คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : นี่หรือ คือ "กรุงเทพฯ"
ตอนที่ 2 : นี่หรือ คือ "กรุงเทพฯ"
การเดินทางค่อนข้างยาวนานพอสมควร คงเพราะเป็นยามกลางคืนทำให้มองไม่ค่อยเห็นวิวทิวทัศน์สองข้างทาง การนั่งอยู่ในรถเฉยๆนานๆเลยค่อยข้างน่าเบื่อพอสมควร ฉันขยับตัวนิดหน่อยเพื่อคลายความเมื่อยก่อนจะยอมเอนกายไปกับเบาะแล้วหลับตาลงเพื่อสัมผัสกับความเย็นของเครื่องปรับอากาศที่หนาวจับจิตจับใจอย่างเต็มที่ ไม่นานนักสติฉันก็เริ่มหายไปตามระเบียบ มีบ้างที่รู้สึกตัวนิดๆเมื่อรถหยุด รถวิ่ง หรือ รถเลี้ยว แต่ก็ไม่ได้ทำให้ฉันใส่ใจไปมากกว่าการนอน
”น้องครับ...” เสียงเรียกดังขึ้นขัดช่วงเวลาอันมีความสุขของฉัน ฮึ่ย!...ไร้มรรยาทจริงเชียวคนจะหลับจะนอนมารบกวนอยู่ได้
”โอ้ย....ขอนอนต่ออีกสิบนาทีได้มั้ย” ฉันพึมพำเบาๆ
”เอ่อ...น้องครับ...จะนอนไปอีกสิบชาติก็ไม่เป็นอะไรหรอกครับ แต่ช่วยไปนอนที่อื่นได้มั้ยครับ นี่สุดสายปลายทางแล้ว...” คำพูดนั้นทำให้ฉันรู้สึกทะแม่งๆ สุดสายปลายทาง...อะไรกัน อ๊ะ...หรือว่า...
”สุดสายปลายทาง!!!” ฉันลุกพรวดขึ้นมามองทั่วรถอย่างตื่นตระหนก ทั้งคันว่างโล่งไร้ผู้โดยสาร มีเพียงฉันกับพนักงานชายตรวจตั๋วที่พยายามปลุกเมื่อสักครู่เท่านั้น ฉันรีบหิ้วกระเป๋าเผ่นลงจากรถบัสทันที
”ตายล่ะหว่า...” ฉันอุทานขึ้นมาเบาๆเมื่อพบว่าท่ารถนั้นแทบไร้เงาผู้คน นาฬิกาเรือนกลมแขวนบนเสาต้นใหญ่บ่งบอกเวลาเที่ยงคืนกว่า อุแม่เจ้า...ดึกขนาดนี้เชียวเหรอเนี่ย แล้วฉันควรทำยังไงต่อไปดีล่ะ...ฉันพยายามใคร่ครวญนึกถึงสิ่งที่ต้องทำต่อไปก่อนตัดสินใจเปิดกระเป๋าเดินทางหยิบจดหมายของก๋อมแก๋มขึ้นมาเปิดหาฉบับที่เธอเขียนบอกเบอร์โทรศัพท์เอาไว้
”อ๊ะ...อยู่นี่เอง” ฉันรีบลอกเบอร์โทรศัพท์ก๋อมแก๋มใส่มือตัวเองแล้วหิ้วกระเป๋าไปยังโทรศัพท์สาธารณะหยอดเหรียญอย่างรวดเร็ว ตอนนี้...ปลายสายยังไม่มีทีท่าว่าจะรับแต่อย่างใดแม้จะโทรไปเป็นรอบที่สิบแล้วก็ตาม
”แง...รับสิๆๆ...ฉันไม่อยากนอนค้างที่นี่...คืนนี้นะ” ฉันพึมพำอย่างเป็นกังวลที่สุด
”ฮัลโหล!” ไชโย...ในที่สุดปลายสายก็มีเสียงตอบรับกลับมา
”เอ่อ...ฮัลโหล ก๋อมแก๋มหรือเปล่า...” ฉันเอ่ยถามกลับไป อย่างน้อยก็เพื่อความมั่นใจว่าไม่ได้โทรผิด
”ไม่ใช่มั้ง...แล้วเธอมาหาใครล่ะ ก็คนนั้นแหล่ะ”
”เอ่อ...แล้วตกลงใช่หรือไม่ใช่ล่ะ” ฉันค่อนข้างงุนงงกับคำพูดของเธอเล็กน้อย คนกรุงเทพฯนี่พูดจากำกวมดีจังแฮะ
”ก็ใช่น่ะสิ...เธอนี่เข้าใจยากจัง มีธุระอะไรหรือเปล่า ถ้าไม่มีฉันจะได้ไปนอน...”
