คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 2 : ทำไมกุหลาบเป็นสีแดง?
ตอนที่ 2 : ทำไมกุหลาบเป็นสีแดง?
ประเทศญี่ปุ่นปีคริสต์ราช
20XX หรือ ยุคปัจจุบัน
“อยากรู้มั้ยว่าทำไมกุหลาบถึงเป็นสีแดง...ลองเข้ามาค้นหาคำตอบที่โรงเรียน
Rosaceae ดูสิ ไม่แน่ว่าท่านอาจแถลงไขในปัญหานี้ได้...”
นี่คือคำเชิญชวนรับสมัครนักเรียนของโรงเรียน
Rosaceae หรือ คฤหาสน์ Rosaceae แต่เดิม
ซึ่งบัดนี้ได้ถูกต่อเติมเป็นโรงเรียนประจำนานาชาติคริสต์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังพอสมควรในช่วงสิบปีมานี้
หลังถูกปล่อยให้รกร้างนานกว่าหกสิบปีนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์อันเลวร้ายในอดีต
แต่ถึงกระนั้นสวนกุหลาบสีขาวก็ยังคงบานสะพรั่งอยู่ด้านหลังตัวอาคาร
ไม่มีทีท่าว่าจะเหี่ยวเฉาหรือแห้งตายแต่อย่างใด มันกลายเป็นจุดเด่นและจุดขายมีหลายคนยอมสมัครเข้ามาเรียนเพราะความคลาสสิกของตัวอาคารหินอ่อนแบบเก่าสไตล์ตะวันตก
และ บรรยากาศที่สวยงาม มีสวนหย่อมร่มรื่นด้านหน้า มีสวนกุหลาบสีขาวกว้างด้านหลัง
“มิยูกิ
ทำไมเธอถึงได้มาสมัครเรียนมัธยมปลายปีหนึ่งที่นี่ล่ะ?” เรนะ หญิงสาววัยสิบหกปีเอ่ยถามเพื่อนสาวร่วมห้องที่เพิ่งรู้จักกันในวันนี้ซึ่งเป็นวันแรกของการเปิดเทอม
“อ๋อ...พอดีพ่อแม่ฉันมีปัญหาทางการเงินเลยต้องขายบ้านที่โตเกียวใช้หนี้
แล้วนึกได้ว่าคุณปู่เคยปลูกบ้านอยู่แถวๆนี้ ฉันก็เลยต้องย้ายทั้งบ้านทั้งโรงเรียนตามพ่อแม่มาด้วย...”
มิยูกิ หญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกันเอ่ยตอบเพื่อนใหม่ที่นั่งอยู่ข้างๆระหว่างรออาจารย์เข้ามาโฮมรูม
“โหย...ฉันนึกว่าเธอเห็นป้ายโฆษณาของโรงเรียนซะอีก”
“ป้ายอะไรเหรอ?” มิยูกิเอียงคอมองเรนะด้วยสีหน้าแปลกใจนิดหน่อย
“ก็ป้ายสีดำมีกรอบล้อมด้วยหนามกุหลาบ
เขียนคำว่า ‘อยากรู้มั้ยว่าทำไมกุหลาบถึงเป็นสีแดง...ลองเข้ามาค้นหาคำตอบที่โรงเรียน
Rosaceae ดูสิ ไม่แน่ว่าท่านอาจแถลงไขในปัญหานี้ได้...’
