ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Bloody-Rose ปริศนาหัวใจ เจ้าชายแวมไพร์

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 2 : ทำไมกุหลาบเป็นสีแดง?

    • อัปเดตล่าสุด 15 ต.ค. 60


    ตอนที่ 2 : ทำไมกุหลาบเป็นสีแดง?

             ประเทศญี่ปุ่นปีคริสต์ราช 20XX หรือ ยุคปัจจุบัน
             “อยากรู้มั้ยว่าทำไมกุหลาบถึงเป็นสีแดง...ลองเข้ามาค้นหาคำตอบที่โรงเรียน Rosaceae ดูสิ ไม่แน่ว่าท่านอาจแถลงไขในปัญหานี้ได้...
             นี่คือคำเชิญชวนรับสมัครนักเรียนของโรงเรียน Rosaceae หรือ คฤหาสน์ Rosaceae แต่เดิม ซึ่งบัดนี้ได้ถูกต่อเติมเป็นโรงเรียนประจำนานาชาติคริสต์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังพอสมควรในช่วงสิบปีมานี้ หลังถูกปล่อยให้รกร้างนานกว่าหกสิบปีนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์อันเลวร้ายในอดีต
             แต่ถึงกระนั้นสวนกุหลาบสีขาวก็ยังคงบานสะพรั่งอยู่ด้านหลังตัวอาคาร ไม่มีทีท่าว่าจะเหี่ยวเฉาหรือแห้งตายแต่อย่างใด มันกลายเป็นจุดเด่นและจุดขายมีหลายคนยอมสมัครเข้ามาเรียนเพราะความคลาสสิกของตัวอาคารหินอ่อนแบบเก่าสไตล์ตะวันตก และ บรรยากาศที่สวยงาม มีสวนหย่อมร่มรื่นด้านหน้า มีสวนกุหลาบสีขาวกว้างด้านหลัง
             “มิยูกิ ทำไมเธอถึงได้มาสมัครเรียนมัธยมปลายปีหนึ่งที่นี่ล่ะ?” เรนะ หญิงสาววัยสิบหกปีเอ่ยถามเพื่อนสาวร่วมห้องที่เพิ่งรู้จักกันในวันนี้ซึ่งเป็นวันแรกของการเปิดเทอม
             “อ๋อ...พอดีพ่อแม่ฉันมีปัญหาทางการเงินเลยต้องขายบ้านที่โตเกียวใช้หนี้ แล้วนึกได้ว่าคุณปู่เคยปลูกบ้านอยู่แถวๆนี้ ฉันก็เลยต้องย้ายทั้งบ้านทั้งโรงเรียนตามพ่อแม่มาด้วย...มิยูกิ หญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกันเอ่ยตอบเพื่อนใหม่ที่นั่งอยู่ข้างๆระหว่างรออาจารย์เข้ามาโฮมรูม
             “โหย...ฉันนึกว่าเธอเห็นป้ายโฆษณาของโรงเรียนซะอีก
             “ป้ายอะไรเหรอ?” มิยูกิเอียงคอมองเรนะด้วยสีหน้าแปลกใจนิดหน่อย
             “ก็ป้ายสีดำมีกรอบล้อมด้วยหนามกุหลาบ เขียนคำว่าอยากรู้มั้ยว่าทำไมกุหลาบถึงเป็นสีแดง...ลองเข้ามาค้นหาคำตอบที่โรงเรียน Rosaceae ดูสิ ไม่แน่ว่าท่านอาจแถลงไขในปัญหานี้ได้...ฉันว่ามันน่าสนใจ ก็เลยขอพ่อแม่ย้ายมาเรียนต่อที่นี่ แต่พอเอาเข้าจริงๆไม่ยักเห็นดอกกุหลาบสีแดงสักดอก มีแต่สวนกุหลาบสีขาวด้านหลังเท่านั้นเองเรนะบ่นกระปอดกระแปดด้วยความเสียดาย
