ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สาปจันทร์อาบทราย

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 2

    • อัปเดตล่าสุด 7 ต.ค. 59


    ตอนที่ 2

     

    แมกไม้ใหญ่สร้างร่มเงาครึ้มบดบังแสงอาทิตย์ไม่ให้สาดส่องโดนกระโจมผ้าริมสระน้ำ เสียงเสียดสีของใบปาล์มยามต้องลมสุดแสนละมุนละไม คล้ายเครื่องดนตรีแห่งธรรมชาติบรรเลงเพลงขับกล่อมปภาพินท์ซึ่งกำลังหลับสบายอย่างไม่เคยเป็นตลอดระยะเวลาหลายวันที่ต้องนอนกลางดินกินกลางทราย ทว่า เมื่อนัยน์ตากลมโตปรือมองเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาข้อมือก็ต้องรีบลุกพรวดพราดออกจากตรงนั้นทันทีทันใด

    อรุณสวัสดิ์แม่หนู!” บาฮียาเอ่ยทักทายผู้จ้างวานสาวสวยที่เดินงัวเงียงุ่นง่านออกจากกระโจมตรงเข้ามาหาบริเวณกองฟืนใกล้มอด แต่ยังคงคละคลุ้งด้วยเขม่าควันเบาบาง

    คุณลุงใจร้ายจัง...ไม่ยอมปลุกหนู!” เธอโอดครวญหลังพบว่าตื่นสายโด่งเกือบเที่ยงวัน นั่นหมายความ ว่า...การเดินทางจะต้องล่าช้าลงไปอีก

    ลุงเห็นแม่หนูนอนหลับสบายเลยไม่อยากปลุกน่ะ

    โธ่...แต่หนูอยากไปถึงโอเอซิสซิวาเร็วๆนี่ค่ะ

    จะออกเดินทางช้าหรือเร็วก็ไปไม่ถึงจุดหมายหรอก

    เอ๊ะ...หมายความว่าอย่างไรคะ? ปภาพินท์สงสัย

    ลุงหมายถึง...ระยะทางมันไกล จะให้เดินทางถึงภายในวันนี้คงเป็นไปไม่ได้เขาอธิบายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แม่หนูเองก็ไม่เคยชินสภาพอากาศในทะเลทรายจึงทำให้อ่อนเพลียง่าย ฉะนั้นการพักผ่อนเต็มอิ่ม คือ สิ่งดีที่สุดสำหรับผู้ไม่มีประสบการณ์มากพอคำพูดเตือนสติจากผู้อาวุโสบั่นทอนความร้อนรนในใจผู้ฟังเสียชะงัด

    ขอโทษค่ะ...หนูลืมคิดเรื่องนั้นเสียสนิท เป็นอีกครั้งที่สองมือเล็กๆยกขึ้นพนมไหว้ชายชราตามมรรยาทไทยด้วยความรู้สึกผิดจริงๆ

    ไม่จำเป็นต้องขอโทษขอโพยหรอก ลุงเข้าใจ ว่า...แม่หนูเป็นห่วงเพื่อน

    ใช่ค่ะ เธอยอมรับเสียงอ่อยๆ

    เอ้า...กินรองท้องสักหน่อย เมื่อวานแม่หนูก็ไม่ได้กินมื้อเย็น...ประเดี๋ยวจะเป็นลมเป็นแล้งไปเสียก่อน

    กาวา ( *** ) ร้อนๆส่งกลิ่นหอมฉุยขณะรินจากกาทองเหลืองลายกระดำกระด่างสู่ถ้วยดินเผา และถูกหยิบยื่นให้พร้อมเอช บาลาดี ( *** ) เพื่อเป็นมื้อเช้าและมื้อกลางวัน แม้บางครั้งปภาพินท์อาจทำตัวไม่น่ารักไปบ้าง แต่บาฮียาก็ไม่เคยติเตียนนอกเสียจากตักเตือนตามประสาผู้ใหญ่เท่านั้น และทำให้รู้สึกอุ่นใจยามสนทนาปราศรัยเพราะมักได้ข้อคิดดีๆกลับมาสม่ำเสมอ

    ขอบคุณค่ะ หญิงสาวรับความปรารถนาจากอีกฝ่าย ก่อนจะขอตัวไปอาบน้ำอาบท่าให้เรียบร้อย

    สระน้ำใสใกล้สถานที่พักแรมมีความสำคัญประหนึ่งทรัพย์สมบัติอันเลอค่าของชุมชนกลางทะเลทราย เมื่อทุกคนต่างต้องพึ่งพาโดยใช้ดื่มและอาบรวมถึงรดน้ำพืชผักผลไม้ให้เจริญเติบโตดุจเดียวกับหล่อเลี้ยงชีวิตตนเอง เสียงโหวกเหวกของเด็กชายเด็กหญิงบริเวณริมตลิ่งฝั่งตรงข้ามค่อนข้างเจี๊ยวจ๊าวน่ารำคาญแต่ก็เป็นสีสันแก่โอเอซิสบาฮาริยาไม่น้อย

    มือบางลูบไล้ผิวคล้ำแดดด้วยสบู่ขณะแช่กายในน้ำเย็นอย่างร่าเริง พร้อมกวาดสายตาเก็บเกี่ยวธรรมชาติสีเขียวขจีเอาไว้ให้มากที่สุดก่อนจะต้องรอนแรมไปยังโอเอซิสซิวาหลังจากนี้ คำบอกเล่าของศาสตราจารย์ริชาร์ด เทเลอร์อาจสร้างความท้อแท้อยู่บ้าง แต่ปภาพินท์ก็ไม่ท้อถอยที่จะมุ่งหน้าสู่จุดหมาย และ พยายามสันนิษฐาน ว่า...คงเกิดปัญหาระหว่างการทำงานจนขาดการติดต่อประสานกันก็เป็นได้

    น้ำเย็นอาจช่วยบรรเทาความร้อนระอุของสภาพอากาศให้เจือจางลง แต่ไม่สามารถชะล้างความกลัดกลุ้มในจิตใจได้เลยสักนิด ถึงกระนั้นเธอก็ต้องผ่อนปรนเรื่องฟุ้งซ่านเพราะยังมีภาระหน้าที่อีกมากมายต้องทำ เฉกเช่น เก็บข้าวของสัมภาระ และ ตระเตรียมเสบียงอาหารกับเครื่องดื่มให้เพียงพอต่อการเดินทาง

    บาฮียา...พวกเราน่าจะค้างที่นี่อีกสักคืนนะ!” เพื่อนร่วมกองคาราวานคนหนึ่งเอ่ยบอกชายชราซึ่งกำลังช่วยคนอื่นๆเก็บกระโจมผ้าหลายหลัง พวกอูฐจะได้พักหาหญ้าหาน้ำเต็มที่ด้วย

    ซาฮัตเขาเรียกชื่ออีกฝ่าย ไม่มีใครรู้เรื่องอูฐดีไปกว่าผู้ที่คลุกคลีอยู่กับมันอย่างพวกเรา...ใช่หรือไม่?

    ชะ...ใช่...

