คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1 : เมล็ดพันธุ์แห่งความแค้น
ตอนที่ 1 : เมล็ดพันธุ์แห่งความแค้น
ประเทศญี่ปุ่นปีคริสต์ราช 1944...
คฤหาสน์ Rosaceae ตั้งอยู่บริเวณแถบชานเมืองของประเทศญี่ปุ่น ตัวอาคารสไตล์ตะวันตกทำจากหินอ่อนทั้งหลัง
ตั้งตระหง่านท่ามกลางพื้นที่เกือบแปดร้อยไร่ ด้านหน้าของคฤหาสน์เป็นสวนหย่อมสวยงามให้ความร่มรื่นด้วยไม้นานาพันธุ์
ในขณะที่ด้านหลังนั้นเป็นสวนกุหลาบสีขาวสะอาดกว้างใหญ่กินพื้นที่เกือบครึ่งของอาณาเขต
ซึ่งเจ้าของสถานที่สวยงามแห่งนี้คือ เมอซิเออร์เอริค มิเชล นายทุนชาวฝรั่งเศสที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานเมื่อหลายสิบปีก่อน
เขาได้แต่งงานกับหญิงสาวชาวญี่ปุ่น คือ มัทซึฮิโตะ ฮานาโกะ และมีลูกชายด้วยกันหนึ่งคน
คือ มัทซึฮิโตะ โชเฮ
ด้วยความที่ยุคสมัยเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่สองอีกทั้งยังเกิดสภาวะข้าวยากหมากแพง
จึงมีชาวญี่ปุ่นบางพวกแอบต่อต้านชาวตะวันตก แต่ด้วยอัธยาศัยอันดีและความเมตตาของท่านมหาเศรษฐีที่เปิดโรงทานเลี้ยงดูผู้คน
จึงทำให้ชาวบ้านในแถบนั้นไม่ถือสาอะไรมากมาย หากแต่ก็ไม่มีใครอยากสุงสิง
ถึงกระนั้น... โชเฮ บุตรชายวัยสิบห้าปีก็รับรู้ความน่ารังเกียจของสังคมได้เป็นอย่างดี
แม้ไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวหาพ่อกับแม่เพราะเป็นผู้ใหญ่ แต่ตามนิสัยคน...ลับหลังย่อมมีการนินทาว่าร้าย
เขาคือที่ผู้ได้รับผลกระทบมากที่สุดเนื่องจากยังเป็นเด็กจึงไม่ค่อยมีผู้ใดให้ความเกรงใจ
ยิ่งที่โรงเรียนทั้งครูบาอาจารย์รวมถึงเพื่อนๆไม่มีใครอยากญาติดีกับเขาสักคนเดียว...
“คุณหนู...วันนี้ก็ไม่ไปโรงเรียนอีกแล้วเหรอคะ?”
นัยน์ตาสีเขียวมรกตที่ได้มาจากพ่อเหลือบมองสาวใช้คนสนิท
“ฉันไม่อยากไป...แล้วไม่ต้องเอาไปบอกพ่อกับแม่นะ”
เขาตอบด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย สายตาบ่ายกลับไปมองท้องฟ้าสดใสทั้งๆที่จิตใจหม่นหมอง
มาซุยะ มิโดริ หญิงวัยกลางคนที่เป็นทั้งเพื่อนและที่พึ่งของคุณหนูของบ้านถอนหายใจเบาๆมองเด็กหนุ่มที่ทั้งรักและเอ็นดูเหมือนลูกในไส้อย่างเศร้าใจเพราะทราบดีว่านายน้อยรู้สึกอย่างไรในตอนนี้
“ถ้าคุณหนูเบื่อๆก็ออกไปเที่ยวเล่นสิค่ะ
เดี๋ยวป้าไปเป็นเพื่อนก็ได้”
“เฮอะ...ถึงฉันอยากไป ป้าก็ไม่ให้ฉันไปหรอก”
โชเฮเอ่ยบอกแบบไม่ใส่ใจข้อเสนอแนะนั้น
“ทำไมป้าถึงจะไม่ให้ไปล่ะคะ?”