”มีๆๆ...เอ่อ...ก๋อมแก๋ม ฉันปลิงเองจำได้หรือเปล่า” ฉันรีบแนะนำตัวอย่างรวดเร็วเพราะกลัวเธอจะวางสายทิ้งเสียก่อน
”ปลิง...ปลิงไหน...ปลิงควาย หรือ ปลิงทะเล” มันไม่ใช่ทั้งคู่แหล่ะเฟ้ย!
”ปลิง...เอ่อ...เพื่อนทางจดหมายเธอน่ะ...” ฉันสวนกลับไป
”เพื่อนทางจดหมาย...อ๋อ...ปลิง!!! ว้ายๆๆ...เธอคิดยังไงโทรมาหาฉันเนี่ย ไหนบอกว่าทางบ้านไม่ให้ใช้โทรศัพท์ทางไกลไงล่ะ เอ๊ะ...เบอร์โทรเข้าทำไมขึ้นศูนย์สอง...” ก๋อมแก๋มดูเหมือนจะสงสัย แต่ฉันไม่มีเวลามากพอแล้วเพราะเหรียญใกล้หมด
”เอ่อ...อย่าเพิ่งพูดอะไรเลยนะ ตอนนี้ฉันอยู่กรุงเทพฯแล้วล่ะ เธอออกมาหาฉันตอนนี้ได้มั้ย ฉันไม่มีใครเลยตอนนี้” ฉันพูดพร่ำด้วยน้ำเสียงสั่นๆ อยากร้องไห้ชะมัดเมื่อมองไปรอบข้างเจอแต่ความว่างกับความเงียบ...
”ตอนนี้เหรอ...ก็ได้นะ ว่าแต่...เธออยู่ที่ไหนของกรุงเทพฯล่ะ”
”สุดสายปลายทาง...”
”ห๊ะ!!! ที่ไหนนะ”
”ก็สุดสายปลายทางน่ะสิ...ที่ๆมีรถบัสจอดเยอะๆน่ะ”
”แล้วฉันจะรู้มั้...” ตื้ด... สายถูกตัดไปแล้ว กรี๊ด!!! ฉันพยายามควานหาเศษสตางค์ในกระเป๋าแต่ก็ไม่พบนอกจากธนบัตร จะขอแลกเงินก็ไม่มีใครอยู่สักคน ฮือ...โทรศัพท์กรุงเทพฯนี่ไร้น้ำใจชะมัดขอคุยอีกนิดก็ไม่ได้ยังพูดไม่ทันจบเลย ( ไม่เกี่ยวกับโทรศัพท์เว้ย จาก Sw. )
แล้วจะทำยังไงดีล่ะเนี่ย...สรุปว่าคืนนี้ฉันต้องนอนที่นี่คนเดียวเนี่ยนะ ถ้าเกิดมีคนมาทำมิดีมิร้ายฉันล่ะ ถ้าเกิดมีขโมยเข้ามาฉกข้าวของฉันล่ะ ถ้าเกิดว่ามีผีมาหลอกฉันล่ะ TT^TT ( กลัวอย่างหลังที่สุด!)
