คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 2
ตอนที่
2
แมกไม้ใหญ่สร้างร่มเงาครึ้มบดบังแสงอาทิตย์ไม่ให้สาดส่องโดนกระโจมผ้าริมสระน้ำ
เสียงเสียดสีของใบปาล์มยามต้องลมสุดแสนละมุนละไม คล้ายเครื่องดนตรีแห่งธรรมชาติบรรเลงเพลงขับกล่อมปภาพินท์ซึ่งกำลังหลับสบายอย่างไม่เคยเป็นตลอดระยะเวลาหลายวันที่ต้องนอนกลางดินกินกลางทราย
ทว่า เมื่อนัยน์ตากลมโตปรือมองเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาข้อมือก็ต้องรีบลุกพรวดพราดออกจากตรงนั้นทันทีทันใด
“อรุณสวัสดิ์แม่หนู!”
บาฮียาเอ่ยทักทายผู้จ้างวานสาวสวยที่เดินงัวเงียงุ่นง่านออกจากกระโจมตรงเข้ามาหาบริเวณกองฟืนใกล้มอด
แต่ยังคงคละคลุ้งด้วยเขม่าควันเบาบาง
“คุณลุงใจร้ายจัง...ไม่ยอมปลุกหนู!” เธอโอดครวญหลังพบว่าตื่นสายโด่งเกือบเที่ยงวัน นั่นหมายความ
ว่า...การเดินทางจะต้องล่าช้าลงไปอีก
“ลุงเห็นแม่หนูนอนหลับสบายเลยไม่อยากปลุกน่ะ”
“โธ่...แต่หนูอยากไปถึงโอเอซิสซิวาเร็วๆนี่ค่ะ”
“จะออกเดินทางช้าหรือเร็วก็ไปไม่ถึงจุดหมายหรอก”
“เอ๊ะ...หมายความว่าอย่างไรคะ?” ปภาพินท์สงสัย
“ลุงหมายถึง...ระยะทางมันไกล
จะให้เดินทางถึงภายในวันนี้คงเป็นไปไม่ได้” เขาอธิบายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“แม่หนูเองก็ไม่เคยชินสภาพอากาศในทะเลทรายจึงทำให้อ่อนเพลียง่าย
ฉะนั้นการพักผ่อนเต็มอิ่ม คือ สิ่งดีที่สุดสำหรับผู้ไม่มีประสบการณ์มากพอ” คำพูดเตือนสติจากผู้อาวุโสบั่นทอนความร้อนรนในใจผู้ฟังเสียชะงัด
“ขอโทษค่ะ...หนูลืมคิดเรื่องนั้นเสียสนิท”
เป็นอีกครั้งที่สองมือเล็กๆยกขึ้นพนมไหว้ชายชราตามมรรยาทไทยด้วยความรู้สึกผิดจริงๆ
“ไม่จำเป็นต้องขอโทษขอโพยหรอก
ลุงเข้าใจ ว่า...แม่หนูเป็นห่วงเพื่อน”
“ใช่ค่ะ” เธอยอมรับเสียงอ่อยๆ
“เอ้า...กินรองท้องสักหน่อย
เมื่อวานแม่หนูก็ไม่ได้กินมื้อเย็น...ประเดี๋ยวจะเป็นลมเป็นแล้งไปเสียก่อน”
กาวา ( ***
) ร้อนๆส่งกลิ่นหอมฉุยขณะรินจากกาทองเหลืองลายกระดำกระด่างสู่ถ้วยดินเผา
และถูกหยิบยื่นให้พร้อมเอช บาลาดี ( *** )
เพื่อเป็นมื้อเช้าและมื้อกลางวัน แม้บางครั้งปภาพินท์อาจทำตัวไม่น่ารักไปบ้าง
แต่บาฮียาก็ไม่เคยติเตียนนอกเสียจากตักเตือนตามประสาผู้ใหญ่เท่านั้น
และทำให้รู้สึกอุ่นใจยามสนทนาปราศรัยเพราะมักได้ข้อคิดดีๆกลับมาสม่ำเสมอ
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวรับความปรารถนาจากอีกฝ่าย ก่อนจะขอตัวไปอาบน้ำอาบท่าให้เรียบร้อย
สระน้ำใสใกล้สถานที่พักแรมมีความสำคัญประหนึ่งทรัพย์สมบัติอันเลอค่าของชุมชนกลางทะเลทราย
เมื่อทุกคนต่างต้องพึ่งพาโดยใช้ดื่มและอาบรวมถึงรดน้ำพืชผักผลไม้ให้เจริญเติบโตดุจเดียวกับหล่อเลี้ยงชีวิตตนเอง
เสียงโหวกเหวกของเด็กชายเด็กหญิงบริเวณริมตลิ่งฝั่งตรงข้ามค่อนข้างเจี๊ยวจ๊าวน่ารำคาญแต่ก็เป็นสีสันแก่โอเอซิสบาฮาริยาไม่น้อย
มือบางลูบไล้ผิวคล้ำแดดด้วยสบู่ขณะแช่กายในน้ำเย็นอย่างร่าเริง
พร้อมกวาดสายตาเก็บเกี่ยวธรรมชาติสีเขียวขจีเอาไว้ให้มากที่สุดก่อนจะต้องรอนแรมไปยังโอเอซิสซิวาหลังจากนี้
คำบอกเล่าของศาสตราจารย์ริชาร์ด เทเลอร์อาจสร้างความท้อแท้อยู่บ้าง แต่ปภาพินท์ก็ไม่ท้อถอยที่จะมุ่งหน้าสู่จุดหมาย
และ พยายามสันนิษฐาน ว่า...คงเกิดปัญหาระหว่างการทำงานจนขาดการติดต่อประสานกันก็เป็นได้
น้ำเย็นอาจช่วยบรรเทาความร้อนระอุของสภาพอากาศให้เจือจางลง
แต่ไม่สามารถชะล้างความกลัดกลุ้มในจิตใจได้เลยสักนิด ถึงกระนั้นเธอก็ต้องผ่อนปรนเรื่องฟุ้งซ่านเพราะยังมีภาระหน้าที่อีกมากมายต้องทำ
เฉกเช่น เก็บข้าวของสัมภาระ และ ตระเตรียมเสบียงอาหารกับเครื่องดื่มให้เพียงพอต่อการเดินทาง
“บาฮียา...พวกเราน่าจะค้างที่นี่อีกสักคืนนะ!” เพื่อนร่วมกองคาราวานคนหนึ่งเอ่ยบอกชายชราซึ่งกำลังช่วยคนอื่นๆเก็บกระโจมผ้าหลายหลัง
“พวกอูฐจะได้พักหาหญ้าหาน้ำเต็มที่ด้วย”
“ซาฮัต”
เขาเรียกชื่ออีกฝ่าย “ไม่มีใครรู้เรื่องอูฐดีไปกว่าผู้ที่คลุกคลีอยู่กับมันอย่างพวกเรา...ใช่หรือไม่?”
“ชะ...ใช่...”