“ก็ฉันอยากเข้าไปในสวนกุหลาบหลังคฤหาสน์
ป้าจะให้ฉันไปมั้ยล่ะ?” สาวใช้ยกมือขึ้นทาบอกพลางโบกไม้โบกมือร้องห้ามความคิดของเด็กหนุ่มโดยเร็ว
“อย่าเชียวนะคะ
ถ้าคุณพ่อทราบต้องไม่พอใจแน่ๆ ท่านสั่งนักสั่งหนาว่าอย่าเข้าไปย่างกรายที่แห่งนั้น”
“ฉันล่ะไม่เข้าใจจริงๆ
สวนกุหลาบทั้งสวยทั้งกว้างใหญ่ขนาดนั้น คุณพ่อจะหวงไว้ดูคนเดียวทำไม...” โชเฮไม่เคยเข้าใจเลย ตั้งแต่เขาเกิดมาก็เห็นว่ามีสวนกุหลาบแห่งนี้แล้ว แต่ถึงกระนั้นก็ไม่เคยมีผู้ใดได้เข้าไปแม้แต่แม่หรือตัวเขาเอง
คนนอกยิ่งไม่ต้องพูดถึง... คุณพ่อของเขาหวงถึงขนาดต้องทำรั้วเหล็กแหลมล้อมสวนกุหลาบแห่งนั้นไว้เลยทีเดียว
“ท่านคงรักเพราะลงมือปลูกเองตั้งแต่ตอนเพิ่งสร้างคฤหาสน์ใหม่ๆนะค่ะ
เอาเป็นว่าคุณหนูอย่าเข้าไปในนั้นเลย แต่ถ้าอยากไปที่อื่นๆบอกป้าได้นะคะเดี๋ยวจะพาไป”
พูดจบเธอก็ทิ้งให้เด็กหนุ่มทอดถอนหายใจอยู่เพียงลำพัง
แม้คุณพ่อเป็นคนลงมือปลูกต้นกุหลาบเหล่านั้นด้วยตัวเองก็เถอะ
แต่มันก็ไม่น่าถึงขนาดสั่งห้ามคนในบ้านไม่ให้เข้าไปยุ่งเลย เงินทองมีมากมายไม่หวงเที่ยวสร้างโน่นสร้างนี่ลงทุนกับโรงทานและโรงงานเยอะแยะ
แต่ดันหวงสวนกุหลาบ...น่าแปลกจริงๆ ทว่า...ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ โชเฮสงสัยมานานแล้วว่าในสวนกุหลาบแห่งนั้นมีอะไรพิเศษไปมากกว่าความสวยงาม
เขาลุกขึ้นเหลียวซ้ายแลขวามองรอบตัว เมื่อพบว่าปลอดคนจึงรีบตรงไปยังหลังคฤหาสน์ทันที
ตรงเบื้องหน้าขณะนี้ คือ
สวนกุหลาบสีขาวที่ออกดอกบานสะพรั่งได้ทุกปี กิ่งก้านพันติดกันแล้วชูช่อออกดอกราวกำลังอวดโฉมแข่งกันในรั้วเหล็กแหลมที่โอบล้อมเอาไว้ เด็กหนุ่มเดินเลียบปราการสูงเหล่านั้นเพื่อหาทางเข้าจนกระทั่งไปพบกับซี่รั้วหักๆที่เกิดจากการผุกร่อนตามกาลเวลา
เขาหักมันออกแล้วมุดเข้าไปในช่องแคบๆนั้น
เมื่อสองเท้าเริ่มเหยียบย่ำเข้าไปในสวนสวย
สายตาก็ต้องคอยมองรอบกายเพื่อใช้มือแหวกต้นกุหลาบสูงเกือบเลยศีรษะที่มีหนามแหลมคมให้พ้นตัวอย่างยากลำบาก
แต่ไม่เป็นอุปสรรคเมื่อได้สัมผัสความงดงามในสวนแห่งนี้ กลิ่นหอมอันน่ารัญจวนใจกระจายฟุ้งตลบทั่วบริเวณ
เด็กหนุ่มเพลิดเพลินไปกับสิ่งรอบกายจนไม่รู้สึกตัวว่าได้เดินเข้าไปลึกเรื่อยๆ...
เพียงไม่นานนักก็พบกับโบสถ์เก่าที่ตั้งอยู่กลางสวนกุหลาบ
มันถูกสร้างจากไม้สภาพทรุดโทรมจนประเมินได้ว่าสร้างมานานนมทีเดียว ไม้กางเขนที่อยู่สูงเหนือหลังคาดูโงนเงนใกล้หักเต็มทน
โชเฮเข้าไปใกล้ตัวโบสถ์ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ประตูใหญ่ซึ่งเป็นทางเข้าด้านหน้าถูกปิดตายเอาไว้ด้วยไม้สองถึงสามแผ่น
อีกทั้งยังมีโซ่ขนาดใหญ่ล่ามไว้ด้วยแม่กุญแจ...
