คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1 : เสือตกหลุม - รีไรท์
บทที่ 1
เสือตกหลุม
หากกล่าวถึงแวดวงไฮโซของประเทศไทยตอนนี้
คงไม่มีใครน่าจับตามองเท่านักธุรกิจหนุ่มไฟแรงอย่าง ‘ภคิน ศุภณัฐมงคล’
ประธานบริษัทศุภณัฐมงคล ผู้นำเข้ารถยนต์แบรนด์ดังรุ่นหายากจากต่างประเทศเข้ามาจำหน่าย
จนมียอดจอง และ ยอดขายถล่มทลายสะท้านวงการธุรกิจ การประสบความสำเร็จด้วยวัยเพียง
27 ปี รวมถึงมีดีกรีปริญญาโท สาขาบริหารธุรกิจ จากมหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศสหรัฐอเมริกานั้น ทำให้เขาถูกยกเป็นชายผู้ทรงเสน่ห์ที่สุดไปโดยปริยาย
แน่นอนว่าคุณสมบัติเพียบพร้อมขนาดนี้
มีหรือสาวๆจะไม่ดาหน้าเข้ามาเสนอตัว จึงไม่น่าแปลกใจที่บรรดาพนักงานจะพบเห็นโฉมงามเข้าออกบริษัทประหนึ่งแคทวอร์คเป็นว่าเล่น
แต่กระนั้นการจับเสือผู้หญิงให้อยู่หมัด มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ...
ภายในห้องทำงานชั้นบนสุดของตึกสูง
30 ชั้น ย่านสีลม ค่อนข้างแตกต่างจากสภาพอากาศร้อนอบอ้าวภายนอกโดยสิ้นเชิง
เครื่องปรับอากาศประสิทธิภาพดีเยี่ยม จน 2 ร่างต้องพึ่งไออุ่นจากกายกันและกันบนโต๊ะทำงานขนาดใหญ่
แฟ้มเอกสารสำคัญต่างๆถูกเฉดหัวออกไปกองเรี่ยราดบนพื้นพรมเปอร์เซียราคาแพงระยับ
เมื่อมันไม่น่าเร้าใจเท่าสตรีรูปร่างยั่วยวนตรงหน้า ภคินระดมจูบซอกคอ และ เนินอกขาวนวลเนียนของ
‘พิมพ์วลัญช์’ ไฮโซเครื่องเพชรวัยไล่เรี่ยกัน ด้วยความเร่าร้อนรุนแรงดั่งราชสีห์ตะครุบลูกแกะน้อยเป็นอาหาร
เสียงร้องครวญครางของหล่อนยิ่งปลุกอารมณ์พุ่งพ่านในตัวเขา ขนาดต้องรีบปลดกระดุมเสื้อผ้าตัวเองตามสัญชาตญาณเรียกร้อง
ปังๆๆ!!!
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่แม่เลขานุการสาวพยายามพังประตูเข้ามาตลอดระยะเวลา
10 นาที ในที่สุดภคินก็ต้องถอนหายใจแรงๆ เพื่อตัดใจจากเรือนร่างอรชรไปปลดล็อคลูกบิดอย่างเบื่อหน่าย
“มีอะไรครับ...คุณกชกร?”
เขาถามหญิงสาวในชุดสูทเข้ารูปสีครีมขณะติดกระดุมเสื้อเชิ้ตไปด้วย
“ผมหวังว่าสิ่งที่คุณจะพูดต่อจากนี้คงมีความสำคัญมากพอ เมื่อเทียบกับ...”
ภคินยิ้มกรุ้มกริ่มพร้อมเหลือบมองพิมพ์วลัญช์ ซึ่งกำลังนอนรออยู่บนโต๊ะทำงาน
“ดิฉันจัดทำข้อมูลเรื่องงานเลี้ยงขอบคุณลูกค้าประจำปีเสร็จแล้วค่ะ” หล่อนยื่นแฟ้มเอกสารส่งให้
“แต่ยังไม่ได้ประสานงานกับบริษัทจัดอีเว้นท์ค่ะ”
“อ้าว...ทำไมล่ะครับ?”
“บริษัทเดิมเพิ่งปิดตัวไป
ส่วนบริษัทอื่นๆก็โดนว่าจ้างคิวเต็มหมด เพราะใกล้ช่วงสิ้นปีค่ะ” กชกรรายงานเจ้านาย
ใบหน้าคมคายเยี่ยงเทพปกรณัมกรีกขึงตึงขึ้นมา
เมื่อปัญหาเล็กน้อยกำลังกลายเป็นอุปสรรคใหญ่
เขาให้ความสำคัญต่องานเลี้ยงขอบคุณลูกค้า พอๆกับงานเลี้ยงขอบคุณพนักงาน
ถ้าไม่มีลูกค้าไว้วางใจอุดหนุนสินค้า และ ไม่มีพนักงานร่วมมือร่วมแรงทำงาน บริษัทศุภณัฐมงคลคงไม่ประสบความสำเร็จเช่นนี้
“เอ่อ...ถ้าคุณภคินไม่รังเกียจ
ญาติห่างๆของดิฉันเพิ่งเปิดบริษัทจัดอีเว้นท์เล็กๆแถวนี้...”
“ผมไม่ถือสาเรื่องแค่นั้นหรอกครับ
ขอเพียงสามารถจัดงานได้ตามเป้าหมายที่ผมวางไว้ก็พอแล้ว” รอยยิ้มปรากฏทันทีที่พบหนทางออกจากปัญหา
“ติดต่อญาติคุณได้เลย ถ้าทำงานดีผมจะจ้างประจำ”
“ดิฉันจะรีบติดต่อประสานงานให้เลยค่ะ”
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว
ผมขอตัวไปทำธุระที่คั่งค้างต่อนะครับ” ขืนปล่อยพิมพ์วลัญช์รอนานกว่านี้ เขาอาจอดเล่นสนุก
เพราะหล่อนหลับก่อนก็ได้
“รับทราบค่ะ!
