ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Cool-Prince หยิ่งนัก...รักซะเลย!!!

    ลำดับตอนที่ #1 : พรหมลิขิต ( มีจริงเหร้อ... )

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.42K
      9
      7 พ.ค. 52

    ตอนที่ 1 : พรหมลิขิต ( มีจริงเหร้อ... )

             “นี่...เธอว่านักร้องคนไหนหล่อสุด?” นักเรียนสาวระดับชั้นมัธยมปลายคนหนึ่งเอ่ยถามเพื่อนสาวในกลุ่ม

             “ถ้าญี่ปุ่นก็ กาคุโตะ , เกาหลีก็ กุญแจ , ไทยก็ ก็อกไม้” หลายคนครุ่นคิดก่อนตอบ

             “แล้วคนธรรมดาล่ะ?”

             “ก็ เลออง โรงเรียนเซนต์คาร์เตอร์ไงล่ะ!!!” คราวนี้ทุกคนตอบพร้อมกันโดยแทบไม่ต้องคิด 

             ใช่...ถ้าพูดถึงคนธรรมดาสามัญที่ไม่ได้เป็นนักร้อง ดารา แต่หน้าตาสุดยอดไม่เป็นรองใครก็หนีไม่พ้น เลออง ไฮโซหนุ่มลูกครึ่งไทย-อิตาลี อายุสิบแปดปี ผิวขาวอมชมพูจนผู้หญิงแท้ๆยังต้องอาย สูงหนึ่งร้อยแปดสิบห้าอีกทั้งยังมีหุ่นเฟิร์มมากจนสาวๆการันตีว่า หล่อที่สุด!!! มีดีกรีเป็นถึงลูกชายท่านทูต ฐานะทางการเงินและชาติตระกูลไม่ต้องพูดถึงแค่คิดก็น้ำลายหกแล้ว...

             แต่ก็ได้แค่พูดเท่านั้นล่ะ เพราะหลายสิ่งหลายอย่างที่ดูสูงส่งดั่งเจ้าชายทำให้สาวๆหลายคนท้อแท้เมื่อเปรียบเทียบกับตัวเอง ที่สำคัญไปกว่านั้นกิตติศัพท์อันเป็นที่รู้กันในหมู่ไฮโซแอนด์โลโซก็คือ เลออง...หยิ่งมาก!!!

    ห่านโกะ ( Hanko@hotmail.com )
    บลูเทียร์ (
    Bluetear@hotmail.com )
    ------------------------------------------------------------------------------

    บลูเทียร์ Say : นี่ยัยห่าน...ฉันสแกนรูปเลอองจากหนังสือซ่อกแซ่กเล่มใหม่มาแล้ว เธอจะเอามั้ย? ^o^
    ห่านโกะ Say : ไม่... =_=
    บลูเทียร์ Say : ไม่เอาเหรอ? ต้าย...วันนี้มาแปลกนะยะ =[]=
    ห่านโกะ Say : ไม่เข้าใจทำไมต้องถาม...เอาสิยะยัยบลู!!! >o<
    บลูเทียร์ Say : =_=”

             ไม่นานนักรูปเลอองก็ถูกส่งมาให้ฉันซึ่งคลั่งไคล้ชายหนุ่มผู้นี้เลยไม่รอช้ารีบกดรับโดยเร็ว เพียงชั่วครู่ก็ได้รูปเจ้าชายสุดที่รักมาไว้ในเครื่องอีกหนึ่งรูป ( จากหลายร้อยรูปที่เก็บไว้ก่อนหน้านี้ ) เคเซอร์เม้าส์คลิกเปิดรูปน้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์ก่อนแอบกรี๊ดอยู่ในใจ เพราะภาพบนหน้าจอช่างเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ของไฮโซหนุ่มผู้นี้เหลือเกิน...เขากำลังหาว =_=” แหม...ปาปารัชชี่สมัยนี้หากินกับรูปคนดังง่ายจริงๆ

    ห่านโกะ Say : เลอองตอนไม่เก็กนี่น่ารักชะมัดเลย >o<
    บลูเทียร์ Say : ก็ว่างั้น...แต่ตัวจริงไม่ได้เก็กธรรมดานะ “เก็กซิม” เลย...หยิ่งชะมัด! =_=*
    ห่านโกะ Say : อย่าว่าเลอองนะ =_=*
    บลูเทียร์ Say : ชิ...เห็นผู้ชายดีกว่าเพื่อน! TT^TT
    ห่านโกะ Say : อ๊ะ...แน่นอน ^o^

