัปเดตล่าสุด 19 ก.ค. 64


    บทที่ 2

    จีบแม่ แพ้ลูก

     

    การข่มตาหลับไม่ใช่เรื่องยากสำหรับภคินสักนิดเดียว เพราะแค่ทิ้งตัวลงเตียงสัก 5 นาทีก็สลบไสลเป็นตายแล้ว วันๆหนึ่งต้องตรวจเอกสารกองมโหฬาร พบปะผู้บริหารในเครือต่างสาขา และ รับรองลูกค้ารายใหญ่ อีกทั้งต้องเจียดเวลาสนองความสุขแก่สาวๆที่มาเสนอตัวถึงห้องทำงาน ส่งผลให้ร่างกายต้องการพักผ่อนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ 

    ยกเว้นคืนนี้...

    ร่างกำยำกระสับกระส่ายบนเตียงคิงไซส์เหมือนเด็กนอนดิ้น เตะทั้งผ้าห่ม และ หมอนข้างออกห่างตัวอย่างหัวเสีย แล้วยกแขนขึ้นก่ายหน้าผากด้วยความหงุดหงิดใจ

    ภาพของไปรยาติดตาตรึงใจไม่อาจลบเลือนออกจากหัว ดวงตาเป็นประกาย กับ รอยยิ้มแย้มที่แต้มบนใบหน้าขาวผ่องสามารถสะกดทุกสิ่งทุกอย่างให้หยุดนิ่งในสายตาเขา ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยพบผู้หญิงคนไหนสั่นคลอนจิตใจได้เท่านี้ 

    คำว่า ‘สวย’ ไม่คู่ควรกับเธอ เท่าคำว่า ‘งดงาม’ กิริยามรรยาทสุภาพ และ นุ่มนวล ทว่า ก็แฝงบุคลิกน่าเกรงขามดุจนางพญาใต้รูปร่างบอบบางแสนรัญจวนนั้น

    อยากได้มาครอบครอง...

    เป็นครั้งแรกที่ภคินยึดติดกับสตรีคนหนึ่ง จนปรารถนาผูกมัดเอาไว้ กระนั้นหญิงสาวกลับมีเจ้าของจับจองแล้ว 

    ให้ตายเถอะ...เขาน่าจะเจอเธอก่อนไอ้หมอนั่น!

    ครั้นพบว่ายากที่จะฝืนหลับ และ อีกไม่นานตะวันจะปรากฏบนม่านฟ้า ชายหนุ่มจึงผุดลุกขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าแต่งตัวตั้งแต่ไก่ยังไม่ทันโก่งคอขัน แล้วก้าวฉับๆลงบันไดไปพบสีหน้าตื่นตระหนกตกใจของแม่บ้านกับสาวใช้ด้านล่าง

    “คุณคิน...นี่เพิ่งตีห้าครึ่งเองนะคะ” แม่บ้านคนเก่าคนแก่ทักท้วง “มีงานเช้า ( มาก ) เหรอคะ?”

    “ผมนอนไม่หลับครับ” เขาตอบสั้นๆ พลางกระแทกตัวนั่งบนโซฟารับแขกกลางโถงกว้าง

    มือหนากดรีโมตคอนโทรล ดูข่าวสารบ้านเมืองผ่านจอโทรทัศน์ขนาด 50 นิ้ว พัดลมเพดานช่วยระบายความอบอ้าวขณะเครื่องปรับอากาศเพิ่งเปิดใหม่ๆได้ดี แต่ก็ยังยากที่จะดับร้อนในใจ หญิงสูงวัยนำกาแฟดำเสิร์ฟถึงมือเจ้านาย ซึ่งนั่งฮึดฮัดไม่สบอารมณ์เสียเท่าไร ภคินเหลือบมอง ‘ป้าศรี’ ผู้เป็นยิ่งกว่าแม่บ้าน เพราะคอยดูแลเขาราวกับแม่คนที่ 2

    “ขอบคุณครับ” รับถ้วยกาแฟมาจิบกันเสียน้ำใจ

    “เป็นอะไรหรือเปล่าคะ...ป้าใจไม่ดีเลย ไม่เคยเห็นคุณคินอารมณ์เสียตั้งแต่เช้าแบบนี้” หล่อนเป็นคนเดียวที่กล้าซักถามชายหนุ่มยามหงุดหงิด

    “ผมคิด ว่า...ผมชอบผู้หญิงคนหนึ่งครับ”

    ไม่จำเป็นต้องปิดบังเมื่ออีกฝ่ายเลี้ยงดูเขามาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย ยิ่งพ่อแม่กับพี่สาวโยกย้ายสำมะโนครัวไปอยู่เมืองนอกเมืองนากันหมด ป้าศรีจึงเปรียบเสมือนที่พึ่งไม่ต่างจากบุพการีคนหนึ่ง 

    “ทั้งที่ผมเพิ่งเจอเธอเมื่อคืนแท้ๆ แต่กลับรู้สึกชอบ และ หวงแหนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก”

    หญิงสูงวัยยิ้มละไม พลางกุมมือเจ้านายเอาไว้ด้วยความเอ็นดูเหมือนบุตรหลาน ภคินเป็นผู้ชายอารมณ์ดี และ เจ้าชู้คล้ายบิดา อย่าง ‘คุณภูมินทร์' อดีตประธานบริษัทศุภณัฐมงคล ที่จีบลูกค้าผู้หญิงรายไหนๆเป็นติดหนึบ จน ‘คุณหญิงรัศมี’ ผู้เป็นภรรยาต้องลากตัวสามีไปตั้งรกรากที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อช่วยเลี้ยงหลานๆให้ลูกสาว ซึ่งแต่งงานกับชาวต่างชาติ มรดกกองโต และ กิจการต่างๆเลยตกอยู่กับลูกชายคนเดียวทันทีที่เรียนจบปริญญาโทเมื่อ 2 ปีก่อน 

    เหตุผลนี้เองระยะหลังๆชายหนุ่มจึงกลายเป็นคนอารมณ์อ่อนไหว และ ขาดแคลนความรัก เพราะขาดเสาหลักของบ้านคอยค้ำจุนยามประสบปัญหา

    คนเราไม่ว่าอายุล่วงเลยไปเท่าใด ที่สุดแล้วก็โหยหาความรักจากใครสักคนอยู่ดี

    “การชอบใครสักคนไม่ผิด แต่อย่าทำให้คนที่เราชอบเจ็บปวดก็พอค่ะ”

    “ถ้าเช่นนั้นผมคงต้องหยุดเสียแต่เนิ่นๆ เพราะไม่อยากเป็นมือที่สาม” น้ำเสียงหดหู่ลงกว่าเดิม

    “ตายจริง...เธอคนนั้นมีคนรักอยู่แล้วเหรอคะ?” หล่อนรีบซัก

    “น่าจะใช่ครับ...ผมเห็นเธอเข้าไปในบ้านพร้อมผู้ชายคนหนึ่ง”

    “โธ่...แล้วคุณคินมั่นใจได้อย่างไรคะ” ใบหน้าฉาบริ้วรอยแห่งวัยส่ายน้อยๆ “ไม่มีใครสามารถรู้เรื่องราวของอีกฝ่ายได้ดีเท่าการถามหรอกค่ะ” คำตอบของแม่บ้านคนสนิทฉุกใจคนฟังยิ่งนัก

    นั่นสิ! 