ฉันได้ยินเสียงรถวิ่งกันไปมา และ เห็นแสงไฟสีส้มๆเรืองรองจากที่ไกลๆ แต่ฉันก็ไม่มีปัญญาฝ่าความมืดเดินออกไปถึงตรงนั้นได้แน่นอนเพราะไม่รู้หนทางและไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้างกว่าจะได้ไปถึงตรงนั้นเพราะรอบด้านมืดมิดไปหมด ยังโชคดีที่ตรงท่ารถเปิดไฟเอาไว้
ทำไมฉันต้องมาทนกับสภาพแบบนี้ด้วย เพราะไอ้โทรศัพท์เฮงซวยนั่นแท้ๆเชียว ( เริ่มพาล TT3TT ) อากาศที่นี่ร้อนจนฉันรู้สึกเหนียวตัวไปหมด ถ้าเป็นแถวบ้านตกค่ำก็เริ่มเย็นสบายแล้ว อย่างน้อยก็มีลมโกรกบ้างไม่ใช่อบอ้าวแบบนี้
แปลกที่แปลกถิ่นแบบนี้ฉันจะหลับลงมั้ยเนี่ย น่าจะพักเอาแรงสักหน่อยแล้วพรุ่งนี้เช้าค่อยขอแลกเงินกับคนอื่นแล้วโทรศัพท์หาก๋อมแก๋มใหม่ ระหว่างที่ฉันกำลังเกลือกกลิ้งไปมาบนเก้าอี้ที่ตั้งไว้ตรงท่ารถราวๆหนึ่งชั่วโมง ก็รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงฝีเท้าที่ดังขึ้น คุณพระช่วย! คนหรือผีเนี่ย ฉันกระเด้งตัวลุกขึ้นมานั่งนิ่ง ขาแข็งก้าวไม่ออก ถ้าเป็นคนจะเข้ามาทำอะไรหรือเปล่า แต่ถ้าเป็นผีล่ะ แง!!! ฉันเริ่มฟุ้งซ่านจิตตก ก็มีมือหนึ่งมาแตะไหล่ฉัน
”กรี๊ดดด!! กลัวแล้วค่า อย่าทำอะไรหนูเลย หนูยังมีพ่อมีแม่ มีควายให้ไถ่นา ต้องให้พ่อแม่หาเลี้ยงชีพอีกนาน...” ( อกตัญญูได้อีก!!! ) ฉันหลับตาโวยวายเสียสติก่อนที่เสียงหัวเราะจะดังขึ้น
”ฮ่าๆๆ...ขอโทษค่ะ...คือฉันแค่จะมาถามคุณ ว่าชื่อ ปลิง หรือเปล่า” คำถามนั้นทำให้ฉันลืมตาขึ้นมา พลางหันไปมองหญิงสาวที่สวมใส่ชุดเปรี้ยวจี๊ด สายเดี่ยวสีดำ กางเกงขาสั้นสีเนื้อ หน้าตาคุ้นๆ...แต่ทรงผมดูยุ่งๆเล็กน้อย สมองฉันรีบรวบรวมข้อมูลที่กระจัดกระจายเมื่อสักครู่กลับคืนสู่สภาวะเดิม
”อ๊ะ......ก๋อมแก๋ม!”ฉันอุทานขึ้นมาเพราะจำหน้าได้ เธอเคยส่งรูปสติ๊กเกอร์มาให้ทางจดหมายเมื่อหลายเดือนก่อน หน้าตาแบบนี้เปี๊ยบ...เว้นทรงผม
”ใช่...ฉันเอง...”