             ฉันหัวเราะเบาๆที่ได้กัด บลู เพื่อนสาวคนสนิท แม้เธอไม่ได้ชอบเลอองเหมือนฉัน แต่พวกเราก็สามารถพูดคุยกันได้รู้เรื่อง เอ้ย...ได้แทบทุกเรื่อง =_=” พลางเหลือบมองนาฬิกาแขวนผนังซึ่งบ่งบอกเวลาสี่ทุ่มกว่าก็อดหาวหวอดๆไม่ได้ราวกับร่างกายต้องการเตือนว่าสมควรนอนได้แล้ว เลยร่ำลาเพื่อนสาวคนสนิทใน MSN แล้วล็อคเอ้าท์ตามด้วยชัตดาวน์ ปิดคอมพิวเตอร์ไปอย่างเนิบๆ ทิ้งตัวลงบนเตียงนอนคว้าตุ๊กตาควายแดงมานอนกอดเพียงไม่นานก็ผล็อยหลับไป

             สองปีก่อนหน้านี้...

             “นักเรียนทุกคนคงรู้ใช่มั้ย ว่าโบสถ์ของวัดอนุเคราะห์ค่อนข้างทรุดโทรม ทางคณะอาจารย์เลยคิดจัดผ้าป่าขึ้นมา” อาจารย์นลินาเอ่ยบอกบรรดาลิงทะโมนในห้องเรียนที่ตั้งใจฟังตาแป๋ว เอ่อ...ไม่นับฉันนะ ( ไม่อยากเป็นลิง ) ก่อนที่ฉันจะหันไปกระซิบกระซาบ บลู เพื่อนฉาว เอ้ย...เพื่อนสาว กับ หยก เพื่อนชั่ว เอ้ย...เพื่อนชายที่อายุมากกว่าสองปีเพราะซ้ำชั้นตอนป.หนึ่งสองปีซ้อน ( ฉลาดมากกกก... )

             “อาจารย์นลินาพูดแบบนี้สงสัยให้พวกเราบริจาคแน่เลย” 

             “นั่นสินะ...” บลูตอบกลับมา เพราะเป็นแบบนี้เกือบทุกปีเนื่องจากโรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนวัดอนุเคราะห์เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของวัดไปด้วย เวลามีอะไรก็ต้องช่วยเหลืออย่างบริจาคหรือบำเพ็ญประโยชน์

             “อาจารย์จะให้พวกเราช่วยบริจาคเงินใช่มั้ยครับ?” หยกยกมือถามอาจารย์นลินาที่ยืนยิ้มแป้นหน้าสวยอยู่หน้าห้อง

             “เปล่าจ้ะ...แต่จะให้เธอถือซองผ้าป่าไปเรี่ยไรเงินจากคนอื่นๆทั้งในและนอกโรงเรียน” ทุกคนในห้องหัวเราะร่วนเพราะหน้าที่นี้ค่อนข้างน่าอายแม้จะได้บุญก็ตาม ซึ่งหยกเป็นหัวหน้าห้องเลยต้องรับผิดชอบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

             “โคตรซวยเลยแก” ฉันเอ่ยพลางหันไปหัวเราะเยาะเย้ยกับบลู น่าแปลกที่เจ้าตัวกลับไม่มีท่าทีทุกข์ร้อนอะไรยกมือตอบอาจารย์ไปว่า

             “อาม่าผมป่วยหนักนอนซมอยู่ที่บ้านแล้วพ่อแม่ก็ไม่อยู่ วันนี้ผมเลยต้องรับผิดชอบพาอาม่าไปหาหมอที่โรงพยาบาลครับ”

             “แย่จริง...งั้นรองหัวหน้าห้องรับผิดชอบเรื่องนี้ไปละกัน” เสียงหัวเราะของบลู กับ หยก และ เพื่อนคนอื่นๆดังขึ้น เพราะรองหัวหน้าห้องนั้น คือ ฉันเอง...แง!!!

             “โคตรซวยเลยแก” บลูรีเพลย์คำพูดฉันพลางหัวเราะเยาะเย้ย อาจารย์นลินายื่นซองผ้าป่ามาให้ฉันที่กลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่ ก่อนฉันจะหันไปส่งสายตาเป็นประกายวิบวับให้เพื่อนสาว มันหัวเราะค้างแล้วทำสีหน้าประมาณว่า งานเข้าแล้วตู!