แต่ถ้าคุณภคินต้องการอะไรเพิ่มเติม เช่น เครื่องดื่ม ของว่าง
หรือ...ถุงยาง ก็บอกดิฉันนะคะ” คำหยอกเย้าจากเลขานุการสาว เรียกเสียงหัวเราะจากผู้เป็นนายอย่างอารมณ์ดี
“ถ้าคุณกล้าซื้อ
ผมก็กล้าใช้ครับ”
ประตูห้องทำงานถูกปิดไปแล้ว
แต่กชกรยังยืนนิ่งยิ้มแก้มปริตามลำพัง
ความไม่ถือเนื้อถือตัวของท่านประธานบริษัทนั้น เป็นเสน่ห์ดึงดูดใจพนักงานสาวๆแทบทุกคน
เช่นเดียวกับ ‘รัชชานนท์ วรโชติ’
รองประธานบริษัทศุภณัฐมงคล
ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกับภคินมาตั้งแต่สมัยเรียนชั้นมัธยมศึกษา
จึงไม่น่าแปลกที่นิสัยใจคอจะคล้ายคลึงเกลอเก่าราวถอดแบบกันมา
หลังจากเขานั่งเอกเขนกบนโซฟาแถวนั้นอยู่นาน ก็ลุกพรวดเข้ามาโอบไหล่หญิงสาวตามประสา
‘เสือมือไว’ ที่ทุกคนในบริษัทต่างขนานนามให้
“คุณกชกร...ถ้าไอ้คินมันไม่เอา
ผมเอานะครับ”
“เอ๊ะ...เอาอะไรคะ?”
หล่อนถาม พลางพยายามแกะมือที่ติดแน่นเหมือนตีนตุ๊กแกออกจากไหล่อย่างเขินอาย
“ถุงยางน่ะครับ”
“ว้าย...คุณรัชชานนท์บ้าจริงเชียว”
แก้มขาวๆแดงแปร๊ด ถ้าไม่ติดว่าอีกฝ่ายเป็นเจ้านายอีกคน คงขอตบหน้าหล่อๆสักฉาดไปแล้ว
“ดิฉันขอตัวก่อนนะคะ ต้องรีบไปทำธุระค่ะ”
“ไปซื้อถุงยางมาให้ผมใช่ไหมครับ?”
ยังเย้าไม่เลิก
“บ้า!!! คุณรัชชานนท์นี่จริงๆเลย”
คนขี้เล่นหัวเราะดังไล่หลังกชกรที่วิ่งหน้าตั้งไปนั่งประจำโต๊ะทำงาน
ก่อนยักไหล่น้อยๆ แล้วเดินกลับเข้าห้องส่วนตัวทั้งที่มีเรื่องงานสำคัญกับภคิน
เนื่องจากรู้ดีว่าต้องรอเพื่อนรักทำ ‘ธุระ’
เสร็จก่อน มิเช่นนั้นคงโดนไล่ตะเพิดออกมา
การจราจรจอแจแออัดเป็นเรื่องปกติของกรุงเทพมหานคร
แม้หลายคนเบื่อหน่ายปัญหานี้แค่ไหนก็ปฏิเสธไม่ได้
ว่า...ย่านธุรกิจกลางเมืองหลวงสร้างเม็ดเงินมหาศาลแก่ผู้บริหาร และ พนักงานกินเงินเดือนตาดำๆ
ต้องอดทนฝ่ามรสุมควันพิษจากย่านชานกรุงเข้าสู่แดนศิวิไลซ์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
และนี่คือเหตุผลที่
‘ไปรยา ลักษณารีย์วงศ์’ หญิงสาววัย
35 ปี ยอมควักเงินเก็บก้อนใหญ่ซื้อตึกแถวสูง 4 ชั้น จำนวน 1 คูหา ในทำเลทองเป็นที่พักอาศัย
และ ที่ทำงานแบบ 2 in 1
ดัดแปลงชั้นล่างเป็นบริษัทจัดอีเว้นท์เล็กๆ ชื่อ PP Design จ้างพนักงาน
3 คนช่วยดูแล ส่วนชั้น 2 ถึงชั้น 4 ก็เป็นห้องน้ำ
ห้องครัว และ ห้องนอนเหมือนบ้านทั่วไป
มือบางหมุนป้าย Open
ตรงประตูกระจก เป็น Close
หลังฟ้าเปลี่ยนสีเรียบร้อยแล้ว ไฟถนนเริ่มเปิดทีละดวงสองดวงจนสว่างไสวทั่วย่านสีลม
วันนี้ก็เหมือนกับทุกๆวันที่ผ่านมา
คือ ไม่มีงาน และ ไม่มีเงิน แต่ไปรยาไม่นึกน้อยใจโชคชะตา เพราะเข้าใจดีว่าเป็นบริษัทโนเนมเปิดใหม่
จึงมีความเสี่ยงสูงกว่าบริษัทจัดอีเว้นท์ใหญ่ๆในสายตาผู้ว่าจ้าง
ลดรายจ่ายลงสักหน่อยคงประทังชีวิตได้สัก 1 เดือน
ก็อกๆๆ!!!
ใบหน้ากระจ่างใสแลอ่อนเยาว์กว่าสตรีรุ่นราวคราวเดียวกันหันมองหญิงสาวคนหนึ่งนอกร้าน
หล่อนเคาะกระจกไปพลางยิ้มไปพลางเหมือนมีเรื่องน่ายินดีมาบอกกล่าว ไปรยาจึงรีบเปิดประตูให้กชกร
ซึ่งมีศักดิ์เป็นญาติห่างๆอย่างรวดเร็ว
“กบมาเสียมืดค่ำ
มีอะไรเหรอ?” เธอถามด้วยความสงสัย
“ช่วงนี้พี่แป้งรับงานเยอะไหมคะ?”
“อย่าเรียกว่าเยอะเลย
เรียกว่าน้อยพี่ยังตะขิดตะขวงใจ เอาเป็นว่าว่างงานจ้ะ”
ไปรยาไม่อายที่จะพูดเช่นนั้น
“ว้าว...ดีเลย!” ญาติผู้น้องตบเข่าฉาดใหญ่ ก่อนเพิ่งรู้สึกตัวว่าแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสม “เอ่อ...ขอโทษค่ะ
หนูแค่ดีใจที่พี่แป้งว่างช่วงนี้ คือ
สัปดาห์หน้าที่บริษัทจะจัดงานเลี้ยงขอบคุณลูกค้าประจำปี หนูก็เลยเสนอบริษัทพี่ไป แล้วเจ้านายตอบตกลงน่ะค่ะ”
“เอ๊ะ...จริงเหรอ
ขอบคุณมากเลยกบ!” ไปรยาดีใจมาก
“ไม่เป็นไรค่ะ...อย่างไรเสียเราก็เป็นญาติกัน
มีอะไรก็ต้องช่วยเหลือกัน” หล่อนยิ้มแย้มอย่างเป็นมิตร
“เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าหนูจะแวะเอาเอกสารเกี่ยวกับคอนเซ็ปต์งาน กับ สัญญาว่าจ้าง มาให้พี่แป้งนะคะ”
“ได้เลยจ้ะ”
ไม่มีเรื่องอะไร
ดีกว่าเรื่องนี้...