             “แหม...นึกว่าเรื่องอะไรซะอีก แต่ก็คุ้มค่าแล้วนะที่ได้มาเรียนที่นี่ เพราะตั้งแต่เกิดมาฉันยังไม่เคยเจอสวนกุหลาบที่ไหนกว้างใหญ่ขนาดนี้มาก่อนเลย
             “นั่นล่ะ...ฉันถึงได้พยายามทำใจไง เพราะถ้าแลกกับสถานที่สวยงามแบบนี้ก็คงต้องยอม อีกอย่าง...เขาบอกให้เข้ามาค้นหาใช่มั้ยว่าทำไมกุหลาบเป็นสีแดง มันอาจจะเป็นปริศนาที่รอคอยคนมาค้นหา ฉะนั้นจะให้เจอง่ายๆได้ยังไง
             “แหม...เรนะ ช่างพูดให้กำลังใจตัวเองดีจริงๆมิยูกิหัวเราะเบาๆ
             “ก็แหม...เอาเถอะน่า อ๊ะ...จริงสิ...คุณปู่มิยูกิเคยอาศัยอยู่แถวนี้จริงๆเหรอ ฉันเคยฟังข่าวร่ำลือว่าเมื่อห้าสิบกว่าปีก่อน ผู้คนที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้ต่างหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยทีละคนสองคนแล้วค่อยๆมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดทุกคนก็หายตัวไปอย่างลึกลับจนกลายเป็นเมืองร้าง แล้วทางการก็มาฟื้นฟูบูรณะเมื่อสิบปีที่ผ่านมานี่เอง...เรนะเอ่ยตามสิ่งที่เคยได้ยินมา
             ”ใช่...คุณปู่ฉันก็อยู่ในช่วงนั้นด้วยล่ะ แต่ท่านอพยพหนีไปอยู่ที่โตเกียวกับเพื่อนๆบางคนได้ทัน...
             “ว้าย...แสดงว่ามันเป็นเรื่องจริงใช่มั้ยเนี่ย...น่ากลัวจังเลย แล้วพวกเราต้องมาอาศัยอยู่แถวนี้ตั้งสามปีถึงจะเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายปีสาม จะไม่เป็นอะไรเหรอ?”
             “คงไม่เป็นไรหรอกมั้งเรนะ เพราะตอนนี้ก็มีผู้คนอพยพเข้ามาปลูกบ้านช่องเต็มไปหมด อีกอย่างเรื่องมันผ่านไปตั้งนานแล้วคงไม่มีอะไรหรอกหญิงสาวตอบ พลัน...อาจารย์สาวที่เพิ่งเดินเข้ามาก็ตะโกนเสียงดังขัดนักเรียนทั้งห้องที่กำลังพูดคุยเป็นนกกระจอกแตกรัง
             “เอ้าๆๆ...เงียบๆหน่อย จะเริ่มคาบโฮมรูมแล้ว!!!”  ทุกคนนั่งเงียบมองดูอาจารย์สาวผมยาวดัดปลายเป็นลอนใหญ่ แต่งหน้าจัดแต่เข้ากับชุดรัดรูปสีแดงสดของเธอ
             “ฉันชื่อ มิอุระ จูริ เป็นอาจารย์ประจำชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายปีหนึ่งห้องสามของพวกเธอ หวังว่าคงรู้กฎระเบียบต่างๆในโรงเรียนแล้วใช่มั้ย แต่...ฉันจะทวนข้อสำคัญให้ฟังอีกสักรอบ...