“เข้าไม่ได้แฮะ” เขาพึมพำเมื่อพยายามดึงโซ่เก่าๆเพราะคาดว่ามันน่าจะผุพังจนหลุด เมื่อสิ้นหวังที่จะเข้าไปโชเฮเลยหันหลังกลับจะเดินจาก
พลัน...เสียงผู้ชายไม่คุ้นหูก็ดังแว่วมาเบาๆ
“ช่วย...ด้วย...” โชเฮนิ่งชะงักหันมองรอบข้างทันที
“เสียงใครน่ะ...?” เขาพึมพำกับตัวเอง เอ๊ะ...หรือหูฝาดไป เด็กหนุ่มสลัดความฟุ้งซ่านออกจากหัว
ขยับเท้าเดินก้าวออกไปอีกครั้งก็ได้ยินเสียงนั้นแว่วเข้ามาในหู ซึ่งคราวนี้ชัดเจนทีเดียว
“ช่วยข้าด้วย...”
“เสียงใครน่ะ แล้วคุณอยู่ที่ไหน?”
เขาตะโกนถาม
“ข้าอยู่ในนี้...ในโบสถ์แห่งนี้”
โชเฮเหลียวกลับไปมองโบสถ์เก่าพลางรุดเข้าไป
“คุณอยู่ในนี้เหรอ...?” เด็กหนุ่มพยายามหาช่องเล็กๆที่สามารถมองดูด้านในหรือเข้าไปได้...แต่ก็ยากทีเดียว
แม้หน้าต่างบานเล็กๆที่อยู่เหนือประตูโบสถ์ก็ยังถูกแผ่นไม้ตอกตะปูปิดเอาไว้หนาแน่น...
“ฉันเข้าไปไม่ได้” โชเฮตะโกนตอบเสียงปริศนานั้น
“ผนังด้านซ้ายของโบสถ์ชำรุดอยู่จุดหนึ่ง
ถ้าเจ้าลองผลักแผ่นไม้เข้ามาอาจจะได้...” แวบแรกโชเฮเอะใจนิดหน่อย...ถ้าชายคนดังกล่าวติดอยู่ด้านในแล้วเหตุใดไม่ออกมาตามทางที่เขาบอกเอง
แต่ต้องเก็บความสงสัยนั้นไว้แล้วมุดเข้าไปเสียก่อน เผื่อคนๆนั้นอาจได้รับบาดเจ็บหรือเดินไม่ได้
เด็กหนุ่มมองหาผนังไม้ชำรุดที่ว่าจนเจอก็พยายามผลักมันแล้วมุดตัวจนหลุดเล็ดลอดเข้าไปด้านใน
โชเฮปัดฝุ่นหนาจากพื้นกระดานที่เปื้อนเปรอะเสื้อออกไปพลางใช้มือปิดจมูกเมื่อสัมผัสกลิ่นอับเพราะภายในทั้งมืดและเหม็นสาบ
มีเพียงแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ทะลุผ่านหลังคาที่แตกบางจุดลงมาพอให้เห็นอะไรสลัวๆได้บ้าง
“คุณอยู่ตรงไหน?” เขาถามหาเจ้าของเสียงปริศนา
“หน้าแท่นบูชา” เสียงนั้นตอบกลับมาโดยเร็ว โชเฮหันควับมองแท่นบูชา ภาพตรงหน้า...คือ
ไม้กางเขนขนาดใหญ่สูงราวๆสองเมตรตั้งตระหง่านบนฐานเหล็ก และชายปริศนาก็ถูกตรึงอยู่บนนั้น
ภายใต้ความมืดที่แสงส่องไปไม่ถึง
“ทะ...ทำไมคุณถึงไปอยู่ตรงนั้นล่ะ?”
โชเฮหวาดหวั่นใจขึ้นมาเล็กน้อย
“เจ้าช่วยปล่อยข้าออกไปได้หรือไม่...?”