บริษัทศุภณัฐมงคลที่กชกรทำงานอยู่นั้นใหญ่โต
และ มีชื่อเสียงโด่งดังทั่วประเทศไทย ถ้างานนี้สำเร็จลุล่วงด้วยดี ก็เท่ากับเบิกทางให้บริษัท
PP Design ของเธอเป็นที่รู้จักมากขึ้น
คราวนี้จะได้ไม่ต้องกินแกลบต่างข้าวอีกแล้ว!
แสง
สี และ นารี ยามรัตติกาล มักยั่วยวนหนุ่มๆทุกเพศทุกวัยให้ลุ่มหลงดั่งต้องมนตรา
เสียงเพลงตามยุคสมัยเปิดดังกระหึ่มลั่นไนท์คลับจนได้ยินอะไรไม่เป็นศัพท์ กระนั้นก็สามารถเรียกผู้คนหลั่งไหลเข้าร้านกระทั่งแน่นขนัดได้ไม่ยาก
กลิ่นน้ำหอมผสมเมรัยหลายยี่ห้อฟุ้งทั่วบริเวณ เล่นเอาภคินชักสีหน้ากระอักกระอ่วนใจไม่น้อย
เพราะไม่ชื่นชอบการเข้ามากินดื่มในสถานที่อโคจรเท่าไร
รำคาญแสงแบล็คไลท์
( *** )
รำคาญเสียงเพลง
รำคาญผู้คน
และ รำคาญผู้หญิงสามถึงสี่คน
ที่พยายามกอดก่ายเขาอย่างไม่ปราณีปราศรัย
ภคินพยายามหักห้ามใจไม่ไปต่อที่อื่นตามคำยั่วยุของพวกหล่อน เพราะวันนี้สนุกกับพิมพ์วลัญช์เกินพอแล้ว
จึงอยากออมแรงไว้ประชุมตอนเช้ามากกว่า
ต่างจากรัชชานนท์
ซึ่งเต็มเหวี่ยงเลี้ยงเหล้าสาวไม่อั้น มิหนำซ้ำยังออกไปเต้นกระจายไม่ห่วงภาพลักษณ์รองประธานบริษัทสักนิดเดียว
“ภคิน...วันนี้ไม่ไปต่อจริงๆเหรอ?”
แม่สาวอกโตคนหนึ่งพยายามใช้จุดเด่นให้เป็นประโยชน์ จึงกอดรัดชายหนุ่มอย่างไม่หวงตัว
“ไม่ล่ะครับ...ผมมีงานสำคัญตอนเช้า”
ตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพเมื่อเอาชนะตัวเองได้ ถึงกระนั้นก็ยังแอบมองของดีจนหนำใจ “เดี๋ยวผมจะกลับแล้ว
เอาไว้วันหลังนะครับ”
“สัญญานะ”
สาวๆจับเขาเกี่ยวก้อยเสียดื้อๆ แล้วผละออกไปพร้อมกัน
คนขี้รำคาญเอนกายพิงพนักโซฟาอย่างเหนื่อยอ่อน
กระดกแก้วเหล้าเข้าปากครั้งสุดท้าย ก่อนพยายามลากเพื่อนสนิทกลับบ้าน รัชชานนท์เหมือนจะไม่ยอมง่ายๆตอนแรก
เพราะติดใจผู้หญิงคนหนึ่ง แต่ไปๆมาๆก็รีบวิ่งตัดหน้าเขาออกจากร้าน เพราะเจ้าหล่อนดันพ่วงสามีตัวเท่ายักษ์มาด้วย
กว่าจะวิ่งถึงลานจอดรถหลังไนท์คลับ
ก็ทำเอา 2 หนุ่มกระหืดกระหอบ ภคินอ่อนระโหยโรยแรงถอดเสื้อสูท แล้วทรุดกายพิงล้อแมกซ์ราคาเหยียบแสนของตัวเอง
เหล้าที่อุตส่าห์นั่งจิบนั่งกรึ๊บเกือบ 3 ชั่วโมงสร่างเสียของหมด เพราะความเจ้าชู้ไม่เลือกของเพื่อนตัวแสบแท้ๆ
“ไอ้นนท์...แกนะแก
จะจีบสาวทั้งที ไม่ดูเลยว่าเขาเอาผัวมาด้วย” ตำหนิพร้อมซัดเสื้อสูทใส่รัชชานนท์ที่หอบแฮ่กๆ
“เอ้า!
ชีไม่ได้ติดป้าย ‘ผัวหนูอยู่ข้างๆ’ ใครจะไปรู้วะ” อีกฝ่ายแก้ตัวแบบไม่สำนึกผิด
“พอเลย...แยกย้ายกลับบ้านกลับช่อง
พรุ่งนี้มีประชุมเก้าโมง ห้ามมาสาย”
“เออๆ...ไว้เจอกัน”
รัชชานนท์โบกมือลาเพื่อนชายที่ไล่ส่ง ก่อนขับ เฟอร์รารี่ เอนโซ่ ( *** ) สีดำหายไปในท้องถนนใต้แสงไฟยามราตรี
นาฬิกาข้อมือรุ่นใหม่เอี่ยมจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์
บ่งบอกเวลาดึกดื่นค่อนคืนในประเทศไทยได้แม่นยำ และ ย้ำเตือนให้รีบกลับบ้านได้แล้ว
ภคินขับ บูกัตติ เวย์รอน ( *** ) สีดำ ราคาเกินร้อยล้านออกจากไนท์คลับ
พลัน เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น ทำให้ต้องรีบล้วงมันออกจากกระเป๋ากางเกง
ชื่อไฮโซเครื่องเพชรที่เพิ่งจากมาตอนเที่ยงวันปรากฏบนหน้าจอ
เขาชั่งใจเล็กน้อย ก่อนกดตัดสายทิ้งอย่างเบื่อหน่าย
จังหวะที่ละสายตาออกจากถนนเพียงเสี้ยววินาที จู่ๆก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งข้ามถนนตัดหน้าจนต้องเบรกกะทันหัน
ท่ามกลางความตกใจของทั้ง 2 ฝ่าย
“เป็นอะไรไหมครับ?”
ภคินรีบเปิดประตูออกไปถามชายในชุดนักศึกษา ซึ่งล้มกระแทกพื้นห่างจากตัวรถแค่เส้นยาแดงผ่าแปด
“ไม่เป็นไร”
ตอบสั้นๆ พลางทำจมูกฟุดฟิดเหม็นกลิ่นเหล้า “ขับรถประสาอะไร ไม่รู้กฎหมายเมาห้ามขับเหรอ!”
“ขอโทษจริงๆครับ...บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า
ให้ผมพาไปส่งโรงพยาบาลไหม?” เขาเป็นห่วงอีกฝ่าย
“บอกว่าไม่เป็นอะไร!!!”