ฉันว่ามันน่าสนใจ ก็เลยขอพ่อแม่ย้ายมาเรียนต่อที่นี่ แต่พอเอาเข้าจริงๆไม่ยักเห็นดอกกุหลาบสีแดงสักดอก
มีแต่สวนกุหลาบสีขาวด้านหลังเท่านั้นเอง” เรนะบ่นกระปอดกระแปดด้วยความเสียดาย
“แหม...นึกว่าเรื่องอะไรซะอีก แต่ก็คุ้มค่าแล้วนะที่ได้มาเรียนที่นี่
เพราะตั้งแต่เกิดมาฉันยังไม่เคยเจอสวนกุหลาบที่ไหนกว้างใหญ่ขนาดนี้มาก่อนเลย”
“นั่นล่ะ...ฉันถึงได้พยายามทำใจไง
เพราะถ้าแลกกับสถานที่สวยงามแบบนี้ก็คงต้องยอม อีกอย่าง...เขาบอกให้เข้ามาค้นหาใช่มั้ยว่าทำไมกุหลาบเป็นสีแดง
มันอาจจะเป็นปริศนาที่รอคอยคนมาค้นหา ฉะนั้นจะให้เจอง่ายๆได้ยังไง”
“แหม...เรนะ
ช่างพูดให้กำลังใจตัวเองดีจริงๆ” มิยูกิหัวเราะเบาๆ
“ก็แหม...เอาเถอะน่า
อ๊ะ...จริงสิ...คุณปู่มิยูกิเคยอาศัยอยู่แถวนี้จริงๆเหรอ ฉันเคยฟังข่าวร่ำลือว่าเมื่อห้าสิบกว่าปีก่อน
ผู้คนที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้ต่างหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยทีละคนสองคนแล้วค่อยๆมากขึ้นเรื่อยๆ
ในที่สุดทุกคนก็หายตัวไปอย่างลึกลับจนกลายเป็นเมืองร้าง แล้วทางการก็มาฟื้นฟูบูรณะเมื่อสิบปีที่ผ่านมานี่เอง...”
เรนะเอ่ยตามสิ่งที่เคยได้ยินมา
”ใช่...คุณปู่ฉันก็อยู่ในช่วงนั้นด้วยล่ะ
แต่ท่านอพยพหนีไปอยู่ที่โตเกียวกับเพื่อนๆบางคนได้ทัน...”
“ว้าย...แสดงว่ามันเป็นเรื่องจริงใช่มั้ยเนี่ย...น่ากลัวจังเลย
แล้วพวกเราต้องมาอาศัยอยู่แถวนี้ตั้งสามปีถึงจะเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายปีสาม จะไม่เป็นอะไรเหรอ?”
“คงไม่เป็นไรหรอกมั้งเรนะ เพราะตอนนี้ก็มีผู้คนอพยพเข้ามาปลูกบ้านช่องเต็มไปหมด
อีกอย่างเรื่องมันผ่านไปตั้งนานแล้วคงไม่มีอะไรหรอก” หญิงสาวตอบ
พลัน...อาจารย์สาวที่เพิ่งเดินเข้ามาก็ตะโกนเสียงดังขัดนักเรียนทั้งห้องที่กำลังพูดคุยเป็นนกกระจอกแตกรัง
“เอ้าๆๆ...เงียบๆหน่อย
จะเริ่มคาบโฮมรูมแล้ว!!!” ทุกคนนั่งเงียบมองดูอาจารย์สาวผมยาวดัดปลายเป็นลอนใหญ่
แต่งหน้าจัดแต่เข้ากับชุดรัดรูปสีแดงสดของเธอ
“ฉันชื่อ มิอุระ จูริ เป็นอาจารย์ประจำชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายปีหนึ่งห้องสามของพวกเธอ
หวังว่าคงรู้กฎระเบียบต่างๆในโรงเรียนแล้วใช่มั้ย แต่...ฉันจะทวนข้อสำคัญให้ฟังอีกสักรอบ...