“อูฐสายพันธุ์โอมาน...ขึ้นชื่อยิ่งนักในเรื่องความทรหดอดทน
บางตัวสามารถอยู่ได้นานกว่าสองสัปดาห์โดยไม่มีอะไรตกถึงท้อง
เมื่อวานนี้พวกเราก็ได้ให้หญ้ากับน้ำแก่พวกมันตั้งมากมาย
แล้วเหตุใดจึงใช้ข้ออ้างไร้เหตุผลมาหยุดยั้งการเดินทาง!”
ดวงตาสีเทาของชายแก่จดจ้องมองชายฉกรรจ์อายุรุ่นราวคราวลูกเพื่อเค้นเอาคำตอบ
“ถ้าออกเดินทางและพักค้างแรมกลางทะเลทรายคืนนี้
อาจจะเจออาถรรพ์วันจันทราก็ได้นะ!”
ซาฮัตสารภาพถึงความกลัวที่แอบซ่อนในจิตใจ
“นั่นเป็นเรื่องชะตาฟ้าลิขิต” บาฮียาตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง “อีกอย่าง...หากล่าช้าเกินกว่านี้อาจจะไม่ทันกาล
เพราะเวลาไม่เคยคอยท่าและแม่หนูพิณก็เป็นห่วงเพื่อนมาก”
น้ำเสียงแหบแห้งแผ่วเบาลงเล็กน้อย
“ตามใจเถอะ...แต่ถ้ามีเรื่องร้ายเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง
จะมาโยนความผิดหรือถือโทษโกรธเคืองกันไม่ได้นะ!”
การสนทนายุติลงเพียงเท่านั้นเมื่อทั้งคู่เหลือบพบปภาพินท์ซึ่งเดินกลับมาหลังจากอาบน้ำอาบท่าเสร็จ
หญิงสาวส่งยิ้มให้บาฮียากับซาฮัตอย่างมีไมตรี และ
แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินอะไรทั้งที่แอบฟังตั้งแต่ต้น
อาถรรพ์วันจันทรา...คืออะไรกันนะ?
ทันทีที่สุริยเทพคล้อยผ่านยามเที่ยงวัน...กองคาราวานก็เริ่มเคลื่อนตัวจากโอเอซิสบาฮาริยามุ่งหน้าสู่โอเอซิสซิวาอีกครั้ง
สภาพอากาศร้อนอบอ้าวทำให้เม็ดเหงื่อเริ่มผุดขึ้นบนใบหน้ามนสวยทั้งที่เพิ่งลาจากร่มเงาไม้ไม่นานนัก
แม้มีสายลมคอยพัดผ่านบางครั้งบางคราวแต่ก็หาได้ช่วยทุเลาความร้อนระอุ
มิหนำซ้ำยังหอบซัดฝุ่นทรายขึ้นมาจนแทบปิดหน้าปิดตาไม่ทัน
ขบวนอูฐเดินลัดข้ามสันทรายสูงบ้างต่ำบ้างจนร่างบางไหวโอนเอนทำท่าจะพลัดตกหลายต่อหลายครั้ง
ทว่า ปภาพินท์ก็จับเชือกและประคองตัวไว้ได้อย่างจวนเจียนร่ำไป
นัยน์ตากลมโตมองดูบาฮียาที่เดินนำหน้าอย่างครุ่นคิดเกี่ยวกับการสนทนาระหว่างเขากับซาฮัตไม่สร่าง
ความสงสัยมากมายประดังประเดในหัวแต่ไม่อาจถามไถ่ด้วยไม่มีจังหวะและโอกาสเพียงพอ
สิ่งเดียวที่เธออยากรู้ในตอนนี้
คือ เรื่องอาถรรพ์วันจันทรา!
สามครั้งสามคราแล้วที่ชื่อๆนี้ผ่านเข้าหูอย่างไม่ตั้งใจ
ทั้งจาก บาฮียา แม่ค้าขายเครื่องดื่ม และ ซาฮัต ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกัน
แต่กระนั้นก็ไม่เห็นว่ามันจะเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของคณะวิจัยสำรวจโอเอซิสซิวาตรงไหน
“คิดอะไรอยู่?”
ชายชราร้องถามหลังชะลอฝีเท้าเจ้าพาหนะตัวใหญ่ให้ช้าลงเพื่อเดินเหยาะๆขนาบข้างหญิงสาว
“เอ่อ...หนูแค่กำลังนึกสงสัยอะไรบางอย่างน่ะค่ะ”
“เรื่องอะไรเหรอ?”
“เรื่องอาถรรพ์วันจันทราค่ะ” หากตาไม่ฝาดปภาพินท์สังเกตเห็นเพื่อนร่วมทางคนอื่นๆมีสีหน้าเลิ่กลั่กขึ้นมาเมื่อได้ยินคำตอบนั้น
“หนูเคยได้ยินคุณลุงพูดตอนพบเจอกันครั้งแรกในข่านอัล คาลิลี ต่อมาก็ได้ยินแม่ค้าขายเครื่องดื่มที่โอเอซิสบาฮาริยาพูดหลังจากฟังเรื่องราวการหายตัวไปของคณะวิจัยฯ
จนกระทั่งก่อนออกเดินทางหนูก็บังเอิญได้ยินเรื่องนี้ตอนที่คุณลุงกับซาฮัตพูดคุยกันอีก
พอจะบอกได้ไหมคะ ว่า...อาถรรพ์วันจันทราคืออะไร?”
เธอถามตรงๆไม่อ้อมค้อม
ใบหน้าเหี่ยวย่นก้มน้อยๆพร้อมทอดถอนหายใจออกมาก่อนจะเริ่มเล่า
“อาถรรพ์วันจันทรา
คือ ตำนานปรัมปราซึ่งเล่าสืบต่อกันมาในแถบนี้
เกี่ยวกับพระราชวังอียิปต์โบราณที่จะปรากฏโฉมให้เห็นทุกคืนวันเพ็ญ”
“พระราชวังอียิปต์โบราณ!” หญิงสาวทวนคำๆนั้นอีกครั้ง
“ใช่! ว่ากันว่า...มันจะผุดขึ้นมาจากพื้นทรายที่ถูกฉาบด้วยแสงสีเหลืองนวลของพระจันทร์เต็มดวง”
ชายแก่ขยายความ
“เอ่อ...หนูไม่ได้คิดจะลบหลู่ความเชื่อของใครๆ
แต่ถ้ามันเป็นเรื่องจริงทำไมจึงไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกมาให้พิสูจน์ล่ะคะ” ปภาพินท์โต้แย้ง “ไม่ว่าจะคิดเท่าไร...ก็ไม่พบข้อเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของคณะวิจัยฯสักนิดเดียว”
อย่างไรเสียความเป็นนักโบราณคดีก็สอนให้เชื่อในเหตุผล
มากกว่าเอนเอียงตามคำร่ำลือเลื่อนลอยง่ายๆ การที่พระราชวังอียิปต์โบราณจะปรากฏขึ้นกลางทะเลทรายในคืนจันทร์เพ็ญยิ่งแล้วใหญ่
ตำนานก็คงเป็นแค่ตำนานวันยังค่ำ!