“จะเรียกค่าทำขวัญก็ได้นะ
ผมยินดีจ่ายให้คุณเลยครับ” พูดจบก็ควักกระเป๋าสตางค์ออกมา ทว่า
นั่นกลับทำให้ผู้เสียหายขุ่นเคือง
“คนรวยพอทำอะไรผิดพลาดก็จะเอาเงินยัดปากชาวบ้านตาดำๆ
เหล้าคงไม่ได้ทำลายเซลล์สมองอย่างเดียว แต่ทำลายจิตสำนึกด้วยสินะ...เก็บเงินคุณไปเรียนขับรถใหม่เถอะ!” ต่อว่าจบก็หยิบกระเป๋าหนังสะพายไหล่ออกไปอย่างหัวเสีย ทิ้งให้ภคินหน้าชา
เพราะโดนเด็กด่า ทว่า ก็ไม่คิดถือสาหาความ แล้วรีบขับรถออกจากตรงนั้นอย่างระมัดระวังมากขึ้น
ใกล้เที่ยงคืนแล้ว...
นาฬิกาแขวนผนังเรือนเก่าบอกเช่นนั้น
ไปรยาปิดสมุดบัญชีเต็มไปด้วยรายจ่ายตัวแดงเถือก ในใจพะว้าพะวงจนไม่สามารถคำนวนเรื่องเงินๆทองๆเวลานี้
ช้าเกินไป...ใครบางคนควรกลับมาเสียที
เธอฟุบหน้าสวยๆลงบนโต๊ะอาหาร
ซึ่งใช้เป็นโต๊ะทำงานตอนกลางคืนเพื่อระงับความฟุ้งซ่าน แต่แล้วก็ทนไม่ไหวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
ตั้งท่าจะกดเบอร์หาคนเหลวไหลที่เดินขึ้นบันไดมาพอดิบพอดี
“ปัน! ทำไมกลับมาช้าจังลูก” หญิงสาวรีบรุดเข้าไปหา ‘ปัณฑ์ธร ลักษณารีย์วงศ์’ ลูกชายวัย 19 ปี ในชุดนักศึกษา เนื้อตัวสกปรกมอมแมมเหมือนไปคลุกฝุ่นเล่น
“ทำไมสภาพเป็นแบบนี้เนี่ย?”
“เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยครับ”
เขาตอบสั้นๆ ไม่อยากทำให้มารดาตกใจ
“อุบัติเหตุอะไร?”
ไปรยาเค้นเอาคำตอบ พร้อมจับปัณฑ์ธรหมุนตัวตรวจหาบาดแผลด้วยความห่วงใย
“เจ็บตรงไหนหรือเปล่าลูก?”
“ไม่เป็นอะไรหรอกครับ
แค่เกือบโดนรถชนตอนข้ามถนนหน้าบ้าน”
“ตายจริง! เกือบโดนรถชนเนี่ยนะที่ว่านิดหน่อย” เสียงขุ่นเคืองไม่น้อย “แม่บอกแล้ว
ว่า...ให้ทำรายงานที่บ้าน”
“โธ่...แม่ครับ
ก็บ้านเราไม่ได้มีหนังสือให้ค้นคว้าเหมือนในห้องสมุดนี่
ต่อให้ค้นหาในอินเทอร์เน็ตก็ไม่ละเอียดเหมือนในตำรา” ชายหนุ่มชี้แจงผู้เป็นแม่
“ถึงอย่างนั้นกลางค่ำกลางคืนมันอันตราย
ไหนจะเรื่องรถราเฉี่ยวชน เรื่องโจรผู้ร้าย อะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย
ลูกอยากทำให้แม่อกแตกตายเหรอ?”
“อย่ากังวลเลยครับ...ผมดูแลตัวเองได้
อีกอย่างผมข้ามทางม้าลาย แต่ไอ้บ้านั่นเมาเหล้าเลยขับรถไม่ระวังต่างหาก” ปัณฑ์ธรนึกเคือง “มรรยาททรามแบบนั้น ไม่น่าขับรถราคาแพงเลย”
“ปัน!
พูดแบบนี้ไม่น่ารักเลย เอาเถอะ...เรื่องมันแล้วไปแล้ว
แค่ลูกปลอดภัยกลับมาก็พอ” เธอตัดบท พลางขยี้ผมสีทองของอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู
“หิวไหม...แม่เพิ่งอุ่นอาหารเย็น...ไปกินเถอะ”
พอถูกทัก...ท้องก็ร้องตอบสนองทันควัน
ก่อนตรงดิ่งเข้าไปเปิดฝาชีบนโต๊ะอาหารอย่างว่องไว กุ้งเผาตัวโต ไก่ย่างหนังกรอบ
และ ต้มจืดหมึกยัดไส้หมูสับของโปรดเขา ส่งกลิ่นหอมฉุยเตะจมูก นั่นไม่น่าประหลาดใจเท่าราคากับข้าวมื้อนี้สูงกว่าหลายวันที่ผ่านมา
ไม่สิ...หลายสัปดาห์ที่ผ่านมามากกว่า
ปัณฑ์ธรต้องทนกล้ำกลืนรับประทานน้ำพริกกะปิ
กับ ปลาทูทอด และ ไข่เจียวหมูสับ อันเป็นอาหารประจำช่วงฝืดเคืองหลายสิบวันแล้ว
“แม่ถูกหวยเหรอครับ?”
พูดจบปุ๊บก็โดนตีปั๊บ ชายหนุ่มยกมือลูบต้นแขนปอยๆเพราะความเจ็บ
“นี่แน่ะ...ลูกก็รู้
ว่าแม่ไม่เล่นการพนันทุกชนิด” ไปรยาดุแกมยิ้ม “แม่ได้งานแล้วต่างหาก เลยซื้ออาหารดีๆมาให้ลูกกินได้”
“ว้าววว...สุดยอดไปเลย
ผมดีใจด้วยครับแม่” ลูกชายตัวโตโผกอดมารดาเอาไว้แน่น
ความสำเร็จของไปรยา
คือ สิ่งที่ปัณฑ์ธรภาวนาให้เป็นจริงเสียที ไม่อยากเห็นบุพการีต้องลำบากเรื่องเงินทอง
จนอดหลับอดนอนคอยหางานไม่เว้นวัน
โดยไม่รู้เลยว่าผู้ช่วยเหลือครอบครัว
คือ คนที่เกือบฆ่าเขาตาย เพราะความประมาทเมื่อสักครู่!