ข้อแรก...ทางโรงเรียนไม่อนุญาตให้นักเรียนสวมสร้อยคอหรือเครื่องประดับต่างๆ
เพราะมีหลายคนที่สวมใส่ของราคาแพงแล้วทำสูญหาย แน่นอนว่าโรงเรียนจะไม่รับผิดชอบ...ฉะนั้นห้ามสวมใส่เด็ดขาด
ข้อสอง...โรงเรียนแบ่งเป็นสองระดับ
นั่นคือ ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นที่สามารถไปกลับระหว่างบ้านกับโรงเรียนได้ แต่...ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายต้องอยู่หอใน
ซึ่งหอผู้ชายอยู่ทางปีกตะวันออกของอาคาร ส่วนหอผู้หญิงอยู่ทางปีกตะวันตกของอาคาร เพื่อกันเรื่องชู้สาวซึ่งอาจเกิดปัญหาได้
ห้องพักหนึ่งห้องมีรูมเมทสี่คนตามรายชื่อที่ประกาศไว้ก่อนวันเปิดเทอม ห้ามย้ายห้องเองโดยพละการเด็ดขาด
แล้วคนที่อยู่ในหอห้ามออกจากห้องพักหลังเที่ยงคืน ถ้ามีปัญหาหรือธุระสำคัญจริงๆให้ติดต่ออาจารย์ที่คุมหอแต่ละชั้น...เข้าใจนะ”
“เข้าใจครับ/ค่ะ” นักเรียนทั้งห้องตอบรับ มิยูกิอดถอนหายใจเบาๆไม่ได้ แม้เธอจะขนย้ายข้าวของเข้ามาในหอแล้วก็จริงแต่ก็ยังไม่เคยเห็นหน้าตาของรูมเมทสักคน
อีกทั้งชื่อก็ยังจำไม่ค่อยได้ ไม่รู้ว่าจะเข้ากันได้หรือเปล่า เฮ้อ...เอาเถอะ...ยังไงวันนี้ก็คงต้องเจอกันอยู่แล้ว...
“เรื่องสำคัญที่ฉันจะพูดกับพวกเธอก็มีเพียงเท่านี้ล่ะ
ชั่วโมงต่อไปเป็นคาบอิสระ...ซึ่งชมรมต่างๆมีการรับสมัครสมาชิก ขอให้พวกเธอเลือกเข้าตามใจชอบ
แต่อย่าให้ฉันรู้ว่ามีคนไม่ยอมลงสมัคร รับรองว่า...หมดสิทธิ์สอบปลายภาคเพราะคะแนนกิจกรรมจะไม่มีแน่นอน”
อาจารย์จูริเอ่ยเสร็จก็เดินออกไป นักเรียนทั้งห้องเลยแยกย้ายไปตามหาชมรม
“มิยูกิ...เราไปหาชมรมอยู่ด้วยกันเถอะ”
เรนะพูดพลางจูงมือเพื่อนสาวออกไปจากห้องเรียน มิยูกิตกใจนิดหน่อยเมื่อโดนกึ่งฉุดกึ่งลากพาวิ่งไปตามระเบียงอาคารไม่ค่อยๆหาชมรมเหมือนคนอื่น
ราวกับมีที่ตั้งใจเข้าสมัครเอาไว้แล้ว
“ช้าๆหน่อยก็ได้เรนะ เธอจะรีบไปไหนเนี่ย
อ๊ะ...นั่นชมรมจัดดอกไม้ กับ ชมรมชงชา พวกเราจะไม่ลองเข้าไปดูกันเหรอ?” มิยูกิถามหญิงสาวที่ยังลากเธอต่อไป
“ฉันมีที่ดีกว่านี้” เธอตอบด้วยรอยยิ้ม ก่อนพามาหยุดยืนตรงหน้าห้องคณะกรรมการนักเรียน ซึ่งมีแต่นักเรียนหญิงยืนออเต็มไปหมด
“ทำไมที่นี่คนเยอะจัง...?”