”เธอรู้ได้ไงว่าฉันคือปลิงล่ะ...” ฉันจำได้ว่าไม่เคยส่งรูปถ่ายให้นะ
”เอ้า...ทั้งท่ารถมีอยู่คนเดียวเนี่ย...” ก๋อมแก๋มพูดอย่างติดขำ
”แล้วรู้ได้ไงว่าฉันอยู่ที่นี่ล่ะ” ฉันยังคงซักไซ้ต่อไป
”ก็ฉันโทรไปถามเพื่อนมา มันบอกว่าจากสุพรรณฯนั่งรถบัส บ.ข.ส. สุดสายที่หมอชิต ก็เลยลองมาดูเนี่ย...” ก๋อมแก๋มเอ่ยบอก
”แต่ถ้าไม่ใช่หมอชิตล่ะ...” ฉันถามต่อ
”ฉันก็กลับบ้านไปนอน พรุ่งนี้ค่อยมาหาใหม่...” เวร! TT^TT ตูจะฝากชีวิตไว้กับมันได้มั้ยเนี่ย
”เอ่อ...แล้ว...” ฉันกำลังจะพูดต่อ แต่ก๋อมแก๋มรีบยกมือห้ามไว้
“พอๆๆ...มีอะไรไว้คุยกันบนรถ จะได้รีบกลับไปนอน” ก๋อมแก๋มบอกพลางหาวหวอดใหญ่ เธอช่วยฉันหิ้วกระเป๋าพลางเดินนำไปยังรถสีแดงคันเล็กๆคันหนึ่งที่จอดอยู่ไม่ห่าง
”รถสวยจังเลย...” ฉันเอ่ยชมพลางเอามือลูบไล้ตัวรถที่มันวิบวับ ก๋อมแก๋มยิ้มเล็กๆอย่างอารมณ์ดี
”มินิคูเปอร์...พอดีมันลดราคา ฉันเลยขอให้แม่ถอยออกมาให้ขับเล่นๆ”
”เท่าไรเหรอ” เผื่อจะขอพ่อซื้อให้บ้าง หุหุ...
”สามล้านกว่าๆ”
“โห...ซื้อควายได้เป็นฝูง!!!” เอิ๊กกก~~กก ฉันแทบช็อก ชักมือออกจากตัวรถทันที ตายล่ะ...เล็บไปขูดข่วนโดนผิวมันเป็นรอยหรือเปล่าเนี่ย TT^TT ก๋อมแก๋มหัวเราะพลางเข้าไปนั่งในรถ
”รีบๆขึ้นมาสิ”
”อ๊ะ..อืม...” ฉันเปิดประตู พลางปัดเนื้อตัวไปมาโดยเฉพาะก้น เธอมองฉันด้วยสีหน้างุนงงแล้วเอ่ยถาม
”ทำอะไรของเธอน่ะ”
”เอ่อ...ฉันกลัวเก้าอี้เธอเปรอะน่ะ...”
”ฮ่าๆๆ...ยัยบ้า ไม่เป็นไรหรอก รีบๆขึ้นมาเถอะ...” ก๋อมแก๋มหัวเราะพลางกวักมือ ฉันเลยรีบเข้าไปแล้วปิดประตูอย่างทะนุถนอม ไม่นานนักรถราคาสามล้านกว่าก็ค่อยๆเคลื่อนที่ออกไปจากหมอชิต ฉันล่ะรู้สึกดีใจอย่างสุดซึ้ง...ชาตินี้ได้เหยียบกรุงเทพฯแถมได้นั่งรถราคาแพงก็คุ้มยิ่งกว้าคุ้มแล้ว
ฉันรู้สึกตื่นตาตื่นใจสุดๆ เมื่อก๋อมแก๋มขับรถขึ้นทางด่วน ได้เห็นวิวทิวทัศน์ของกรุงเทพฯยามราตรี แสงไฟจากถนนและตึกรามบ้านช่องชวนให้น่าหลงใหลไปกับความสวยงามของมันเหลือเกิน
”เธอเข้ามาในกรุงเทพฯทำไมเหรอปลิง จะมาเที่ยวก็ไม่น่าใช่เพราะมันดึกดื่นเกินไป ดูกะทันหันยังไงไม่รู้” ก๋อมแก๋มเอ่ยถามหลังเงียบมาได้พักใหญ่