แดดยามเช้าลอดผ่านผ้าม่านสีชมพูเข้ามาไล้เปลือกตาพริ้มหลับของไปรยาซึ่งกำลังนอนบนเตียงขนาดใหญ่
ข้างกายว่างเปล่าไม่มีเงาสามีหรือชายใด นั่นเพราะเธอมีความสุขกับการใช้ชีวิตม่ายมาสิบกว่าปี
จึงไม่คิดหาพ่อใหม่ให้ปัณฑ์ธร
รถราเริ่มทวีความแออัดตามความร้อนแรงของแสงตะวัน
เสียงเครื่องยนต์ฮึมฮัมปลุกหญิงสาวตื่นจากนิทราอันยาวนานมาเผชิญโลกแห่งความจริง
คราแรกตั้งใจจะเคาะประตูปลุกเจ้าลูกชายตัวดีให้ตื่นพร้อมๆกัน แต่เห็นเขาทำรายงานจนดึกดื่น
และ มีเรียนตอนบ่ายควรพักผ่อนเต็มที่ จึงเปลี่ยนใจชักมือออก แล้วเดินลงบันไดไปทำธุระส่วนตัวเสียแทน
เรือนผมสีน้ำตาลดัดลอนอ่อนถูกมัดรวบไว้หลวมๆ
คล้องผ้ากันเปื้อนสวมวิญญาณแม่ครัวตรงหน้าเตา เพียงไม่นานเกินรออาหารเช้าก็ปรุงเสร็จ
ไปรยาวางหม้อโจ๊กหมูลงบนโต๊ะอาหารตามด้วยเครื่องปรุงเคียงคู่กัน
แม้เธอใช้ชีวิตอยู่กับลูกชายแค่
2 คน แต่ความเป็นแม่บ้านแม่เรือนไม่ขาดตกบกพร่องแต่ประการใด ไม่อยากให้ใครดูถูก และ
เหยียบย่ำซ้ำเติมชะตากรรม จึงพยายามดิ้นรนไขว่คว้าสิ่งต่างๆด้วยตนเอง
ติ๊งต่อง!
ออดหน้าบ้านทำงานตั้งแต่ช่วงสาย
ไปรยาถอดผ้ากันเปื้อน แล้ววิ่งลงบันไดไปต้อนรับแขกผู้มาเยือนอย่างรู้ดีว่าคือใคร
ทันทีที่ประตูม้วนยกสูงขึ้น ก็ปรากฏร่างของกชกรยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่หลังกระจก
เธอจึงรีบไขประตูเปิดให้หล่อนเข้ามาในบ้านอย่างรวดเร็ว
“อรุณสวัสดิ์ค่ะพี่แป้ง”
ญาติผู้น้องทักทายเสียงใส พลางยื่นเอกสารเกี่ยวกับคอนเซ็ปต์งาน กับ สัญญาว่าจ้างให้
“สวัสดีจ้ะ...กินข้าวกินปลาหรือยัง
พี่เพิ่งทำโจ๊กหมูเสร็จเมื่อสักครู่”
“ถ้าเช่นนั้นหนูขอฝากท้องด้วยนะคะ”
กชกรไม่ปฏิเสธ เดินตามไปรยาขึ้นชั้น 2 “หิวมากเลย...ต้องตื่นตั้งแต่ตีห้าไปรับเอกสารจากเจ้านายตอนเจ็ดโมงเช้า
เดี๋ยวก็ต้องรีบกลับไปส่งให้ทัน ก่อนเริ่มประชุมตอนเก้าโมงอีก”
บ่นกระปอดกระแปดขณะรับชามโจ๊กหมูร้อนๆมารับประทาน
“เจ้านายของกบนี่ขยันจังนะ
ยังไม่แปดโมงเลยก็รีบมาทำงานที่บริษัทแล้ว”
หญิงสาวชื่นชมระหว่างอ่านเอกสารสำคัญต่างๆอย่างรอบคอบ
“ขยันเป็นเรื่องปกติค่ะ
ออ...เจ้านายบอกเอาไว้ ถ้างานนี้ทำออกมาดีจะจ้างประจำด้วยนะคะ”
“จริงเหรอ...พี่ดีใจจังเลย
รับรองว่างานต้องออกมาดีแน่นอนจ้ะ” เธอส่งกระดาษหลายแผ่นคืนให้กชกรหลังจรดลายเซ็นต์ครบถ้วนเรียบร้อย
“เดี๋ยวพอพนักงานมา พี่จะสั่งให้ติดต่อประสานงานทันทีเลย”
“ขอบคุณค่ะ...”
ตอนนั้นเองเสียงฝีเท้าก็ดังตึงตังจากชั้นบนลงมา
ทั้งคู่หันมองปัณฑ์ธรในชุดนอนเรียบง่าย อย่างเสื้อกล้ามสีเทา กับ กางเกงผ้าร่มขาสั้นสีดำ
ใช้มือขยี้ผมเผ้าจนยุ่งเหยิงเหมือนรังนก ก่อนไหว้แขกตามมรรยาท
“สวัสดีครับ อากบ”
“ตายจริง! ไม่เจอกันไม่กี่ปี ปันโตเป็นหนุ่มหล่อเชียว ออ...บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้เรียกพี่
อาเอออะไรกันยะ” หล่อนไม่ยอมแก่ เรียกเสียงหัวเราะจากแม่ลูกดังลั่น
“แล้วนี่เรียนเกี่ยวกับอะไร?”
“นิเทศศาสตร์
เอกโฆษณาครับ”
“ดีๆ...พอเรียนจบก็ช่วยเหลืองานคุณแม่ได้สบายเลย”
ผู้เป็นอาชื่นชม แล้วหันบอกไปรยา “เดี๋ยวหนูขอตัวกลับบริษัทก่อนนะคะ
ขอบคุณสำหรับเรื่องงาน และ อาหารเช้าค่ะ” กชกรร่ำลา แล้วรีบเร่งหอบเอกสารออกไปโบกรถแท็กซี่
เพื่อมุ่งสู่บริษัทศุภณัฐมงคลโดยไม่รอช้า
พนักงานนับพันคนทยอยเข้าแถวรูดบัตรให้ทันเวลางาน
โชคดีที่เลขานุการสาวชิงจัดการล่วงหน้า ตั้งแต่มาเอาเอกสารจากเจ้านายเลยไม่ต้องรอต่อคิว
หล่อนรีบแทรกตัวฝ่าฝูงคนตามทางเดินแล้วพรวดพราดเข้าลิฟท์ จึงไม่ทันสังเกตว่าภายในนั้นตกแต่งหรูหราต่างจากลิฟท์พนักงานทั่วไป
“ไปชั้นไหนครับ?”