    เขายังไม่ทันแน่ใจว่าไปรยามีคนรักจริง ก็ดันถอดใจหมดหวังเสียแล้ว

    “ป้าศรี ขอบคุณมากครับ!” พูดจบก็ส่งถ้วยกาแฟคืนอีกฝ่าย ก่อนลุกพรวดพราดออกไปอย่างรวดเร็ว แต่แล้วก็หวนกลับมาหอมแก้มหญิงสูงวัยฟอดใหญ่ จึงค่อยวิ่งออกไปอีกครั้งท่ามกลางเสียงหัวเราะเบาๆจากคนเบื้องหลัง

    ตอนเช้าตรู่ถนนยังโล่งว่างแทบทุกเลน เจ้ารถคันโปรดเลยบึ่งพาภคินมาจอดเทียบบาทวิถีเยื้องบ้านหญิงสาวที่หมายปองได้ในชั่วอึดใจ ไม่เคยเลยสักครั้งที่พ่อเสืออย่างเขาต้องเฝ้ารอผู้หญิงเหมือนคนโรคจิตแบบนี้ เพียงไม่นานนักการรอคอยก็ยุติ เมื่อไปรยาเดินควงคู่ผู้ชายคนเดิมข้ามถนนไปยังป้ายจอดรถโดยสารประจำทางฝั่งตรงข้าม ไม่ทันเห็นหน้าตาชัดๆ ศัตรูหัวใจก็รีบขึ้นรถเมล์ไปเสียแล้ว แต่กระนั้นชายหนุ่มตาไวพอที่จะเห็นชุดนักศึกษาของอีกฝ่าย

    นี่ไปรยาคบผู้ชายเด็กกว่าเหรอเนี่ย...

    ไม่หรอกมั้ง อาจเป็นแค่น้องชายก็ได้...

    การพยายามปลอบใจตัวเองแบบนี้ทำให้ภคินนึกละอายใจ ถ้าเป็นสาวอื่นคงปล่อยวางอย่างไม่แยแส เพราะยังมีตัวเลือกรออีกมากมาย 

    แต่ไม่ใช่กับไปรยา...

    ผู้หญิงคนเดียวที่เขาปรารถนาจะกุมหัวใจให้ได้ คิดเช่นนั้นก็รีบหมุนพวงมาลัยออกจากจุดหลบซ่อน แล้วยูเทิร์นกลับไปเทียบท่าตรงป้ายจอดรถโดยสารประจำทาง ซึ่งมีหญิงสาวแสนสวยยืนอยู่

    “อ้าว...คุณไปรยา บังเอิญจังเลยครับ” โกหกหน้าตายหลังลดกระจกลงเพื่อทักทายตามมรรยาท

    “อ้าว...คุณภคิน สวัสดีค่ะ มาทำอะไรแถวนี้คะ?” ก้มหน้าลงถาม เนื่องจากเป็นรถยนต์นอกมีพวงมาลัยฝั่งซ้าย ชายหนุ่มเลยได้กลิ่นแชมพูบนเรือนผมสีน้ำตาลจางๆระยะประชิด

    หอมชะมัด!

    “พอดีผมกำลังจะไปบริษัทน่ะครับ บังเอิญจังเลยที่พบคุณแถวนี้” ยอมผิดศีลข้อ 4 เต็มๆ

    “บ้านฉันอยู่ฝั่งตรงข้ามน่ะค่ะ” ไม่จำเป็นต้องปิดบัง อย่างไรเสียก็เป็นทั้งบ้าน และ บริษัท ย่อมมีคนติดต่อเข้าออกบ่อยครั้งอยู่แล้ว “ฉันกำลังจะไปตลาด คุณรีบไปบริษัทเถอะค่ะ...เดี๋ยวสาย” ฟังดูเหมือนไล่อ้อมๆ 

    แต่เขาไม่แคร์!

    “ถ้าเช่นนั้นก็ไปด้วยกันเลยครับ เป็นทางผ่านพอดี” รีบเสนอตัว

    “เอ่อ...อย่าเลยค่ะ ฉันเกรงใจ”

    “ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ ถือว่าสานสัมพันธ์ระหว่างบริษัทของพวกเรา” ยกเรื่องงานขึ้นมาอ้างข้างๆคูๆ “มาเร็วครับ...รถเมล์ไล่หลังมาแล้ว”

    “เอ่อ...ค่ะ” จำยอมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    หากอีกฝ่ายโกรธเคืองขึ้นมา อาจกระทบต่อปากท้อง และ ความเจริญรุ่งเรืองของบริษัทเล็กๆของเธอในภายภาคหน้า มิหนำซ้ำรถเมล์คันใหญ่ก็บีบแตรไล่รถยนต์คันหรูให้หลบทางแล้ว

    สาบานได้ ว่า...ไปรยาเป็นผู้หญิงคนแรกที่เข้ามานั่งในบูกัตติ เวย์รอนสุดหวงซึ่งกำลังโฉบเฉี่ยวกลางท้องถนน ประหนึ่งเสือชีตาห์แห่งทุ่งหญ้าสะวันนา

    กลิ่นแชมพูจากเรือนผมสีน้ำตาลดัดลอนฟุ้งทั่วรถ คนขับนั่งตัวเกร็งเพราะรู้สึกลุ่มหลงอย่างน่าประหลาด พยายามข่มใจระงับความตื่นเต้นเหมือนเด็กหนุ่มวัยรุ่นเพิ่งพบรักแรก พลัน ก็นึกถึงจุดประสงค์หลักที่ทำให้ต้องถ่อมาหาเธอ

    “เก่งจังนะครับ...ผมได้ยินว่าบริษัท PP Design เป็นบริษัทเล็กๆเพิ่งเปิดได้ไม่นาน แต่กลับจัดงานเลี้ยงออกมาดีเกินคาดกว่าที่ผมคิดหลายเท่าตัว” เปิดประเด็นขึ้นมาเพื่อปูทาง “แขกทุกคนชื่นชอบมากจนชมไม่ขาดปากเลย”

    “ขอบคุณมากค่ะ”

    คุณจัดงานได้ยอดเยี่ยมแบบนี้ แสดงว่าต้องมีพนักงานหลายคนคอยช่วยใช่ไหมครับ?”