มิยูกิพึมพำด้วยความประหลาดใจ
“เพราะใครๆก็ล้วนอยากสมัครเป็นคณะกรรมการนักเรียน
เนื่องจาก...” เรนะยังไม่ทันตอบ ประตูห้องก็ถูกเปิดออกพร้อมเสียงกรี๊ดดังระงมไปทั่วระเบียงอาคาร
มิยูกิมองดูผู้ชายสองคนที่เดินออกมา คนหนึ่งมีผมสีดำ นัยน์ตาสีเขียวมรกต ไม่ยิ้มแย้มแต่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์อย่างน่าประหลาด
ส่วนอีกคนมีผมสีดำแกมน้ำตาล นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อน
ยิ้มแย้มแจ่มใสเอ่ยทักทายทุกคนในบริเวณนั้น
“ขอขอบคุณทุกๆคนมากเลยนะครับ
ที่พร้อมใจมาสมัครเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการนักเรียน ใจจริงแล้วผมก็อยากรับทุกคนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพวกเรา
แต่คงไม่ไหวเพราะห้องเล็กนิดเดียว...” สาวๆหัวเราะคิกคักไปกับคำพูดหวานๆใส่อารมณ์ขันของชายหนุ่มร่างบาง
“รุ่นพี่กาเอลนี่พูดจาน่ารักจัง”
“นั่นสิ...ดูใจดีกว่ารุ่นพี่โชเฮอีก
แต่ฉันก็ชอบทั้งคู่นะ น่ารักมีเสน่ห์ไปคนละแบบ” มิยูกิมองสาวๆที่คลั่งไคล้ชายหนุ่มทั้งสองคนด้วยสีหน้าเจื่อนๆ
เฮอะ...นักเรียนหญิงพวกนี้ไม่ไหวเลย ต้องการสมัครเป็นคณะกรรมการนักเรียนเพียงเพราะผู้ชาย
ไม่ได้นึกถึงหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบเลยว่ามีมากมายเพียงใด ก่อนเหลือบไปมองเพื่อนสาวแล้วต้องถอนหายใจเมื่อเรนะเองก็จ้องมองรุ่นพี่สองคนนั้นไม่วางตาแถมยิ้มจนแก้มแทบปริอยู่แล้ว
“ตอนนี้ทุกคนช่วยกันกรอกใบสมัครก่อนนะครับ...”
กาเอลแบ่งใบสมัครให้เพื่อนชายช่วยแจกสาวๆที่ยืนออรออยู่ เขารับด้วยสีหน้าเรียบเฉยยื่นกระดาษแต่ละใบให้คนนั้นคนนี้อย่างไม่ยินดีเสียเท่าไร
แต่พวกหล่อนดูปรีดาสุดๆ...จนกระทั่งใบสมัครนั้นยื่นมาตรงหน้ามิยูกิ
“เอ้า...รีบๆรับไปสิ” โชเฮพูดด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย มิยูกิสะดุ้งนิดหน่อยก่อนหันไปกระซิบถามเรนะที่ยืนอยู่ข้างๆ
“พวกเราจะสมัครเป็นคณะกรรมการนักเรียนกันจริงๆเหรอ?”
“ใช่...ลองดูก่อนก็ไม่เสียหาย”
มิยูกิเลยจำยอมรับใบสมัครตามเพื่อนสาวที่ตั้งใจจะเข้าเป็นส่วนหนึ่งของคณะกรรมการนักเรียน
ก่อนที่หลายคนจะรีบกรอกข้อมูลเพื่อส่งแล้วรอสัมภาษณ์จากชายหนุ่มทั้งคู่ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นประธานนักเรียนกับรองประธานนักเรียน
โชเฮแบ่งนักเรียนที่ต้องการสมัครเป็นคณะกรรมการนักเรียนเข้าไปสัมภาษณ์ชุดละยี่สิบคน
ซึ่งมิยูกิกับเรนะนั้นเป็นชุดสุดท้าย กว่าจะได้รับการสัมภาษณ์ก็กินเวลาหลังจากส่งใบสมัครเกือบหนึ่งชั่วโมง
“ทำไมน้องถึงอยากเป็นส่วนหนึ่งในคณะกรรมการนักเรียนครับ?”
กาเอลรับหน้าที่เป็นคนสัมภาษณ์และคัดเลือก ส่วนโชเฮไม่ทำอะไรนอกเสียจากนั่งนิ่งๆมองดูโน่นดูนี่นอกหน้าต่างบานกว้างด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย
มิยูกิอดไม่ได้ที่จะแขวะเขาในใจ เฮอะ...ถ้าการทำหน้าที่ประธานนักเรียนมันน่าเบื่อขนาดนั้น
ทำไมไม่ลาออกจากตำแหน่งนี้ไปเสียเลยนะ...