น้ำเสียงนุ่มๆเอ่ยถาม
“ชั้นสามสิบค่ะ”
เหนื่อยจนไม่มีอารมณ์เหลียวมองรอบด้าน
“ดีครับ...ไปชั้นเดียวกัน
เป็นการประหยัดพลังงาน ผมขี้เกียจหักเงินเดือนพนักงานไปจ่ายค่าไฟ”
“แล้วคุณมีสิทธิ์อะไรมาหักเงินเดือน...”
คำต่อว่าต่อขานแทบหายกลับเข้าไปในลำคอเมื่อเงยหน้าขึ้นพบรัชชานนท์
ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำยืนกอดอกพิงผนังสบายๆ ไร้มาดรองประธานบริษัท
“ตายจริง...ขอโทษค่ะ ดิฉันลืมดูว่าเป็นลิฟท์สำหรับผู้บริหาร”
หล่อนยกมือขอโทษขอโพยพลางจะกดหยุดลิฟท์
แต่เขากลับคว้าข้อมือเล็กๆนั้นไว้แล้วส่ายหน้า
“ไปด้วยกันเถอะ...ผมไม่ถือสาเรื่องเล็กน้อยพรรค์นั้นหรอกครับ”
“ค่ะ...แต่ว่า...ดิฉันถือนะคะ”
“โธ่...อย่าคิดมากเลย
ผมบอกแล้วว่าไม่เป็นอะไร”
“เรื่องที่ดิฉันถือ
หมายถึงไอ้นี่ค่ะ” กชกรเขย่ามือตัวเองที่ยังถูกจับไว้แน่น เสือมือไวหัวเราะแห้งๆ จำใจปล่อยอีกฝ่ายอย่างนึกเสียดาย
แหม! รู้ตัวเร็วจัง
ครั้นประตูลิฟท์เปิดออก
ทั้งคู่ก็รีบจ้ำอ้าวไปยังจุดหมายเดียวกัน นั่นคือ ห้องประธานบริษัท
บุรุษหนุ่มในชุดสูทสีกรมท่านั่งหลับตา
กุมมือประสานวางศอกเท้าโต๊ะ ประหนึ่งใช้ความคิดก่อนเริ่มประชุมในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า
ภคินอาจเป็นเสือผู้หญิงชนิดจ่าฝูง แต่เขาก็มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่การงานสูงเช่นกัน
พลัน ข้อมูลสำคัญ และ ตัวเลขในหัวกลับกลายเป็นภาพเหตุการณ์เมื่อคืน
เขาเกือบฆ่าคนตาย เพราะความประมาทของตัวเอง
โชคดีที่ผู้ชายคนนั้นไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร
มิเช่นนั้นป่านนี้คงกำลังนั่งกลุ้มในซังเตแทนห้องทำงานสวยหรูแน่นอน
ก็อกๆๆ!!!
แค่เคาะตามมรรยาทเท่านั้น
เพราะรัชชานนท์เปิดประตูเข้ามาโดยไม่รอให้ภคินอนุญาต
จากนั้นก็หย่อนก้นนั่งบนโต๊ะทำงานเขา ประหนึ่งเป็นเจ้าของห้องเสียเอง ไม่นานนักกชกรก็ตามเข้ามาพร้อมแฟ้มเอกสารในมือ
“คุณภคินค่ะ...สัญญาว่าจ้างจากบริษัท
PP Design ค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
ชายหนุ่มยิ้ม รับเอกสารมาไว้กับตัว
“คุณแจ้งรายละเอียดต่างๆให้ทางนั้นทราบหมดแล้วใช่ไหม?”
“ค่ะ...ญาติของดิฉันรับปากว่าจะจัดงานตามคอนเซ็ปต์ที่คุณภคินวางไว้ทุกประการเลยค่ะ”
หล่อนมั่นใจว่าไปรยาสามารถทำได้
“ถ้าเช่นนั้นผมก็เบาใจ
ออ...คุณไปเตรียมเอกสารต่างๆได้แล้ว อีกห้านาทีผมจะตามไปที่ห้องประชุมครับ”
ชายหนุ่มมองเลขานุการสาวที่เดินนวยนาดออกจากห้องตัวเองไปจนลับตา
จากนั้นค่อยเอนกายพิงพนักเก้าอี้บุนวม เพื่อผ่อนคลายความฟุ้งซ่านในหัว
“เป็นอะไรวะ...หน้าตาแกดูไม่ดีเลย”
รัชชานนท์ถามไถ่
“ไม่มีอะไร
แค่เครียดนิดหน่อย”
“ฉันรู้จักไนท์คลับเปิดใหม่อีกสองสามร้าน
รับรองเหล้าดี และ สาวตรึม แก้เครียดได้แน่นอน ไปคืนนี้กันเลยไหม?”
คำชักชวนนั้นกระตุกหัวคิ้วภคินแทบผูกติดกัน หยิบแฟ้มงานบนโต๊ะฟาดใส่ศีรษะเพื่อนรักเต็มแรง
“ไม่ไปเว้ย...ไม่ต้องมาชวนฉันเที่ยวกลางคืนแล้ว
เพราะแกแท้ๆเลย ฉันถึงเกือบซวย ประชุมๆ...เข้าประชุมได้แล้ว”
ประธานบริษัทหนุ่มหัวฟัดหัวเหวี่ยงออกจากห้องทำงาน
ทิ้งรัชชานนท์นั่งงงเป็นไก่ตาแตกอยู่คนเดียว
“เฮ้ย...นี่กูผิดอะไรวะ?”
1
สัปดาห์ผ่านไป...
ลานกลางแจ้งขนาดใหญ่ถูกโอบล้อมด้วยตัวอาคารสีขาวสไตล์กรีกสี่ทิศ
ไฟสปอร์ตไลต์ตรงหัวเสาไอโอนิค ( *** ) แต่ละต้น ช่วยขับสีสันภายในงานเลี้ยงขอบคุณลูกค้าประจำปีของบริษัทศุภณัฐมงคลให้โดดเด่นมากขึ้น
บริกรนับสิบคนทยอยนำอาหารหลากหลายชนิดมาเติมตรงโต๊ะบุฟเฟ่ต์ไม่ขาด
และ รสชาติถูกปากแขกเหรื่อจนต้องเทียวเติมเรื่อยๆ
นักดนตรีฝีมือดีบรรเลงบทเพลงซิมโฟนีของคีตกวีแห่งยุคคลาสสิก ด้วยแกรนด์เปียโนสีดำตั้งตระหง่านกลางฟลอร์เต้นรำ
เร่งเร้าผู้สูงวัยแต่ไฟยังแรงให้เชื้อเชิญคู่รักออกไปอวดฝีไม้ลายมือกันคับคั่ง
บรรยากาศรอบสถานที่จัดงานจึงอวลความสุข และ ความอบอุ่น เสมือนทุกคนกลายเป็นครอบครัวเดียวกัน
ดวงตาสีเปลือกไม้ของภคินจดจ้องมองความสำเร็จจากโต๊ะสีขาวตัวหนึ่งใต้ต้นไม้ใหญ่
มือซ้ายจิบไวน์ยี่ห้อดังจากประเทศอิตาลี มือขวาประคองกอด ‘ไอริณ’ นางแบบสาวหุ่นสมส่วนตลอดเวลา
ถัดออกไปมีเพื่อนชายคนสนิทนั่งสรวลเสเฮฮากับสุภาพสตรีสาว ซึ่งเป็นลูกค้ากิตติมศักดิ์ชนิดถึงพริกถึงขิง
ยังไม่นับบรรดาผู้บริหารในเครือที่พากันกระดกแก้วเหล้าต่างน้ำ จนกชกรต้องคอยปรามอยู่เนืองๆ
“ภคิน...วันนี้ให้ฉันไปนอนค้างกับคุณที่คอนโดฯได้ไหม?”