“การหาหลักฐานคงยาก...เพราะผู้พบเห็นพระราชวังอียิปต์โบราณส่วนใหญ่มักหายสาบสูญอย่างไร้ร่องรอยไม่เหลือแม้แต่ซากศพให้นกแร้งได้จิกกิน
ส่วนผู้หนีรอดก็กลายเป็นคนวิกลจริตพูดพร่ำจับใจความไม่ค่อยได้ ทำให้ไม่ค่อยมีใครกล้าใช้เส้นทางนี้ทั้งที่เป็นทางลัด” บาฮียาเอ่ยบอก “อาถรรพ์วันจันทราจึงอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของคณะวิจัยฯตามความคิดของลุงหรือใครก็ตามที่ทราบตำนานนี้
ส่วนจะเชื่อหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับตัวแม่หนูเองนั่นล่ะ!”
“แล้วเมื่อไรจะถึงคืนวันพระจันทร์เต็มดวงค่ะ?” เธอถามด้วยความอยากรู้
แต่กระนั้นก็หาได้เชื่อตำนานปรัมปราเรื่องนี้เหมือนคนอื่นๆ
“คืนนี้!” เขาตอบสั้นๆพร้อมคลี่ยิ้ม
จากนั้นก็บังคับเจ้าอูฐตัวใหญ่ให้วิ่งนำหน้าเช่นเดิม
“หยุด!!! อย่ามา...กลับไป!!!”
จู่ๆเสียงตวาดดุดันของรณกรในความฝันก็ดังชัดเจนขึ้นมา
ปภาพินท์ยังคงจดจำความหวาดกลัวของตัวเองเมื่อคืนนี้ได้อย่างแม่นยำ
หรือนั่นคือสาเหตุที่เพื่อนชายตั้งใจจะสื่อสารบอกให้รู้เป็นนัยๆเกี่ยวกับอาถรรพ์วันจันทรา
“บ้าน่า...มันเป็นแค่ความฝันกับตำนานเท่านั้น!”
น้ำเสียงหวานพึมพำเบาๆเพื่อปลอบประโลมความฟุ้งซ่านให้ลดน้อยลง ทว่า ก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองดวงตะวันกลมโตซึ่งค่อยๆคล้อยต่ำเลียบติดเส้นขอบฟ้าจนผืนทรายแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเพลิง
เปรียบประหนึ่งสัญญาณบอกเวลา ว่า...อีกไม่นานยามราตรีจะคืบคลานเข้ามาแล้ว
กระโจมผ้าสีมอซอถูกสร้างขึ้นอย่างเรียบง่ายสำหรับใช้ค้างแรมค่ำคืนนี้
เมฆมากมายบดบังแสงจันทร์กับแสงดาวที่เคยกระจ่างไม่ต่างจากเบื้องล่างที่มืดสลัว
ไม่มีใครสักคนในกองคาราวานกล้าพอที่จะจุดฟืนไฟหุงหาอาหารด้วยเกรงว่าจะตกเป็นเป้าสายตาต่อสิ่งลึกลับตามตำนานโบร่ำโบราณ
มื้อเย็นจึงมีเพียงผลอินทผาลัม ( *** ) กับ นมอูฐเท่านั้น
อย่างไรเสียก็ดีกว่าต้องอดตาย!
หญิงสาวพยายามข่มใจรับประทานอาหารเย็นโดยไม่ปริปากบ่นสักคำ
เพราะไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับทุกคนให้มากความ เนื่องจากรู้ดี
ว่า...ความเชื่อผูกติดกับมนุษย์มาแต่ครั้งโบราณกาล
ไม่ว่ากี่ยุคกี่สมัยก็ไม่วันเลือนหายจากสังคม มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะสอดแทรกสิ่งใหม่ๆเข้าไปปรับเปลี่ยนความคิดของพวกเขาเหล่านั้น
“ขอให้ฟ้าปิดแบบนี้ตลอดคืนด้วยเถิด”
ซาฮัตพูดขึ้นมาเป็นคนแรก
หลังต่างคนต่างนั่งล้อมวงร่วมรับประทานอาหารเงียบๆอยู่นานสองนาน
“เบื้องบนคงเห็นใจพวกเรา
จึงดลบันดาลให้เมฆบดบังเต็มฟ้าแบบนี้”
ผู้ชายอีกคนสมทบด้วยน้ำเสียงร่าเริง
รอยยิ้มของเขาคนนั้นดูฝืนๆเกร็งๆคล้ายกำลังปลอบใจตนเองมากกว่า
“เลิกพูดพร่ำน่ารำคาญแล้วรีบกินให้เสร็จไวๆ!”
บาฮียาตำหนิเสียงเข้มพลางหันมาหาปภาพินท์ซึ่งนั่งข้างๆ “วันนี้แม่หนูก็รีบเข้านอนสักหน่อย ห่มผ้าหลายๆผืนจะได้ช่วยคลายหนาว
แล้วอย่าลืมดับไฟหรืออะไรก็ตามที่ทำให้เกิดแสงสว่าง...อดทนแค่วันนี้วันเดียวเท่านั้น!”
“ค่ะ” เธอรับคำผู้อาวุโสก่อนจะรีบรับประทานอาหารแล้วขอตัวเข้าไปในกระโจม เพราะรู้สึกอ่อนล้าจากการเดินทางไกลจนอยากพักผ่อนเสียที
สภาพอากาศหนาวเหน็บยามราตรีสะท้านร่างบอบบางของหญิงสาวทำให้ต้องเอื้อมมือคว้าผ้าห่มขนสัตว์คลุมทับเป็นชั้นที่สอง
แม้ต้องการข่มตาหลับสักเพียงใดก็มิอาจทำได้ง่ายๆเมื่อคิดถึงไออุ่นของกองไฟที่มักจุดไล่ความเย็นยะเยือกและสัตว์ร้ายไม่ให้กล้ำกรายเข้ามา
แต่ก็ได้แค่จินตนาการเท่านั้น... ไม่มีเสียงพูดคุยสรวลเสเฮฮายามค่ำคืนเล็ดลอดเข้ามาดั่งที่เคยเป็น
นอกเสียจากเสียงลมโหมพัดแรงอยู่ภายนอกจนผ้ากระโจมไหวสะบัดราวปะทะพายุลูกมหึมา
หลายคนคงหลับใหลเก็บแรงไว้ใช้ในวันพรุ่งนี้กันหมดแล้วจึงไม่ต้องพานพบภาพน่าหวาดผวาเยี่ยงนี้
เวลาคงผ่านไปเนิ่นนานพอสมควร
เพราะทันทีที่รู้สึกตัวหลังจากผล็อยหลับก็พบว่าเสียงลมหวีดร้องอย่างพิโรธโกรธาได้อันตราธานหายไปแล้ว
ปภาพินท์จึงเดินออกจากกระโจมไปสำรวจความเรียบร้อยของสถานที่พักแรม ทว่า สิ่งแรกที่พบเห็นไม่ใช่ข้าวของพังทลาย
แต่เป็นท้องฟ้าเบื้องบนที่บัดนี้ไร้เมฆหมอกบดบังและอวดโฉมให้ประจักษ์ถึงความงดงามอันแท้จริง
นภากว้างถูกประดับด้วยดวงดารานับพันนับหมื่นซึ่งพากันเปล่งประกายพร่างพราวประชันกันระยิบระยับ
แต่ก็ยังพ่ายแพ้แก่แสงนวลลออของอัญมณีกลมโตสุกปลั่งเพียงดวงเดียวอยู่ดี
จันทร์เพ็ญในค่ำคืนนี้แปลกตากว่าทุกครั้งที่เคยพบเห็น
ทั้งสวยงามและลึกลับจนหญิงสาวรู้สึกขนลุกมากกว่าอิ่มเอมใจ
ไม่เคยเห็นฟ้าเปิดขนาดฉายโฉมศศิธรเต็มดวงพร้อมหมู่ดาวระรานตาถึงเพียงนี้...