    อูฐสายพันธุ์โอมาน...ขึ้นชื่อยิ่งนักในเรื่องความทรหดอดทน บางตัวสามารถอยู่ได้นานกว่าสองสัปดาห์โดยไม่มีอะไรตกถึงท้อง เมื่อวานนี้พวกเราก็ได้ให้หญ้ากับน้ำแก่พวกมันตั้งมากมาย แล้วเหตุใดจึงใช้ข้ออ้างไร้เหตุผลมาหยุดยั้งการเดินทาง!”

    ดวงตาสีเทาของชายแก่จดจ้องมองชายฉกรรจ์อายุรุ่นราวคราวลูกเพื่อเค้นเอาคำตอบ

    ถ้าออกเดินทางและพักค้างแรมกลางทะเลทรายคืนนี้ อาจจะเจออาถรรพ์วันจันทราก็ได้นะ!” ซาฮัตสารภาพถึงความกลัวที่แอบซ่อนในจิตใจ

    นั่นเป็นเรื่องชะตาฟ้าลิขิต บาฮียาตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง อีกอย่าง...หากล่าช้าเกินกว่านี้อาจจะไม่ทันกาล เพราะเวลาไม่เคยคอยท่าและแม่หนูพิณก็เป็นห่วงเพื่อนมาก น้ำเสียงแหบแห้งแผ่วเบาลงเล็กน้อย

    ตามใจเถอะ...แต่ถ้ามีเรื่องร้ายเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง จะมาโยนความผิดหรือถือโทษโกรธเคืองกันไม่ได้นะ!”

    การสนทนายุติลงเพียงเท่านั้นเมื่อทั้งคู่เหลือบพบปภาพินท์ซึ่งเดินกลับมาหลังจากอาบน้ำอาบท่าเสร็จ หญิงสาวส่งยิ้มให้บาฮียากับซาฮัตอย่างมีไมตรี และ แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินอะไรทั้งที่แอบฟังตั้งแต่ต้น

    อาถรรพ์วันจันทรา...คืออะไรกันนะ?

    ทันทีที่สุริยเทพคล้อยผ่านยามเที่ยงวัน...กองคาราวานก็เริ่มเคลื่อนตัวจากโอเอซิสบาฮาริยามุ่งหน้าสู่โอเอซิสซิวาอีกครั้ง สภาพอากาศร้อนอบอ้าวทำให้เม็ดเหงื่อเริ่มผุดขึ้นบนใบหน้ามนสวยทั้งที่เพิ่งลาจากร่มเงาไม้ไม่นานนัก แม้มีสายลมคอยพัดผ่านบางครั้งบางคราวแต่ก็หาได้ช่วยทุเลาความร้อนระอุ มิหนำซ้ำยังหอบซัดฝุ่นทรายขึ้นมาจนแทบปิดหน้าปิดตาไม่ทัน

    ขบวนอูฐเดินลัดข้ามสันทรายสูงบ้างต่ำบ้างจนร่างบางไหวโอนเอนทำท่าจะพลัดตกหลายต่อหลายครั้ง ทว่า ปภาพินท์ก็จับเชือกและประคองตัวไว้ได้อย่างจวนเจียนร่ำไป นัยน์ตากลมโตมองดูบาฮียาที่เดินนำหน้าอย่างครุ่นคิดเกี่ยวกับการสนทนาระหว่างเขากับซาฮัตไม่สร่าง ความสงสัยมากมายประดังประเดในหัวแต่ไม่อาจถามไถ่ด้วยไม่มีจังหวะและโอกาสเพียงพอ

    สิ่งเดียวที่เธออยากรู้ในตอนนี้ คือ เรื่องอาถรรพ์วันจันทรา!

    สามครั้งสามคราแล้วที่ชื่อๆนี้ผ่านเข้าหูอย่างไม่ตั้งใจ ทั้งจาก บาฮียา แม่ค้าขายเครื่องดื่ม และ ซาฮัต ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกัน แต่กระนั้นก็ไม่เห็นว่ามันจะเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของคณะวิจัยสำรวจโอเอซิสซิวาตรงไหน

    คิดอะไรอยู่? ชายชราร้องถามหลังชะลอฝีเท้าเจ้าพาหนะตัวใหญ่ให้ช้าลงเพื่อเดินเหยาะๆขนาบข้างหญิงสาว

    เอ่อ...หนูแค่กำลังนึกสงสัยอะไรบางอย่างน่ะค่ะ

    เรื่องอะไรเหรอ?

    เรื่องอาถรรพ์วันจันทราค่ะ หากตาไม่ฝาดปภาพินท์สังเกตเห็นเพื่อนร่วมทางคนอื่นๆมีสีหน้าเลิ่กลั่กขึ้นมาเมื่อได้ยินคำตอบนั้น หนูเคยได้ยินคุณลุงพูดตอนพบเจอกันครั้งแรกในข่านอัล คาลิลี ต่อมาก็ได้ยินแม่ค้าขายเครื่องดื่มที่โอเอซิสบาฮาริยาพูดหลังจากฟังเรื่องราวการหายตัวไปของคณะวิจัยฯ จนกระทั่งก่อนออกเดินทางหนูก็บังเอิญได้ยินเรื่องนี้ตอนที่คุณลุงกับซาฮัตพูดคุยกันอีก พอจะบอกได้ไหมคะ ว่า...อาถรรพ์วันจันทราคืออะไร? เธอถามตรงๆไม่อ้อมค้อม

    ใบหน้าเหี่ยวย่นก้มน้อยๆพร้อมทอดถอนหายใจออกมาก่อนจะเริ่มเล่า

    อาถรรพ์วันจันทรา คือ ตำนานปรัมปราซึ่งเล่าสืบต่อกันมาในแถบนี้ เกี่ยวกับพระราชวังอียิปต์โบราณที่จะปรากฏโฉมให้เห็นทุกคืนวันเพ็ญ

    พระราชวังอียิปต์โบราณ!” หญิงสาวทวนคำๆนั้นอีกครั้ง

    ใช่! ว่ากันว่า...มันจะผุดขึ้นมาจากพื้นทรายที่ถูกฉาบด้วยแสงสีเหลืองนวลของพระจันทร์เต็มดวงชายแก่ขยายความ

    เอ่อ...หนูไม่ได้คิดจะลบหลู่ความเชื่อของใครๆ แต่ถ้ามันเป็นเรื่องจริงทำไมจึงไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกมาให้พิสูจน์ล่ะคะ ปภาพินท์โต้แย้ง ไม่ว่าจะคิดเท่าไร...ก็ไม่พบข้อเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของคณะวิจัยฯสักนิดเดียว

    อย่างไรเสียความเป็นนักโบราณคดีก็สอนให้เชื่อในเหตุผล มากกว่าเอนเอียงตามคำร่ำลือเลื่อนลอยง่ายๆ การที่พระราชวังอียิปต์โบราณจะปรากฏขึ้นกลางทะเลทรายในคืนจันทร์เพ็ญยิ่งแล้วใหญ่

    ตำนานก็คงเป็นแค่ตำนานวันยังค่ำ!