“เพราะอยากใกล้ชิดรุ่นพี่โชเฮกับรุ่นพี่กาเอลค่า”
นักเรียนหญิงคนหนึ่งเอ่ยตอบฉะฉาน ทำเอาหลายคนหัวเราะคิกคักกับความตรงไปตรงมาของเธอ
“แหม...พี่ดีใจนะที่น้องพูดแบบนั้น
แต่คะแนนพิศวาสสำหรับการคัดเลือกคณะกรรมการนักเรียนมันไม่มีนะครับ” เขาตอบเธออย่างอารมณ์ดี
“แล้วน้องล่ะครับ ทำไมถึงอยากเป็นส่วนหนึ่งของคณะกรรมการนักเรียน?”
เขาถามเรนะ...
“เพราะต้องการดูแลรักษาความสงบให้โรงเรียน
และต้องการช่วยเหลือหรือแบ่งเบาภาระต่างๆของพวกรุ่นพี่ค่ะ” เธอเอ่ยด้วยความมั่นใจราวกับตระเตรียมคำตอบนั้นมานานแล้ว
กาเอลยิ้มนิดๆพลางจดคะแนน ก่อนเดินมาหยุดตรงหน้ามิยูกิ เขามองดูรายชื่อจากใบสมัครแล้วชะงักไปนิดหน่อย
“เอ่อ...แล้วน้องล่ะครับ
ทำไมถึงอยากเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของคณะกรรมการนักเรียน?” หญิงสาวนั่งนิ่งเงียบพยายามนึกคำตอบที่เหมาะสม
แน่นอนว่าเธอไม่ได้คิดมาสมัครเพราะเห็นแก่หน้าตาหล่อๆของรุ่นพี่สองคนนี้ แต่ถ้าเธอจะเป็นคณะกรรมการนักเรียนก็คงเพราะ...
“ต้องการพัฒนาตัวเองให้มีความรับผิดชอบมากขึ้น
เพราะการเป็นคณะกรรมการนักเรียนนอกจากจะต้องรับผิดชอบช่วยเหลือเรื่องต่างๆในโรงเรียน
ยังเป็นการฝึกฝนตัวเองให้มีความรับผิดชอบมากขึ้นด้วย” กาเอลพยักหน้าแล้วจดคะแนน
“โอเคครับ...การสัมภาษณ์เสร็จสิ้นแล้ว
วันพรุ่งนี้ให้น้องๆมาฟังผลที่กระดานข่าวหน้าห้องนี้นะครับ” กาเอลโบกมือลาให้หญิงสาวหลายคนที่ค่อยๆทยอยเดินออกจากห้อง
ในขณะที่โชเฮยังคงไม่สนใจอะไรทำให้มิยูกิรู้สึกเกลียดอีตาคนนี้ขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ ให้ตายเถอะ...เห็นแล้วไม่ถูกชะตาเอาเสียเลย
เนื่องจากวันนี้เป็นวันแรกของการเปิดเทอมเลยไม่มีการเรียนการสอน
นักเรียนหลายคนเริ่มทยอยกลับห้องพักหลังเลือกชมรมเสร็จสิ้น เช่นเดียวกับมิยูกิที่เดินหน่ายๆไปยังห้องพักของตัวเอง
นั่นคือ ห้องห้าศูนย์สาม ชั้นห้า ทางปีกตะวันตกของอาคาร
เท้าทั้งสองหยุดยืนที่หน้าประตูไม้บานใหญ่ก่อนเคาะเบาๆเป็นเชิงขออนุญาตเพื่อนร่วมห้องคนอื่น
เมื่อเปิดเข้าไปก็พบกับเตียงสองชั้นสองตัวที่ตั้งอยู่คนละมุมห้องซ้ายขวา กับ หญิงสาวสองคนซึ่งกำลังจัดข้าวของอยู่ก่อนหน้า...