    “ถ้ารวมฉันกับพนักงานก็แค่สี่คน แต่พวกเราทุ่มเทกับการทำงาน เลยสามารถสร้างผลงานออกมาได้ตามความคาดหมายค่ะ” 

    “คุณเป็นผู้หญิงเก่งที่สุดอีกคนหนึ่งเท่าที่ผมเคยรู้จักเลยครับ แบบนี้ใครได้เป็นคนรักคงประทับใจแน่ๆ”

    “ฉันไม่มีคนรักหรอกค่ะ อยู่กับลูกชายแค่สองคน”

    แทบเหยียบเบรก...

    โชคดีที่ยั้งทัน...

    “ลูกชายเหรอครับ?” รีบถามทันควัน ประเมินจากรูปร่างหน้าตาหญิงสาวคงแก่กว่าเขาไม่มากเท่าไร จึงไม่น่ามีลูกชายตัวโตทันใช้งาน

    “ค่ะ...ฉันเป็นม่าย เพราะสามีเสียชีวิตสิบกว่าปีแล้ว” ไปรยาตอบตามตรง โดยไม่เขินอายกับคำว่า ‘แม่ม่ายลูกติด’ ไม่เห็นประโยชน์ใดที่จะต้องปิดบังความจริง

    “ตอนนี้คุณเป็นผู้หญิงเก่งที่สุดคนเดียวเท่าที่ผมเคยรู้จักแล้วครับ” ภคินชื่นชมจากใจจริง ก่อนจอดรถตรงหน้าทางเข้าตลาดอย่างนุ่มนวล “ถึงแล้วครับคุณผู้หญิง”

    “ขอบคุณที่มาส่งนะคะ” ยิ้มสะท้านหัวใจคนขับ พลางก้าวเท้าออกจากยานพาหนะคันหรู แล้วหันกลับมาเอ่ย “คุณควรรีบไปทำงาน เพราะกว่าจะยูเทิร์นรถกลับไปบริษัทศุภณัฐมงคลต้องเสียเวลาอีกนานโขเลยนะคะ” ไปรยารู้อยู่แล้วว่าเขาโกหกเรื่องทางผ่าน เนื่องจากที่ตั้งบริษัทยักษ์ใหญ่นั้นอยู่ฝั่งเดียวกับบ้านของเธอนั่นเอง

    เสือรูปหล่อมองอีกฝ่ายที่เดินนวยนาดเข้าตลาด พลางหัวเราะเบาๆ ไม่เคยเจอใครเปี่ยมเสน่ห์ร้ายเหลือเท่าแม่สาวคนนี้อีกแล้ว 

    ลูกติดมีไม่เป็นไร

    ขอแค่โสดก็เพียงพอ

    คราวนี้ล่ะ...พ่อจะเดินหน้าจีบเต็มกำลังสูบเลย!!!

     

             สายตาทุกคู่จับจ้องคนอารมณ์ดี ผิวปากเพลงสากลตั้งแต่ลานจอดรถเข้ามาถึงภายในบริษัท พนักงานสาวๆแอบชม้ายมองแล้วส่งเสียงวี้ดว้ายเมื่อเจ้านายหนุ่มรูปหล่อหันมายักคิ้วหลิ่วตา ปกติแล้วภคินมีมนุษย์สัมพันธ์ยอดเยี่ยม และ อ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้หลักผู้ใหญ่โดยไม่ยึดติดตำแหน่งสูงส่งของตนเอง

    แตกต่างจากผู้บริหารหลายๆองค์กร ซึ่งมักทะเยอทะยานยกตนข่มท่าน ประหนึ่งเป็นทั้งเจ้านายและเจ้าชีวิต เหตุนี้บุคลากรภายในบริษัทศุภณัฐมงคลเลยชื่นชมและรักใคร่ จนยอมทุ่มเททำงานเต็มความสามารถ แต่วันนี้เขาดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ทำเอาใครหลายคนอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่!

    อย่าว่าแต่พนักงานคนอื่นๆเลย ขนาดเลขานุการสาวยังต้องงุนงงปนสงสัย จู่ๆเจ้านายก็หอบหิ้วถุงข้าวเหนียวหมูปิ้งร้านอร่อยแถวตลาดมาหย่อนแหมะไว้บนโต๊ะหล่อนโดยไม่พูดไม่จาสักคำ ครั้นได้สติก็รีบวิ่งตามท่านประธานบริษัทเข้าไปในห้องส่วนตัวทันที

    “คุณภคินจะรับข้าวเหนียวหมูปิ้งเลยไหมคะ ดิฉันจะจัดใส่จานให้ค่ะ” คำถามนั้นเรียกเสียงหัวเราะจากอีกฝ่าย

    “ผมซื้อมาฝากคุณครับ”

    “ฝากดิฉันเหรอคะ?” กชกรไม่มั่นใจนัก

    “ครับ...เป็นของตอบแทนเล็กๆน้อยๆ ที่คุณช่วยแนะนำบริษัทจัดอีเว้นท์ดีๆให้ผม” เขากล่าว พลางส่งยิ้มหวาน “งานเลี้ยงขอบคุณลูกค้าประจำปีเมื่อคืนนี้ ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก”

    “ข้อนี้ฉันเห็นด้วย...คิดดูผู้บริหารแต่ละคนเมาอ้วกแตกอ้วกแตนคารถตู้จนฉันแทบสร่างเมาเลย” รัชชานนท์บ่น ขณะเดินเข้ามาสมทบ “โชคดีได้คุณกชกรช่วยดูแล เลยพาแต่ละคนส่งถึงบ้านเรียบร้อยปลอดภัย” พูดจบก็ส่งแววตาหวานเยิ้มให้เลขานุการสาว พลางโอบไหล่เล็กๆไว้แบบเนียนๆ

    “ค่ะ...แต่จะโชคดีมากกว่านี้ ถ้าคุณรัชชานนท์ไม่อาเจียนรดเสื้อผ้าดิฉันด้วยนะคะ”

     จบกัน! 

    ภคินหัวเราะร่วนเสียงดัง หลังกชกรเอาคืนเพื่อนสนิทเสียอยู่หมัด เสือร้ายหดมือออกแทบไม่ทัน ชักสีหน้าเจื่อนๆต่อความผิดพลาดเมื่อคืน ถ้าไม่ติดว่าอีกฝ่ายเป็นพนักงานภายในองค์กร คงจับตีก้น 2 ต่อ 2 โทษฐานประจานกันซึ่งๆหน้า

    “เอ่อ...เรื่องค่าจ้างงวดสุดท้าย จะให้ดิฉันติดต่อแผนกการเงิน เพื่อโอนไปให้บริษัท PP Design เลยไหมคะ?” หล่อนเกือบลืมถาม

    “เรื่องนั้นให้ผมช่วยจัดการก็ได้ เพราะอีกสักครู่ต้องลงไปทำธุระที่นั่นพอดีครับ” รัชชานนท์เสนอตัว ในใจก็ครุ่นคิดถึงเด็กฝึกงานหน้าตาสวยเช้ง ที่เพิ่งเข้ามาใหม่ในแผนกบัญชีและการเงินของบริษัท

    “ไม่เป็นไรครับคุณกชกร เดี๋ยวผมจัดการเอง” ภคินปฏิเสธ “คุณไปทำงานต่อเถอะ” 