ชายปริศนาไม่ตอบคำถาม น้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนระโหยโรยแรงนั้นเหมือนใกล้ขาดใจเต็มทน
โชเฮรู้สึกสงสารจึงไม่ซักถามอะไรให้มากความแล้วปรี่เข้าไปหมายจะช่วยเขา
เมื่อเข้าไปใกล้เด็กหนุ่มมองเห็นเขาคนนั้นก้มหน้าคอตก
ผมที่ยาวปะบ่าละลงมาดูยุ่งเหยิง แขนขาขาวซีดราวไร้โลหิตหล่อเลี้ยงในร่างกายมันถูกตรึงไว้ด้วยโซ่ซึ่งล่ามไว้แน่น
สวมใส่ชุดสีดำยาวเทอะทะ โชเฮเอื้อมมือหมายจะปลดโซ่ออกเพราะเห็นว่าไม่ได้มัดไว้ด้วยแม่กุญแจ
แต่ต้องชะงักเมื่อใจหนึ่งคิดว่าแล้วเพราะเหตุใดกันเล่า...ชายผู้นี้ถึงถูกมัดเอาไว้ถ้าไม่ได้ทำเรื่องร้ายแรงอะไร...
การนิ่งเฉยกลางครันของเด็กหนุ่มทำให้ชายปริศนาเงยหน้าขึ้นมองจนทำให้โชเฮถึงกับตกตะลึงไป...ใบหน้าขาวซูบซีดแต่แฝงไปด้วยความงดงาม
ทว่า...นัยน์ตากลับแดงก่ำจ้องมองเหมือนกำลังต้องการตรึงเขาไว้เสียแทน
“ทำไมเจ้าถึงไม่รีบแก้มัดข้า”
เขี้ยวขาววาววับปรากฎขึ้นอย่างชัดเจน
“เหวออออ...แวมไพร์!!!” โชเฮโวยวาย เขากลัวลนลานจนหงายหลังล้มลงไปที่พื้น พลางกระเถิบหนีด้วยความหวาดกลัว
“ใช่...แต่ข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอก ได้โปรดปลดปล่อยข้าเถิด
ข้าถูกกักขังมานานเหลือเกิน เพียงเพราะเป็นแวมไพร์ใครๆก็ตราหน้าว่าข้าเลวร้าย...”
แม้จะพูดอย่างนั้นก็เถอะ แต่เด็กหนุ่มเกิดความกลัวเสียแล้ว
เขาวิ่งล้มลุกคลุกคลานออกไปจากทางที่เข้ามา โชเฮต้องการไปจากโบสถ์เก่าแห่งนี้โดยเร็วและไม่ฟังเสียงร้องเรียกของชายปริศนาเลยแม้แต่น้อย
นี่มันอะไรกัน!!!
แวมไพร์มีจริงหรือเนี่ย เด็กหนุ่มวิ่งผ่านดงกุหลาบโดยไม่สนใจขวากหนามที่เกี่ยวโดนเนื้อตัวอีกแล้ว
ก่อนจะมุดรั้วออกไปโดยเร็วเมื่อไปถึงทางออก เขาวิ่งสะเปะสะปะเข้าไปในตัวบ้าน หน้าก็เหลียวมองด้านหลังอยู่ตลอดเพราะกลัวบุคคลผู้นั้นจะตามออกมาได้
พลัวะ!!! โชเฮชนใครสักคนเข้าอย่างจังจนล้มกระแทกพื้นอย่างแรง
“ลูกวิ่งหนีอะไรมา?” เด็กหนุ่มมองพ่อตัวเองแล้วเกิดอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก พูดอย่างไรที่จะไม่ให้บุพการีรู้ว่าเขาแอบเข้าไปในสวนกุหลาบสุดรักสุดหวงนั้น
“เอ่อ...เปล่าครับ
พอดีผมจะขึ้นห้อง แล้วรีบร้อนไปหน่อย เลยไม่ทันระวังเท่านั้นเอง”
“งั้นเหรอ
แล้วเนื้อตัวไปโดนอะไรมา ทำไมถึงได้มีรอยแผลเต็มไปหมดแบบนี้?” เมอซิเออร์เอริค เอ่ยถามบุตรชายที่ตามเนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยขีดข่วนจนเลือดออกซิบๆ
“เอ่อ...สงสัยกิ่งไม้มันจะเกี่ยวเอาตอนผมปีนต้นไม้
เดี๋ยวขอตัวไปอาบน้ำอาบท่าล้างแผลก่อนละกันนะครับ” โชเฮรีบพูดตัดบทเพราะเกรงพ่อของเขาจะสงสัยพลางวิ่งขึ้นบันไดโดยเร็ว
เจ้าของคฤหาสน์มองดูลูกชายด้วยความประหลาดใจแต่ไม่สงสัยอะไรมากมาย...