             นักเรียนคนอื่นๆเริ่มทยอยกลับบ้านเมื่อออดเลิกเรียนดังได้ไม่นาน ขณะที่พวกฉันกลับต้องถือซองผ้าป่าขอรับบริจาคจากรุ่นพี่รุ่นน้องรวมถึงผู้ปกครอง เงินที่ได้มาก็มีแต่เศษเหรียญอันหนักอึ้ง ธนบัตรนี่ไม่ต้องพูดถึงมียี่สิบบาทอยู่ใบเดียว นับๆแล้วคงราวๆสองถึงสามร้อย

             “ทำไมถึงซวยแบบนี้เนี่ย” ฉันบ่นพึมพำอย่างเศร้าใจหลังนำเงินในซองเทใส่ถุงพลาสติกที่บลูหิ้วอยู่เป็นรอบที่สาม เฮ้อ...อายก็อาย แถมยังไม่ได้กลับบ้านเร็ว

             “พูดมากน่า...ฉันไม่ซวยกว่าแกเหรอ ไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยเลยดันต้องมายืนแบกหน้าอยู่ด้วยเนี่ย” บลูบ่นกระปอดกระแปด

             “เอ้า...แกเป็นเพื่อนฉันนะ มีอะไรก็ต้องช่วยกันสิยะ” ฉันสวนกลับไป แม้จะรับเงินบริจาคจากนักเรียนรวมถึงผู้ปกครองไปด้วยก็ตาม

             “แหม...ตลอด อ้างเพื่อนทุกที แล้วแกจะเทเงินลงมาบ่อยๆทำไมเนี่ย!!!” บลูโวยวายหลังฉันเทเงินในซองลงถุงพลาสติกรอบที่สี่

             “เอ้า...ซองกระดาษนะไม่ใช่ซองเหล็กจะได้รับน้ำหนักเหรียญได้” ฉันตอบไปอย่างมีเหตุผล

             “ซองหรือแกที่รับน้ำหนักเหรียญไม่ได้ ห๊ะ!!! ฉันเนี่ย...จะรับไม่ได้อยู่แล้วเฟ้ย” ก่อนที่บลูจะยกถุงเศษเหรียญทุ่มใส่ฉันสายตาของพวกเราก็เหลือบไปเห็นเหยื่อ เอ้ย...หญิงชราที่เดินฉับๆข้ามถนนมายืนตรงหน้าประตูรั้วหน้าโรงเรียนเสียก่อน คาดว่าเป็นผู้ปกครองของนักเรียนคนใดคนหนึ่งเลยไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดมือรีบวิ่งด๊อกแด็กเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว

             “คุณยายค่ะ...ช่วยบริจาคเงินซ่อมแซมโบสถ์ของวัดอนุเคราะห์ได้มั้ยคะ?” ฉันยิ้มหวานส่งให้หญิงชราที่หันมาพยักหน้าเบาๆก่อนล้วงกระเป๋าสตางค์ควักธนบัตรใบละห้าสิบใส่ลงซอง ว้าวววว...แบงค์ใหญ่ ( เท่าที่เคยได้มา =_=” )

             “ขอบคุณค่า!!!” ฉันเอ่ย ก่อนที่บลูจะถามขึ้นมาว่า

             “คุณยายมารอหลานเหรอคะ ให้พวกหนูรอเป็นเพื่อนมั้ยคะ?”

             “ไม่เป็นไรๆ...นั่นมาโน่นแล้ว” หญิงชราปฏิเสธพลางชี้ไปทางหลานรูปร่างตุ้ยนุ้ยที่วิ่งออกมาจากอาคารเรียน เมื่อพวกเราหันไปมองก็ต้องอึ้งเพราะ...

             “อาม่า...โทษทีที่มาช้า พอดีอั้วะมีเวรทำความสะอาดตอนเย็น” หยกเอ่ยเมื่อหยุดยืนตรงหน้า

             “ไม่เป็นไรหรอกอาตี๋ อั้วะก็เพิ่งมาถึงได้ไม่นาน ไปๆ...กลับกันได้แล้ว” หญิงชราเอ่ยพลางเดินนำลิ่วไป หยกสะพายเป้จะวิ่งตามแต่ต้องชะงักเกือบหงายหลังเมื่อฉันกับบลูพร้อมใจดึงคอเสื้อเขาเอาไว้

             “ไหนแกบอกว่าอาม่าป่วยหนักไงฟะ!!!” ฉันแว้ดใส่

             “นั่นสิ...แล้วนี่มันอะไรกัน ห๊ะ!!!” บลูแยกเขี้ยว แต่หยกหมุนตัวกลับเหมือนเต้นลีลาศพลางตอบว่า

             “คนฉลาดเท่านั้นที่จะเอาตัวรอดในสังคัง เอ้ย...สังคมได้นะเพื่อนฝูง!!!” ว่าแล้วมันก็กระโดดดึ๋งดั๋งตามอาม่าไปด้วยจิตใจร่าเริง 