    “ค่ะ” เลขานุการสาวน้อมรับคำสั่งผู้เป็นนาย แล้วเดินออกจากห้องไป 

    “วันนี้มาแปลกนะเนี่ย...ปกติไม่เห็นอยากวุ่นวายเรื่องเงินๆทองๆ” เพื่อนชายนึกสงสัย “หรือแกคิดว่าฉันจะโกง?” พูดจบปุ๊บสันแฟ้มหนาก็เฉาะลงบนศีรษะคนช่างถามจนคอย่น

    “ไอ้บ้า! ฉันก็แค่อยากจัดการด้วยตัวเองเท่านั้น ไม่มีอะไรหรอก” ตอบต่างจากใจคิด “ฉันจะทำงานแล้ว แกจะไปจีบสาวแผนกไหนก็ไปเถอะ” ไล่ส่งพลางเปิดเอกสารต่างๆเต็มโต๊ะ แต่แล้วใบหน้าหวานหยดย้อยของม่ายสาวพราวเสน่ห์ก็ผุดขึ้นมาในหัว 

    กลิ่นแชมพูหอมกรุ่นยังติดปลายจมูกเขากระทั่งตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นรูปร่าง หน้าตา หรือ วาจาอ่อนหวาน ล้วนชวนให้เกิดความลุ่มหลงอย่างน่าประหลาด คิดไปพลางยิ้มไปพลาง งานการเลยไม่ได้เริ่มสักที แน่นอนว่าพฤติกรรมผิดปกติของภคินสะดุดต่อมอยากรู้อยากเห็นของรัชชานนท์เหลือเกิน

    “มีเรื่องดีๆอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า?” ตัดสินใจถาม

    “แกเชื่อเรื่องรักแรกพบไหม?” คำถามนั้นเล่นเอาคนฟังอ้าปากหวอ ยกฝ่ามือแตะหน้าผากเพื่อนสนิท

    “เฮ้ย! ตัวก็ไม่ร้อน ทำไมเพี้ยนแบบนี้วะ”

    “ฉันถามจริงๆเว้ย” ภคินแว้ดใส่ “แค่อยากรู้ว่าแกเคยชอบผู้หญิงคนไหนจริงๆจังๆบ้างไหม”

    “ไอ้ชอบมันก็เคยชอบ แต่ไม่ถึงขนาดรักจนอยากแต่งงานด้วย ผู้ชายรวยรูปลักษณ์และทรัพย์สมบัติอย่างพวกเรา มีผู้หญิงเข้ามาให้เลือกมากมาย ฉันถูกใจคนไหนก็เลือกคนนั้น แล้วก็คบกันไปเรื่อยๆ ดูนิสัยใจคอกับเซ็กส์เข้ากันได้ไหม” รัชชานนท์ไม่ยี่หระกับเรื่องความรัก เพราะคบสักประเดี๋ยวเดียวก็เบื่อเปลี่ยนคนใหม่แล้ว “แกถามทำไม หรือว่า...”

    “อืม” ตอบสั้นๆพร้อมรอยยิ้ม

    “เฮ้ยยย...แกแอบไปชอบผู้หญิงที่ไหนวะ?” ตั้งตัวแทบไม่ทัน จู่ๆเพื่อนชายก็สารภาพว่ามีหญิงในดวงใจเสียแล้ว

    ทั้งคู่ยังไม่ทันพูดคุยกันรู้เรื่องรู้ราว ประตูก็เปิดพรวดเข้ามา กชกรพยายามเหนี่ยวรั้งคนบุกรุก แต่กลับถูกผลักออกไปจนล้มคว่ำ นางแบบสาวรูปร่างสมส่วนในชุดเดรสรัดรูปมันปลาบสีม่วงอัญชันสาวเท้าฉับๆเข้าหาเจ้าของห้อง ใบหน้าสะสวยสไตล์ลูกครึ่งยุโรปแสดงความโกรธเคือง คว้ากุญแจสำรองคอนโดมิเนียมจากซอกอกออกมาปาใส่หน้าภคินอย่างแรง

             “คนเลว...หลอกให้ฉันนอนรอที่คอนโดฯทั้งคืน!” หล่อนตวาดเสียงดัง 

             มือหนาเอื้อมหยิบกุญแจห้องที่ตกพื้นขึ้นมาใส่กระเป๋าเสื้อเชิ้ตด้วยสีหน้าราบเรียบ ภคินลืมสนิท ว่า...นัดทำกิจกรรมในร่มกับไอริณไว้เมื่อคืน

             “ผมลืม”

             “ลืม!!! คุณพูดง่ายๆแบบนี้เนี่ยนะ”

             “ครับ...เอาเป็นว่าผมขอโทษละกัน” ยอมรับผิดโดยดุษณี 

             “กรี๊ดดดด!!! ไอ้ผู้ชายเฮงซวย ถ้าไม่มีน้ำยาก็อย่ามาให้ความหวังคนอื่นสิยะ จะไปตายที่ไหนก็ไปเลย...ไป้!!!” ด่าจบก็กระแทกรองเท้าส้นเข็มดังตึงตังออกจากห้อง ท่ามกลางความตกใจของผู้เห็นเหตุการณ์

             “คุณภคินขอโทษนะคะ ดิฉันพยายามห้ามแล้ว แต่...” เลขานุการสาวยกมือขอโทษขอโพย

             “ไม่เป็นไรครับ” เจ้าตัวไม่ถือสาหาความ “คุณไปทำงานต่อเถอะครับ”

             “เฮ้ย! ไอ้คิน แกปล่อยผู้หญิงสวยเช้งขนาดนี้หลุดมือไปได้อย่างไรวะ” รัชชานนท์แทบไม่เชื่อสายตา สีหน้ากระอักกระอ่วนใจมากกว่าคนโดนกระทำ “ไม่ได้การล่ะ...ต้องไปปลอบขวัญสักหน่อย” พูดจบก็รีบตามนางแบบสาวออกไป โดยไม่วายหันกลับมาย้ำ “นี่ฉันกู้ศักดิ์ศรีเพื่อเป็นหน้าเป็นตาให้แกนะเว้ย”

             ใบหน้าคมคายส่ายน้อยๆอย่างเอือมระอา เพราะแบบนี้ภคินถึงประทับใจในตัวไปรยาครั้งแรกที่เจอ เธอไม่สนใจไยดีรูปร่าง หน้าตา หรือ ฐานะ ที่เขามีพรั่งพร้อม ต่างจากผู้หญิงหลายคนมักเข้ามาเพื่อหวังบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งสามารถปรนเปรอความสุขให้พวกหล่อนได้เท่านั้น

     