เด็กหนุ่มปิดประตูห้องนอนแล้วถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ไม่รู้ทำไมในแวบแรกเขารู้สึกหวาดกลัวพ่อตัวเองขึ้นมา ท่านรักสวนกุหลาบยิ่งชีวิตแต่เป็นไปได้เหรอที่จะไม่รู้เรื่องแวมไพร์ในโบสถ์เก่านั้น
เอาเถอะ...เขาจะทำเป็นลืมเรื่องที่เคยพบเจอนี่ไปซะ ถือว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน มันจะเป็นเพียงความฝันที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตเท่านั้นเอง...
ประเทศญี่ปุ่นปีคริสต์ราช 1945...
ประเทศญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้ในสงครามโลกครั้งที่สอง
เนื่องจากโดนระเบิดที่ฮิโรชิม่ากับนางาซากิ ทำให้มีคนญี่ปุ่นไม่พอใจชาวตะวันตกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ชาวต่างชาติหลายคนได้รับความเดือดร้อนซึ่งคฤหาสน์ Rosaceae เองก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน...
ชาวบ้านมากมายยืนอออยู่หน้าคฤหาสน์
ในมือของแต่ละคนถือหน้าไม้ มีด คบไฟ หรือแทบทุกอย่างที่สามารถคว้ามาเป็นอาวุธได้ ปากก็ส่งเสียงร้องขับไล่ครอบครัวของเมอซิเออร์เอริคให้ออกไป
ก่อนพยายามบุกเข้ามาในบริเวณคฤหาสน์
“คุณค่ะ...พวกเราจะทำยังไงดี?”
คุณนายฮานาโกะเอ่ยถามผู้เป็นสามีอย่างร้อนรนเมื่อเห็นชาวบ้านมากมายเริ่มปีนเข้ามาและปิดล้อมรอบตัวคฤหาสน์ได้แล้ว
เมอซิเออร์เอริคไม่ตอบอะไรในทันที ในสมองรู้สึกมึนงงสับสน เขาพยายามหาทางหนีทีไล่ให้มากที่สุดเพื่อเลี่ยงทางเลือกสุดท้าย
นั่นคือ เข้าไปในสวนกุหลาบ ที่ซึ่งอาจอันตรายมากกว่าก็เป็นได้
“นั่นๆๆ...พวกมันอยู่นั่น!!!”
กลุ่มชาวบ้านกู่ร้องเมื่อพังประตูคฤหาสน์เข้ามาพบ
“มิโดริ...พาโชเฮหนีไปในสวนกุหลาบ
เร็ว!!!” ประมุขของบ้านสั่งเสียงดังอย่างไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว...
สาวใช้ฉุดมือคุณหนูพลางจะวิ่งออกไป แต่เด็กหนุ่มกลับขัดขืนตะโกนเรียกพ่อแม่ท่ามกลางเสียงฝูงชนที่แห่แหนเข้ามา
“พ่อครับ...แม่ครับ...!!!”
“หนีไปก่อนลูก...” คุณนายฮานาโกะตะโกนบอกลูกชาย เป็นจังหวะที่ชาวบ้านเหล่านั้นฟาดหน้าไม้ขนาดใหญ่ลงไปที่ศีรษะและลำตัว
ทั้งคู่ทรุดลงไปบนพื้นพร้อมเลือดที่อาบโชก โชเฮมองภาพนั้นด้วยความตกใจ หัวใจเหมือนหยุดนิ่งทั้งๆที่เต้นจนแทบระเบิด
“พ่อ...แม่…!!!!!!!” โชเฮตะโกนเสียงดังกึกก้องคฤหาสน์
พยายามสะบัดมือสาวใช้ให้หลุดเพื่อจะเข้าไปช่วย
“ปล่อยนะ...ฉันจะเข้าไปช่วยพ่อกับแม่!!!”
โชเฮดิ้นรนโวยวายทั้งน้ำตาที่ไหลออกมาโดยแทบไม่รู้ตัว
“ไม่ได้นะคะ ตอนนี้คุณหนูต้องรักษาชีวิตของตัวเองเพื่อคุณพ่อกับคุณแม่นะคะ!!!”