             “โหย...เซ็งเลย ลืมไปว่าอีตาหยกมันกระล่อน” บลูบ่นอย่างเจ็บใจ

             “นั่นสิ...ที่สำคัญเด็กโข่งชะมัด โตจนหมาเลียก้นไม่ถึงยังให้อาม่ามารับอีก” ฉันบ่นพึมพำพลางถอนหายใจให้กับชะตากรรมที่ต้องยืนรอขอเรี่ยไรเงินทำบุญต่อไป 

             ไม่นานนักท้องฟ้าก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีส้มอมแดง สมควรกลับบ้านกลับช่องได้แล้วเพราะผู้ปกครองกับนักเรียนก็หร่อยหรอลงเรื่อยๆ

             “เฮ้อ...ยังไม่มีใครมาบริจาคหลังอาม่าเลย” ฉันพูดพลางเปิดซองสีขาวดูธนบัตรห้าสิบบาท จังหวะนั้นเองเกิดลมพัดแรงจนซองปลิวหลุดมือไป 

             “ว้าย!!!” ฉันตกใจพยายามวิ่งไล่คว้าแต่ไม่ทัน ยิ่งตามก็ยิ่งห่างจนมันปลิวเข้าไปในถนนใหญ่ เอี้ยดดดด!!! รถเบนซ์ตากลมสีเงินเบรกกะทันหันเมื่อฉันทะเล่อทะล่าวิ่งตัดหน้า

             “อยากตายหรือไงห๊ะ!” คนขับรถเป็นชายวัยยี่สิบต้นๆเปิดประตูออกมาต่อว่าฉันที่กำลังก้มลงเก็บซองผ้าป่าจากพื้นถนน

             “เอ่อ...ขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ” ฉันตอบพลางยิ้มแหยๆ

             “ไม่ตั้งใจงั้นเหรอ ถ้าเกิดคุณหนูของฉันเป็นอะไรขึ้นมา แล้วใครจะรับผิดชอบ!!!” ชายคนนั้นตวาดใส่หน้าฉันไม่ยั้ง ทั้งที่พยายามใจเย็นแต่ฟังแบบนี้แล้วมันเริ่มจี๊ดขึ้นมา

             “คนที่จะเป็นอะไรน่ะฉันต่างหาก คุณหนูของนายนั่งอยู่ในรถยุโรปแข็งเป็นหัวหมาแบบนี้จะเป็นอะไรได้ไง!!!” 

             “ต่อให้คุณหนูไม่เป็นอะไร แต่รถคันนี้ราคาเท่าไรเธอรู้มั้ย เป็นริ้วรอยบุบบี้ขึ้นมาชาตินี้ทั้งชาติฐานะอย่างเธอก็ไม่มีวันชดใช้หมด!!!” คำเหยียดหยามนั้นทำให้ฉันรู้สึกโกรธจนพูดไม่ออก ทั้งอยากกรี๊ด อยากด่า ไม่รวยแล้วผิดตรงไหนยังไงก็คนเหมือนกัน บลูที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดวิ่งเข้ามาสมทบหลังยืนดูห่างๆอย่างห่วงๆได้สักพัก =_=”

             “มากไปแล้วมั้ง...คนที่ต้องชดใช้คือพวกนายต่างหาก จิตใจคนสำคัญกว่าวัตถุสิ่งของหรือเงินทองนะ!!!” บลูโวยวายพลางหันมากระซิบกระซาบฉัน “อย่างน้อยก็น่าจะได้ค่าทำขวัญเหนาะๆสองถึงสามพันเนอะ” ไอ้เพื่อนเลว...เมื่อสักครู่ใครมันพูดว่า จิตใจคนสำคัญกว่าวัตถุสิ่งของหรือเงินทอง ฟะ =_=* ฉันแอบด่ามันอยู่ในใจ เฮอะ...อยากเห็นหน้าอีตาคุณหนูอะไรนั่นนัก ลูกน้องเป็นอย่างไร เจ้านายก็เป็นอย่างนั้นแน่ๆ!!!

             “มีอะไรกัน?” ฉันหันไปมองต้นเสียงที่เปิดประตูหลังรถออกมา ก่อนอึ้งปนตกตะลึงเมื่อพบว่าเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดี ผิวขาว สูงประมาณร้อยแปดสิบ อายุน่าจะเท่ากัน เขายืนมองพวกเราด้วยสีหน้านิ่งเฉยปนรำคาญนิดหน่อย

             “เอ่อ...คุณหนูเลออง ผมกำลังสั่งสอนเด็กผู้หญิงพวกนี้น่ะครับ ไม่รู้เป็นบ้าอะไรกับอีแค่ซองเก่าๆขาดๆถึงกับต้องวิ่งตัดหน้ารถ” ชายคนนั้นรายงานอย่างสุภาพนอบน้อมต่างจากที่พูดคุยกับพวกเราสุดๆ

             “ซองอะไรน่ะ?” เขาหันมาถามฉันที่ยืนนิ่ง หัวใจเต้นตึกตักราวกับจะระเบิดออกมา

             “ก็ซองผ้า...ป่...” 