    การหาหลักฐานคงยาก...เพราะผู้พบเห็นพระราชวังอียิปต์โบราณส่วนใหญ่มักหายสาบสูญอย่างไร้ร่องรอยไม่เหลือแม้แต่ซากศพให้นกแร้งได้จิกกิน ส่วนผู้หนีรอดก็กลายเป็นคนวิกลจริตพูดพร่ำจับใจความไม่ค่อยได้ ทำให้ไม่ค่อยมีใครกล้าใช้เส้นทางนี้ทั้งที่เป็นทางลัด บาฮียาเอ่ยบอก อาถรรพ์วันจันทราจึงอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของคณะวิจัยฯตามความคิดของลุงหรือใครก็ตามที่ทราบตำนานนี้ ส่วนจะเชื่อหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับตัวแม่หนูเองนั่นล่ะ!”

    แล้วเมื่อไรจะถึงคืนวันพระจันทร์เต็มดวงค่ะ? เธอถามด้วยความอยากรู้ แต่กระนั้นก็หาได้เชื่อตำนานปรัมปราเรื่องนี้เหมือนคนอื่นๆ

    คืนนี้!” เขาตอบสั้นๆพร้อมคลี่ยิ้ม จากนั้นก็บังคับเจ้าอูฐตัวใหญ่ให้วิ่งนำหน้าเช่นเดิม

    หยุด!!! อย่ามา...กลับไป!!!”

    จู่ๆเสียงตวาดดุดันของรณกรในความฝันก็ดังชัดเจนขึ้นมา ปภาพินท์ยังคงจดจำความหวาดกลัวของตัวเองเมื่อคืนนี้ได้อย่างแม่นยำ หรือนั่นคือสาเหตุที่เพื่อนชายตั้งใจจะสื่อสารบอกให้รู้เป็นนัยๆเกี่ยวกับอาถรรพ์วันจันทรา

    บ้าน่า...มันเป็นแค่ความฝันกับตำนานเท่านั้น!” น้ำเสียงหวานพึมพำเบาๆเพื่อปลอบประโลมความฟุ้งซ่านให้ลดน้อยลง ทว่า ก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองดวงตะวันกลมโตซึ่งค่อยๆคล้อยต่ำเลียบติดเส้นขอบฟ้าจนผืนทรายแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเพลิง เปรียบประหนึ่งสัญญาณบอกเวลา ว่า...อีกไม่นานยามราตรีจะคืบคลานเข้ามาแล้ว

     

    กระโจมผ้าสีมอซอถูกสร้างขึ้นอย่างเรียบง่ายสำหรับใช้ค้างแรมค่ำคืนนี้ เมฆมากมายบดบังแสงจันทร์กับแสงดาวที่เคยกระจ่างไม่ต่างจากเบื้องล่างที่มืดสลัว ไม่มีใครสักคนในกองคาราวานกล้าพอที่จะจุดฟืนไฟหุงหาอาหารด้วยเกรงว่าจะตกเป็นเป้าสายตาต่อสิ่งลึกลับตามตำนานโบร่ำโบราณ มื้อเย็นจึงมีเพียงผลอินทผาลัม ( *** ) กับ นมอูฐเท่านั้น

    อย่างไรเสียก็ดีกว่าต้องอดตาย!

    หญิงสาวพยายามข่มใจรับประทานอาหารเย็นโดยไม่ปริปากบ่นสักคำ เพราะไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับทุกคนให้มากความ เนื่องจากรู้ดี ว่า...ความเชื่อผูกติดกับมนุษย์มาแต่ครั้งโบราณกาล ไม่ว่ากี่ยุคกี่สมัยก็ไม่วันเลือนหายจากสังคม มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะสอดแทรกสิ่งใหม่ๆเข้าไปปรับเปลี่ยนความคิดของพวกเขาเหล่านั้น

    ขอให้ฟ้าปิดแบบนี้ตลอดคืนด้วยเถิดซาฮัตพูดขึ้นมาเป็นคนแรก หลังต่างคนต่างนั่งล้อมวงร่วมรับประทานอาหารเงียบๆอยู่นานสองนาน

    เบื้องบนคงเห็นใจพวกเรา จึงดลบันดาลให้เมฆบดบังเต็มฟ้าแบบนี้ ผู้ชายอีกคนสมทบด้วยน้ำเสียงร่าเริง รอยยิ้มของเขาคนนั้นดูฝืนๆเกร็งๆคล้ายกำลังปลอบใจตนเองมากกว่า

    เลิกพูดพร่ำน่ารำคาญแล้วรีบกินให้เสร็จไวๆ!” บาฮียาตำหนิเสียงเข้มพลางหันมาหาปภาพินท์ซึ่งนั่งข้างๆ วันนี้แม่หนูก็รีบเข้านอนสักหน่อย ห่มผ้าหลายๆผืนจะได้ช่วยคลายหนาว แล้วอย่าลืมดับไฟหรืออะไรก็ตามที่ทำให้เกิดแสงสว่าง...อดทนแค่วันนี้วันเดียวเท่านั้น!”

    ค่ะ เธอรับคำผู้อาวุโสก่อนจะรีบรับประทานอาหารแล้วขอตัวเข้าไปในกระโจม เพราะรู้สึกอ่อนล้าจากการเดินทางไกลจนอยากพักผ่อนเสียที

    สภาพอากาศหนาวเหน็บยามราตรีสะท้านร่างบอบบางของหญิงสาวทำให้ต้องเอื้อมมือคว้าผ้าห่มขนสัตว์คลุมทับเป็นชั้นที่สอง แม้ต้องการข่มตาหลับสักเพียงใดก็มิอาจทำได้ง่ายๆเมื่อคิดถึงไออุ่นของกองไฟที่มักจุดไล่ความเย็นยะเยือกและสัตว์ร้ายไม่ให้กล้ำกรายเข้ามา แต่ก็ได้แค่จินตนาการเท่านั้น... ไม่มีเสียงพูดคุยสรวลเสเฮฮายามค่ำคืนเล็ดลอดเข้ามาดั่งที่เคยเป็น นอกเสียจากเสียงลมโหมพัดแรงอยู่ภายนอกจนผ้ากระโจมไหวสะบัดราวปะทะพายุลูกมหึมา หลายคนคงหลับใหลเก็บแรงไว้ใช้ในวันพรุ่งนี้กันหมดแล้วจึงไม่ต้องพานพบภาพน่าหวาดผวาเยี่ยงนี้

    เวลาคงผ่านไปเนิ่นนานพอสมควร เพราะทันทีที่รู้สึกตัวหลังจากผล็อยหลับก็พบว่าเสียงลมหวีดร้องอย่างพิโรธโกรธาได้อันตราธานหายไปแล้ว ปภาพินท์จึงเดินออกจากกระโจมไปสำรวจความเรียบร้อยของสถานที่พักแรม ทว่า สิ่งแรกที่พบเห็นไม่ใช่ข้าวของพังทลาย แต่เป็นท้องฟ้าเบื้องบนที่บัดนี้ไร้เมฆหมอกบดบังและอวดโฉมให้ประจักษ์ถึงความงดงามอันแท้จริง

    นภากว้างถูกประดับด้วยดวงดารานับพันนับหมื่นซึ่งพากันเปล่งประกายพร่างพราวประชันกันระยิบระยับ แต่ก็ยังพ่ายแพ้แก่แสงนวลลออของอัญมณีกลมโตสุกปลั่งเพียงดวงเดียวอยู่ดี จันทร์เพ็ญในค่ำคืนนี้แปลกตากว่าทุกครั้งที่เคยพบเห็น ทั้งสวยงามและลึกลับจนหญิงสาวรู้สึกขนลุกมากกว่าอิ่มเอมใจ

    ไม่เคยเห็นฟ้าเปิดขนาดฉายโฉมศศิธรเต็มดวงพร้อมหมู่ดาวระรานตาถึงเพียงนี้...