คำเตือนของป้ามิโดริบีบหัวใจเด็กหนุ่มอย่างถึงที่สุด เขามองภาพอันเจ็บปวดตรงหน้าแล้วจำใจหันหลังให้เพื่อตามสาวใช้หนีออกไป
“ทางนั้นมีพวกมันอีกสองคน
ตามไปเร็ว!!!” ชายคนหนึ่งดูเหมือนจะเป็นหัวโจกส่งเสียงบอกพรรคพวก
โชเฮเลยต้องรีบวิ่งออกไปจนมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าสวนกุหลาบ
“คุณหนูรีบหาทางเข้าไปซ่อนตัวในสวนกุหลาบมันคงจะพอกำบังหลบได้ชั่วคราว
เดี๋ยวป้าจะดักรับหน้าเอาไว้เอง”
“ไม่นะป้ามิโดริ!!!” เขาไม่มีวันยอมแน่ๆ เพราะสาวใช้ผู้นี้เลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เกิดเปรียบเสมือนแม่อีกคนของเขา
ซึ่งโชเฮรักและให้ความเคารพพอๆกับญาติสนิทคนหนึ่งเลยทีเดียว แต่หล่อนไม่ฟังคำขอนั้นแล้ววิ่งออกไปรับหน้าพวกชาวบ้านก่อนโดนรุมตีโดยไม่ได้ร้องขออะไรเลย
แม้เสียใจแต่ก็ไม่อาจห้ามปรามใครต่อใครได้เลย เด็กหนุ่มวิ่งไปยังบริเวณรั้วผุๆที่เคยแอบเข้าไป
ก่อนมุดตัวเล็ดลอดอย่างยากลำบากเพราะหนึ่งปีที่ผ่านมาเขาโตขึ้นมากกว่าเดิมพอสมควร...
“เฮ้ย...มันอยู่นี่
จับได้แล้ว!!!” หัวโจกคนนั้นจับขาเขาไว้ได้ โชเฮจับซี่รั้วเหล็กแล้วฝืนตัวถีบชายคนนั้นอย่างแรง
ก่อนคลานหนีเข้าไปในสวนกุหลาบโดยเร็ว หนามแหลมมากมายข่วนตามร่างกายจนเป็นแผลเลือดออกซิบแต่เด็กหนุ่มหาได้ใส่ใจวิ่งตรงไปทางโบสถ์เก่าซึ่งเคยพบเมื่อหนึ่งปีก่อนโดยมีเสียงชาวบ้านที่พังรั้วเหล็กตามมาห่างๆ
ไม่นานนักก็ถึงจุดหมาย...เด็กหนุ่มมองอย่างลังเลนิดหน่อยแต่เมื่อเห็นว่าเวลาไม่คอยท่าก็รีบตรงไปยังผนังโบสถ์ด้านซ้ายที่ชำรุดพลางมุดเข้าไปโดยไม่กลัวสิ่งที่รอเขาอยู่ด้านในเลยแม้แต่น้อย
เมื่อเทียบกับความน่ากลัวของมนุษย์เสียสติพวกนี้...
“ยาโอโตเมะ...มันหายไปไหนแล้ว?”
ชายคนหนึ่งเอ่ยถามหัวโจกเมื่อหาใครไม่พบเลยในบริเวณนี้
“เจ้าบ้าทาคาฮิซะ มันไม่ใช่ผีคงหายตัวไม่ได้หรอก
ไม่แน่ว่า...อาจหลบอยู่ในโบสถ์นี้ก็เป็นได้”
“เฮ้ย...เป็นไปได้เหรอ ก็โบสถ์นี้มันปิดตายนี่หว่า”
ทาคาฮิซะทักท้วงพลางชี้ให้เห็นไม้หลายแผ่นที่ปิดทั้งประตูทางเข้าและหน้าต่าง
“มันอาจมีทางเข้าอื่น
ลองช่วยกันค้นหาดีกว่า” ยาโอโตเมะเสนอ ทาคาฮิซะเลยเกณฑ์ชาวบ้านหลายคนช่วยกันค้นหาทางเข้า
จนกระทั่งพบรอยชำรุดตรงผนังโบสถ์ซึ่งเป็นทางเดียวกับที่โชเฮใช้
“เฮ้ยๆยาโอโตเมะ...ตรงนี้มีแผ่นไม้ชำรุด
มันอาจเข้าไปทางนี้ก็ได้”
“ไหนๆ...เออท่าจะจริง”
“เข้าไปเลยมั้ย?”
“ไม่ต้องหรอก...แกมุดหัวเข้าไปดูก็พอ
ว่า...มีใครอยู่หรือเปล่า จะได้ไม่เสียเวลา”
“อืม...” ทาคาฮิซะมุดหัวเข้าไปในซอกไม้ตรงผนังโบสถ์เก่า
กลิ่นอับโชยปะทะเข้าจมูก ก่อนกวาดตาในความมืด แสงสลัวของดวงตะวันสาดลอดหลังคาผุๆลงมาทำให้เห็นคราบฝุ่นผงและหยากไย่อันไม่น่าพิสมัย
ดูไร้เงาสิ่งมีชีวิตสิ้นดี ไม่พบอะไรน่าสนใจนอกเสียจากกางเขนขนาดใหญ่ตรงแท่นบูชาซึ่งว่างเปล่า...