“นอนต่อดีกว่า” เธอพึมพำเบาๆแล้วทำท่าจะหมุนตัวกลับเข้าไปในกระโจมอีกครั้ง
ครืนนนนนน!
ฉับพลัน...เสียงอะไรบางอย่างก็ดังแว่วมาจากที่ไกลแสนไกล
เรียกร้องความสนใจให้ต้องหันรีหันขวางหาต้นตออย่างรวดเร็ว ทันทีที่ภาพตรงหน้าปรากฏแก่สายตา...หัวใจดวงน้อยก็แทบหยุดเต้นพลอยทำเอาทั่วทั้งร่างเย็นเฉียบไปด้วย
หากไม่ได้เสาไม้ข้างกายไว้ยึดเกาะป่านนี้เธอคงทรุดลงแทบพื้นเพราะเข่าอ่อนแน่ๆ
พื้นที่ว่างเปล่าเบื้องหน้าแต่แรกเริ่มบัดนี้มีพระราชวังอียิปต์โบราณขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอาบแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมากระทบ
แม้มองดูอยู่ห่างๆก็ยังสัมผัสได้ถึงความโอ่อ่าตระการตาของอาคารหลายชั้นซึ่งถูกเสาหินทรงกลมค้ำไว้หลายร้อยต้นแลคล้ายมหาวิหารลักซอร์
ต่างกันแค่พระราชวังแห่งนี้ดูใหม่กว่าและครึ้มด้วยต้นปาล์มมากมายรายรอบบริเวณดุจสวนสวรรค์ในห้วงจินตนาการ
“เป็นไปไม่ได้!!!” ปภาพินท์ไม่เชื่อทั้งที่เห็นด้วยสองตา
ในวินาทีนั้นเอง...ก็บังเกิดฝุ่นทรายคลุ้งตลบอบอวลจากทางพระราชวังอียิปต์โบราณ
ก่อนเผยร่างชายฉกรรจ์ผิวคล้ำนับร้อยคนนุ่งผ้าสามเหลี่ยมผืนสั้นสีขาวปิดท่อนล่างเพียงชิ้นเดียวเหมือนทหารไอยคุปต์ที่เคยเห็นตามภาพวาดบนผนังเทวสถานเก่าแก่
มือหนึ่งถือโล่ไม้ทาลวดลายขนาดใหญ่สูงเกือบเท่าตัว
อีกมือหนึ่งถือหอกสัมฤทธิ์ปลายแหลมพุ่งทะยานออกจากม่านหมอกสีน้ำตาล
“จับกุมพวกมันให้หมดทุกคน
อย่าละเว้นไอ้อีหน้าไหนให้หลุดรอดไปได้!” บุรุษเพียงคนเดียวในชุดเกราะหนังสัตว์ตะโกนสั่งเหล่าผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาเสียงดัง
พร้อมควงดาบสัมฤทธิ์แล้วชูขึ้นสุดมือเพื่อกรีธาทัพ
เสียงฝีเท้าดังสนั่นกึกก้องประสานเสียงโห่ร้องข่มขวัญศัตรูของพวกเขาเหล่านั้นสร้างความสั่นประสาทแก่ปภาพินท์จนถอยหลังกรูกลับเข้ากระโจมด้วยความตกใจ
ขณะที่กองทัพทหารอียิปต์โบราณได้วิ่งเข้ามายังกองคาราวานราวกับสายน้ำหลาก
“นี่มันอะไรกัน!!!”
หญิงสาวกู่ก้องร้องถามตัวเอง
ความหวาดกลัวทำให้เธอทรุดกายแอบตรงมุมหนึ่ง
สองมือกอดกระเป๋าสะพายใบเล็กและหลับตาลง ปากก็ภาวนาให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นแค่ความฝัน
แต่หูยังคงได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมประหนึ่งตกอยู่ท่ามกลางสมรภูมิรบ
“ช่วยด้วยยยย!!!” เสียงเพื่อนร่วมเดินทางคนอื่นๆเอ็ดตะโรโวยวายปะปนเสียงต่อสู้อยู่ภายนอกกระโจม
แซ่กกกกกก!!!
ผ้าม่านถูกฉีกกระชากจากผู้บุกรุกเข้ามาภายในกระโจมที่หญิงสาวกำลังแอบซ่อนตัวอยู่
จิตใต้สำนึกสั่งให้เธอหนีไปให้พ้นจากสถานที่แห่งนี้
แต่เท้าเจ้ากรรมดันหนักอึ้งราวกับมีหินก้อนใหญ่ถ่วงเอาไว้ไม่ให้ร่างบางซึ่งกำลังสั่นเทาหนีเอาตัวรอด
น้ำตาใสๆไหลอาบดวงหน้าอย่างกลัวจับขั้วหัวใจ ทว่า ก็กัดฟันทนฝืนลืมตามองภาพตรงหน้า
ชายฉกรรจ์ผิวคล้ำดำทะมึนคนหนึ่งยืนจังก้าอยู่ไม่ห่าง
นัยน์ตาดุดันจดจ้องมองปภาพินท์เหมือนสัตว์ร้ายเห็นเหยื่ออันโอชะพร้อมปรี่เข้ามากระชากข้อมือเล็กๆให้ลุกขึ้นอย่างไม่ปราณีปราศรัย
“กรี๊ดดดดดดดดดดด!!!”
เธอกรีดร้องและกัดแขนอีกฝ่ายเต็มแรง
ก่อนจะตั้งท่าวิ่งหนีออกจากกระโจม แต่เขาคนนั้นไวกว่าโจนเข้าตะครุบหญิงสาวเอาไว้ได้ทันจนล้มกลิ้งไปด้วยกันบนพื้น
“ท่านแม่ทัพ!!!” ทหารชายตะโกนเรียกผู้บังคับบัญชาสุดเสียงขณะจับตัวปภาพินท์เอาไว้แน่นหนา “ท่านแม่ทัพอิมโฮเทป...ตรงนี้มีผู้หญิง!!!
“นางอยู่ที่ไหน?"
บุรุษในชุดเกราะหนังสัตว์รุดเข้ามาภายในกระโจมอย่างรวดเร็ว
ใบหน้ากร้านแดดแต่คมคายได้รูปจดจ้องมองสตรีร่างเล็กที่พยายามร้องโวยวายและขัดขืนการจับกุมตลอดเวลา
ทันทีที่เธอหันมาดวงตาสีน้ำตาลของแม่ทัพอิมโฮเทปก็เบิกโพลงราวกับพบเจอเรื่องประหลาดที่สุดในชีวิตก็ไม่ปาน
“จับนางไปบัดเดี๋ยวนี้!!!”
