คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 2
ตอนที่ 2
ขับรถญี่ปุ่นราคาแสนกว่าชนท้ายรถยุโรปราคาล้านกว่าของชีคคาฟาห์
ถูกชีคคาฟาห์ไล่ตะเพิดออกจาก “งานเจรจาผู้นำระหว่างรัฐประจำปี”
โดยที่ยังไม่ทันได้สัมภาษณ์หรือถ่ายภาพใครสักคน
มิหนำซ้ำยังโดนกล่าวหาว่าแอบอ้างเข้างานและเป็นผู้หญิงขายบริการอีก...จะมีอะไรย่ำแย่เลวร้ายเพราะชีคคนนี้อีกมั้ย?
นี่คือคำถามที่ค้างคาใจมนตร์ทรายตลอดคืน เธอโกรธจนทำให้นอนแทบไม่หลับ
แถมยังต้องครุ่นคิดหาเหตุผลแก้ตัวกับมิสเตอร์โรเบิร์ตอีก
ว่า...เพราะเหตุใดจึงกลับมามือเปล่า
ซองสีขาวถูกโยนลงตรงหน้าหญิงสาวทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไปหยุดยืนตรงโต๊ะผู้จัดการชาวอังกฤษในเช้าวันต่อมา
โดยที่เธอยังไม่ทันได้เอ่ยปากสักคำ
“หมายความว่ายังไงคะ?”
ในใจนั้นรู้คำตอบเป็นนัย
หากแต่ยังไม่มั่นใจเสียทีเดียว
“คุณไม่รู้จักเงินสามเดือนล่วงหน้าเหรอ?” เขาย้อนถามพร้อมจดจ้องมองหญิงสาวอย่างตำหนิผ่านแว่นตากรอบทองนั้น
“คุณคงไม่ได้หมายความว่า...”
“ใช่...ผมไล่คุณออก!” เขาเอ่ยประโยคไม่น่าฟังที่สุดในชีวิตของเธอเลยก็ว่าได้
“ทำไมคะ...ฉันทำอะไรผิด?” มนตร์ทรายร้องถามอย่างตกใจ
โดยไม่สนใครหลายคนที่เริ่มทยอยมุงดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นแถวประตูห้อง
“ก่อนถามว่าทำอะไรผิด
ทำไมคุณไม่ลองย้อนกลับไปคิดดูว่าตัวเองทำอะไรเอาไว้ ผมให้คุณไปทำข่าวนะ
ไม่ได้ใช้ให้คุณไปมีปัญหากับชีคคาฟาห์!!!”
ปึงงงง!!!
เขาทุบโต๊ะเสียงดังสนั่นจนมนตร์ทรายและใครหลายคนต่างตกใจ
นี่มันไม่ยุติธรรมเลยแม้แต่นิดเดียว...เขามีสิทธิ์อะไรมาโกรธ
เพราะเธอต่างหากที่ควรโมโห
ทั้งโดนดูถูกเหยียดหยามยังมาโดนไล่ออกด้วยเหตุผลทั้งหมดที่เกิดจากชีคคนนั้น!
“ฉันไม่ได้อยากมีปัญหานะคะ แต่ชีคมาดูถูกเหยียดหยามฉันก่อน!”
คำชี้แจงดูเหมือนจะไร้ค่าเมื่อบุคคลตรงหน้าซึ่งมีสิทธิ์ชี้เป็นชี้ตายในสายอาชีพส่ายศีรษะน้อยๆแล้วเอ่ย
“คุณไม่รู้จักท่านดีพอ เอาเถอะ...ออกไปได้แล้วมิสมนตร์ทราย
ผมต้องทำงานอีกเยอะ ไหนจะสะสางปัญหาที่คุณก่อ ไหนจะต้องหานักข่าวสายเศรษฐกิจคนใหม่!!!” พูดจบมือหนาก็ผายยังประตูเป็นเชิงไล่ทางอ้อม นั่นทำให้หญิงสาวสะบัดหน้าเชิดกระฟัดกระเฟียดออกไปอย่างหงุดหงิด
ขณะที่สองมือหยิบจับข้าวของมากมายยัดใส่ลังกระดาษ
ปากนั้นก็พึมพำต่อว่าอดีตเจ้านายที่ไร้เหตุผลจวบจนไปถึงต้นต่อก่อเหตุ นั่นคือ
ชีคคาฟาห์
“ผู้ชายอะไรไร้ความเป็นสุภาพบุรุษ...คิดจะดูถูกใครก็ดูถูก!!!”
“แซนด์...แล้วเธอจะทำยังไงต่อไป?” เพื่อนสาวชาวมุสลิมเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล แม้ทั้งคู่จะเพิ่งรู้จักกันได้ไม่ถึงปีแต่ก็สามารถพูดคุยเข้าใจในปัญหาต่างๆได้เป็นอย่างดี
“ฉันก็คงต้องหางานใหม่ทำ
แต่อันดับแรกจะสาปแช่งอีตานั่น!!!"
“หมายถึงมิสเตอร์โรเบิร์ตน่ะเหรอ?”
“เปล่า...ชีคคาฟาห์!!!”
ชาซียาแทบเอามือปิดปากเพื่อนสาวไว้ไม่ทันเมื่อเห็นพนักงานคนอื่นๆเดินผ่านมาพอดี
ก่อนสอดส่องสายตามองไปรอบกายว่าปลอดคนดีแล้วจึงค่อยปล่อยหญิงสาวเป็นอิสระราวกับคำต้องห้ามสำหรับทุกคน
“อย่าเสียงดังไป...เธอไม่รู้หรือไงว่าชีคคาฟาห์มีอิทธิพลมากมายขนาดไหน!”