“ยาโอโตเมะ...ไม่มีใครเลยว่ะ
มันคงไม่ได้เข้าไปหรอก”
“งั้นไปหาดูที่อื่นละกัน”
ยาโอโตเมะตะโกนเรียกชาวบ้านทุกคนให้มารวมตัวพลางรุดออกไปจากบริเวณโบสถ์ร้างเก่าอย่างรวดเร็ว
เมื่อเสียงฝีเท้ามากมายค่อยๆห่างออกไป
โชเฮที่แอบอยู่ด้านหลังไม้กางเขนนั้นก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกพร้อมเสียงหัวเราะเบาๆของชายที่ถูกตรึงบนไม้กางเขน...
“มนุษย์นี่ช่างโง่เขลา อ้างตัวว่าเป็นสัตว์ประเสริฐแต่กลับทำตัวเยี่ยงสัตว์เดรัจฉาน
เข่นฆ่าเผ่าพันธุ์เดียวกันอย่างไม่มีความละอาย เจ้าคงเข้าใจความรู้สึกของข้าแล้วสินะ”
โชเฮไม่ตอบอะไร น้ำตาของเขาเริ่มไหลออกมาอีกครั้งเมื่อคิดถึงความสูญเสียในชีวิต
ทั้งพ่อ แม่ และสาวใช้คนสนิท ทำไม...เขาไม่ได้ทำอะไรผิดแต่ต้องรับกรรมจากสิ่งที่ไม่ได้กระทำงั้นเหรอ!!!
“ขอบคุณนะ...ที่อุตส่าห์ช่วยบังตาพวกนั้นให้”
“ไม่เป็นไร” น้ำเสียงเย็นยะเยือกตอบแบบไม่ยี่หระอะไรมากมาย “แล้วเจ้าจะทำเยี่ยงไรต่อไป?”
“ฉันไม่รู้...ในหัวมันสับสนไปหมดแล้ว
ทำไม...นี่มันเกิดอะไร ทั้งๆที่พวกเราไม่ได้กระทำ ไม่ได้ยินดีไปกับสงคราม อีกทั้งยังช่วยเหลือให้ทานผู้เสียหาย
แต่เจ้าพวกบ้านั่นกลับมาทำร้ายพวกเราราวสัตว์ป่า อย่างกับพวกไร้อารยธรรม” โชเฮโวยวายด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด เขาโมโหจนอกร้อนรุ่มเพราะมีแต่ความแค้นที่ฝังแน่นซึ่งเกิดจากความเสียใจ
“คุณพอช่วยฉันได้มั้ย?” โชเฮหันไปถามแวมไพร์ตนนั้นเมื่อสงบสติอารมณ์ได้
“จะให้ช่วยเจ้าได้อย่างไร
ในเมื่อข้ายังถูกพันธนาการไว้เยี่ยงนี้”
“โซ่ก็ไม่ได้มัดเอาไว้หนาแน่น
ทำไมคุณถึงแก้ออกเองไม่ได้ล่ะ?” เขาถามด้วยความสงสัย
“กางเขนนี้ดูดพลังข้าออกไปเกือบหมด
อย่าว่าแต่แก้ออกเองเลย แค่พูดกับบังตาให้เจ้าได้...ก็ถือว่าพยายามเต็มที่แล้ว”
“ก็ได้...ฉันจะปลดปล่อยคุณเอง
แต่ต้องรับปากว่าจะช่วย...”
“ย่อมได้!” เมื่อรับปากแล้ว เด็กหนุ่มก็ปรี่เข้าไปปลดโซ่ที่ล่ามแวมไพร์ตนนั้นกับไม้กางเขนออกอย่างรวดเร็ว
ร่างนั้นร่วงหล่นลงมาคุกเข่าที่พื้น โชเฮถอยหลังออกห่างนิดหน่อยด้วยความหวาดระแวงที่มีอยู่บ้าง
มือขาวซีดขยับไปมาก่อนที่มันจะค่อยๆกลับมาเปล่งปลั่งเช่นเดียวกับร่างกาย เขาลุกขึ้นยืนแล้วหันมาทางเด็กหนุ่มทันที
“เอาล่ะ...จงบอกสิ่งที่เจ้าต้องการให้ช่วยมา
จะให้ข้าไปปลิดชีพพวกชาวบ้านเหล่านั้นหรือไร?” น้ำเสียงเย็นยะเยือกเอ่ยถาม
“ไม่...”