“เอ่อ...สวัสดีค่ะ ฉันชื่อ
มิยูกิ เป็นรูมเมท ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ” เธอแนะนำตัว
“สวัสดีจ้า ฉัน ไอยะ
ยินดีที่ได้รู้จัก” หญิงสาวผมยาวดัดลอนเล็กๆ นัยน์ตากลมโตบ้องแบ๊วเหมือนตุ๊กตาเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงสดใส
ในขณะที่อีกคนกลับนิ่งเงียบไม่พูดจาอะไร
“เอ่อ...แล้วนั่น?” มิยูกิเอ่ยถาม
“ออ...นี่ ฮิคารุ
เธอเป็นคนไม่ค่อยพูดแต่ก็นิสัยดีนะ เรารู้จักกันตอนสมัครเข้าเรียนที่นี่” ไอยะแนะนำเพื่อนสาวอีกคนแทนเจ้าตัวที่ก้มหน้าก้มตาทำโน่นทำนี่ไม่สนใจอะไร มิยูกิมองดูร่างกายเพรียวบางแถมสูงโปร่งกว่าผู้หญิงส่วนใหญ่คล้ายกับนักกีฬา
แต่หน้าตาสะสวยใช่เล่น
“เอ่อ...ฉันนอนเตียงฝั่งซ้ายด้านล่าง
ส่วนฮิคารุนอนด้านบน ฉะนั้นเตียงฝั่งขวาก็ยกให้เธอกับรูมเมทอีกคนละกันนะจ้ะ”
ไอยะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี มิยูกิโค้งศีรษะแทนคำขอบคุณพลางจะปีนบันไดขึ้นไปเพื่อจองเตียงด้านบนเพราะค่อนข้างส่วนตัวกว่าด้านล่าง
พลัน...ประตูห้องก็ถูกเปิดออกพร้อมรูมเมทคนใหม่
“สวัสดีจ้า...เรนะมาช้าไปหน่อย
ยินดีที่ได้รู้จักทุกคน!!!” มิยูกิมองเพื่อนสาวร่วมห้องด้วยความตกใจ
“เรนะ!!”
“อ้าว...มิยูกิ กรี๊ดดดด!!!
ดีใจจังเลย เธอก็พักห้องนี้ด้วยเหรอ” เรนะตรงเข้ามาเขย่าไม้เขย่ามือหญิงสาวด้วยความดีใจ
ก่อนที่การแนะนำตัวจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง...
มิยูกิรู้สึกอุ่นใจพอสมควร...อย่างน้อยรูมเมททั้งสามคนก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากมาย
เรนะเป็นเพื่อนร่วมห้องซึ่งสนิทที่สุดในตอนนี้ ส่วนไอยะเข้ากับทุกคนได้หมดเพราะความเป็นกันเองของเธอ
มีแต่ฮิคารุที่ไม่ค่อยพูดจาอะไร แต่เธอก็ไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจคงเพราะเป็นคนเงียบๆมากกว่า
เมื่ออาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำเวลาอาหารเย็นก็เริ่มขึ้น
นักเรียนในหอค่อยๆทยอยกันไปรวมตัวที่โรงอาหาร มิยูกิได้นั่งทานข้าวกับรูมเมทของเธอ
พลางพูดคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ก่อนกลับขึ้นห้องพักอีกครั้ง
“ไปอาบน้ำกันเถอะ!!!” เรนะเอ่ยชวนในขณะที่มือสองข้างหอบหิ้วผ้าเช็ดตัวกับอุปกรณ์อาบน้ำต่างๆไว้
“ไปกันก่อนเถอะ
ฉันขอนอนพักสักงีบ...” มิยูกิตอบด้วยน้ำเสียงเหนื่อยๆเพราะเป็นวันแรกของการเปิดเทอมเลยยังปรับตัวไม่ค่อยได้มากนัก
“เอางั้นก็ได้ แล้วฮิคารุล่ะ?”
เรนะเอ่ยถามหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงของเธอเอง
“ไม่ล่ะ” ฮิคารุตอบพลางหันตะแคงเข้าผนัง
“เอางั้นก็ได้ เรนะไปกันเถอะ”
ไอยะพูดพลางควงแขนเพื่อนร่วมทีมออกไป มิยูกิเลยค่อยๆปีนบันไดขึ้นเตียงด้านบนของตัวเอง...