    นอนต่อดีกว่า เธอพึมพำเบาๆแล้วทำท่าจะหมุนตัวกลับเข้าไปในกระโจมอีกครั้ง

    ครืนนนนนน!

    ฉับพลัน...เสียงอะไรบางอย่างก็ดังแว่วมาจากที่ไกลแสนไกล เรียกร้องความสนใจให้ต้องหันรีหันขวางหาต้นตออย่างรวดเร็ว ทันทีที่ภาพตรงหน้าปรากฏแก่สายตา...หัวใจดวงน้อยก็แทบหยุดเต้นพลอยทำเอาทั่วทั้งร่างเย็นเฉียบไปด้วย หากไม่ได้เสาไม้ข้างกายไว้ยึดเกาะป่านนี้เธอคงทรุดลงแทบพื้นเพราะเข่าอ่อนแน่ๆ

    พื้นที่ว่างเปล่าเบื้องหน้าแต่แรกเริ่มบัดนี้มีพระราชวังอียิปต์โบราณขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอาบแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมากระทบ แม้มองดูอยู่ห่างๆก็ยังสัมผัสได้ถึงความโอ่อ่าตระการตาของอาคารหลายชั้นซึ่งถูกเสาหินทรงกลมค้ำไว้หลายร้อยต้นแลคล้ายมหาวิหารลักซอร์ ต่างกันแค่พระราชวังแห่งนี้ดูใหม่กว่าและครึ้มด้วยต้นปาล์มมากมายรายรอบบริเวณดุจสวนสวรรค์ในห้วงจินตนาการ

    เป็นไปไม่ได้!!!” ปภาพินท์ไม่เชื่อทั้งที่เห็นด้วยสองตา

    ในวินาทีนั้นเอง...ก็บังเกิดฝุ่นทรายคลุ้งตลบอบอวลจากทางพระราชวังอียิปต์โบราณ ก่อนเผยร่างชายฉกรรจ์ผิวคล้ำนับร้อยคนนุ่งผ้าสามเหลี่ยมผืนสั้นสีขาวปิดท่อนล่างเพียงชิ้นเดียวเหมือนทหารไอยคุปต์ที่เคยเห็นตามภาพวาดบนผนังเทวสถานเก่าแก่ มือหนึ่งถือโล่ไม้ทาลวดลายขนาดใหญ่สูงเกือบเท่าตัว อีกมือหนึ่งถือหอกสัมฤทธิ์ปลายแหลมพุ่งทะยานออกจากม่านหมอกสีน้ำตาล

    จับกุมพวกมันให้หมดทุกคน อย่าละเว้นไอ้อีหน้าไหนให้หลุดรอดไปได้!” บุรุษเพียงคนเดียวในชุดเกราะหนังสัตว์ตะโกนสั่งเหล่าผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาเสียงดัง พร้อมควงดาบสัมฤทธิ์แล้วชูขึ้นสุดมือเพื่อกรีธาทัพ

    เสียงฝีเท้าดังสนั่นกึกก้องประสานเสียงโห่ร้องข่มขวัญศัตรูของพวกเขาเหล่านั้นสร้างความสั่นประสาทแก่ปภาพินท์จนถอยหลังกรูกลับเข้ากระโจมด้วยความตกใจ ขณะที่กองทัพทหารอียิปต์โบราณได้วิ่งเข้ามายังกองคาราวานราวกับสายน้ำหลาก

    นี่มันอะไรกัน!!!” หญิงสาวกู่ก้องร้องถามตัวเอง

    ความหวาดกลัวทำให้เธอทรุดกายแอบตรงมุมหนึ่ง สองมือกอดกระเป๋าสะพายใบเล็กและหลับตาลง ปากก็ภาวนาให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นแค่ความฝัน แต่หูยังคงได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมประหนึ่งตกอยู่ท่ามกลางสมรภูมิรบ

    ช่วยด้วยยยย!!!” เสียงเพื่อนร่วมเดินทางคนอื่นๆเอ็ดตะโรโวยวายปะปนเสียงต่อสู้อยู่ภายนอกกระโจม

    แซ่กกกกกก!!!

    ผ้าม่านถูกฉีกกระชากจากผู้บุกรุกเข้ามาภายในกระโจมที่หญิงสาวกำลังแอบซ่อนตัวอยู่ จิตใต้สำนึกสั่งให้เธอหนีไปให้พ้นจากสถานที่แห่งนี้ แต่เท้าเจ้ากรรมดันหนักอึ้งราวกับมีหินก้อนใหญ่ถ่วงเอาไว้ไม่ให้ร่างบางซึ่งกำลังสั่นเทาหนีเอาตัวรอด น้ำตาใสๆไหลอาบดวงหน้าอย่างกลัวจับขั้วหัวใจ ทว่า ก็กัดฟันทนฝืนลืมตามองภาพตรงหน้า

    ชายฉกรรจ์ผิวคล้ำดำทะมึนคนหนึ่งยืนจังก้าอยู่ไม่ห่าง นัยน์ตาดุดันจดจ้องมองปภาพินท์เหมือนสัตว์ร้ายเห็นเหยื่ออันโอชะพร้อมปรี่เข้ามากระชากข้อมือเล็กๆให้ลุกขึ้นอย่างไม่ปราณีปราศรัย

    กรี๊ดดดดดดดดดดด!!!”  เธอกรีดร้องและกัดแขนอีกฝ่ายเต็มแรง ก่อนจะตั้งท่าวิ่งหนีออกจากกระโจม แต่เขาคนนั้นไวกว่าโจนเข้าตะครุบหญิงสาวเอาไว้ได้ทันจนล้มกลิ้งไปด้วยกันบนพื้น

    ท่านแม่ทัพ!!!” ทหารชายตะโกนเรียกผู้บังคับบัญชาสุดเสียงขณะจับตัวปภาพินท์เอาไว้แน่นหนา ท่านแม่ทัพอิมโฮเทป...ตรงนี้มีผู้หญิง!!!

    นางอยู่ที่ไหน?"

    บุรุษในชุดเกราะหนังสัตว์รุดเข้ามาภายในกระโจมอย่างรวดเร็ว ใบหน้ากร้านแดดแต่คมคายได้รูปจดจ้องมองสตรีร่างเล็กที่พยายามร้องโวยวายและขัดขืนการจับกุมตลอดเวลา ทันทีที่เธอหันมาดวงตาสีน้ำตาลของแม่ทัพอิมโฮเทปก็เบิกโพลงราวกับพบเจอเรื่องประหลาดที่สุดในชีวิตก็ไม่ปาน

    จับนางไปบัดเดี๋ยวนี้!!!”