             “ซองทุนการศึกษาน่ะค่ะ” ฉันปิดปากยัยบลูเอาไว้แล้วยิ้มกริ่มยิงฟันขาวส่งให้เขา เรื่องอะไรจะบอกว่าซองผ้าป่า บอกว่าเป็นซองทุนการศึกษายังพอดูดีหน่อย

             “ซองทุนการศึกษาคืออะไรน่ะ?” อ้าว...กรรม...พวกคนรวยนี่ท่าทางจะไม่รู้เรื่องพวกนี้เลยสินะ...

             “เอ่อ...ซองทุนการศึกษาก็คือ...” ฉันพยายามคิดหาความหมายที่ดูดีหน่อย

             “ช่างเถอะๆ...จะเรียกค่าเสียหายหรือค่าทำขวัญเท่าไรก็ว่ามาเลย ฉันจะได้รีบกลับบ้านสักที เหม็นควันรถจะแย่อยู่แล้ว” เขาพูดพลางยกมือปิดจมูกโด่งๆ

             “พูดแบบนี้มันหยามกั...น...” บลูโวยวายแต่ฉันเอามือปิดปากมันไว้ได้ทันอีกครั้ง

             “ไม่เป็นอะไรค่ะ ขอโทษนะคะที่ทำให้เสียเวลา” ฉันตอบพลางส่งยิ้มหวานให้

             “งั้นก็ดี...เซนกลับบ้านได้แล้ว ฉันเหนื่อย!!!” เขาหันไปเอ่ยกับคนขับรถพลางกลับเข้าไปนั่งด้านใน ไม่นานนักรถเบนซ์ตากลมสีเงินก็แล่นฉิวออกไปจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้แต่ความอาลัยอาวรณ์ของฉันที่มองรถคันนั้นจนลับตาไป คนอะไร้...สเป็ค!!!

             “งั้ม!!!”

             “ย้ากกก!!!” ฉันสะบัดมือออกจากปากเพื่อนสาวที่กัดอย่างแรง ก่อนที่มันจะหันมาแว้ดใส่ด้วยความโมโห

             “เธอโง่จริงหรือโง่จังเนี่ย...ค่าทำขวัญก็ไม่เอา แถมยังไปขอโทษเขาอีก”

             “ก็เขาหล่ออะ สเป็คฉันเลยนะเนี่ย”

             “จะบ้าเหรอ!!! หน้าตาดี สันดานเสียแบบนี้ไม่ไหวนะ อยากรู้นักลูกเต้าเหล้าใคร อายุก็เท่ากันแท้ๆทำท่าเชิ่ดเริ่ดหยิ่งไปได้” บลูโวยวายอย่างขุ่นเคือง

             “เอาน่าๆ...อย่าโมโหไปเลย มันเป็นอุบัติเหตุเขาคงไม่ได้ตั้งใจหรอก อีกอย่างเรารักษาเงินไว้ได้ก็พอแล้ว”

             “ยัยบ้าเอ้ย...เธอเสี่ยงตายให้เขาด่าเล่นๆเพราะเงินห้าสิบบาทเหรอเนี่ย” คำพูดของบลูเหมือนศรปักอกอย่างจัง

             “เออ...ว่ะ” โรคบ้าคนหล่อนี่รักษาไม่หายสักที ฉันครุ่นคิดอย่างเซ็งๆ

             กริ๊งงงงงงงง!!!...เสียงนาฬิกาปลุกดังลั่นบ้านอยู่ราวๆห้านาที ฉันกับตุ๊กตาควายแดงก็กลิ้งตกเตียงไปด้วยกัน เมื่อ พี่หงส์ พี่สาวจอมโหดเข้ามาปลุกฉัน

             “แกจะตื่นต่อเมื่อถ่านมันหมดใช่มั้ย นี่มันเจ็ดโมงกว่าแล้วนะเดี๋ยวก็ไปโรงเรียนไม่ทันหรอก” เสียงแว้ดๆนั้นทำให้ฉันต้องปรือตาตื่นอย่างงัวเงีย ( ที่ถีบไปไม่ได้กระทบกระเทือนมโนสำนึกเลยใช่มั้ย =_=* จาก พี่หงส์ ) 