             ริ้วเมฆสีเทาทะมึนสลับทับซ้อนเป็นลวดลายบนนภาสีส้มยามอาทิตย์ใกล้ลาลับขอบฟ้า การจราจรย่านสีลมหลังเลิกงานจึงติดยิ่งกว่าติด และ วุ่นวายด้วยผู้คนนับพันซึ่งเดินขวักไขว่ริมถนน ร้านรวง และ แผงอาหารต่างๆ เริ่มตั้งขายให้เหล่าพนักงานกินเงินเดือนตาดำๆพอประทังชีวิต เอก พิมพ์ และ ดาว 3 ลูกจ้างคนสำคัญของบริษัท PP Design ทยอยเก็บข้าวของใส่กระเป๋าเตรียมกลับบ้าน ทำให้ไปรยาที่เดินลงมาจากชั้น 2 ร้องทักท้วงพวกเขาเอาไว้

             “จะกลับแล้วเหรอ อยู่กินข้าวเย็นกันก่อนสิจ๊ะ” เธอเชิญชวนพนักงานด้วยอัธยาศัยไมตรี

             ทั้ง 3 คนมองหน้ากันอย่างชั่งใจเล็กน้อย จากนั้นจึงวางสัมภาระตนเองลงบนเก้าอี้ตามเดิม

             “ปฏิเสธคุณแป้งไม่ได้สักที” ดาวเอ่ย

             “ฝีมือคุณแป้งอร่อยที่สุดแล้ว” พิมพ์ชม

             “ขอให้เป็นของฟรี ผมชอบครับ” 2 สาว ตีไหล่เอกคนละเพี้ยะ ข้อหาพูดตรงเกินไป “อะไรเล่า...พูดความจริงผิดตรงไหน” ชายหนุ่มโวยวายปัดป้อง 2 มือเล็กๆ 

             “ทะเลาะกันได้ไม่เว้นวัน เฮ้อ....” นายจ้างสาวถอนหายใจ “ขึ้นไปรอชั้นสองได้เลยจ้ะ...วันนี้ฉันทำแกงจืดตำลึงหมูบะช่อ ผัดหมึกกระเทียมพริกไทย เดี๋ยวจะทำไข่เจียวผักรวมร้อนๆเพิ่มให้ด้วย”

             แค่ได้ยินชื่ออาหารท้องก็ร้องโครกคราก ยิ่งฝีมือการทำกับข้าวของไปรยานั้นเป็นที่ประจักษ์ว่าเด็ดดวงมาก ทั้ง 3 คนจึงไม่รีรอที่จะขึ้นไปเตรียมรับประทานมื้อเย็นบนชั้น 2 หญิงสาวตรวจตราความเรียบร้อยด้านล่าง พลางล็อคประตูเพื่อความปลอดภัยต่อทรัพย์สินต่างๆ แล้วตั้งท่าจะเดินขึ้นบันได...

             ก็อกๆๆ

             ภคินยืนเคาะกระจกอยู่ด้านนอก ดวงตาเปี่ยมประกายความหวัง ริมฝีปากยิ้มแย้มแจ่มใส ราวกับมีความสุขเสียเต็มประดาที่ได้เจอหน้าเธออีกครั้ง เห็นดังนั้นเจ้าของบ้านก็รุดไปเปิดประตูให้ทันที

             “คุณภคินมาได้อย่างไรคะเนี่ย?”

             “พอดีผมผ่านมาทางนี้ ก็เลยแวะเอาเงินค่าจ้างงวดสุดท้ายมาให้น่ะครับ” ไม่พูดเปล่า รีบยื่นซองเงินให้เป็นหลักฐาน

             “ขอบคุณมากค่ะ...แต่ไม่เห็นต้องลำบากมาด้วยตัวเองเลย” เธอรู้สึกเกรงใจ รับซองบรรจุค่ากินค่าอยู่ประทังชีวิตตลอด 3 เดือนเอาไว้ “ความจริงแล้วคุณโอนมาให้ฉันก็ได้ค่ะ”

             “เอ่อ...ไม่ได้หรอกครับ เพราะผมต้องการคุยธุระกับคุณเรื่องงานใหม่ด้วย”

             “งานอะไรเหรอคะ?” 

             “เอ่อ...งาน...ออ...งานวันเกิดผมครับ วันศุกร์หน้าเป็นวันเกิดผม” ภคินยอมแก่ก่อนกำหนด 3 เดือน “ผมว่าจะจัดงานวันเกิดภายในบ้านแบบกันเองเฉพาะเพื่อนฝูง ไม่ทราบว่าคุณไปรยารับงานนี้ได้ไหมครับ?”

             “ทำไมจะไม่ได้ล่ะคะ ด้วยความยินดีเลยค่ะ”

             “ถ้าเช่นนั้นผมจะเอารายละเอียดของงานมาให้วันหลังนะครับ” เขาเอ่ย พลางก้มลงมองนาฬิกาข้อมือเรือนงาม “เดี๋ยวผมคงต้องขอตัวก่อนนะครับ มัวแต่ประชุม เลยยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เที่ยง ขืนชักช้ากว่านี้ร้านอาหารเจ้าประจำคงปิดเสียก่อน” 

             “เอ่อ...ฉันเพิ่งทำอาหารเย็นเสร็จเมื่อสักครู่ ถ้าไม่รังเกียจอยู่รับประทานด้วยกันไหมคะ?” 

             นั่นล่ะที่ต้องการ! 

             “จะดีเหรอ...ผมเกรงใจจังครับ”

             “พวกเราทำงานร่วมกัน ก็เปรียบเสมือนลงเรือลำเดียวกันแล้ว ไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะ” อีกฝ่ายอุตส่าห์มีน้ำใจเอาเงินค่าจ้างกับงานใหม่มามอบให้ถึงที่ เธอก็ควรตอบแทนเขาบ้างเล็กๆน้อยๆ “และถือว่าเป็นการตอบแทน ที่คุณพาฉันไปส่งตลาดเมื่อเช้าด้วยค่ะ”

             “ถ้าเช่นนั้นก็ยินดีครับ”

             หลังปิดประตูบ้านเรียบร้อย ทั้งคู่ก็พากันขึ้นไปบนชั้น 2 ทำให้ 3 พนักงานยกมือไหว้ภคินด้วยความประหม่า ไม่คาดคิดว่าท่านประธานบริษัทยักษ์ใหญ่จะมาร่วมวงกินข้าวด้วยกัน ส่วนชายหนุ่มเองก็ไม่เสียดายที่มีคนอื่นอยู่เป็นก้างขวางคอ เพราะอยากให้ไปรยาอุ่นใจว่าเขาไม่ได้มาเพื่อหวังล่วงเกินเธอ

             “คุณภคินนั่งตามสบายเลยนะคะ” มือบางผายทางเก้าอี้ติดหัวโต๊ะ

             “ขอบคุณครับ” ยังไม่ทันจะหย่อนก้นนั่ง จู่ๆเสียงฝีเท้าก็ดังตึงตังๆขึ้นมาจากชั้นล่าง