             ข้อแรก...ทางโรงเรียนไม่อนุญาตให้นักเรียนสวมสร้อยคอหรือเครื่องประดับต่างๆ เพราะมีหลายคนที่สวมใส่ของราคาแพงแล้วทำสูญหาย แน่นอนว่าโรงเรียนจะไม่รับผิดชอบ...ฉะนั้นห้ามสวมใส่เด็ดขาด
             ข้อสอง...โรงเรียนแบ่งเป็นสองระดับ นั่นคือ ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นที่สามารถไปกลับระหว่างบ้านกับโรงเรียนได้ แต่...ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายต้องอยู่หอใน ซึ่งหอผู้ชายอยู่ทางปีกตะวันออกของอาคาร ส่วนหอผู้หญิงอยู่ทางปีกตะวันตกของอาคาร เพื่อกันเรื่องชู้สาวซึ่งอาจเกิดปัญหาได้ ห้องพักหนึ่งห้องมีรูมเมทสี่คนตามรายชื่อที่ประกาศไว้ก่อนวันเปิดเทอม ห้ามย้ายห้องเองโดยพละการเด็ดขาด แล้วคนที่อยู่ในหอห้ามออกจากห้องพักหลังเที่ยงคืน ถ้ามีปัญหาหรือธุระสำคัญจริงๆให้ติดต่ออาจารย์ที่คุมหอแต่ละชั้น...เข้าใจนะ
             “เข้าใจครับ/ค่ะนักเรียนทั้งห้องตอบรับ มิยูกิอดถอนหายใจเบาๆไม่ได้ แม้เธอจะขนย้ายข้าวของเข้ามาในหอแล้วก็จริงแต่ก็ยังไม่เคยเห็นหน้าตาของรูมเมทสักคน อีกทั้งชื่อก็ยังจำไม่ค่อยได้ ไม่รู้ว่าจะเข้ากันได้หรือเปล่า เฮ้อ...เอาเถอะ...ยังไงวันนี้ก็คงต้องเจอกันอยู่แล้ว...
             “เรื่องสำคัญที่ฉันจะพูดกับพวกเธอก็มีเพียงเท่านี้ล่ะ ชั่วโมงต่อไปเป็นคาบอิสระ...ซึ่งชมรมต่างๆมีการรับสมัครสมาชิก ขอให้พวกเธอเลือกเข้าตามใจชอบ แต่อย่าให้ฉันรู้ว่ามีคนไม่ยอมลงสมัคร รับรองว่า...หมดสิทธิ์สอบปลายภาคเพราะคะแนนกิจกรรมจะไม่มีแน่นอนอาจารย์จูริเอ่ยเสร็จก็เดินออกไป นักเรียนทั้งห้องเลยแยกย้ายไปตามหาชมรม
             “มิยูกิ...เราไปหาชมรมอยู่ด้วยกันเถอะเรนะพูดพลางจูงมือเพื่อนสาวออกไปจากห้องเรียน มิยูกิตกใจนิดหน่อยเมื่อโดนกึ่งฉุดกึ่งลากพาวิ่งไปตามระเบียงอาคารไม่ค่อยๆหาชมรมเหมือนคนอื่น ราวกับมีที่ตั้งใจเข้าสมัครเอาไว้แล้ว
             “ช้าๆหน่อยก็ได้เรนะ เธอจะรีบไปไหนเนี่ย อ๊ะ...นั่นชมรมจัดดอกไม้ กับ ชมรมชงชา พวกเราจะไม่ลองเข้าไปดูกันเหรอ?” มิยูกิถามหญิงสาวที่ยังลากเธอต่อไป
             “ฉันมีที่ดีกว่านี้เธอตอบด้วยรอยยิ้ม ก่อนพามาหยุดยืนตรงหน้าห้องคณะกรรมการนักเรียน ซึ่งมีแต่นักเรียนหญิงยืนออเต็มไปหมด
             “ทำไมที่นี่คนเยอะจัง...?” มิยูกิพึมพำด้วยความประหลาดใจ
             “เพราะใครๆก็ล้วนอยากสมัครเป็นคณะกรรมการนักเรียน เนื่องจาก...เรนะยังไม่ทันตอบ ประตูห้องก็ถูกเปิดออกพร้อมเสียงกรี๊ดดังระงมไปทั่วระเบียงอาคาร มิยูกิมองดูผู้ชายสองคนที่เดินออกมา คนหนึ่งมีผมสีดำ นัยน์ตาสีเขียวมรกต ไม่ยิ้มแย้มแต่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์อย่างน่าประหลาด ส่วนอีกคนมีผมสีดำแกมน้ำตาล นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อน ยิ้มแย้มแจ่มใสเอ่ยทักทายทุกคนในบริเวณนั้น