“เอ่อ...คือฉัน...หนีออกจากบ้านมาน่ะ” ฉันเอ่ยบอกไปตามความเป็นจริง
”ห๊ะ...หนีออกจากบ้าน ตายล่ะ...พ่อแม่เธอรู้เข้าไม่ตามหาทั่วบ้านทั่วเมืองเหรอ”
”ไม่หรอก...ฉันไม่ใช่ลูกรักของพ่อแม่เหมือนยัยปลาน้องสาวฉันเธอก็น่าจะรู้ ว่ามันเป็นลูกคนโปรดขนาดไหน ฉันเคยเขียนเล่าให้เธอฟังบ่อยๆจำไม่ได้เหรอ อีกอย่างพวกเขามีเรือกสวนไร่นาต้องดูแลไม่มีเวลาว่างมาตามหาฉันหรอก ออ...แต่ฉันก็เขียนจดหมายทิ้งไว้แล้วล่ะ...” ฉันอธิบายให้ก๋อมแก๋มที่กำลังทำสีหน้าเซ็งจิตฟัง
”เอ่อ...ฉันก็เข้าใจนะ...เธอเคยบอกว่ามักโดนล้อเรื่องชื่อบ่อยๆ แต่ฉันว่ามันไม่น่าเป็นสาเหตุให้เธอหนีออกจากบ้านนี่”
”จริงๆฉันก็มีคิดๆไว้บ้างแต่ไม่ได้ทำเพราะไม่ค่อยใส่ใจกับคำพูดคนอื่นเท่าไร แต่เมื่อตอนเย็นคนในครอบครัวล้อชื่อฉัน...ก๋อมแก่มไม่รู้หรอกว่าการโดนคนใกล้ตัวหรือคนสนิทตอกย้ำปมด้อยมันเจ็บขนาดไหน” ฉันพูดเสียงสั่นอยากร้องไห้ แต่ก็รีบเอาแขนเสื้อเช็ดก่อนที่น้ำตาจะไหลหยดโดนอะไรในรถนั้น ( กลัวเปื้อน =_=” )
”ฉันเข้าใจ...อืม...แล้วเธอจะอยู่ถึงเมื่อไรล่ะ” ก๋อมแก๋มตัดบทเรื่องนั้นไปเพราะเห็นฉันเริ่มเศร้า
”ออ..ราวๆสองเดือนน่ะ ขออยู่แค่ช่วงปิดเทอมเท่านั้น ฉันอยากใช้ชีวิตอย่างคนกรุงเทพฯ อยากเปลี่ยนแปลงตัวเองบ้างน่ะ”
”โอเค...ได้ ดีนะที่ฉันไม่ได้อยู่กับพ่อแม่...เลยมีที่ให้เธอพักได้ตลอด”
”เอ๊ะ...แล้วพ่อแม่เธอไปไหนล่ะ”
“อ๋อ...เขาไปทำงานที่ต่างประเทศบ่อยๆน่ะ นานๆจะกลับมาสักที พวกเขาเลยซื้อคอนโดให้ฉันอยู่” ก๋อมแก๋มพูดด้วยน้ำเสียงเฉยชา ดีจังนะ...ที่เธอใช้ชีวิตได้ตามอิสระแบบนี้ ฉันครุ่นคิดก่อนมองรอบๆตัวผ่านกระจกใส กรุงเทพฯช่างงามศิวิไลซ์จริงๆแม้เคยเห็นในโทรทัศน์แต่ก็ไม่เท่าเห็นกับตา ในตัวเมืองสุพรรณฯแม้จะเจริญแต่ไม่ได้สว่างเจิดจ้าแบบนี้
ไม่นานนักฉันก็มาถึงคอนโดหรูริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ฉันยืนมองแท่งสีขาวที่ตั้งตระหง่านตรงหน้าสูงลิบลิวยิ่งกว่าภูเขา ขณะที่ก๋อมแก๋มจอดรถเรียบร้อยหิ้วกระเป๋าฉันออกมาจากรถ
”ฉันอยู่ชั้นสามสิบสอง...ชั้นบนสุดน่ะ”
”โอ้โห...สูงจัง...” ฉันอุทานขึ้นมา เธอหัวเราะเบาๆแล้วเอ่ยถามว่า
”ไม่กลัวความสูงใช่มั้ย...”
”เอ๊ะ...”