หญิงสาวในอ้อมกอดกระซิบถามข้างใบหู
“วันนี้ผมจะกลับบ้าน
เพราะเหนื่อยมาทั้งวัน...เอาไว้วันหลังนะครับ”
“เถอะนะๆๆๆ...”
หล่อนส่งเสียงออดอ้อนไม่พอ ยังใช้ปลายนิ้วลูบวนแถวต้นขา
“ก็ได้ครับ”
เจอแบบนี้ใจอ่อนเหมือนกัน พลางล้วงกุญแจสำรองส่งให้อย่างไม่หวงแหน
“คุณไปอาบน้ำอาบท่ารอผมบนเตียงได้เลย” สิ้นคำพูดนั้น แม่สาวทรงเสน่ห์ก็รีบคว้ากุญแจกระวีกระวาดออกจากงานเลี้ยงไป
กว่าลูกค้าจะยอมเลิกราจากงานเลี้ยงแสนวิเศษก็ล่วงเลยเกือบ
5 ทุ่ม
รัชชานนท์กับกชกรต้องรับผิดชอบพาผู้บริหารที่เมามายไร้สติไปส่งบ้านด้วยรถตู้ของบริษัท
เจ้าภาพอย่างภคินจึงต้องรับหน้าที่ยืนส่งแขกเหรื่อตามลำพังตรงทางออก
“คุณภคิน...งานเลี้ยงวิเศษมากค่ะ”
“ผมชอบงานเลี้ยงกลางแจ้งแบบนี้มากกว่าจัดในห้องแกรนด์บอลรูมแบบปีที่แล้วนะครับ”
“อาหารอร่อย
ดนตรีไพเราะ อยากให้จัดงานเลี้ยงแบบนี้บ่อยๆ จนแทบทนรอให้ถึงงานเลี้ยงปีหน้าไม่ไหวเลยค่ะ”
ชายหนุ่มยิ้มหน้าบานสร่างเมาสร่างง่วงทันทีทันใด
ทุกเสียงชื่นชมเท่ากับงานเลี้ยงขอบคุณลูกค้าประจำปีนี้ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม
ขนาดเขายังไม่คาดคิดเลยว่าบริษัทโนเนมจะมีศักยภาพการทำงานยอดเยี่ยมเพียงนี้ กระทั่งแขกคนสุดท้ายกล่าวคำอำลา
ภคินจึงค่อยเดินฉับๆไปยังรถยนต์ของตนเอง พลัน
นึกขึ้นได้ว่าถอดเสื้อสูททิ้งไว้ที่โต๊ะเลยต้องย้อนกลับเข้าไปเอา
โชคดีไม่มีใครขโมยเสื้อสูทตัวเก่งไป
เมื่อมันยังนอนพาดขอบเก้าอี้ที่เดิม ราคาแค่ 40,000 กว่าๆ แต่เป็นรุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่น
หาซื้อไม่ได้อีกแล้วบนโลกใบนี้ ฉะนั้นเขาควรรู้สึกเสียดายสักหน่อย แม้เป็นเศษเงินก็ตาม
เสียงเจี๊ยวจ๊าวจากอีกฟากของสถานที่จัดงานดังขึ้น
ภคินมองหญิงสาวรูปร่างสูงโปร่งคนหนึ่ง ยืนสั่งลูกน้อง 3 คน ด้วยท่วงท่ากระฉับกระเฉง
ดวงตากลมโต จมูกโด่งเป็นสัน และ ริมฝีปากเรียวบางสีกุหลาบดูสมบูรณ์แบบบนโครงหน้าคมสวย
ทั้งที่สวมใส่เสื้อยืด กางเกงยีนส์เรียบง่ายสบายๆ แต่กลับสง่างาม และ โดดเด่นดุจนางพญาขณะเยื้องย่าง
เขาแทบถอนสายตาจากเธอไม่ได้ ไม่รู้เวทย์มนตร์กลใดทำให้รู้สึกปั่นป่วนหัวใจเพียงนี้
“เอกกับพิมพ์ต้องคุมทีมงานขนข้าวของกลับแต่ละบริษัทให้ถูกต้องนะ”
ไปรยากำชับพนักงานของตนเอง “ส่วนดาวต้องคอยคุมแม่บ้านให้เก็บกวาดสถานที่เรียบร้อย”
“รับทราบครับ/ค่ะ”
ตอบรับเจ้านายสาว ก่อนเอกจะเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง
“ความจริงคุณแป้งกลับบ้านก่อนก็ได้นะครับ ทางนี้พวกผมดูแลเอง ไม่มีปัญหา”
“ไม่ได้หรอกจ้ะ...ฉันเป็นหัวหน้านะ
จะทิ้งลูกน้องไปได้อย่างไร” หญิงสาวปฏิเสธ “พวกเราทำงานเป็นทีม
ฉะนั้นต้องคอยช่วยเหลือกันจนเสร็จ” ทุกคนยิ้มรับคำพูดเธอ
เช่นเดียวกับท่านประธานบริษัทยักษ์ใหญ่ ที่นั่งตัวลีบแอบชื่นชมการทำงานของบริษัทจัดอีเว้นท์อยู่เงียบๆ
ในที่สุดข้าวของ
และ ขยะต่างๆก็อันตรธานหายจากบริเวณจัดงานตอนตี 1 พอดิบพอดี
ไปรยาอนุญาตให้พนักงานทุกคนแยกย้ายกลับบ้าน แต่เธอยังเดินสำรวจรอบๆ เพื่อตรวจสอบว่าไม่ได้ทิ้งปัญหาอะไรไว้ให้เจ้าของสถานที่
ชายหนุ่มจึงได้โอกาสรีบรุดเข้าไปทักทายตามประสา
“สวัสดีครับ...คุณคงเป็นคุณไปรยา
เจ้าของบริษัทจัดอีเว้นท์ใช่ไหมครับ?”