“ขอรับท่านแม่ทัพ!”
ผู้อยู่ใต้โอวาทรับคำสั่งเสียงดัง
“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ...จะพาฉันไปที่ไหน!!!”
“หุบปากของเจ้า
แล้วตามพวกข้าไปเสียจักดีกว่า!” ทหารชายตะคอกลั่น พลางผลักร่างเล็กๆให้เดินออกจากกระโจมอย่างไม่เมตตาสงสาร
“ไม่!!! ฉันไม่ไป...ได้โปรดปล่อยฉันเถอะ!”
น้ำเสียงหวานสั่นระริก
น้ำตาของปภาพินท์เบือนใบหน้าคมคายของแม่ทัพอิมโฮเทปให้แสร้งมองทางอื่น
ก่อนจะเร่งฝีเท้าไปหยุดยืนประจำตำแหน่งตรงหน้าขบวนกองทัพทหารอียิปต์ซึ่งสามารถคว้าชัยชนะมาครอบครองได้อย่างสมบูรณ์
รวดเร็วดุจสายลมพัดผ่าน...
ชั่วเวลาสั้นๆเท่านั้นสถานที่พักแรมอันประกอบด้วย
กระโจมสิบกว่าหลัง ข้าวของสัมภาระ ก็แปรสภาพเป็นซากกองขยะล้มกระจัดกระจาย
กลิ่นไอของความพ่ายแพ้คุกรุ่นผสมผสานความหวาดกลัวทั่วบริเวณ
ไม่มีใครสักคนในกองคาราวานหนีรอดจากการกระทำอุกฉกรรจ์ของเหล่าบุคคลปริศนา
ต่างถูกพันธนาการไว้ด้วยโซ่ตรวนล่ามติดกันเป็นกลุ่มแถวตอนยาวโดยมีคมหอกหลายเล่มจ่อลำคอเชลยไร้หนทางสู้ประหนึ่งพร้อมคร่าเอาชีวิตทุกเมื่อที่มีการขัดขืนหรือหลบหนี
ขณะที่หญิงสาวถูกจับแยกออกมาอยู่คนเดียวโดยมีทหารชายคนเดิมคอยคุมเชิงอยู่ข้างๆ
แต่กระนั้นเธอก็ไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถทำอะไรได้ดีกว่าการยอมเดินตามขบวนอย่างว่านอนสอนง่ายเพราะมือทั้งสองข้างถูกไพล่หลังมัดตรึงด้วยเชือก
“อาถรรพ์วันจันทรา...นี่คืออาถรรพ์วันจันทรา...พวกเราไม่น่าออกเดินทางวันนี้เลย” ซาฮัตโอดครวญสะอึกสะอื้นเบาๆ ทว่า เสียงนั้นก็ถูกดูดกลืนด้วยสายลมที่โหมพัดแรงคล้ายกระชากเอาความหวังและวิญญาณไปจากร่างผู้ปราชัย
แม้ปภาพินท์ไม่เคยเชื่อ
ว่า...ตำนานปรัมปราไร้สาระที่ได้ฟังมาตลอดหลายวันจะเป็นเรื่องจริง
แต่ทุกก้าวย่างที่เดินตามกองทัพทหารไอยคุปต์มุ่งตรงสู่พระราชวังอียิปต์โบราณ ซึ่งยังคงตั้งตระหง่านรับแสงจันทร์เต็มดวงอยู่เบื้องหน้าได้สั่นคลอนจิตใจหญิงสาวให้เริ่มแปรเปลี่ยนความคิดเสียแล้ว
คบเพลิงมากมายถูกจุดเรียงรายตามแนวทางเดินศิลาที่ทอดยาวสู่ทางเข้าตัวพระราชวังขนาดใหญ่
แรงลมไหวเปลวไฟให้เกิดแสงเงาวูบวาบในความมืดสลัวสร้างความรู้สึกอึดอัดอย่างไม่อาจบรรยายออกมาเป็นถ้อยคำได้
ราวกับทหารชายซึ่งยื้อยุดฉุดกระชากปภาพินท์อยู่นั้นเป็นเทพเจ้าอานูบิส ( *** ) กำลังลากตัวเธอสู่ยมโลกเพื่อไปพิพากษาความผิดต่อหน้าเทพเจ้าโอซิริส ( *** ) ก็ไม่ปาน
อารยธรรมอันยิ่งใหญ่และเกรียงไกรของดินแดนแห่งสุริยเทพราถูกบอกเล่าผ่านอักษรเฮียโรกลิฟฟิกที่จารึกบนเสาหินทรงกลมสีทรายหลายร้อยต้นขนาบสองข้างทาง
ทั้งที่กลัวเหลือคณานับแต่หญิงสาวก็อดตื่นตาตื่นใจกับความตระการตารอบด้านไม่ได้
สถาปัตยกรรมสภาพใหม่เอี่ยมเหล่านี้ไม่มีทางได้เห็นบนโลกปัจจุบันซึ่งล้วนเหลือเพียงซากปรักหักพังของโบราณสถาน
“คุมตัวเชลยคนอื่นๆออกไป!” ผู้บัญชาการทัพใหญ่สั่งพวกทหารให้นำพาทุกคนในกองคาราวานแยกออกไปอีกทางจนเหลือเพียงเขา
ปภาพินท์ และทหารชายผู้มีหน้าที่ควบคุมตัวเธอเท่านั้น
“จะพาฉันไปที่ไหน?”
แม่ทัพอิมโฮเทปคลี่ยิ้มน้อยๆเมื่อได้ยินคำถามนั้น
พลางพินิจสตรีตรงหน้าที่หันรีหันขวางหาทางหนีทีไล่อย่างนึกขัน
เพราะไม่มีทางที่ผู้หญิงตัวเล็กๆบอบบางจะฝ่ากองกำลังอารักขานับร้อยนับพันคนออกจากสถานที่แห่งนี้ได้อย่างแน่นอน
“ประเดี๋ยวเจ้าจักรู้เอง!” พูดจบเขาก็เดินนำลิ่วไปตามทางศิลา
โดยไม่คิดตอบคำถามอื่นใดแก่ผู้สงสัยให้เสียเวลามากเกินกว่านี้
ไม่มีโอกาสและหนทางใดๆสำหรับเชลยที่ถูกจับ...หญิงสาวรู้กฎข้อดีนี้จากการศึกษาประวัติศาสตร์ในฐานะนักโบราณคดี
หากไม่ทำตามก็คงถูกฆ่าตายด้วยอำนาจของผู้ปกครองที่สูงส่งเหนือกฎหมายและศีลธรรม
จึงทำได้เพียงปิดปากแล้วเดินตามเงียบๆ
ในใจก็ยังสวดภาวนาให้เรื่องราวทั้งหมดเป็นความฝันหรือภาพหลอนเท่านั้น!