“ถ้าสองคนนั้นกลับมา
เราไปอาบน้ำด้วยกันมั้ยฮิคารุ?” เธอชักชวนเพื่อนร่วมห้องที่นอนอยู่ฝั่งตรงข้าม
แต่ทว่า...
“ไม่ล่ะ...ฉันไม่ชอบใช้เวลาส่วนตัวร่วมกับใคร!”
คำพูดนั้นทำเอามิยูกิรู้สึกไม่ค่อยดีเลยไม่ซักไซ้อะไรต่อไป
ก่อนเอนกายลงนอน เมื่อสัมผัสความนุ่มของหมอนกับฟูกร่างกายที่เมื่อยล้าก็เริ่มไร้ความรู้สึกเช่นเดียวกับสติที่ค่อยๆเลือนหายไป...
ไม่รู้ว่านานเท่าไรที่เธอผล็อยหลับเพราะรู้สึกตัวอีกทีทั้งห้องก็มืดมิดเสียแล้ว
หญิงสาวค่อยๆปรือตาแล้วเอื้อมมือไขว้คว้าหาไฟฉายอันเล็กๆตรงหัวเตียงขึ้นมาส่องนาฬิกาเรือนใหญ่ตรงผนังก็พบว่าเป็นเวลาเที่ยงคืนกว่า
ให้ตายสิ...เลยเวลาออกจากห้องแล้ว น้ำก็ยังไม่ได้อาบเลยแท้ๆไม่น่านอนเพลินไปหน่อยเลย...เธออดโทษตัวเองไม่ได้อีกทั้งท้องก็เริ่มร้องเบาๆเมื่อตื่นขึ้นมา
“หิวจัง…” มิยูกิค่อยๆปีนบันไดลงมาอย่างเบาที่สุดเพราะกลัวเพื่อนๆตื่น
พลางเดินไปหยิบขนมปังในกระเป๋าซึ่งซื้อจากโรงอาหารเมื่อตอนเย็นมาแกะทานประทังความหิว
แสงจันทร์เต็มดวงเล็ดลอดผ่านผ้าม่านหน้าต่างที่ถูกปิด
จนอดไม่ได้ที่จะเดินไปเปิดมันเพื่อรับแสงสว่างนั้น ลมเบาๆพัดผ่านจนรู้สึกเหมือนความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ากำลังปลิดปลิวออกไป
ทิวทัศน์ของโรงเรียนในยามค่ำคืนช่างสวยงามโดยเฉพาะกุหลาบสีขาวในสวนกว้างเบื้องล่างซึ่งกำลังบานสะพรั่งรับแสงจันทร์
ทันใดนั้นเอง...กุหลาบสีขาวที่เธอเห็นก็ค่อยๆกลายเป็นสีแดงเข้มไล่เลี่ยไปเรื่อยๆจนเต็มสวน
มิยูกิมองดูภาพตรงหน้าด้วยความตกใจ...นี่มันเกิดอะไรขึ้น!!!
“ทำไมกุหลาบเป็นสีแดง?”
เธอพึมพำราวกับไม่เชื่อสายตา “นี่ๆ...ทุกคนตื่นเร็วๆ!!!”
มิยูกิโวยวายเรียกเพื่อนร่วมห้องเสียงดังให้ตื่นจากนิทราที่หลับใหล
“มีอะไรเหรอมิยูกิ
ฉันกำลังหลับสบายเลย…” เรนะลุกขึ้นมาถามด้วยสภาพงัวเงีย
“นั่นสิ...อะไรของเธอ?” ฮิคารุเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเท่าไร
“ฉันเห็นกุหลาบในสวนเป็นสีแดง!!!”
มิยูกิร้องบอก
“กุหลาบมันมีตั้งหลายสี...จะมีสีแดงก็ไม่เห็นแปลกเลย...ห๊ะ!!!
อะไรนะ...กุหลาบในสวนเป็นสีแดงเหรอ!!” เรนะนึกขึ้นได้ก็กระวีกระวาดลุกจากเตียงพลางปรี่ไปที่หน้าต่างบานกว้างทันที
“ไหนๆ...?”