“ค่ะ”
ดูเหมือนเธอไม่ใส่ใจชายรูปหล่อตรงหน้าเท่าการหาเศษขยะบนพื้น
เล่นเอาพ่อเสือจ่าฝูงหน้าเสียรีบแนะนำตัวต่อทันที
“ผมชื่อ
ภคิน เป็นประธานบริษัทศุภณัฐมงคลครับ”
เท่านั้นล่ะอีกฝ่ายจึงให้ความสนใจเขาขึ้นมาบ้าง
เฮ้อ...โล่งอก!
“ออ...คุณนั่นเอง
ขอบคุณนะคะ ที่ไว้วางใจให้บริษัทเล็กๆของฉันรับผิดชอบงานเลี้ยงใหญ่โตแบบนี้”
มือบางยกขึ้นพนมไหว้อย่างนอบน้อม
“ไม่เป็นไรครับ
เพราะผมพอใจกับการทำงานของบริษัทคุณมาก
รับรองว่างานครั้งหน้าบริษัทของคุณจะเป็นตัวเลือกเดียวของผมแน่นอนครับ” เอ่ยพลางเดินออกจากสถานที่จัดงานไปพร้อมๆหญิงสาว
“ขอบคุณมากค่ะ”
รอยยิ้มหวานแทบทำหัวใจภคินละลายเป็นน้ำเลยทีเดียว
“เอ่อ...นี่ก็ดึกแล้ว
คุณจะกลับบ้านเลยไหมครับ ผมจะได้ไปส่งที่รถ”
“ฉันไม่มีรถหรอกค่ะ”
ใบหน้าสวยส่ายช้าๆ
“ถ้าเช่นนั้นให้ผมไปส่งไหมครับ
ผู้หญิงตัวคนเดียวกลับบ้านดึกดื่นแบบนี้มันอันตราย” รีบอาสา พร้อมผายมือไปยังรถราคาแพงตรงลานจอด
หมายล่อตาล่อใจอีกฝ่ายให้ตอบรับเหมือนผู้หญิงทุกคน
“ฉันจะกลับแท็กซี่ค่ะ”
ปฏิเสธปุ๊บก็ยกมือไหว้ชายหนุ่มในฐานะผู้ว่าจ้างคนสำคัญ
เรื่องอายุอานามไม่เก็บเอามาคิดมากให้วุ่นวายใจ
พลางก้าวฉับๆเข้าไปในรถแท็กซี่ซึ่งจอดเทียบบาทวิถี โดยไม่แยแสภคินที่ยืนอึ้งเหมือนถูกตีแสกหน้าจังๆ
รถราคาร้อยล้าน
แพ้รถราคาไม่กี่แสนเนี่ยนะ?
คนอย่าง
ภคิน ศุภณัฐมงคล ไม่เคยเสียหน้าเท่านี้มาก่อน
เจ็บจี๊ดที่หัวใจราวถูกมีดแทงยับนับครั้งไม่ถ้วน รีบขับบูกัตติ เวย์รอนคันโปรดตามหญิงสาวทันที
รถยนต์ของชายหนุ่มขึ้นชื่อว่าเป็นจ้าวแห่งความเร็ว
เพราะสามารถเร่งความเร็วได้ถึง 400 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทว่า
ชื่อเสียงมันคงสูญหายวันนี้ เนื่องจากต้องกระดึ๊บๆเหมือนเต่าคลาน ตามหลังรถแท็กซี่สภาพบุโรทั่งใกล้พังมิพังแหล่อยู่ห่างๆ
ด้วยความเร็ว 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้น
เอาให้เครื่องมันระเบิดพังไปเลย!!!
ตึกแถว 4 ชั้น ริมถนนย่านสีลม
คือ จุดหมายปลายทาง ไปรยาจ่ายเงิน และ ลงจากรถแท็กซี่ไปไขกุญแจเปิดประตูอย่างไม่รีบร้อนนัก
คนสะกดรอยตามลอบมองจากในรถ ซึ่งจอดหลบหลังพุ่มไม้ตรงทางเท้า
พยายามจดจำที่อยู่เอาไว้ เผื่อภายภาคหน้าจะได้ดอดมาทักทาย ( ทุกครั้ง ) ที่มีโอกาส
พลัน หน้าหล่อเหลาก็ขึงตึงขึ้นมา หลังพบว่ามีผู้ชายคนหนึ่งออกมาต้อนรับเธอแล้วเข้าไปในบ้านด้วยกัน
ภคินเห็นไม่ชัด แต่มั่นใจว่าเพศเดียวกับตัวเองเลยแอบขุ่นเคืองไม่น้อย
มิน่าเล่า...ถึงไม่สนใจเขา
เพราะมีคนรักอยู่แล้วนี่เอง
คราวนี้จ้าวแห่งความเร็วได้แสดงฝีมือสมใจ
เมื่อเจ้าของเหยียบเกือบร้อยออกจากจุดซ่อนตัวอย่างฉุนเฉียว
ทุกๆวันมีผู้หญิงมากมายดาหน้าเข้ามาให้เลือกไม่ซ้ำแบบ
แต่กลับไม่เคยรู้สึกดีกับใครเท่าไปรยาเพียงแรกเห็น
ชายหนุ่มไม่ได้โมโหเธอที่ไม่แยแสเขา แต่โมโหตัวเองที่ดันตกหลุมรักคนมีเจ้าของ!!!
*** แบล็คไลท์ = หลอดไฟประเภทหนึ่ง
ไม่สามารถเห็นแสงในที่สว่าง แต่สามารถเห็นแสงสีม่วงจางๆในที่มืด
รวมถึงสิ่งของบางอย่างที่มีสารฟอสฟอรัสเคลือบอยู่จะทำให้เห็นแสงแบล็คไลท์ได้
มักใช้ตรวจหารอยนิ้วมือ , ตรวจสอบธนบัตรปลอม , ตรวจสอบรอยรั่วซึมของเครื่องจักร ,ตรวจสอบของเก่า ,
ตกแต่งสถานบันเทิง เป็นต้น
*** เฟอร์รารี่ เอนโซ่ =
รถราคาแพง ความเร็ว 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
*** บูกัตติ เวย์รอน =
รถราคาแพง และ มีความเร็วติดอันดับ 1 ของโลก
ความเร็ว 400 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
*** ไอโอนิค = เสาแบบสถาปัตยกรรมกรีก มีลักษณะเรียว มีร่องยาวตามแนวเสา 24 แถว หัวเสาม้วนลงมาทั้ง 2 ข้าง
ความคิดเห็น