ท้องพระโรงโอ่อ่าเรืองรองดั่งทองทายามผนังหินทรายถูกฉาบทาบทับด้วยแสงคบเพลิงหลายสิบอัน
แต่กระนั้นก็มิอาจบั่นทอนความวิจิตรของลวดลายภาพวาดให้ลดน้อยลง ประติมากรรมรูปสลักเทพเจ้าหลายองค์เสมือนมีชีวิตและจับจ้องผู้มาเยือนใหม่ไม่ต่างจากผู้คนนับร้อยซึ่งกำลังนั่งอยู่ก่อนหน้า
การแต่งตัวของบุรุษและสตรีสามารถบ่งบอกถึงยศถาบรรดาศักดิ์ของแต่ละคนได้ง่ายดาย
ไม่ว่าจะเป็นขุนนางที่นุ่งผ้าสีขาวคล้ายกระโปรงสั้นพับจีบเหมือนชุดทหาร หรือ
เชื้อพระวงศ์ชายหญิงที่สวมใส่แพรพรรณเนื้อบางจนเห็นสรีระชัดเจน
มือทั้งสองข้างของปภาพินท์ถูกปลดเปลื้องจากพันธนาการเพียงแค่แม่ทัพหนุ่มลงคมดาบบนเชือกครั้งเดียว
ก่อนกดไหล่เธอให้ทรุดกายคุกเข่าทันทีทันใด
“ฉันเป็นผู้หญิงนะ...กรุณาให้เกียรติกันบ้าง!”
“สงบปากคำของเจ้าเมื่ออยู่ต่อเบื้องพระพักตร์องค์ฟาโรห์!” แม่ทัพอิมโฮเทปกล่าวตำหนิ
“องค์ฟาโรห์?”
เธอทวนคำๆนั้นอย่างประหลาดใจไม่น้อยแล้วจึงเหลียวมองด้านหน้าของตนเอง
ณ ตรงนั้น มีนางกำนัลในชุดยาวสีขาวสองคนกำลังโบกพัดขนนกกระจอกเทศขนาดใหญ่เพื่อถวายลมหายใจแห่งชีวิตแด่บุรุษสูงศักดิ์ผู้ประทับบนบัลลังก์ทองคำ
ความสง่างามดุจองค์สมมติเทพสามารถสะกดสายตาปภาพินท์เอาไว้ดั่งต้องมนต์
ใต้มงกุฎเซ็ต ( *** ) สีแดงสลับขาวอันเป็นสัญลักษณ์ของผู้กุมอำนาจการปกครองสองอาณาจักรหรืออียิปต์บนกับอียิปต์ล่างนั้น
เผยพระพักตร์คมคายค่อนไปทางเคร่งขรึมด้วยพระขนงโก่งดั่งคันศร
รับกับพระเนตรสีนิลกรีดหนาด้วยกาลีนา ( *** ) สีดำเฉี่ยวยาว
และ แต้มแต่งด้วยมาลาไคต์ ( *** ) สีเขียวอีกชั้นหนึ่ง ทรงฉลองพระองค์ด้วยแพรพรรณขาวสะอาดตา
คาดทับด้วยสร้อยพระศอกับรัดพระองค์ทองคำประดับอัญมณีเจียระไนหลากสี เข้าชุดกับทองพระกร
ทองพระบาท และ พระธำมรงค์ แบบเดียวกันอย่างลงตัว ถึงกระนั้นเหล่าอาภรณ์เลอค่าก็มิอาจบดบังพระวรกายองอาจสีน้ำผึ้งได้
“อัย!!!” พระสุรเสียงทุ้มเอื้อนเอ่ยจากพระโอษฐ์เรียวบางอย่างตกพระหทัย เมื่อได้ทอดพระเนตรใบหน้าสะสวยของเชลยสาวต่างถิ่นชัดๆ
เสียงวิพากษ์วิจารณ์จากข้าราชบริพารดังกระหึ่มทั่วท้องพระโรง
แต่นั่นยังไม่อาจเทียบเท่าสายตาเดียดฉันท์ของเหล่าสตรีสูงศักดิ์ในชุดนุ่งน้อยห่มน้อย
ทั้งที่หญิงสาวไม่เคยพบหน้าค่าตาพวกหล่อนมาก่อนแต่รู้สึกเกรงกลัวอย่างบอกไม่ถูก
ความสงบหวนคืนกลับมาเพียงแค่ชายชราในชุดหนังพยัคฆ์
สวมหมวกปักขนนกบ่งบอกถึงตำแหน่งสูงสุดของนักบวชใช้ไม้เท้าสลักเสลาลวดลายในมือกระแทกพื้นเบาๆ
“ได้โปรดเงียบสงบด้วยเถิด!” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ก่อนหันไปกราบทูลองค์ประมุขอย่างรีบเร่ง “นางคือสตรีในยุคนี้จึงมิอาจเป็นอัยไปได้...ฝ่าบาทโปรดพิจารณาดูก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
“นั่นสินะ...ขอบใจท่านสังฆราชกาคาเรที่ช่วยเตือนสติข้า” องค์สมมติเทพตรัส “นางเชลยผู้นี้มีนามว่ากระไร?”
ปภาพินท์ไม่ตอบคำถามนั้น
เพราะภายในหัวอัดแน่นด้วยความสับสนปนเปประหนึ่งคลื่นทะเลต้องลมมรสุมลูกใหญ่ ทุกสิ่งทุกอย่างรอบกายกำลังจะทำให้เธอเป็นบ้า
ทั้งเรื่องผู้คนแปลกหน้าสวมใส่เสื้อผ้าโบราณราวกับหลุดออกมาจากภาพวาดบนฝาผนังเทวสถานสักแห่ง
หรือ พระราชวังอียิปต์สภาพใหม่เอี่ยมซึ่งไม่มีหลงเหลือให้เห็นบนโลกปัจจุบันอีกแล้ว
จิตใจของหญิงสาวไขว้เขว้คล้ายกำลังยืนอยู่บนตาชั่งที่โอนเอนระหว่างอดีตกับปัจจุบัน
“โอ้ย! ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆ ที่นี่มันที่ไหน แล้วพวกคุณเป็นใครกันแน่?”
หรือเธอกำลังเป็นบ้าจริงๆ
ถึงได้เห็นภาพหลอนเป็นเรื่องเป็นราวขนาดนี้!
“เจ้าควรตอบคำถามข้า
หาใช่ยอกย้อนกลับมาเยี่ยงนี้!” องค์ฟาโรห์ตวาดกร้าว
“ทำไมต้องตอบคำถามในเมื่อฉันยังไม่รู้จักคุณเลย” หญิงสาวพยายามทำใจดีสู้เสือ ก่อนจะถอยหลังกรูเมื่ออีกฝ่ายเสด็จลงจากบัลลังก์ทองคำแล้วยาตราเข้าหาเธออย่างรวดเร็ว
“เจ้าช่างโอหังยิ่งนัก
แต่เอาเถิด...ข้าไม่ถือสาหาความด้วยเห็นว่าเป็นสตรีที่ควรจักให้เกียรติ!” นั่นคล้ายการประชดประชันมากเสียกว่าจะตรัสเช่นนั้นจริงๆ “สถานที่แห่งนี้ คือ พระราชวังของข้า...เนเฟอร์ซาอมุน
ฟาโรห์แห่งราชวงศ์ที่สิบสอง!”
ฟาโรห์แห่งราชวงศ์ที่สิบสอง!!!