คุณพระคุณเจ้าช่วยลูกช้างด้วย...ฉันกำลังยืนขาสั่นอยู่ริมผนังด้านในสุดของลิฟท์แก้ว กระจกใสทำให้มองเห็นวิวทิวทัศน์ของกรุงเทพฯจากด้านนอก แต่ถ้ามองลงไปในมุมต่ำจะเห็นความสูงเหนือพื้นดินที่ชวนให้น่าสะพรึงกลัวเหลือเกิน
”นี่ปลิง ทำไมต้องไปยืนแอบอยู่ด้านหลังด้วย” ก๋อมแก๋มถามขึ้นราวกับสงสัยแต่ก็หัวเราะเบาๆ
”ก็ฉันกลัว...ไม่มีบันไดเหรอ คราวหน้าขึ้นบันไดกันเถอะนะ...” ฉันเอ่ยบอกอย่างหวาดกลัว พยายามเงยหน้ามองด้านบน
”โห...ชั้นสามสิบสอง เดินบันไดมีหวังขาลากพอดี”
”งั้นเธอก็ย้ายไปอยู่ชั้นล่างๆสิ...”
“เอาเถอะ ไว้คราวหน้าฉันจะพาขึ้นลิฟท์ธรรมดาด้านในละกัน” ก๋อมแก๋มหันมาฉีกยิ้มให้ฉันที่กำลังยืนขาสั่นพรั่บๆเมื่อลิฟท์ยิ่งสูงขึ้นๆ...TT^TT
“ฮาย~~ยยย พอลล่า” ก๋อมแก๋มเอ่ยทักทายใครบางคน? ทันทีที่เปิดประตูห้อง ฉันชะโงกหน้าเข้าไปก็พบกับสุนัขพันธุ์พุดเดิ้ลสีขาวที่วิ่งด็อกแด็กเข้ามา ( พระเจ้า...หมาชื่อไฮโซกว่าตูอีก ) ทั้งสองกอดกันกลมราวกับไม่ได้พบเจอกันมาสองปี ทั้งๆที่เพิ่งห่างกันแค่สองชั่วโมง =_=”
”พอลล่า...นี่ปลิง ปลิง...นี่พอลล่า” ก๋อมแก๋มเอ่ย ให้ตายสิ...ฉันต้องไหว้มันมั้ยเนี่ย แนะนำซะ! =_=”
”สวัสดีจ้า พรหล้า...” ฉันทักทายสุนัขขนฟูสีขาว ก๋อมแก๋มหันควับมามองฉันทันที
”พอลล่า...ไม่ใช่ พรหล้า”
”เอ่อ...พร...เอ้ย...พอ...ล...ล่า...” ออกเสียงยากจัง TT^TT เธอยิ้มนิดๆอย่างพึงพอใจแล้วเอ่ยต่อไปว่า
”ชั้นสามสิบสองเป็นของฉันทั้งหมด ในห้องนี้มีห้องนอนใหญ่สองห้องแน่นอนว่าเป็นห้องฉันห้องหนึ่ง เธอก็เอาอีกห้องไปละกัน แต่ถ้ามันใหญ่เกินก็ไปเลือกห้องนอนเล็กก็ได้มีอีกสามห้อง ตรงนั้นเป็นห้องครัวกับห้องอาหาร ห้องน้ำกับห้องส้วมแยกกันต่างหากมีอยู่ในห้องนอนทุกห้อง ห้องแต่งตัวกับห้องเสื้อผ้าอยู่เยื้องๆกับห้องนี้ที่เป็นโซนรับแขก ส่วนนอกห้องเป็นระเบียงเดินได้รอบชั้น ออ...มีสระว่ายน้ำเล็กๆอยู่ตรงซีกโน้นนะถ้าอยากไปว่ายเล่นก็ได้” ก๋อมแก๋มพูดยืดยาวพลางอุ้มหมาเดินเข้าห้อง ฉันเหรอหราถือกระเป๋าตามไปอย่างอึ้งๆ...ไม่อยากเชื่อว่าเธอจะเป็นลูกผู้ดีมีเงินขนาดนี้
”เธอมีชีวิตหรูหราไฮโซขนาดนี้ ทำไมถึงได้เขียนจดหมายคุยกับเด็กต่างจังหวัดอย่างฉันล่ะ” ฉันเอ่ยถามเพราะมันคาใจพอสมควร
”เอ้า...ชีวิตที่สุขสบายจนเกินไปก็ต้องมีบ้างที่อยากหาความแปลกและความลำบาก” ฉันคงเป็นความแปลกกับความลำบากที่ว่าสินะ =A=”
”หิวจัง...” ฉันเอ่ยขึ้นมาเพราะรู้สึกท้องจะร้องดังโครกคราก เนื่องจากตอนเย็นทานข้าวไปนิดเดียว
”หิวเหรอ...เอ่อ...มีของสดในตู้เย็นนะทำกินเอาเองละกัน แต่ถ้าไม่อยากวุ่นวายก็มีพวกเครื่องกระป๋องกับอาหารกึ่งสำเร็จรูปๆ เลือกๆแล้วเอาไปอุ่นในไมโครเวฟ” ก๋อมแก๋มเอ่ยบอก...