             “ขอขอบคุณทุกๆคนมากเลยนะครับ ที่พร้อมใจมาสมัครเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการนักเรียน ใจจริงแล้วผมก็อยากรับทุกคนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพวกเรา แต่คงไม่ไหวเพราะห้องเล็กนิดเดียว...สาวๆหัวเราะคิกคักไปกับคำพูดหวานๆใส่อารมณ์ขันของชายหนุ่มร่างบาง
             “รุ่นพี่กาเอลนี่พูดจาน่ารักจัง
             “นั่นสิ...ดูใจดีกว่ารุ่นพี่โชเฮอีก แต่ฉันก็ชอบทั้งคู่นะ น่ารักมีเสน่ห์ไปคนละแบบมิยูกิมองสาวๆที่คลั่งไคล้ชายหนุ่มทั้งสองคนด้วยสีหน้าเจื่อนๆ เฮอะ...นักเรียนหญิงพวกนี้ไม่ไหวเลย ต้องการสมัครเป็นคณะกรรมการนักเรียนเพียงเพราะผู้ชาย ไม่ได้นึกถึงหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบเลยว่ามีมากมายเพียงใด ก่อนเหลือบไปมองเพื่อนสาวแล้วต้องถอนหายใจเมื่อเรนะเองก็จ้องมองรุ่นพี่สองคนนั้นไม่วางตาแถมยิ้มจนแก้มแทบปริอยู่แล้ว
             “ตอนนี้ทุกคนช่วยกันกรอกใบสมัครก่อนนะครับ...กาเอลแบ่งใบสมัครให้เพื่อนชายช่วยแจกสาวๆที่ยืนออรออยู่ เขารับด้วยสีหน้าเรียบเฉยยื่นกระดาษแต่ละใบให้คนนั้นคนนี้อย่างไม่ยินดีเสียเท่าไร แต่พวกหล่อนดูปรีดาสุดๆ...จนกระทั่งใบสมัครนั้นยื่นมาตรงหน้ามิยูกิ
             “เอ้า...รีบๆรับไปสิโชเฮพูดด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย มิยูกิสะดุ้งนิดหน่อยก่อนหันไปกระซิบถามเรนะที่ยืนอยู่ข้างๆ
             “พวกเราจะสมัครเป็นคณะกรรมการนักเรียนกันจริงๆเหรอ?”
             “ใช่...ลองดูก่อนก็ไม่เสียหายมิยูกิเลยจำยอมรับใบสมัครตามเพื่อนสาวที่ตั้งใจจะเข้าเป็นส่วนหนึ่งของคณะกรรมการนักเรียน ก่อนที่หลายคนจะรีบกรอกข้อมูลเพื่อส่งแล้วรอสัมภาษณ์จากชายหนุ่มทั้งคู่ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นประธานนักเรียนกับรองประธานนักเรียน
             โชเฮแบ่งนักเรียนที่ต้องการสมัครเป็นคณะกรรมการนักเรียนเข้าไปสัมภาษณ์ชุดละยี่สิบคน ซึ่งมิยูกิกับเรนะนั้นเป็นชุดสุดท้าย กว่าจะได้รับการสัมภาษณ์ก็กินเวลาหลังจากส่งใบสมัครเกือบหนึ่งชั่วโมง
             “ทำไมน้องถึงอยากเป็นส่วนหนึ่งในคณะกรรมการนักเรียนครับ?” กาเอลรับหน้าที่เป็นคนสัมภาษณ์และคัดเลือก ส่วนโชเฮไม่ทำอะไรนอกเสียจากนั่งนิ่งๆมองดูโน่นดูนี่นอกหน้าต่างบานกว้างด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย มิยูกิอดไม่ได้ที่จะแขวะเขาในใจ เฮอะ...ถ้าการทำหน้าที่ประธานนักเรียนมันน่าเบื่อขนาดนั้น ทำไมไม่ลาออกจากตำแหน่งนี้ไปเสียเลยนะ...