“ฉันไม่เชื่อ! นี่มันยุคสมัยไหนกันแล้ว ไม่มีทางมีฟาโรห์ หรือ
พระราชวังอียิปต์โบราณแบบนี้แน่ๆ” ปภาพินท์แย้งคอเป็นเอ็น “คุณยอมรับเสียดีกว่า ว่า...เป็นพวกนักต้มตุ๋นคอยหลอกลวงเหยื่อที่ใช้เส้นทางผ่านระหว่างโอเอซิสบาฮาริยากับโอเอซิสซิวา”
ไม่แน่ว่า...พวกคนเหล่านี้อาจฉวยเอาตำนานปรัมปราเรื่องอาถรรพ์วันจันทรามาใช้หากิน
โดยหลอกลวงเหยื่อที่พบเจอให้หลบหนีเพื่อขโมยข้าวของสัมภาระก็เป็นได้
หญิงสาวพยายามครุ่นคิดหาเหตุผลต่างๆนานาด้วยปรารถนาจะกลบความกลัวของตัวเอง
“ยุคของเจ้าอาจไม่มี
แต่ ณ สถานที่แห่งนี้...ข้า คือ องค์สมมติเทพ ผู้ปกครองดินแดนแห่งสองอาณาจักร
จงอย่าได้กล่าววาจาสามหาวเยี่ยงนั้นอีก!!!” พระสุรเสียงทรงอำนาจตวาดดังอีกครั้ง
จนใครหลายคนถึงกับสะดุ้งตกใจ
“ฉันไม่รู้และไม่สนใจว่าคุณจะเป็นใคร
แต่คุณต้องปล่อยตัวฉันออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้!” ปภาพินท์ยืนกราน
“ไม่เช่นนั้น...จะหาว่าฉันไม่เตือนไม่ได้!”
“ไม่มีทาง!!!
ไม่เคยมีผู้ใดย่างก้าวเข้ามาแล้วจักออกจากสถานที่แห่งนี้ได้...หากข้าไม่ประสงค์!”
หญิงสาวควักปืนสั้นออกมาจากกระเป๋าสะพายแล้วเล็งปากกระบอกไปยังผู้ทรงอำนาจสูงสุดเพื่อข่มขู่ให้เกรงกลัว
อากัปกิริยาของปภาพินท์ช่างน่าขบขันในสายพระเนตรของฟาโรห์เนเฟอร์ซาอมุนยิ่งนัก
เพราะบัดนี้มีเหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นบนใบหน้าสะสวย มือทั้งสองข้างสั่นระริกไม่ต่างจากร่างกายที่สั่นเทา
แสดงความหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด
“ข้าขอเตือนให้เจ้ายอมสวามิภักดิ์แต่โดยดี
มิเช่นนั้นจะหาว่าข้าใจร้ายไม่ได้!”
“ทำไมฉันจะต้องเชื่อฟังคุณ!”
ปังงงง!!!
เสียงลั่นไกดังสนั่นท้องพระโรงในชั่วเสี้ยววินาที
พระวรกายขององค์สมมติเทพกระตุกเล็กน้อยเมื่อกระสุนนัดหนึ่งพุ่งทะลุผ่านพระอุระออกไปทางพระปฤษฎางค์
“ฉะ...ฉันเตือนคุณแล้วนะ” เธอเอ่ยเสียงสั่นขณะที่มือยังคงจับอาวุธไว้ไม่ยอมปล่อย เนื่องจากมันอาจเป็นตัวเลือกดีที่สุดในยามนี้
ทว่า ผิดถนัด เมื่อไม่มีแม้แต่บาดแผลหรือร่องรอยถลอกปรากฏบนพระฉวีสีน้ำผึ้งของอีกฝ่ายสักนิดเดียว
พลัวะ!!!
ธารพระกรด้ามงอ ( *** ) ในพระหัตถ์หนาฟาดเข้าใส่ลำตัวปภาพินท์อย่างแรงจนล้มฟุบแทบพื้นศิลา
หยาดน้ำตาหลั่งรินอาบดวงหน้าสวยอย่างนึกเจ็บใจ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีใครกระทำรุนแรงกับเธอเช่นนี้มาก่อน
“อย่าได้คิดอาจหาญล่วงเกินข้าอีกเป็นครั้งที่สอง
เพราะไม่มีศัสตราวุธใดๆสามารถกระทำอันตรายแก่ข้าผู้อยู่เหนือกาลเวลาและความตายได้!” องค์สมมติเทพตรัสด้วยพระสุรเสียงแข็งกระด้าง
ก่อนจะรุดเข้าไปบีบคางมนของหญิงสาวอย่างไม่เมตตาสงสารทั้งที่อีกฝ่ายยังเจ็บกายไม่หาย
“นางเชลย...จงเอ่ยนามของเจ้ามา!”
การบีบบังคับให้ต้องทำอะไรสักอย่างโดยไม่คำนึงถึงจิตใจผู้อื่น
คือ สิ่งที่ปภาพินท์รังเกียจที่สุด ถึงกระนั้นก็มิอาจขัดพระราชประสงค์ขององค์ประมุขแห่งผืนปฐพีไอยคุปต์ได้
“ฉันชื่อ
ปภาพินท์”
“ปภาพินท์...นามนี้ช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก” ฟาโรห์เนเฟอร์ซาอมุนทวนชื่อนั้นอย่างสงสัย “มีความหมายว่ากระไร?”
“ปภาพินท์
แปลว่า...ผู้พบแสงสว่าง” คำตอบของเธอลบประกายความหวังจากพระเนตรสีนิลให้มอดดับลงทันทีทันใด
“ไม่ใช่ธิดาแห่งเทพเจ้าคอนซู
( *** ) !”
ธิดาแห่งเทพเจ้าคอนซู!
หญิงสาวไม่เข้าใจความหมายของคำๆนี้
ว่า...เกี่ยวข้องกับเธออย่างไร และ จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ก็ไม่เคยปรากฎว่าเทพเจ้าคอนซูมีพระธิดา
แต่เรื่องนี้คงมีความสำคัญมากพอขนาดทำให้สีหน้าท่าทางของทุกคนในท้องพระโรงหม่นหมองแลดูผิดหวังเป็นอย่างมาก
“หากเป็นเช่นนั้น...ฝ่าบาทจักทรงทำเยี่ยงไรกับนางเชลยผู้นี้พ่ะย่ะค่ะ?” แม่ทัพอิมโฮเทปกราบทูลถาม
“ข้าจักให้นางอยู่ในความดูแลของยาราห์!” องค์สมมติเทพตรัสตอบ
แล้วจึงมีรับสั่งกับหัวหน้านางกำนัลที่คอยหมอบถวายอยู่งานไม่ห่างพระวรกาย “ฝากเจ้าด้วย!”
“เพคะ!” หล่อนน้อมรับพระราชบัญชา และ
ในตอนนั้นเองสตรีสูงศักดิ์ที่ประทับใกล้บัลลังก์ทองคำก็ลุกขึ้นทักท้วงอย่างไม่พึงพอพระทัย
“ในเมื่อนางเชลยผู้นี้มิใช่ธิดาแห่งเทพเจ้าคอนซู
ฝ่าบาทก็ควรกำจัดนางทิ้งโดยการประหารชีวิตหรือเนรเทศออกนอกเขตพระราชฐานชั้นในเยี่ยงคนอื่นๆ
หาใช่ยกขึ้นมาไว้ในพระราชวังเยี่ยงนี้!”