“ไมโครเวฟ นี่เอ่อ...ใช้งานเหมือนเตาอบหรือเปล่า” เคยเห็นในหนังสือรูปร่างคล้ายๆกัน =_=”
”เอ่อ...ฉันจะสอนให้ละกัน” ก๋อมแก๋มถอนหายใจพลางเดินนำเข้าห้องครัวไป
”เธอก็เอาอาหารใส่ๆเข้าไปแล้วเสียบปลั๊ก หมุนปุ่มนี้ตั้งเวลา เลขนี้คือจำนวนนาที ออ...ห้ามเปิดฝาและเอามือเข้าไปขณะที่เครื่องกำลังทำงานไฟด้านในสว่างเด็ดขาดนะ แค่นี้ล่ะง่ายๆใครก็ใช้เป็น....ฉันไปนอนก่อนนะ...” ก๋อมแก๋มอุ้มหมาจากไป ทิ้งให้ฉันยืนมองเจ้าไมโครเวฟอย่างหวั่นๆ...
ฉันมองหาอะไรบางอย่างที่อยากกินสักพักใหญ่ๆก่อนจับมันยัดเข้าไมโครเวฟปิดฝาแล้วเสียบปลั๊ก พลางตั้งเวลาเอาไว้ ก่อนฉุกใจคิดอะไรขึ้นมาได้เลยเดินออกไปจนถึงห้องนอนของก๋อมแก๋ม ก็อกๆๆ!!!...ฉันเคาะประตูเรียก ไม่นานนักเธอก็โผล่ออกมาด้วยผมเผ้าที่ยุ่งกว่าเดิม
”มีอะไรเหรอ...”
”เอ่อ...แล้วจะเอาของออกมากินได้ตอนไหนเหรอ” ฉันถามด้วยความสงสัย
”เอ้า...ก็ตอนเวลาที่ตั้งไว้หมด แล้วไฟด้านในดับไงล่ะ”
ตูมมมมม!!! พรึ่บบบ!!! ไฟทั้งชั้นดับลงทันทีพร้อมกลิ่นไหม้ที่ลอยออกมาจากในห้องครัว เอ่อ...ดับแบบนี้สินะ =w=”
”ปลิง...เธอเอาอะไรใส่ในไมโคเวฟน่ะ...”
”ปลากระป๋อง...”
”ออ...ใส่ไปทั้งกระป๋องสินะ...”
”จ้ะ...แหะๆ” ฉันตอบกลับไป ในความมืดสลัวนั้นฉันเห็นก๋อมแก๋มเอามือกุมศีรษะก่อนหยิบมือถือกดเบอร์โทรหาใครสักคนพร้อมพูดว่า
”ขึ้นมาเช็คไฟบนชั้นสามสิบสองให้หน่อยค่ะ พอดีไมโครเวฟระเบิด” ก๋อมแก๋มพูดจบก็กดวางสายก่อนหันมาแยกเขี้ยวยิงฟันใส่ฉัน เอ่อ...เค้าทำอะไรผิดเหรอตัวเอง TTwTTa
+ + n n Ms. Valentine
ความคิดเห็น