    ขอรับท่านแม่ทัพ!” ผู้อยู่ใต้โอวาทรับคำสั่งเสียงดัง

    ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ...จะพาฉันไปที่ไหน!!!”

    หุบปากของเจ้า แล้วตามพวกข้าไปเสียจักดีกว่า!” ทหารชายตะคอกลั่น พลางผลักร่างเล็กๆให้เดินออกจากกระโจมอย่างไม่เมตตาสงสาร

    ไม่!!! ฉันไม่ไป...ได้โปรดปล่อยฉันเถอะ!” น้ำเสียงหวานสั่นระริก

    น้ำตาของปภาพินท์เบือนใบหน้าคมคายของแม่ทัพอิมโฮเทปให้แสร้งมองทางอื่น ก่อนจะเร่งฝีเท้าไปหยุดยืนประจำตำแหน่งตรงหน้าขบวนกองทัพทหารอียิปต์ซึ่งสามารถคว้าชัยชนะมาครอบครองได้อย่างสมบูรณ์

    รวดเร็วดุจสายลมพัดผ่าน...

    ชั่วเวลาสั้นๆเท่านั้นสถานที่พักแรมอันประกอบด้วย กระโจมสิบกว่าหลัง ข้าวของสัมภาระ ก็แปรสภาพเป็นซากกองขยะล้มกระจัดกระจาย กลิ่นไอของความพ่ายแพ้คุกรุ่นผสมผสานความหวาดกลัวทั่วบริเวณ ไม่มีใครสักคนในกองคาราวานหนีรอดจากการกระทำอุกฉกรรจ์ของเหล่าบุคคลปริศนา ต่างถูกพันธนาการไว้ด้วยโซ่ตรวนล่ามติดกันเป็นกลุ่มแถวตอนยาวโดยมีคมหอกหลายเล่มจ่อลำคอเชลยไร้หนทางสู้ประหนึ่งพร้อมคร่าเอาชีวิตทุกเมื่อที่มีการขัดขืนหรือหลบหนี ขณะที่หญิงสาวถูกจับแยกออกมาอยู่คนเดียวโดยมีทหารชายคนเดิมคอยคุมเชิงอยู่ข้างๆ แต่กระนั้นเธอก็ไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถทำอะไรได้ดีกว่าการยอมเดินตามขบวนอย่างว่านอนสอนง่ายเพราะมือทั้งสองข้างถูกไพล่หลังมัดตรึงด้วยเชือก

    อาถรรพ์วันจันทรา...นี่คืออาถรรพ์วันจันทรา...พวกเราไม่น่าออกเดินทางวันนี้เลย ซาฮัตโอดครวญสะอึกสะอื้นเบาๆ ทว่า เสียงนั้นก็ถูกดูดกลืนด้วยสายลมที่โหมพัดแรงคล้ายกระชากเอาความหวังและวิญญาณไปจากร่างผู้ปราชัย

    แม้ปภาพินท์ไม่เคยเชื่อ ว่า...ตำนานปรัมปราไร้สาระที่ได้ฟังมาตลอดหลายวันจะเป็นเรื่องจริง แต่ทุกก้าวย่างที่เดินตามกองทัพทหารไอยคุปต์มุ่งตรงสู่พระราชวังอียิปต์โบราณ ซึ่งยังคงตั้งตระหง่านรับแสงจันทร์เต็มดวงอยู่เบื้องหน้าได้สั่นคลอนจิตใจหญิงสาวให้เริ่มแปรเปลี่ยนความคิดเสียแล้ว

     

    คบเพลิงมากมายถูกจุดเรียงรายตามแนวทางเดินศิลาที่ทอดยาวสู่ทางเข้าตัวพระราชวังขนาดใหญ่ แรงลมไหวเปลวไฟให้เกิดแสงเงาวูบวาบในความมืดสลัวสร้างความรู้สึกอึดอัดอย่างไม่อาจบรรยายออกมาเป็นถ้อยคำได้ ราวกับทหารชายซึ่งยื้อยุดฉุดกระชากปภาพินท์อยู่นั้นเป็นเทพเจ้าอานูบิส ( *** ) กำลังลากตัวเธอสู่ยมโลกเพื่อไปพิพากษาความผิดต่อหน้าเทพเจ้าโอซิริส ( *** ) ก็ไม่ปาน

    อารยธรรมอันยิ่งใหญ่และเกรียงไกรของดินแดนแห่งสุริยเทพราถูกบอกเล่าผ่านอักษรเฮียโรกลิฟฟิกที่จารึกบนเสาหินทรงกลมสีทรายหลายร้อยต้นขนาบสองข้างทาง ทั้งที่กลัวเหลือคณานับแต่หญิงสาวก็อดตื่นตาตื่นใจกับความตระการตารอบด้านไม่ได้ สถาปัตยกรรมสภาพใหม่เอี่ยมเหล่านี้ไม่มีทางได้เห็นบนโลกปัจจุบันซึ่งล้วนเหลือเพียงซากปรักหักพังของโบราณสถาน

    คุมตัวเชลยคนอื่นๆออกไป!” ผู้บัญชาการทัพใหญ่สั่งพวกทหารให้นำพาทุกคนในกองคาราวานแยกออกไปอีกทางจนเหลือเพียงเขา ปภาพินท์ และทหารชายผู้มีหน้าที่ควบคุมตัวเธอเท่านั้น

    จะพาฉันไปที่ไหน?

    แม่ทัพอิมโฮเทปคลี่ยิ้มน้อยๆเมื่อได้ยินคำถามนั้น พลางพินิจสตรีตรงหน้าที่หันรีหันขวางหาทางหนีทีไล่อย่างนึกขัน เพราะไม่มีทางที่ผู้หญิงตัวเล็กๆบอบบางจะฝ่ากองกำลังอารักขานับร้อยนับพันคนออกจากสถานที่แห่งนี้ได้อย่างแน่นอน

    ประเดี๋ยวเจ้าจักรู้เอง!” พูดจบเขาก็เดินนำลิ่วไปตามทางศิลา โดยไม่คิดตอบคำถามอื่นใดแก่ผู้สงสัยให้เสียเวลามากเกินกว่านี้

    ไม่มีโอกาสและหนทางใดๆสำหรับเชลยที่ถูกจับ...หญิงสาวรู้กฎข้อดีนี้จากการศึกษาประวัติศาสตร์ในฐานะนักโบราณคดี หากไม่ทำตามก็คงถูกฆ่าตายด้วยอำนาจของผู้ปกครองที่สูงส่งเหนือกฎหมายและศีลธรรม จึงทำได้เพียงปิดปากแล้วเดินตามเงียบๆ ในใจก็ยังสวดภาวนาให้เรื่องราวทั้งหมดเป็นความฝันหรือภาพหลอนเท่านั้น!