“เอ้า...ถ้าเช่นนั้น เจ้าต้องการให้ข้าช่วยเรื่องอะไรล่ะ?”
“ฉันอยากเป็นแวมไพร์!!!” คำตอบของโชเฮทำให้ผู้อยู่เหนือรัตติกาลอดแปลกใจไม่ได้
“เพราะเหตุใด?”
“เพราะฉันต้องการปลิดชีพพวกมันด้วยตัวเองน่ะสิ
พวกมันต้องได้รับบทเรียนจากฉันเพียงคนเดียวและไม่ควรได้รับจากใครทั้งนั้น!!! แต่ช่วยทำให้ฉันเป็นแวมไพร์โดยที่คุณไม่ต้องดูดเลือดได้มั้ย
ไม่ต้องเป็นตลอดไปอะไรแบบนั้น จะพอมีวิธีบ้างมั้ย?” ริมฝีปากเรียวบางซีดแสยะยิ้มเมื่อฟังข้อต่อรอง
“นานเหลือเกินที่ข้าไม่ได้เจอคนเยี่ยงเจ้า...จริงอยู่ที่การเป็นแวมไพร์เกิดจากการดูดเลือดอีกฝ่าย
แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธีอื่น นั่นคือการทำสัญญาเลือด เจ้าต้องทำสัญญาร่วมกับข้า ว่าอย่างไร...?”
“ตกลง ให้ทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น”
โชเฮรับข้อเสนอ...
“จงเอ่ยนามของเจ้ามา!”
“มัทซึฮิโตะ โชเฮ” เมื่อเด็กหนุ่มพูดจบ แวมไพร์ตนนั้นก็แบมือขาวซีด ปรากฎแสงเรืองรองสีม่วงประกายส้มผุดขึ้นจากฝ่ามือกลายเป็นม้วนกระดาษสีเทาพร้อมปากกาขนนกแบบสมัยโบราณลอยอยู่ในอากาศ
“ข้า...กาเอล
บุตรแห่งเผ่าพันธุ์แวมไพร์ ขอสร้างลายลักษณ์อักขระแห่งสัญญา จงปรากฎพันธะแห่งข้า...กาเอล
กับ มนุษย์นาม มัทซึฮิโตะ โชเฮ จงทำให้เขากลายเป็นบุตรแห่งเผ่าพันธุ์ ณ บัดนี้!”
ปากกาขนนกที่ลอยนั้นบรรจงสะบัดด้ามเขียนสัญญาตามคำเอ่ยด้วยหมึกสีแดงสด
กาเอลเสกมีดปลายแหลมออกมาแล้วจับกรีดลงบนฝ่ามือตัวเองจนเลือดสีแดงคล้ำไหลริน
ก่อนที่เขาจะใช้มีดนั้นกรีดลงไปบนฝ่ามือของโชเฮเช่นกัน เด็กหนุ่มกัดฟันด้วยความเจ็บเมื่อแวมไพร์ผู้นั้นประสานฝ่ามือที่มีบาดแผลเหมือนกันมาประกบ
เลือดของทั้งคู่หยดลงบนกระดาษแผ่นนั้น พลัน...มันก็ซึมหายเข้าไปทันที
“มัทซึฮิโตะ โชเฮ
จงเปลี่ยนเผ่าพันธุ์เดิมมาสู่เผ่าพันธุ์แห่งข้า ณ บัดนี้!” เมื่อกาเอลประกาศกร้าว ร่างของโชเฮก็ปวดแสบปวดร้อนไปทั้งตัว เด็กหนุ่มทรุดลงไปที่พื้นดิ้นรนต่อสู้กับไอร้อนที่ประทุไปทั่วร่างกาย
หัวใจร้อนระอุและเต้นแรงอยู่ชั่วครู่ก็กลับกลายเป็นเย็นเฉียบพร้อมจังหวะการเต้นที่เบาลงๆจนหายไป
เขาค่อยๆปรือนัยน์ตาสีเขียวมรกตที่บัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นสีดำสนิทขึ้นมองรอบตัวแล้วลุกขึ้นแสยะยิ้มให้กับตัวเอง
ถึงเวลาล้างแค้นแล้ว...
ความคิดเห็น