             “เพราะอยากใกล้ชิดรุ่นพี่โชเฮกับรุ่นพี่กาเอลค่านักเรียนหญิงคนหนึ่งเอ่ยตอบฉะฉาน ทำเอาหลายคนหัวเราะคิกคักกับความตรงไปตรงมาของเธอ
             “แหม...พี่ดีใจนะที่น้องพูดแบบนั้น แต่คะแนนพิศวาสสำหรับการคัดเลือกคณะกรรมการนักเรียนมันไม่มีนะครับเขาตอบเธออย่างอารมณ์ดี
             “แล้วน้องล่ะครับ ทำไมถึงอยากเป็นส่วนหนึ่งของคณะกรรมการนักเรียน?” เขาถามเรนะ...
             “เพราะต้องการดูแลรักษาความสงบให้โรงเรียน และต้องการช่วยเหลือหรือแบ่งเบาภาระต่างๆของพวกรุ่นพี่ค่ะเธอเอ่ยด้วยความมั่นใจราวกับตระเตรียมคำตอบนั้นมานานแล้ว กาเอลยิ้มนิดๆพลางจดคะแนน ก่อนเดินมาหยุดตรงหน้ามิยูกิ เขามองดูรายชื่อจากใบสมัครแล้วชะงักไปนิดหน่อย
             “เอ่อ...แล้วน้องล่ะครับ ทำไมถึงอยากเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของคณะกรรมการนักเรียน?” หญิงสาวนั่งนิ่งเงียบพยายามนึกคำตอบที่เหมาะสม แน่นอนว่าเธอไม่ได้คิดมาสมัครเพราะเห็นแก่หน้าตาหล่อๆของรุ่นพี่สองคนนี้ แต่ถ้าเธอจะเป็นคณะกรรมการนักเรียนก็คงเพราะ...
             “ต้องการพัฒนาตัวเองให้มีความรับผิดชอบมากขึ้น เพราะการเป็นคณะกรรมการนักเรียนนอกจากจะต้องรับผิดชอบช่วยเหลือเรื่องต่างๆในโรงเรียน ยังเป็นการฝึกฝนตัวเองให้มีความรับผิดชอบมากขึ้นด้วยกาเอลพยักหน้าแล้วจดคะแนน
             “โอเคครับ...การสัมภาษณ์เสร็จสิ้นแล้ว วันพรุ่งนี้ให้น้องๆมาฟังผลที่กระดานข่าวหน้าห้องนี้นะครับกาเอลโบกมือลาให้หญิงสาวหลายคนที่ค่อยๆทยอยเดินออกจากห้อง ในขณะที่โชเฮยังคงไม่สนใจอะไรทำให้มิยูกิรู้สึกเกลียดอีตาคนนี้ขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ ให้ตายเถอะ...เห็นแล้วไม่ถูกชะตาเอาเสียเลย

             เนื่องจากวันนี้เป็นวันแรกของการเปิดเทอมเลยไม่มีการเรียนการสอน นักเรียนหลายคนเริ่มทยอยกลับห้องพักหลังเลือกชมรมเสร็จสิ้น เช่นเดียวกับมิยูกิที่เดินหน่ายๆไปยังห้องพักของตัวเอง นั่นคือ ห้องห้าศูนย์สาม ชั้นห้า ทางปีกตะวันตกของอาคาร
             เท้าทั้งสองหยุดยืนที่หน้าประตูไม้บานใหญ่ก่อนเคาะเบาๆเป็นเชิงขออนุญาตเพื่อนร่วมห้องคนอื่น เมื่อเปิดเข้าไปก็พบกับเตียงสองชั้นสองตัวที่ตั้งอยู่คนละมุมห้องซ้ายขวา กับ หญิงสาวสองคนซึ่งกำลังจัดข้าวของอยู่ก่อนหน้า...