    ท้องพระโรงโอ่อ่าเรืองรองดั่งทองทายามผนังหินทรายถูกฉาบทาบทับด้วยแสงคบเพลิงหลายสิบอัน แต่กระนั้นก็มิอาจบั่นทอนความวิจิตรของลวดลายภาพวาดให้ลดน้อยลง ประติมากรรมรูปสลักเทพเจ้าหลายองค์เสมือนมีชีวิตและจับจ้องผู้มาเยือนใหม่ไม่ต่างจากผู้คนนับร้อยซึ่งกำลังนั่งอยู่ก่อนหน้า การแต่งตัวของบุรุษและสตรีสามารถบ่งบอกถึงยศถาบรรดาศักดิ์ของแต่ละคนได้ง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นขุนนางที่นุ่งผ้าสีขาวคล้ายกระโปรงสั้นพับจีบเหมือนชุดทหาร หรือ เชื้อพระวงศ์ชายหญิงที่สวมใส่แพรพรรณเนื้อบางจนเห็นสรีระชัดเจน

    มือทั้งสองข้างของปภาพินท์ถูกปลดเปลื้องจากพันธนาการเพียงแค่แม่ทัพหนุ่มลงคมดาบบนเชือกครั้งเดียว ก่อนกดไหล่เธอให้ทรุดกายคุกเข่าทันทีทันใด

    ฉันเป็นผู้หญิงนะ...กรุณาให้เกียรติกันบ้าง!”

    สงบปากคำของเจ้าเมื่ออยู่ต่อเบื้องพระพักตร์องค์ฟาโรห์!” แม่ทัพอิมโฮเทปกล่าวตำหนิ

    องค์ฟาโรห์?เธอทวนคำๆนั้นอย่างประหลาดใจไม่น้อยแล้วจึงเหลียวมองด้านหน้าของตนเอง

    ณ ตรงนั้น มีนางกำนัลในชุดยาวสีขาวสองคนกำลังโบกพัดขนนกกระจอกเทศขนาดใหญ่เพื่อถวายลมหายใจแห่งชีวิตแด่บุรุษสูงศักดิ์ผู้ประทับบนบัลลังก์ทองคำ ความสง่างามดุจองค์สมมติเทพสามารถสะกดสายตาปภาพินท์เอาไว้ดั่งต้องมนต์

    ใต้มงกุฎเซ็ต ( *** ) สีแดงสลับขาวอันเป็นสัญลักษณ์ของผู้กุมอำนาจการปกครองสองอาณาจักรหรืออียิปต์บนกับอียิปต์ล่างนั้น เผยพระพักตร์คมคายค่อนไปทางเคร่งขรึมด้วยพระขนงโก่งดั่งคันศร รับกับพระเนตรสีนิลกรีดหนาด้วยกาลีนา ( *** ) สีดำเฉี่ยวยาว และ แต้มแต่งด้วยมาลาไคต์ ( *** ) สีเขียวอีกชั้นหนึ่ง ทรงฉลองพระองค์ด้วยแพรพรรณขาวสะอาดตา คาดทับด้วยสร้อยพระศอกับรัดพระองค์ทองคำประดับอัญมณีเจียระไนหลากสี เข้าชุดกับทองพระกร ทองพระบาท และ พระธำมรงค์ แบบเดียวกันอย่างลงตัว ถึงกระนั้นเหล่าอาภรณ์เลอค่าก็มิอาจบดบังพระวรกายองอาจสีน้ำผึ้งได้

    อัย!!!” พระสุรเสียงทุ้มเอื้อนเอ่ยจากพระโอษฐ์เรียวบางอย่างตกพระหทัย เมื่อได้ทอดพระเนตรใบหน้าสะสวยของเชลยสาวต่างถิ่นชัดๆ

    เสียงวิพากษ์วิจารณ์จากข้าราชบริพารดังกระหึ่มทั่วท้องพระโรง แต่นั่นยังไม่อาจเทียบเท่าสายตาเดียดฉันท์ของเหล่าสตรีสูงศักดิ์ในชุดนุ่งน้อยห่มน้อย ทั้งที่หญิงสาวไม่เคยพบหน้าค่าตาพวกหล่อนมาก่อนแต่รู้สึกเกรงกลัวอย่างบอกไม่ถูก ความสงบหวนคืนกลับมาเพียงแค่ชายชราในชุดหนังพยัคฆ์ สวมหมวกปักขนนกบ่งบอกถึงตำแหน่งสูงสุดของนักบวชใช้ไม้เท้าสลักเสลาลวดลายในมือกระแทกพื้นเบาๆ

    ได้โปรดเงียบสงบด้วยเถิด!” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ก่อนหันไปกราบทูลองค์ประมุขอย่างรีบเร่ง นางคือสตรีในยุคนี้จึงมิอาจเป็นอัยไปได้...ฝ่าบาทโปรดพิจารณาดูก่อนพ่ะย่ะค่ะ

    นั่นสินะ...ขอบใจท่านสังฆราชกาคาเรที่ช่วยเตือนสติข้า องค์สมมติเทพตรัส นางเชลยผู้นี้มีนามว่ากระไร?

    ปภาพินท์ไม่ตอบคำถามนั้น เพราะภายในหัวอัดแน่นด้วยความสับสนปนเปประหนึ่งคลื่นทะเลต้องลมมรสุมลูกใหญ่ ทุกสิ่งทุกอย่างรอบกายกำลังจะทำให้เธอเป็นบ้า ทั้งเรื่องผู้คนแปลกหน้าสวมใส่เสื้อผ้าโบราณราวกับหลุดออกมาจากภาพวาดบนฝาผนังเทวสถานสักแห่ง หรือ พระราชวังอียิปต์สภาพใหม่เอี่ยมซึ่งไม่มีหลงเหลือให้เห็นบนโลกปัจจุบันอีกแล้ว จิตใจของหญิงสาวไขว้เขว้คล้ายกำลังยืนอยู่บนตาชั่งที่โอนเอนระหว่างอดีตกับปัจจุบัน

    โอ้ย! ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆ ที่นี่มันที่ไหน แล้วพวกคุณเป็นใครกันแน่?

    หรือเธอกำลังเป็นบ้าจริงๆ ถึงได้เห็นภาพหลอนเป็นเรื่องเป็นราวขนาดนี้!

    เจ้าควรตอบคำถามข้า หาใช่ยอกย้อนกลับมาเยี่ยงนี้!” องค์ฟาโรห์ตวาดกร้าว

    ทำไมต้องตอบคำถามในเมื่อฉันยังไม่รู้จักคุณเลย หญิงสาวพยายามทำใจดีสู้เสือ ก่อนจะถอยหลังกรูเมื่ออีกฝ่ายเสด็จลงจากบัลลังก์ทองคำแล้วยาตราเข้าหาเธออย่างรวดเร็ว

    เจ้าช่างโอหังยิ่งนัก แต่เอาเถิด...ข้าไม่ถือสาหาความด้วยเห็นว่าเป็นสตรีที่ควรจักให้เกียรติ!” นั่นคล้ายการประชดประชันมากเสียกว่าจะตรัสเช่นนั้นจริงๆ สถานที่แห่งนี้ คือ พระราชวังของข้า...เนเฟอร์ซาอมุน ฟาโรห์แห่งราชวงศ์ที่สิบสอง!”

    ฟาโรห์แห่งราชวงศ์ที่สิบสอง!!!