“นั่นไงในสวน...” มิยูกิชี้ไปที่สวนกว้างเบื้องล่าง ทว่า...บัดนี้มันกลับกลายเป็นสีขาวดั่งเดิมเสียแล้ว
“เฮ้ย...ไม่จริงน่า เมื่อสักครู่ฉันเห็นจริงๆนะ
ว่ากุหลาบทั้งสวนมันกลายเป็นสีแดงหมดเลย” หญิงสาวพยายามพูดให้ทุกคนเชื่อ...
“ไม่เห็นจะมีเลย เธอตาฝาดหรือเปล่าเนี่ยมิยูกิ
โธ่เอ้ย...นึกว่าจะเจอความลับเรื่องทำไมกุหลาบเป็นสีแดงอะไรนั่นเสียอีก” เรนะบ่นด้วยความเสียดาย
“อะไรกัน...พวกเธอเข้ามาเรียนที่นี่เพราะหลงเชื่อคำโฆษณานั่นน่ะเหรอ?”
ฮิคารุถามด้วยน้ำเสียงเหยียดๆ
“เอ่อ...ก็ใช่ แล้วทำไมล่ะ มันน่าค้นหาดีออก”
เรนะโต้เถียงกลับไป
“ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อหรือลบหลู่หรอกนะ
แต่ฉันคิดว่า...ถ้าพวกเธอเข้ามาเรียนที่นี่เพียงเพราะต้องการค้นหาปริศนาบ้าๆนั่น อนาคตพวกเธอคงลำบากแน่ๆ”
เมื่อพูดจบฮิคารุก็หันกลับไปนอนต่อ
“ฮึ่ย...คนอะไรไร้มรรยาทสิ้นดี”
เรนะบ่นพึมพำ มิยูกิเลยตบไหล่เพื่อนสาวเบาๆเป็นเชิงขอโทษ
“เรนะ...ฉันขอโทษ แต่...ฉันไม่ได้โกหกนะ”
“ไม่ต้องขอโทษหรอกมิยูกิ
ฉันไม่ได้โกรธอะไร แต่...ที่เธอเห็นอาจเพราะเกิดจากความเหนื่อยเลยทำให้ตาฝาดก็ได้”
“ฉันไม่ได้ตาฝาดนะ
โธ่เอ้ย...ไอยะล่ะเชื่อฉันมั้ย?” มิยูกิหันไปถามเพื่อนร่วมห้องอีกคน
ทว่า...ไม่มีร่างของบุคคลที่เอ่ยถึงบนเตียงนอนหรือในห้องเลย
“อ้าว...ไอยะหายไปไหนเนี่ย?”
เรนะถามด้วยความงุนงง พลางเดินไปที่ประตูห้องก็พบว่าลูกบิดไม่ได้ล็อค
“ประตูไม่ได้ล็อค แสดงว่าออกไปข้างนอก...”
“ให้ตายเถอะ...ทั้งๆที่อาจารย์ไม่ให้ออกไปนอกห้องหลังเที่ยงคืนแท้ๆ
ไอยะออกไปทำอะไรนะ...จะเป็นอะไรหรือเปล่าเนี่ย...” มิยูกิรู้สึกเป็นห่วงเพื่อนร่วมห้องขึ้นมาจับใจ
“ไม่เอาน่ามิยูกิ...เธอไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก
ที่นี่เป็นโรงเรียนนะไม่ใช่สนามรบ ไอยะอาจมีธุระสำคัญจริงๆเลยต้องออกไป
เดี๋ยวก็คงกลับมา...” เรนะตัดบทด้วยการทิ้งตัวลงนอนต่อ มิยูกิถอนหายใจเบาๆเพื่อคลายความฟุ้งซ่านแต่จิตใจกลับกระวนกระวายอย่างน่าประหลาดเมื่อคิดถึงภาพกุหลาบสีขาวทั้งสวนที่เปลี่ยนเป็นสีแดง
มันเหมือนกับ...สีเลือด...เหลือเกิน...
ความคิดเห็น