             “เอ่อ...สวัสดีค่ะ ฉันชื่อ มิยูกิ เป็นรูมเมท ยินดีที่ได้รู้จักค่ะเธอแนะนำตัว
             “สวัสดีจ้า ฉัน ไอยะ ยินดีที่ได้รู้จักหญิงสาวผมยาวดัดลอนเล็กๆ นัยน์ตากลมโตบ้องแบ๊วเหมือนตุ๊กตาเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงสดใส ในขณะที่อีกคนกลับนิ่งเงียบไม่พูดจาอะไร
             “เอ่อ...แล้วนั่น?” มิยูกิเอ่ยถาม
             “ออ...นี่ ฮิคารุ เธอเป็นคนไม่ค่อยพูดแต่ก็นิสัยดีนะ เรารู้จักกันตอนสมัครเข้าเรียนที่นี่ไอยะแนะนำเพื่อนสาวอีกคนแทนเจ้าตัวที่ก้มหน้าก้มตาทำโน่นทำนี่ไม่สนใจอะไร มิยูกิมองดูร่างกายเพรียวบางแถมสูงโปร่งกว่าผู้หญิงส่วนใหญ่คล้ายกับนักกีฬา แต่หน้าตาสะสวยใช่เล่น
             “เอ่อ...ฉันนอนเตียงฝั่งซ้ายด้านล่าง ส่วนฮิคารุนอนด้านบน ฉะนั้นเตียงฝั่งขวาก็ยกให้เธอกับรูมเมทอีกคนละกันนะจ้ะไอยะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี มิยูกิโค้งศีรษะแทนคำขอบคุณพลางจะปีนบันไดขึ้นไปเพื่อจองเตียงด้านบนเพราะค่อนข้างส่วนตัวกว่าด้านล่าง พลัน...ประตูห้องก็ถูกเปิดออกพร้อมรูมเมทคนใหม่
             “สวัสดีจ้า...เรนะมาช้าไปหน่อย ยินดีที่ได้รู้จักทุกคน!!!มิยูกิมองเพื่อนสาวร่วมห้องด้วยความตกใจ
             “เรนะ!!
             “อ้าว...มิยูกิ กรี๊ดดดด!!! ดีใจจังเลย เธอก็พักห้องนี้ด้วยเหรอเรนะตรงเข้ามาเขย่าไม้เขย่ามือหญิงสาวด้วยความดีใจ ก่อนที่การแนะนำตัวจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง...
             มิยูกิรู้สึกอุ่นใจพอสมควร...อย่างน้อยรูมเมททั้งสามคนก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากมาย เรนะเป็นเพื่อนร่วมห้องซึ่งสนิทที่สุดในตอนนี้ ส่วนไอยะเข้ากับทุกคนได้หมดเพราะความเป็นกันเองของเธอ มีแต่ฮิคารุที่ไม่ค่อยพูดจาอะไร แต่เธอก็ไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจคงเพราะเป็นคนเงียบๆมากกว่า
             เมื่ออาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำเวลาอาหารเย็นก็เริ่มขึ้น นักเรียนในหอค่อยๆทยอยกันไปรวมตัวที่โรงอาหาร มิยูกิได้นั่งทานข้าวกับรูมเมทของเธอ พลางพูดคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ก่อนกลับขึ้นห้องพักอีกครั้ง
             “ไปอาบน้ำกันเถอะ!!!เรนะเอ่ยชวนในขณะที่มือสองข้างหอบหิ้วผ้าเช็ดตัวกับอุปกรณ์อาบน้ำต่างๆไว้
             “ไปกันก่อนเถอะ ฉันขอนอนพักสักงีบ...มิยูกิตอบด้วยน้ำเสียงเหนื่อยๆเพราะเป็นวันแรกของการเปิดเทอมเลยยังปรับตัวไม่ค่อยได้มากนัก
             “เอางั้นก็ได้ แล้วฮิคารุล่ะ?” เรนะเอ่ยถามหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงของเธอเอง
             “ไม่ล่ะฮิคารุตอบพลางหันตะแคงเข้าผนัง
             “เอางั้นก็ได้ เรนะไปกันเถอะไอยะพูดพลางควงแขนเพื่อนร่วมทีมออกไป มิยูกิเลยค่อยๆปีนบันไดขึ้นเตียงด้านบนของตัวเอง...