    ฉันไม่เชื่อ! นี่มันยุคสมัยไหนกันแล้ว ไม่มีทางมีฟาโรห์ หรือ พระราชวังอียิปต์โบราณแบบนี้แน่ๆปภาพินท์แย้งคอเป็นเอ็น คุณยอมรับเสียดีกว่า ว่า...เป็นพวกนักต้มตุ๋นคอยหลอกลวงเหยื่อที่ใช้เส้นทางผ่านระหว่างโอเอซิสบาฮาริยากับโอเอซิสซิวา

    ไม่แน่ว่า...พวกคนเหล่านี้อาจฉวยเอาตำนานปรัมปราเรื่องอาถรรพ์วันจันทรามาใช้หากิน โดยหลอกลวงเหยื่อที่พบเจอให้หลบหนีเพื่อขโมยข้าวของสัมภาระก็เป็นได้ หญิงสาวพยายามครุ่นคิดหาเหตุผลต่างๆนานาด้วยปรารถนาจะกลบความกลัวของตัวเอง

    ยุคของเจ้าอาจไม่มี แต่ ณ สถานที่แห่งนี้...ข้า คือ องค์สมมติเทพ ผู้ปกครองดินแดนแห่งสองอาณาจักร จงอย่าได้กล่าววาจาสามหาวเยี่ยงนั้นอีก!!!” พระสุรเสียงทรงอำนาจตวาดดังอีกครั้ง จนใครหลายคนถึงกับสะดุ้งตกใจ

    ฉันไม่รู้และไม่สนใจว่าคุณจะเป็นใคร แต่คุณต้องปล่อยตัวฉันออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้!” ปภาพินท์ยืนกราน ไม่เช่นนั้น...จะหาว่าฉันไม่เตือนไม่ได้!”

    ไม่มีทาง!!! ไม่เคยมีผู้ใดย่างก้าวเข้ามาแล้วจักออกจากสถานที่แห่งนี้ได้...หากข้าไม่ประสงค์!”

    หญิงสาวควักปืนสั้นออกมาจากกระเป๋าสะพายแล้วเล็งปากกระบอกไปยังผู้ทรงอำนาจสูงสุดเพื่อข่มขู่ให้เกรงกลัว อากัปกิริยาของปภาพินท์ช่างน่าขบขันในสายพระเนตรของฟาโรห์เนเฟอร์ซาอมุนยิ่งนัก เพราะบัดนี้มีเหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นบนใบหน้าสะสวย มือทั้งสองข้างสั่นระริกไม่ต่างจากร่างกายที่สั่นเทา แสดงความหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด

    ข้าขอเตือนให้เจ้ายอมสวามิภักดิ์แต่โดยดี มิเช่นนั้นจะหาว่าข้าใจร้ายไม่ได้!”

    ทำไมฉันจะต้องเชื่อฟังคุณ!”

    ปังงงง!!!

    เสียงลั่นไกดังสนั่นท้องพระโรงในชั่วเสี้ยววินาที พระวรกายขององค์สมมติเทพกระตุกเล็กน้อยเมื่อกระสุนนัดหนึ่งพุ่งทะลุผ่านพระอุระออกไปทางพระปฤษฎางค์

    ฉะ...ฉันเตือนคุณแล้วนะ เธอเอ่ยเสียงสั่นขณะที่มือยังคงจับอาวุธไว้ไม่ยอมปล่อย เนื่องจากมันอาจเป็นตัวเลือกดีที่สุดในยามนี้ ทว่า ผิดถนัด เมื่อไม่มีแม้แต่บาดแผลหรือร่องรอยถลอกปรากฏบนพระฉวีสีน้ำผึ้งของอีกฝ่ายสักนิดเดียว

    พลัวะ!!!

    ธารพระกรด้ามงอ ( *** ) ในพระหัตถ์หนาฟาดเข้าใส่ลำตัวปภาพินท์อย่างแรงจนล้มฟุบแทบพื้นศิลา หยาดน้ำตาหลั่งรินอาบดวงหน้าสวยอย่างนึกเจ็บใจ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีใครกระทำรุนแรงกับเธอเช่นนี้มาก่อน

    อย่าได้คิดอาจหาญล่วงเกินข้าอีกเป็นครั้งที่สอง เพราะไม่มีศัสตราวุธใดๆสามารถกระทำอันตรายแก่ข้าผู้อยู่เหนือกาลเวลาและความตายได้!” องค์สมมติเทพตรัสด้วยพระสุรเสียงแข็งกระด้าง ก่อนจะรุดเข้าไปบีบคางมนของหญิงสาวอย่างไม่เมตตาสงสารทั้งที่อีกฝ่ายยังเจ็บกายไม่หาย นางเชลย...จงเอ่ยนามของเจ้ามา!”

    การบีบบังคับให้ต้องทำอะไรสักอย่างโดยไม่คำนึงถึงจิตใจผู้อื่น คือ สิ่งที่ปภาพินท์รังเกียจที่สุด ถึงกระนั้นก็มิอาจขัดพระราชประสงค์ขององค์ประมุขแห่งผืนปฐพีไอยคุปต์ได้

    ฉันชื่อ ปภาพินท์

    ปภาพินท์...นามนี้ช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก ฟาโรห์เนเฟอร์ซาอมุนทวนชื่อนั้นอย่างสงสัย มีความหมายว่ากระไร?

    ปภาพินท์ แปลว่า...ผู้พบแสงสว่าง คำตอบของเธอลบประกายความหวังจากพระเนตรสีนิลให้มอดดับลงทันทีทันใด

    ไม่ใช่ธิดาแห่งเทพเจ้าคอนซู ( *** ) !”

    ธิดาแห่งเทพเจ้าคอนซู!

    หญิงสาวไม่เข้าใจความหมายของคำๆนี้ ว่า...เกี่ยวข้องกับเธออย่างไร และ จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ก็ไม่เคยปรากฎว่าเทพเจ้าคอนซูมีพระธิดา แต่เรื่องนี้คงมีความสำคัญมากพอขนาดทำให้สีหน้าท่าทางของทุกคนในท้องพระโรงหม่นหมองแลดูผิดหวังเป็นอย่างมาก

    หากเป็นเช่นนั้น...ฝ่าบาทจักทรงทำเยี่ยงไรกับนางเชลยผู้นี้พ่ะย่ะค่ะ? แม่ทัพอิมโฮเทปกราบทูลถาม

    ข้าจักให้นางอยู่ในความดูแลของยาราห์!” องค์สมมติเทพตรัสตอบ แล้วจึงมีรับสั่งกับหัวหน้านางกำนัลที่คอยหมอบถวายอยู่งานไม่ห่างพระวรกาย ฝากเจ้าด้วย!”

    เพคะ!” หล่อนน้อมรับพระราชบัญชา และ ในตอนนั้นเองสตรีสูงศักดิ์ที่ประทับใกล้บัลลังก์ทองคำก็ลุกขึ้นทักท้วงอย่างไม่พึงพอพระทัย

    ในเมื่อนางเชลยผู้นี้มิใช่ธิดาแห่งเทพเจ้าคอนซู ฝ่าบาทก็ควรกำจัดนางทิ้งโดยการประหารชีวิตหรือเนรเทศออกนอกเขตพระราชฐานชั้นในเยี่ยงคนอื่นๆ หาใช่ยกขึ้นมาไว้ในพระราชวังเยี่ยงนี้!”