             “รู้แล้วๆ...อาบน้ำแต่งตัวห้านาทีก็เสร็จ” ฉันตอบพลางลุกไปคว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำไป แต่ถึงกระนั้นก็หวนคิดถึงความฝันอันแสนหวานเรื่องที่ได้เจอเลอองเมื่อสองปีก่อนไม่ได้ ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ก็ไม่ได้พบเขาอีกเลย นอกเสียจากตามหน้าหนังสือบันเทิงหรืออินเทอร์เน็ตเท่านั้น

             เสียงจ็อกแจ็กในห้องเรียนเงียบลงเมื่ออาจารย์นลินาที่ตามจองเวรพวกเรามาตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่สี่จนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกเดินเข้ามาพร้อมลังกระดาษใบหนึ่ง

             “ตอนนี้โรงเรียนของเราได้คิดทำโครงการสร้างห้องสมุดเพื่อประชาชน เพื่อให้นักเรียน นักศึกษา รวมถึงประชาชนทั่วไปได้เข้ามาใช้บริการ ดังนั้นทางโรงเรียนจึงคิดรับเงินบริจาคจากผู้ใจบุญสนับสนุนโครงการนี้” อาจารย์นลินาเอ่ยบอกด้วยสีหน้าสดชื่นแจ่มใส ในขณะที่พวกเราได้แต่ยิ้มแหยๆเพราะค่อนข้างเบื่อหน่ายกับการเรี่ยไรพอสมควร

             “คราวนี้จะให้บริจาคหรือให้ไปยืนเรี่ยไรแบบครั้งก่อนนะเนี่ย” ฉันพึมพำขึ้นมาอย่างสงสัย

             “นั่นสินะ” บลูตอบกลับมา แม้ไม่พูดไปมากกว่านี้ ฉันก็เดาได้ว่ามันขยาดจากคราวก่อนพอสมควร

             “ซึ่งจะให้หัวหน้าห้องรับผิดชอบถือกล่องบริจาคไปเรี่ยไรเงินจากคนอื่นๆทั้งในและนอกโรงเรียน” อาจารย์สาวหยิบกล่องบริจาคพลาสติกใสขึ้นมาจากลังกระดาษ ให้ตายเถอะ...ต่อให้อัพเกรดจากซองกระดาษเป็นกล่องบริจาคก็ไม่น่ายินดีเท่าไรถ้าให้เป็นคนถือ หนักกว่าเดิมอีกนะเนี่ย...

             “อาม่าผมป่วยหนักนอนซมอยู่ที่บ้านแล้วพ่อแม่ก็ไม่อยู่ วันนี้ผมเลยต้องรับผิดชอบพาอาม่าไปหาหมอที่โรงพยาบาลครับ” อีตาหยกได้ทีชิงพูดทันที แต่เหมือนอาจารย์นลินาจะจำได้แม่น

             “เอ๊ะ...คราวก่อน เธอยังไม่ได้พาอาม่าไปโรงพยาบาลอีกเหรอ?” ทุกคนในห้องเรียนฮาครืนเมื่อหยกหน้าซีดเพราะโดนจับได้ ฉันล่ะไม่แปลกใจที่อีตานี่ซ้ำชั้นป.หนึ่งสองปีซ้อนไม่พัฒนาการหลอกคนอื่นเลย

             “โฮะๆๆ...สมน้ำหน้า” ฉันหัวเราะเยาะเย้ย ในที่สุดมันก็ได้ชดใช้กรรมที่เคยทำไว้กับฉัน

             “ไม่ต้องหัวเราะไป รองหัวหน้าห้องก็ต้องทำ” อาจารย์นลินาหยิบกล่องบริจาคอีกใบที่ซ่อนไว้ในลังกระดาษขึ้นมา ท่ามกลางเสียงหัวเราะของเพื่อนๆหลายคน ให้ตายเถอะ...นี่มันลังกระดาษหรือกระเป๋าโดราเอม่อนฟะเนี่ย!!!

             “นี่มันเดจาวูหรือเปล่าเนี่ย!” บลูบ่นพึมพำข้างฉันด้วยท่าทางปลงกับชีวิต ความอายกลายเป็นความด้านชาเรียบร้อยแล้ว เพราะตอนนี้พวกเรากำลังยืนขอเรี่ยไรเงินบริจาคอยู่หน้าห้างสรรพสินค้าชื่อดังแห่งหนึ่งย่านบางกะปิ 

             “บ่นมากน่า...แกไม่ได้เป็นคนถือกล่องบริจาคสักหน่อย” ฉันแขวะมัน

             “เอ้า...แต่แกก็ไม่ได้เป็นคนพูดเชิญชวนนี่หว่า” บลูหันมาแว้ดใส่ฉันที่ได้แต่ยิ้มแห้งๆอย่างสำนึกผิด ส่วนหยกต้องไปยืนอีกประตูหนึ่งซึ่งไม่รู้ชะตากรรมของมันในตอนนี้ว่าเป็นยังไงบ้าง พวกเรายืนมาสองชั่วโมงกว่าจนเมื่อยไปหมดแต่เงินบริจาคในกล่องมีแค่ห้าร้อยกว่าบาทเท่านั้น อาจารย์ขา...เอาแค่ประตูห้องสมุดไปก่อนได้มั้ยคะ =_=”