             ทุกคนเหลียวมองชายในชุดนักศึกษาที่ก้าวขึ้นบันไดมา 2 มือหอบข้าวของพะรุงพะรัง ทั้งแผ่นโพลีโพรพีลีน หรือ ฟิวเจอร์บอร์ด ม้วนกระดาษสีต่างๆ ซึ่งใช้สำหรับทำงานโฆษณาส่งอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย ผู้เป็นมารดาเห็นลูกชายกลายเป็นบ้าหอบฟางก็รีบเข้าไปช่วยถือ ด้วยเกรงจะหงายหลังกลิ้งตกลงไปเสียก่อน

             “ปัน...วันนี้กลับบ้านเร็วจังลูก”

             “วันนี้การบ้านเยอะมากครับแม่ อาจารย์เลยอนุญาตให้กลับบ้านเร็ว”

             “ดีเลย...จะได้กินข้าวด้วยกัน” ไปรยาไม่ได้รับประทานอาหารเย็นพร้อมปัณฑ์ธรนานแล้ว ระยะหลังๆกว่าเขาจะกลับถึงบ้านก็เกือบ 4 ทุ่มกว่า “รีบเอาของไปเก็บในห้อง แล้วล้างเนื้อล้างตัวสักหน่อย...ค่อยลงมากินข้าวกินปลา”

             “ครับ” อีกฝ่ายรับคำ พลัน เหลือบพบแขกพิเศษดูคุ้นหน้าคุ้นตาพิกล “นั่น...”

             “ออ...นั่นคุณภคิน เป็นผู้ว่าจ้างของแม่เอง” เธอแนะนำ

             สำหรับปัณฑ์ธรแล้ว ชื่อเสียงเรียงนาม กับ สถานภาพของอีกฝ่ายไม่สำคัญเท่าความรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาที่มีต่อชายตรงหน้า รูปลักษณ์ดูดีตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าใต้ชุดสูทแบรนด์เนม กับ เครื่องประดับราคาแพงนั้น บ่งบอกถึงความเป็นผู้ดีมีฐานะพอสมควร 

    ร่ำรวยเหมือนกับ...

    “เฮ้ย!!! นายนั่นเอง”

    คราแรกภคินไม่มั่นใจว่าปัณฑ์ธรเป็นผู้เสียหายเรื่องเมื่อคืนนั้น ทว่า ครั้นเห็นหน้าคร่าตาชัดๆก็จดจำได้ทันที นึกตำหนิตัวเองที่ดันไม่นึกเฉลียวใจผมสีทองสว่างไสวของเด็กหนุ่มตั้งแต่เจอเดินควงคู่กับไปรยา เพราะหลงคิดว่าการย้อมสีผมหรือกัดสีผมนั้นใครๆก็ทำได้ อีกทั้งยังไม่ฉุกใจว่าสถานที่เกิดเหตุใกล้กับบ้านของหญิงสาวเหลือเกิน

    “ที่แท้ก็น้องนั่นเอง”

    งานงอกแล้ว...พ่อเสือแอบหวั่นใจ

    “ใครเป็นน้องนายวะ!” อีกฝ่ายสวนกลับ จนผู้เป็นมารดาฟาดฝ่ามือใส่ต้นแขนดังเพี้ยะ

    “ปัน! ทำไมพูดกับคุณภคินแบบนี้ รีบขอโทษเขาเดี๋ยวนี้เลยนะ”

    “แม่...ไอ้หมอนี่ คือ คนที่ขับรถเกือบชนผมเมื่อสัปดาห์ก่อน” ปัณฑ์ธรไม่ขอโทษ และ รีบฟ้องทันควัน

    “เอ๊ะ...หมายความว่าอย่างไรคะ?” เธอหันไปคาดคั้นคนตัวโตแทนลูกชาย

    “เมื่อสัปดาห์ก่อนผมขับรถเกือบชนลูกชายคุณไปรยาครับ” เขารับสารภาพ ไม่จำเป็นต้องปิดบังแต่อย่างใด “ผมพยายามจะพาไปส่งโรงพยาบาล พร้อมจ่ายค่าทำขวัญ แต่ลูกชายของคุณปฏิเสธไม่ยอมรับความช่วยเหลือ ผมเลยจนใจไม่รู้จะทำอะไรได้ดีไปกว่าขอโทษครับ” หน้าหล่อเหลาสลดลงเห็นได้ชัด “ถ้าคุณโกรธ...ผมก็เข้าใจ อย่างไรเสียก็เป็นความผิดของผมที่ดื่มเหล้า แล้วขับรถโดยประมาท”

    “ช่างเถอะค่ะ...เพราะลูกชายฉันไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหน ส่วนคุณเองก็ไม่ได้ตั้งใจ ถือว่าแล้วไปแล้วละกัน” หญิงสาวตัดบทโดยไม่คิดถือสาหาความ 

    อดีตไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ นอกจากทำปัจจุบันให้ดีที่สุด ฉะนั้นยึดติดไปก็พลอยแต่จะขุ่นข้องหมองใจกันเสียเปล่าๆ และ ไม่เกิดประโยชน์อะไรด้วย

    “แต่แม่ครับ...”

    “ปัน...รีบเอาข้าวของไปเก็บ แล้วลงมากินข้าวกินปลา!” น้ำเสียงไปรยาหนักแน่นพอๆกับดวงตาแข็งกร้าว กำราบเด็กขี้ฟ้องเสียจนยอมสยบลงง่ายๆ 

    “ครับ!!!” ปัณฑ์ธรรู้ดีว่าไม่ควรทำให้ผู้เป็นมารดาโกรธ มิเช่นนั้นพายุใหญ่อาจถล่มบ้าน จึงทำเพียงเดินตึงตังขึ้นชั้นบน โดยไม่วายเหลียวมองภคินตาขวางราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

     

             ในที่สุดมื้อเย็นก็เดินทางมาถึงเสียที...

    แกงจืดตำลึงหมูบะช่อ กับ ผัดหมึกกระเทียมพริกไทย บนโต๊ะไม้ขนาดกลางส่งกลิ่นหอมฉุยหลังไปรยาจัดการอุ่นอีกรอบ เพราะมัวเสียเวลาเคลียร์ปัญหาระหว่างภคินกับปัณฑ์ธรจนอาหารเย็นชืด หลายท้องเริ่มส่งเสียงโครกคราก ทำให้ดาวรีบตักข้าวจากหม้อใส่จานแจกจ่ายทุกคน ขณะรอแม่ครัวหัวป่าก์ตั้งกระทะเตรียมทำไข่เจียวผักรวมเพิ่มเติมอีกอย่าง แต่แล้วมือหนึ่งกลับแย่งตะหลิวกับถ้วยคนไข่ไปจากเธอ

    “ผมช่วยครับ” ปัณฑ์ธรขันอาสา มักใช้วิธีช่วยเหลืองานบ้านเพื่อง้อมารดาทุกครั้ง “แม่ไปนั่งรอเถอะครับ”