    กระหม่อมเห็นชอบเช่นเดียวกับพระสนมทียาสังฆราชกาคาเรสมทบอีกเสียงหนึ่ง

    กษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ ฉะนั้นพวกเจ้าควรยึดถือคำสั่งของข้าเป็นเด็ดขาด!” ฟาโรห์หนุ่มตรัสตอบ ภาระหน้าที่ในพระราชวังมีมากมายนับไม่ถ้วน การได้คนมาเพิ่มจึงเป็นเรื่องน่ายินดี

    ฝ่าบาททรงทราบดีกว่าผู้ใด ว่า...ภายในพระหทัยประสงค์เช่นนั้นจริงๆหรือไม่!” พระสนมทียาไม่ลดราวาศอกด้วยถือว่าพระองค์เองเป็นที่โปรดปรานกว่าบรรดาสนมอื่นๆ

    เจ้าหมายความว่ากระไร?

    การที่ฝ่าบาทเก็บนางเชลยผู้นี้ไว้ใกล้พระวรกาย ก็ด้วยหมายให้เป็นตัวแทนใครบางคนใช่หรือไม่เพคะ?

    หุบปากของเจ้าบัดเดี๋ยวนี้!!!”

    สีพระพักตร์แดงก่ำดุจชนวนโทสะถูกจุดเพียงแค่คำเอ่ยอ้างถึงปมอดีต ซึ่งไม่เคยลบเลือนจากพระหทัยของฟาโรห์เนเฟอร์ซาอมุนสักเพลาเดียว พระสนมทียาจึงจำยอมยุติการปฏิสันถารเพื่อผ่อนปรนบรรยากาศตึงเครียดในท้องพระโรง

    ยาราห์...เจ้าพานางเชลยออกไปได้แล้ว!” องค์ประมุขตรัสสั่ง

    เพคะ

    ใจจริงแล้วปภาพินท์ไม่ปรารถนาจะทำตามพระราชประสงค์ของฟาโรห์เนเฟอร์ซาอมุน แต่สถานการณ์รอบด้านไม่ค่อยสู้ดีเสียเท่าไร ยิ่งเห็นสายพระเนตรขุ่นเคืองของเหล่าสตรีสูงศักดิ์ที่มีให้เธอ ก็ตัดสินใจยอมเดินตามหญิงชราผู้มีศักดิ์เป็นหัวหน้านางกำนัลออกจากท้องพระโรงโดยไม่ปริปากสักคำ

     

    *** กาวา = กาแฟแบบอาหรับซึ่งนิยมต้มในปริมาณพอดื่ม และ ต้องดื่มขณะกำลังร้อนๆหลังจากกากกาแฟจมลงสู่ก้นถ้วยแล้ว รสชาติมีทั้งขมและหวานจากน้ำตาลที่ใส่ลงไปในน้ำตั้งแต่ก่อนใส่กาแฟ วิธีการดื่มที่ถูกต้อง คือ ห้ามผสมนม แต่อาจเพิ่มกลิ่นด้วยกระวาน เพราะรสชาติกาแฟสำหรับชาวอาหรับมักแสดงถึงความพึงพอใจ เช่น รสหวาน คือ ช่วงเวลาความสุข รสหวานปนขม คือ ช่วงเวลาปกติ และ รสขม คือ ช่วงเวลาโศกเศร้า

    *** เอช บาลาดี = ขนมปังรำข้าวแบบแห้งของประเทศอียิปต์ มีลักษณะเป็นแผ่นกลมๆ แข็งๆ และ ค่อนข้างเหนียว

    *** อินทผาลัม = ผลไม้เมืองร้อนแถบทะเลทราย ออกเป็นช่อ มีผลเล็ก รสหวานฉ่ำ ถ้าสุกสามารถตากแห้งเก็บไว้ได้หลายปี ชาวอาหรับและชาวเบดูอินมักรับประทานหลังอาหารเพื่อช่วยเกี่ยวกับระบบการย่อย และ ช่วงเดือนรอมฎอน

    *** อานูบิส = เทพเจ้าแห่งความตาย เป็นพระโอรสของ เทพเจ้าโอซิริส กับ เทวีเนฟทีส มีร่างเหมือนมนุษย์เพศชาย พระเศียรเป็นสุนัขไน บ้างก็เป็นสุนัขสีดำคอยติดตามเทวีไอซิส เทพเจ้าอานูบิสมีหน้าที่เป็นผู้ช่วยในการดองศพ , รับมัมมี่ในหลุมศพเป็นการเปิดพิธีกรรม , เป็นสื่อกลางในการนำวิญญาณไปพิพากษา และ เป็นผู้ช่วยในการชั่งวิญญาณ

    *** โอซิริส = เทพเจ้าแห่งการเกษตรกรรมและความอุดมสมบูรณ์ ( ภายหลังได้เป็นเทพเจ้าแห่งความตายแทนเทพเจ้าอานูบิส ) เป็นพระโอรสของ เทพเจ้าเกป กับ เทวีนุต มีร่างเหมือนมนุษย์เพศชาย บางครั้งมีพระวรกายสีแดงเปรียบเสมือนพื้นดิน บางครั้งมีพระวรกายสีเขียวเปรียบเสมือนพืชพันธุ์ ทรงสวมมงกุฎสีขาวอันเป็นสัญลักษณ์ของอียิปต์บน ฉลองพระองค์ด้วยผ้าพันมัมมี่สีขาว ทรงเป็นศูนย์กลางความเชื่อเรื่องการฟื้นคืนชีพจากตำนานของพระองค์

    *** มงกุฎเซ็ต = มงกุฎที่แสดงถึงสองอาณาจักรรวมกัน มีสีขาวแทนอียิปต์บน กับ สีแดงแทนอียิปต์ล่าง

    *** กาลีนา = แร่ตะกั่วสีเทาดำ ใช้ทำเครื่องสำอางในการกรีดขอบตาสมัยก่อน

    *** มาลาไคต์ = แร่ทองแดงคาร์บอเนตสีเขียว ใช้บดทำเครื่องสำอางในการตกแต่งเปลือกตาสมัยก่อน

    *** ธารพระกรด้ามงอ = ไม้เท้าสำหรับเทพเจ้า ฟาโรห์ และ ข้าราชบริพารชั้นสูง ได้แบบอย่างจากไม้เท้ายาวต้อนฝูงแกะ ต่อมาได้ตัดทอนให้สั้นลง มีความหมาย ว่า...ปกครอง ,ควบคุม ,อิทธิพล

    *** คอนซู = เทพเจ้าแห่งดวงจันทร์ เป็นพระโอรสของ เทพเจ้าอะมอนรา กับ เทวีมัต มีร่างเป็นมัมมี่เพศชาย ตรงพระนลาฏมีงูเห่ายูเรอัส ถือธารพระกรด้ามงอกับแส้ นอกจากนี้ยังเป็นเทพเจ้าแห่งการเดินทาง และ เทพเจ้าแห่งการพนัน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×