             ระหว่างที่ฉันยืนเซ็งๆอยู่นั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นร้านกาแฟสตาร์ลัคซึ่งอยู่ถัดออกไปเล็กน้อย มองผู้คนกำลังนั่งพูดคุยจิบกาแฟเย็นๆด้วยความอิจฉาอยากเข้าไปนั่งเอ้อระเหยแบบนั้นบ้างเหลือเกิน ในตอนนั้นเองสายตาสะดุดเข้ากับชายหนุ่มรูปงามกำลังนั่งอยู่ท่ามกลางกลุ่มเพื่อนชายด้วยกันตรงโซนด้านนอกร้าน ไม่ว่าจะเป็น หน้าตา ผิวพรรณ หรือ รูปร่าง ทำให้ฉันมั่นใจได้ 99% เลยว่า เขาคือ เลออง!!! ( เหลือ 1% ไว้กันหน้าแตก ) 

             “แก๊!!!” ฉันขึ้นเสียงสูงใช้มือดึงชายเสื้อนักเรียนของยัยบลูจนหลุดรุ่ยออกมาจากกระโปรง

             “อะไรของแกเนี่ย?” 

             “นั่นๆๆ...ใช่เลอองหรือเปล่า?” บลูหันไปมองตามทิศทางที่ฉันชี้

             “น่าจะใช่นะ เฮอะ...ไม่เจอกันสองปีก็ดูขี้เก็กเหมือนเดิม” เพื่อนสาวส่ายหน้าอย่างระอาใจเมื่อเห็นมาดคุณชายของเขา

             “พวกเราเข้าไปขอเรี่ยไรจากพวกเขากันมั้ย?”

             “ตามใจ...แต่ฉันว่าพวกคนรวยๆคงไม่บริจาคหรอก นอกจากจะได้ขึ้นชื่อหราตามหน้าโทรทัศน์เป็นข้อแลกเปลี่ยน” ฉันไม่ฟังเสียงเพื่อนสนิทบ่นพลางรีบเดินไปหยุดที่โต๊ะพวกเขา

            “เอ่อ...ช่วยบริจาคเงินสร้างห้องสมุดเพื่อประชาชนหน่อยได้มั้ยคะ?” ฉันเอ่ยบอกพลางรู้สึกแสบตาตะหงิดๆเพราะแสงออร่าจากเครื่องแบบโรงเรียนเซนต์คาร์เตอร์ เอกชนสุดหรูสะท้อนเข้าตาวิบวับ

             “เฮ้ย...แอมป์แกรวยนี่ บริจาคให้เขาหน่อยสิวะ...เผื่อฉันด้วย” ผู้ชายคนหนึ่งหันไปบอกเพื่อนในกลุ่ม เอ่อ...ถ้าอย่างพวกนายเกี่ยงกันรวย อย่างพวกฉันนี่เกี่ยงกันจนงั้นเหรอ TT^TT

             “ไอ้ซัน ทำบุญทำทานยังจะเกี่ยงอีกนะ” ผู้ชายที่ชื่อแอมป์หันไปว่าเพื่อนก่อนล้วงธนบัตรสีแดงสองใบแล้วหย่อนใส่กล่องบริจาค

             “ขอบคุณค่ะ” ฉันเอ่ยพลางเหลือบมองเลอองที่นั่งเชิ่ดไม่ใส่ใจอะไร ก่อนที่แอมป์เพื่อนชายจะกระทุ้งศอกเบาๆใส่เขา

             “เลออง...แกไม่บริจาคหน่อยเหรอ?” คำพูดนั้นทำให้หนุ่มรูปงามหันมามองฉันพลางเอ่ยว่า

             “ต้องการเท่าไรล่ะ?” แม้ฟังดูทะแม่งๆแต่ไม่เป็นไร...อภัยให้ได้ >_<

             “แล้วแต่จิตศรัทธาค่ะ” ฉันตอบกลับไป

             “แล้วจิตศรัทธาที่ว่านั้นน่ะมันเท่าไร?” 