    “ขอบใจจ้ะ” ส่งยิ้มให้ลูกชาย แล้วเดินไปนั่งประจำที่ตรงหัวโต๊ะ ท่าทางกระอักกระอ่วนใจของชายหนุ่มข้างกายนั้นบ่งบอกถึงความรู้สึกผิดยังคั่งค้างในใจ “คุณภคินรับประทานอาหารพวกนี้ได้ใช่ไหมคะ?” ไปรยาพยายามผ่อนคลายบรรยากาศตึงเครียด

    “ได้ครับ...ผมเป็นคนง่ายๆกินได้ทุกอย่าง ยกเว้นกุ้งเท่านั้น” 

    “ฉันแค่เกรงว่าอาหารจะไม่ถูกปากคุณน่ะค่ะ”

    “อย่ากังวลเลยครับ...ผมก็กินอาหารเหมือนคนทั่วๆไป ไม่ได้หรูเลิศอลังการจานละเป็นพันเป็นหมื่นหรอกครับ” เขาคาดเดาความคิดเธอได้ 

    หลายคนมักเข้าใจว่าคนรวยต้องกินอาหารแพงๆสมฐานะทุกคน ยิ่งเป็นฝีมือของแม่ม่ายสาวพราวเสน่ห์ด้วยแล้ว ต่อให้เป็นเปิบพิสดารหรือไม่อร่อยก็ยอม

    เพียงชั่วครู่จานไข่เจียวผักรวมก็วางลงกลางโต๊ะ สีเหลืองทองตัดสีส้มของแครอทกับสีเขียวของผักนานาชนิดเรียกน้ำย่อยให้ทุกคนพากันยื้อแย่งใส่ปากโดยไม่รั้งรอ ปัณฑ์ธรนั่งที่ประจำข้างมารดาซึ่งตรงข้ามกับภคินพอดิบพอดี ชายหนุ่มพยายามไม่ใส่ใจสายตาขุ่นเคืองของอีกฝ่าย แล้วเลือกกินหมึกชิ้นโตเป็นอันดับแรก

    “คุณภคินตัวจริงนี่หล่อกว่าในโทรทัศน์กับนิตยสารอีกนะคะ” พิมพ์เปิดประเด็นทำลายความอึมครึม

    “นั่นสิ...ผมเป็นผู้ชายแท้ๆยังอดชื่นชมคุณไม่ได้เลย คนอะไรสมบูรณ์แบบไปหมด” เอกยอมรับ

    “น่าเสียดายไม่ได้เจอคุณภคินตั้งแต่งานเลี้ยงเมื่อคืน เพราะมัววุ่นวายกับงานจนหัวหมุนไปหมดเลยค่ะ” ดาวเอ่ยขึ้นมาบ้าง 

    ไม่มีใครสังเกตเห็นหนุ่มผมทองลอบชักสีหน้าหมั่นไส้กับคำเยินยอของแต่ละคน

    “ขอบคุณสำหรับคำชมนะครับ แต่ความจริงแล้วไม่มีใครเพียบพร้อมสมบูรณ์แบบไปหมดทุกอย่าง ต่างคนต่างมีข้อดีและข้อเสียของตัวเอง เพราะต่อให้ผมทำงานมีประสิทธิภาพขนาดไหนก็ยังต้องพึ่งพาบุคลากรจำนวนมาก แต่คุณไปรยากับทุกคนสามารถทำงานต่างๆออกมาดีเยี่ยมโดยใช้จำนวนคนอันน้อยนิด แบบไหนน่าชื่นชมมากกว่ากันครับ” ถ้อยคำหวานแสดงถึงความอ่อนน้อมถ่อมตนนั้น เรียกรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าสะสวยของไปรยา 

    แม้ท่านประธานบริษัทยักษ์ใหญ่อายุอานามน้อยกว่า แต่ความคิดความอ่านเฉลียวฉลาดพอดู

    “คุยระหว่างกินข้าว...ระวังอาหารจะเย็นหมดนะครับ” ปัณฑ์ธรเตือน

    บรรยากาศภายในห้องครัวกลับมาเงียบเชียบอีกครั้ง ภคินไม่อยากสร้างปัญหาหนักใจแก่ทุกคนจึงไม่พูดไม่จาอะไรอีก ตักไข่เจียวฝีมือพ่อลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของไปรยาเข้าปาก รสชาติไม่เลว หวานๆเค็มๆ นับว่าฝีมือสูสีผู้เป็นแม่พอตัว จากนั้นค่อยซดน้ำแกงตาม การรับประทานมื้อเย็นคงผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ถ้าจู่ๆชายหนุ่มไม่รู้สึกคันยิบๆขึ้นมา เขาพยายามอดทนฝืนกินข้าวต่อไปสักพักใหญ่กระทั่งเริ่มกลืนอาหารยากขึ้น...

    แคร้งงงง!!!

    ช้อนส้อมในมือหนาถูกปล่อยร่วงกระทบจาน ดึงสายตาทุกคู่เหลียวมองแขกพิเศษ ที่บัดนี้มีผื่นแดงขึ้นตามหู คอ และ จมูก ตา กับ ปากบวมเจ่อ หายใจลำบากขนาดหอบสั่นทั่วทั้งร่าง 

    “ว้าย...คุณภคินเป็นอะไรไปคะ?”

    “ผะ...ผมคิดว่า...ผมแพ้อาหาร” น้ำเสียงขาดหายเป็นช่วงๆ “อาจเป็นกุ้ง”

    “ตายจริง...ดาวไปหยิบยาแก้แพ้ในตู้เก็บยามาหน่อยเร็ว!” ไปรยาสั่งพนักงานสาวเสียงดัง แล้วหันมองอาหารบนโต๊ะอย่างงุนงง “แต่ฉันไม่ได้ใช้กุ้งทำอาหาร...เอ๊ะ...” 

    นึกเฉลียวใจ...

    ใช้ช้อนส้อมเขี่ยดูสิ่งแปลกปลอมในไข่เจียว ปรากฏกุ้งแห้งตัวเล็กๆสีส้มสดปะปนกับแครอทจนแทบแยกไม่ออก ครั้นรู้สาเหตุแน่ชัดแล้วก็หันไปหาตัวการทันที

    “ลูกทำอะไรน่ะ!!!”

    “ก็ผมอยากกินไข่เจียวใส่กุ้งแห้งมันผิดตรงไหนครับ”

    ใครจะไปรู้ว่าภคินแพ้กุ้ง ตั้งใจแกล้งเพราะนึกว่าแค่ไม่ชอบเท่านั้น สีหน้าคนผิดซีดเผือดบ่งบอกความหวาดกลัว พลางวิ่งหนีขึ้นชั้นบนไป

     “ปัน...ปันกลับมาเดี๋ยวนี้นะ!!!” หญิงสาวตะโกนเรียกลูกชาย แต่ไม่สามารถตามกลับมาได้ เพราะต้องรีบช่วยเอกกับพิมพ์ปฐมพยาบาลคนป่วยเป็นการใหญ่ ท่ามกลางความสับสนอลหม่านนั้นชายหนุ่มหมดสติไปเสียแล้ว!