“กระหม่อมเห็นชอบเช่นเดียวกับพระสนมทียา”
สังฆราชกาคาเรสมทบอีกเสียงหนึ่ง
“กษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ
ฉะนั้นพวกเจ้าควรยึดถือคำสั่งของข้าเป็นเด็ดขาด!”
ฟาโรห์หนุ่มตรัสตอบ “ภาระหน้าที่ในพระราชวังมีมากมายนับไม่ถ้วน
การได้คนมาเพิ่มจึงเป็นเรื่องน่ายินดี”
“ฝ่าบาททรงทราบดีกว่าผู้ใด
ว่า...ภายในพระหทัยประสงค์เช่นนั้นจริงๆหรือไม่!”
พระสนมทียาไม่ลดราวาศอกด้วยถือว่าพระองค์เองเป็นที่โปรดปรานกว่าบรรดาสนมอื่นๆ
“เจ้าหมายความว่ากระไร?”
“การที่ฝ่าบาทเก็บนางเชลยผู้นี้ไว้ใกล้พระวรกาย
ก็ด้วยหมายให้เป็นตัวแทนใครบางคนใช่หรือไม่เพคะ?”
“หุบปากของเจ้าบัดเดี๋ยวนี้!!!”
สีพระพักตร์แดงก่ำดุจชนวนโทสะถูกจุดเพียงแค่คำเอ่ยอ้างถึงปมอดีต
ซึ่งไม่เคยลบเลือนจากพระหทัยของฟาโรห์เนเฟอร์ซาอมุนสักเพลาเดียว
พระสนมทียาจึงจำยอมยุติการปฏิสันถารเพื่อผ่อนปรนบรรยากาศตึงเครียดในท้องพระโรง
“ยาราห์...เจ้าพานางเชลยออกไปได้แล้ว!” องค์ประมุขตรัสสั่ง
“เพคะ”
ใจจริงแล้วปภาพินท์ไม่ปรารถนาจะทำตามพระราชประสงค์ของฟาโรห์เนเฟอร์ซาอมุน
แต่สถานการณ์รอบด้านไม่ค่อยสู้ดีเสียเท่าไร ยิ่งเห็นสายพระเนตรขุ่นเคืองของเหล่าสตรีสูงศักดิ์ที่มีให้เธอ
ก็ตัดสินใจยอมเดินตามหญิงชราผู้มีศักดิ์เป็นหัวหน้านางกำนัลออกจากท้องพระโรงโดยไม่ปริปากสักคำ
*** กาวา = กาแฟแบบอาหรับซึ่งนิยมต้มในปริมาณพอดื่ม
และ ต้องดื่มขณะกำลังร้อนๆหลังจากกากกาแฟจมลงสู่ก้นถ้วยแล้ว รสชาติมีทั้งขมและหวานจากน้ำตาลที่ใส่ลงไปในน้ำตั้งแต่ก่อนใส่กาแฟ
วิธีการดื่มที่ถูกต้อง คือ ห้ามผสมนม แต่อาจเพิ่มกลิ่นด้วยกระวาน เพราะรสชาติกาแฟสำหรับชาวอาหรับมักแสดงถึงความพึงพอใจ
เช่น รสหวาน คือ ช่วงเวลาความสุข รสหวานปนขม คือ ช่วงเวลาปกติ และ รสขม คือ ช่วงเวลาโศกเศร้า
*** เอช บาลาดี = ขนมปังรำข้าวแบบแห้งของประเทศอียิปต์
มีลักษณะเป็นแผ่นกลมๆ แข็งๆ และ ค่อนข้างเหนียว
*** อินทผาลัม = ผลไม้เมืองร้อนแถบทะเลทราย
ออกเป็นช่อ มีผลเล็ก รสหวานฉ่ำ ถ้าสุกสามารถตากแห้งเก็บไว้ได้หลายปี
ชาวอาหรับและชาวเบดูอินมักรับประทานหลังอาหารเพื่อช่วยเกี่ยวกับระบบการย่อย และ
ช่วงเดือนรอมฎอน
*** อานูบิส = เทพเจ้าแห่งความตาย
เป็นพระโอรสของ เทพเจ้าโอซิริส กับ เทวีเนฟทีส มีร่างเหมือนมนุษย์เพศชาย พระเศียรเป็นสุนัขไน
บ้างก็เป็นสุนัขสีดำคอยติดตามเทวีไอซิส เทพเจ้าอานูบิสมีหน้าที่เป็นผู้ช่วยในการดองศพ
, รับมัมมี่ในหลุมศพเป็นการเปิดพิธีกรรม , เป็นสื่อกลางในการนำวิญญาณไปพิพากษา และ
เป็นผู้ช่วยในการชั่งวิญญาณ
*** โอซิริส = เทพเจ้าแห่งการเกษตรกรรมและความอุดมสมบูรณ์
( ภายหลังได้เป็นเทพเจ้าแห่งความตายแทนเทพเจ้าอานูบิส ) เป็นพระโอรสของ เทพเจ้าเกป
กับ เทวีนุต มีร่างเหมือนมนุษย์เพศชาย บางครั้งมีพระวรกายสีแดงเปรียบเสมือนพื้นดิน
บางครั้งมีพระวรกายสีเขียวเปรียบเสมือนพืชพันธุ์ ทรงสวมมงกุฎสีขาวอันเป็นสัญลักษณ์ของอียิปต์บน
ฉลองพระองค์ด้วยผ้าพันมัมมี่สีขาว
ทรงเป็นศูนย์กลางความเชื่อเรื่องการฟื้นคืนชีพจากตำนานของพระองค์
*** มงกุฎเซ็ต = มงกุฎที่แสดงถึงสองอาณาจักรรวมกัน
มีสีขาวแทนอียิปต์บน กับ สีแดงแทนอียิปต์ล่าง
*** กาลีนา = แร่ตะกั่วสีเทาดำ
ใช้ทำเครื่องสำอางในการกรีดขอบตาสมัยก่อน
*** มาลาไคต์ = แร่ทองแดงคาร์บอเนตสีเขียว ใช้บดทำเครื่องสำอางในการตกแต่งเปลือกตาสมัยก่อน
*** ธารพระกรด้ามงอ = ไม้เท้าสำหรับเทพเจ้า ฟาโรห์ และ ข้าราชบริพารชั้นสูง
ได้แบบอย่างจากไม้เท้ายาวต้อนฝูงแกะ ต่อมาได้ตัดทอนให้สั้นลง มีความหมาย
ว่า...ปกครอง ,ควบคุม ,อิทธิพล
*** คอนซู = เทพเจ้าแห่งดวงจันทร์ เป็นพระโอรสของ เทพเจ้าอะมอนรา กับ เทวีมัต มีร่างเป็นมัมมี่เพศชาย
ตรงพระนลาฏมีงูเห่ายูเรอัส ถือธารพระกรด้ามงอกับแส้ นอกจากนี้ยังเป็นเทพเจ้าแห่งการเดินทาง
และ เทพเจ้าแห่งการพนัน
ความคิดเห็น