             “เอ่อ...” คราวนี้เริ่มอ้ำอึ้งตอบไม่ถูก เขามองฉันที่ยืนลังเลด้วยสีหน้ารำคาญใจพลางหยิบธนบัตรสีเทาออกมาจากกระเป๋าสตางค์หนังสีดำ

             “เท่านี้พอมั้ย?” ฉันมองแบงค์พันห้าใบในมือเขาด้วยความอึ้ง

             “พะ...พอ...มั้งคะ เยอะไปด้วยซ้ำ”

             “ก็ดี...คงมากพอที่เธอจะไม่ต้องมาทำอะไรน่าอายแบบนี้อีก” เขาพูดแล้วยิ้มเหยียด แอมป์รับเงินจากเลอองมายัดลงกล่องบริจาค ฉันรู้สึกอึ้งกับคำพูดนั้นทั้งที่อยากโกรธแต่สมองกลับปั่นป่วนจนไม่รู้ว่าจะตอบอะไร เป็นจังหวะที่พนักงานสาวยกถาดเครื่องดื่มมาเสิร์ฟพอดี เลอองรับแก้วกาแฟแล้วยื่นให้ฉัน

             “เอ๊ะ?” ฉันอุทานอย่างแปลกใจ

             “เอาไปดื่มซะ...เธอคงไม่ค่อยมีโอกาสลิ้มรสกาแฟแก้วละร้อยกว่าบาทแบบนี้บ่อยๆหรอก...จริงมั้ย?” 

             “กรี๊ดดดด...อีตาบ้านั่นมันดูถูกเธอชัดๆเลยนะเนี่ย!!!” บลูที่ฟังฉันเล่าเรื่องราวหลังเดินออกมาจากบริเวณร้านสตาร์ลัคถึงกับวีนแตก

             “ไม่เป็นไรหรอก...แกก็น่าจะรู้ว่าพวกไฮโซคงพูดตามปกติ ไม่ได้ตั้งใจจะดูถูกอะไรหรอก” ฉันมองโลกในแง่ดีสุดๆ

             “ไม่ได้ดูถูกกับผีอะไร ยัยห่าน...แกเลิกเห็นกงจักรเป็นดอกบัวสักทีได้มั้ยเนี่ย อีตานั้นมันดอกหน้าวัวชัดๆ!” เพื่อนรักโวยวายด้วยความโมโห 

             “แกนี่...เห็นฉันเป็นคนยังไง ฉันไม่ได้บ้าคนหล่อสักหน่อย” น้อยใจแล้วนะ TTwTT

             “แล้วถ้าคนพูดประโยคนั้นไม่ใช่เลออง แต่เป็นไอ้หน้าเหียกแสนอัปลักษณ์ล่ะ?”

             “ฉันก็จะตบมันด้วยส้นรองเท้าน่ะสิ”

             “นั่นไง...ผิดจากที่ฉันพูดมั้ย” อ้าว...เข้าตัวเลยตู TT^TT “แล้วมันจะไม่น่าโกรธไปกว่านี้ ถ้าแกดันไม่รับกาแฟแก้วนั้นมาด้วย!” ฉันมองแก้วกาแฟเย็นในมือที่บลูพูดถึงด้วยสีหน้าเคลิบเคลิ้ม

             “แหม...คนเขาอุตส่าห์ให้ก็ต้องรับสิยะ อีกอย่าง...นี่เป็นสิ่งแรกที่เลอองให้ฉัน ( ไม่นับเงินบริจาค กลัวบาปกรรม =3= )”

             “พูดยังกับมันเป็นสมบัติล้ำค่าเลยนะยะ” บลูแขวะอย่างอดไม่ได้

             “แน่นอน...กาแฟแก้วนี้เป็นสมบัติล้ำค่า ฉันจะไม่ยอมให้ผู้ใดแตะต้องเลย” พูดได้เพียงเท่านี้ อีตาหยกก็แบกร่างอวบๆพร้อมกล่องบริจาคเดินอุ้ยอ้ายมาทางพวกเรา

             “โหย...เหนื่อยชะมัด อ๊ะ...เอามานี่เลย” ยังไม่ทันได้ตั้งตัวมันก็คว้าแก้วกาแฟจากมือไปอย่างรวดเร็ว  ฉันขยับปากจะห้ามแต่ไม่ทันกาลเพราะมันดูดกาแฟเย็นแก้วละร้อยกว่าบาทของเลอองปื้ดเดียวค่อนแก้วด้วยสีหน้าเบิกบานใจ

             “ฮ้า...สดชื่นชะมัดเลย กาแฟคาราเมล” กรี๊ดดดดด!!!...ทั้งที่ฉันยังไม่ได้ลิ้มรสเลยแท้ๆ แม้แต่ดมดอมก็ยังไม่ได้ทำ พระเจ้า...ทำไมถึงไม่เห็นใจลูกเลยยยย!!! ( ตกลงแกเรียนโรงเรียนวัดไทยหรือวัดนอกฟะ จาก Sw. )

    + +++

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×