    หมอกสีขาวโพลนบดบังทุกอย่าง จนภคินไม่สามารถเห็นอะไรได้ เขาจึงพยายามวิ่ง วิ่ง และ วิ่งออกจากสถานที่แห่งนั้น พลัน เท้าก็สะดุดบางสิ่งจนล้มคะมำไม่เป็นท่า แต่พอเงยหน้าขึ้นมากลับกลายเป็นว่ากำลังนอนอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ ผ้าห่มหนาสีฟ้าลายสก็อตพอให้ความอบอุ่น แต่ไม่เท่ามือเรียวบางของคุณหญิงรัศมีที่อุ่นกว่า เด็กชายวัย 8 ขวบเริ่มร้องไห้โยเย เพื่อออดอ้อนบุพการีมาดูแลสนใจเช่นที่เคยทำยามป่วยไข้ แต่แล้วดวงตาซึ่งทอประกายความห่วงใยของผู้เป็นแม่แลสูญหายไปในชั่ววินาทีสั้นๆ เมื่อได้ยินเสียงร้องไห้จ้าของทารกแว่วดังจากอีกห้องหนึ่ง

    “ลูกโตแล้ว ลูกต้องเข้มแข็งนะ แม่ต้องไปดูนุชก่อน” คุณหญิงรัศมีห่วงหลานสาวที่เพิ่งคลอด เนื่องจากลูกสาวกับลูกเขยต้องไปช่วยคุณภูมินทร์ทำงานที่บริษัท ภาระเรื่องเลี้ยงดูเด็กๆจึงตกเป็นของผู้แก่ประสบการณ์อย่างหล่อน

    “แต่...” ไม่ทันเอ่ยอะไร มืออุ่นๆของแม่ก็อันตราธานหายไป พร้อมหมอกสีขาวพวยพุ่งเข้ามาปกคลุมรอบบริเวณอีกครั้ง ภคินไขว่คว้าหาที่ยึดเกาะในอากาศว่างเปล่าราวคนใกล้จมน้ำ พลัน มือเล็กๆของใครบางคนก็กุมมือเขาเอาไว้แน่นแล้วเขย่าแรงๆ

    “คุณภคิน...คุณภคินค่ะ”

    แสงจ้าของหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์แยงนัยน์ตาทันทีที่ตื่นขึ้นมาพบ กลิ่นยาอวลโชยแตะปลายจมูกเหมือนเร่งเร้าชายหนุ่มตื่นจากห้วงภวังค์ ภาพเลือนรางค่อยๆชัดเจนขึ้นทีละน้อยๆดั่งโฟกัสกล้องปรับเข้าที่เข้าทาง หญิงสาวแสนสวยนั่งอยู่ข้างเตียง และ กุมมือเขาเอาไว้หลวมๆแต่มั่นคง ดวงตาคู่งามฉายประกายแห่งความดีใจ คลี่ยิ้มสดใสมอบให้ จนคนป่วยแอบหลงคิดว่ากำลังอยู่กับนางฟ้าบนสรวงสวรรค์

    “คุณภคินรู้สึกตัวแล้ว เล่นเอาฉันใจหายใจคว่ำหมดเลยค่ะ” ไปรยาร้องบอก

    “ครับ...เอ่อ...เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ?” เขายังจำเรื่องราวอะไรไม่ค่อยได้

    “คุณแพ้กุ้งก็เลยหมดสติไปค่ะ” ตอบด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดีนัก “ฉันต้องขอโทษจริงๆสำหรับเรื่องทั้งหมด ลูกชายฉันเป็นฝ่ายผิดที่ทำอะไรโดยไม่ไตร่ตรองให้รอบคอบ ขอโทษจริงๆค่ะ” ยกมือพนมไหว้อย่างเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

    “ไม่เป็นไรครับ” เขาไม่ติดใจเอาความอะไรทั้งนั้น “ผมเองก็ไม่ได้พูดให้ชัดเจนว่าแพ้กุ้ง อย่าโทษลูกชายเลยครับ”

    “ขอบคุณมากค่ะ”

    คนตัวโตบิดกายคลายความเมื่อยล้า กวาดดวงตามองรอบๆ เมื่อเพิ่งรู้สึกตัวว่าอยู่ภายในโรงพยาบาล มิน่าเล่าถึงเหม็นกลิ่นยาน่าสะอิดสะเอียนแบบนี้ กระนั้นมันก็ไม่ได้ทำให้เขาสนใจมากกว่าเรื่อง...

    “ผมมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรครับ?” ภคินสงสัย 

    นี่ได้นอนรถหวอโดยไม่รู้ตัวเลยเหรอเนี่ย

    “เอ่อ...อย่าโกรธฉันนะคะ คือ ตอนนั้นฉันตกใจเพราะเห็นคุณหมดสติไปแล้ว ครั้นจะเรียกรถพยาบาลก็เกรงไม่ทัน” สีหน้าไปรยาหวาดวิตกกับสิ่งที่กำลังจะเอ่ยต่อจากนี้ “ฉันเลยถือวิสาสะขับรถของคุณ เพื่อพาคุณมาส่งโรงพยาบาลค่ะ” ยื่นกุญแจบูกัตติ เวย์รอนส่งคืนให้ชายหนุ่มที่นิ่งอึ้งเรียบร้อย

    “คุณขับรถของผมเหรอครับ?” ถามกลับไป

    “ค่ะ...แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ รับรองว่ารถของคุณไม่มีร่องรอยขีดข่วนหรือบุบสลายแน่นอน” เธอรีบอธิบาย พลางล้วงใบขับขี่ของตนเองออกมาแสดงต่อหน้าคนป่วย “ฉันมีใบขับขี่ แต่ไม่มีรถยนต์เท่านั้นค่ะ” ตึกแถวที่อาศัยอยู่ตอนนี้ ก็ได้เงินส่วนหนึ่งจากการขายรถยุโรป ซึ่งสู้อุตส่าห์ฟูมฟักทนุถนอมแทบตาย

    “อย่ากังวลเลยครับ...ผมจะโกรธคนที่เพิ่งช่วยชีวิตผมได้อย่างไร” ภคินไม่ได้เห็นรถราคาร้อยล้านของตนเองสูงส่งกว่าน้ำใจของหญิงสาวตรงหน้า 

    ความประทับใจที่มีต่อไปรยาเพิ่มพูนขึ้นอีกหลายเท่าตัว ตั้งแต่เขาเกิดมายังไม่เคยพบเจอสาวใจถึง บึ่งจ้าวแห่งความเร็วของคนอื่นโดยปราศจากความกลัวสักคน เพราะราคาแพงระยับนั้นอาจส่งผลต่อความมั่นคง และ ความเป็นอยู่ ยามเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาเพียงเล็กน้อย

    แล้วแบบนี้จะไม่ให้หลงใหลแม่สาวคนนี้ได้อย่างไร!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×