             “ถ้าสองคนนั้นกลับมา เราไปอาบน้ำด้วยกันมั้ยฮิคารุ?” เธอชักชวนเพื่อนร่วมห้องที่นอนอยู่ฝั่งตรงข้าม แต่ทว่า...
             “ไม่ล่ะ...ฉันไม่ชอบใช้เวลาส่วนตัวร่วมกับใคร!คำพูดนั้นทำเอามิยูกิรู้สึกไม่ค่อยดีเลยไม่ซักไซ้อะไรต่อไป ก่อนเอนกายลงนอน เมื่อสัมผัสความนุ่มของหมอนกับฟูกร่างกายที่เมื่อยล้าก็เริ่มไร้ความรู้สึกเช่นเดียวกับสติที่ค่อยๆเลือนหายไป...
             ไม่รู้ว่านานเท่าไรที่เธอผล็อยหลับเพราะรู้สึกตัวอีกทีทั้งห้องก็มืดมิดเสียแล้ว หญิงสาวค่อยๆปรือตาแล้วเอื้อมมือไขว้คว้าหาไฟฉายอันเล็กๆตรงหัวเตียงขึ้นมาส่องนาฬิกาเรือนใหญ่ตรงผนังก็พบว่าเป็นเวลาเที่ยงคืนกว่า ให้ตายสิ...เลยเวลาออกจากห้องแล้ว น้ำก็ยังไม่ได้อาบเลยแท้ๆไม่น่านอนเพลินไปหน่อยเลย...เธออดโทษตัวเองไม่ได้อีกทั้งท้องก็เริ่มร้องเบาๆเมื่อตื่นขึ้นมา
             “หิวจัง…” มิยูกิค่อยๆปีนบันไดลงมาอย่างเบาที่สุดเพราะกลัวเพื่อนๆตื่น พลางเดินไปหยิบขนมปังในกระเป๋าซึ่งซื้อจากโรงอาหารเมื่อตอนเย็นมาแกะทานประทังความหิว
             แสงจันทร์เต็มดวงเล็ดลอดผ่านผ้าม่านหน้าต่างที่ถูกปิด จนอดไม่ได้ที่จะเดินไปเปิดมันเพื่อรับแสงสว่างนั้น ลมเบาๆพัดผ่านจนรู้สึกเหมือนความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ากำลังปลิดปลิวออกไป ทิวทัศน์ของโรงเรียนในยามค่ำคืนช่างสวยงามโดยเฉพาะกุหลาบสีขาวในสวนกว้างเบื้องล่างซึ่งกำลังบานสะพรั่งรับแสงจันทร์ ทันใดนั้นเอง...กุหลาบสีขาวที่เธอเห็นก็ค่อยๆกลายเป็นสีแดงเข้มไล่เลี่ยไปเรื่อยๆจนเต็มสวน มิยูกิมองดูภาพตรงหน้าด้วยความตกใจ...นี่มันเกิดอะไรขึ้น!!!
             ทำไมกุหลาบเป็นสีแดง?” เธอพึมพำราวกับไม่เชื่อสายตา นี่ๆ...ทุกคนตื่นเร็วๆ!!!มิยูกิโวยวายเรียกเพื่อนร่วมห้องเสียงดังให้ตื่นจากนิทราที่หลับใหล
             “มีอะไรเหรอมิยูกิ ฉันกำลังหลับสบายเลย…” เรนะลุกขึ้นมาถามด้วยสภาพงัวเงีย
             “นั่นสิ...อะไรของเธอ?” ฮิคารุเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเท่าไร
             “ฉันเห็นกุหลาบในสวนเป็นสีแดง!!!มิยูกิร้องบอก
             “กุหลาบมันมีตั้งหลายสี...จะมีสีแดงก็ไม่เห็นแปลกเลย...ห๊ะ!!! อะไรนะ...กุหลาบในสวนเป็นสีแดงเหรอ!!เรนะนึกขึ้นได้ก็กระวีกระวาดลุกจากเตียงพลางปรี่ไปที่หน้าต่างบานกว้างทันที
             “ไหนๆ...?”
             “นั่นไงในสวน...มิยูกิชี้ไปที่สวนกว้างเบื้องล่าง ทว่า...บัดนี้มันกลับกลายเป็นสีขาวดั่งเดิมเสียแล้ว เฮ้ย...ไม่จริงน่า เมื่อสักครู่ฉันเห็นจริงๆนะ ว่ากุหลาบทั้งสวนมันกลายเป็นสีแดงหมดเลยหญิงสาวพยายามพูดให้ทุกคนเชื่อ...
             “ไม่เห็นจะมีเลย เธอตาฝาดหรือเปล่าเนี่ยมิยูกิ โธ่เอ้ย...นึกว่าจะเจอความลับเรื่องทำไมกุหลาบเป็นสีแดงอะไรนั่นเสียอีกเรนะบ่นด้วยความเสียดาย
             “อะไรกัน...พวกเธอเข้ามาเรียนที่นี่เพราะหลงเชื่อคำโฆษณานั่นน่ะเหรอ?” ฮิคารุถามด้วยน้ำเสียงเหยียดๆ
             “เอ่อ...ก็ใช่ แล้วทำไมล่ะ มันน่าค้นหาดีออกเรนะโต้เถียงกลับไป
             “ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อหรือลบหลู่หรอกนะ แต่ฉันคิดว่า...ถ้าพวกเธอเข้ามาเรียนที่นี่เพียงเพราะต้องการค้นหาปริศนาบ้าๆนั่น อนาคตพวกเธอคงลำบากแน่ๆเมื่อพูดจบฮิคารุก็หันกลับไปนอนต่อ
             “ฮึ่ย...คนอะไรไร้มรรยาทสิ้นดีเรนะบ่นพึมพำ มิยูกิเลยตบไหล่เพื่อนสาวเบาๆเป็นเชิงขอโทษ
             “เรนะ...ฉันขอโทษ แต่...ฉันไม่ได้โกหกนะ
             “ไม่ต้องขอโทษหรอกมิยูกิ ฉันไม่ได้โกรธอะไร แต่...ที่เธอเห็นอาจเพราะเกิดจากความเหนื่อยเลยทำให้ตาฝาดก็ได้
             “ฉันไม่ได้ตาฝาดนะ โธ่เอ้ย...ไอยะล่ะเชื่อฉันมั้ย?” มิยูกิหันไปถามเพื่อนร่วมห้องอีกคน ทว่า...ไม่มีร่างของบุคคลที่เอ่ยถึงบนเตียงนอนหรือในห้องเลย
             “อ้าว...ไอยะหายไปไหนเนี่ย?” เรนะถามด้วยความงุนงง พลางเดินไปที่ประตูห้องก็พบว่าลูกบิดไม่ได้ล็อค
             “ประตูไม่ได้ล็อค แสดงว่าออกไปข้างนอก...
             “ให้ตายเถอะ...ทั้งๆที่อาจารย์ไม่ให้ออกไปนอกห้องหลังเที่ยงคืนแท้ๆ ไอยะออกไปทำอะไรนะ...จะเป็นอะไรหรือเปล่าเนี่ย...มิยูกิรู้สึกเป็นห่วงเพื่อนร่วมห้องขึ้นมาจับใจ
             “ไม่เอาน่ามิยูกิ...เธอไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก ที่นี่เป็นโรงเรียนนะไม่ใช่สนามรบ ไอยะอาจมีธุระสำคัญจริงๆเลยต้องออกไป เดี๋ยวก็คงกลับมา...เรนะตัดบทด้วยการทิ้งตัวลงนอนต่อ มิยูกิถอนหายใจเบาๆเพื่อคลายความฟุ้งซ่านแต่จิตใจกลับกระวนกระวายอย่างน่าประหลาดเมื่อคิดถึงภาพกุหลาบสีขาวทั้งสวนที่เปลี่ยนเป็นสีแดง มันเหมือนกับ...สีเลือด...เหลือเกิน...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×