“รู้สิ...รู้มากด้วย
แค่ชื่อก็ทำให้ฉันโดนไล่ออกแบบนี้!!!”
มนตร์ทรายกล่าวอย่างฉุนเฉียว เพราะเขาคนเดียวที่สร้างปัญหาให้เธอ
“เอาน่า...ใจเย็นๆ
แต่ลีธรู้เข้าคงตกใจ”
ชื่อเพื่อนชายชาวอาหรับทำให้มนตร์ทรายอดใจหายไม่ได้เช่นกัน
เธอรู้จักลีธตั้งแต่ก่อนเรียนจบจากในเว็บไซต์เฟชบุ๊คนับว่าเป็นเพื่อนชาวอาหรับคนแรก
และ ยังเป็นเพื่อนชาวต่างชาติคนแรกอีกด้วย เขาคอยช่วยแนะนำนักศึกษาจบใหม่อย่างเธอซึ่งว่างงานจนกลายเป็นนักข่าวที่นี่ทั้งที่อายุมากกว่าเพียงสองปีหากแต่ความคิดและความสามารถนั้นก็ยังเหนือกว่าจนหญิงสาวแอบเรียกเขาเล่นๆว่า
“คุณลุง” เพราะอิจฉาความรอบรู้ไปเสียทุกเรื่องราวเกิดก่อนสักสิบหรือยี่สิบปีเห็นจะได้
หากแต่ตอนนี้กลับทำงานที่เขาฝากฝังผิดพลาดซ้ำยังถูกไล่ออกจากสถานที่ที่เขาช่วยแนะนำ
ไม่รู้ว่าลีธจะกลับมาวันไหนเพราะเพื่อนชายมักออกไปทำธุระกับครอบครัวคราวละนานๆเกือบหนึ่งอาทิตย์
ทว่า...เธอคงรอไม่ได้ในเมื่อตอนนี้ต้องไปแล้ว
“ฉันจะติดต่อเขาหลังจากนี้...ไปล่ะนะชาซียา
ไว้เจอกัน!!!”
ชาซียามองมนตร์ทรายหอบหิ้วลังกระดาษใส่สัมภาระของตัวเองออกไปจนลับสายตา
หากแต่สีหน้าของเธอนั้นยังเจือปนด้วยความกังวลใจ
ราวกับมีลางสังหรณ์ว่าเรื่องวุ่นวายจะตามติดมนตร์ทรายเพื่อนสาวชาวไทยอย่างแน่นอน
แม้ตอนนี้มนตร์ทรายจะขับรถญี่ปุ่นแสนรักสภาพใกล้พังทั้งที่ซื้อมาไม่ถึงสองปีอยู่บนท้องถนนได้สักพักหลังออกมาจากสำนักข่าวคาฟาห์
หากแต่เธอก็พกพาความไม่สบายใจปนโกรธเคืองหอบหิ้วมาพร้อมสัมภาระที่ตอนนี้ยัดไว้ในกระโปรงท้าย
ไม่อยากเชื่อเลย
ว่า...ชีคคาฟาห์จะทำให้เธอต้องสูญเสียงานอันเป็นที่รักไปแบบนี้!
ถนนแปดเลนเริ่มบีบเข้ามาเหลือหกเลนเมื่อแล่นเข้าสู่ย่านชุมชน
ทว่า...มันยังคงรองรับปริมาณรถมากมายได้เป็นอย่างดี สายตาผละจากกระจกใสด้านหน้าไปยังสองข้างทางหลังจอดรอสัญญาณไฟจราจรที่ตอนนี้ยังคงเรืองแสงเป็นสีแดง
แผงหนังสือเล็กๆข้างทางซึ่งขายหนังสือพิมพ์รวมถึงนิตยสารมากมายสะท้อนให้มนตร์ทรายรู้สึกเศร้ากว่าเดิม
ทั้งที่เมื่อวานเธอยังเขียนคอลัมน์ลงไปในหน้ากระดาษเหล่านั้นแท้ๆแต่ตอนนี้ไม่ใช่อีกแล้ว
พลัน...หญิงสาวเริ่มครุ่นคิดได้บางอย่างเกี่ยวกับป้ายโฆษณาที่หายากตามท้องถนนหนทาง
ว่ามันได้ย่อส่วนอัดแน่นตามหนังสือพิมพ์เป็นส่วนใหญ่เมื่อเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับการเผยแพร่
ข้อนี้อดีตนักข่าวอย่างเธอรู้ดีเมื่อคลุกคลีกับมันมานานและยังกลายเป็นทางเลือกสำหรับงานใหม่ด้วย!!!
ฟุตบาทริมซอยเล็กๆเป็นที่จอดรถสำหรับหญิงสาวซึ่งตอนนี้กำลังเดินจ้ำอ้าวไปยังแผงหนังสือนั้นโดยไม่ลืมหันไปกดรีโมตเพื่อล็อกประตูรถ
แม้สภาพดูไม่ดีก็ใช่ว่ามันจะใช้งานไม่ได้ หรือ ไม่เป็นที่ต้องการของใครๆ...อย่างน้อยก็พ่อค้าขายเศษเหล็ก!
ถ้าไม่ได้รู้สึกไปเอง...มนตร์ทรายคงคิดว่าตอนนี้ได้เปลี่ยนอาชีพนักข่าวสายเศรษฐกิจกลายเป็นนางแบบซูเปอร์โมเดลแล้วกระมัง
เมื่อทุกสายตาของชาวบ้านชาวเมืองเพ่งพินิจมายังเธอทันทีที่เดินผ่านพวกเขาเหล่านั้น
ไม่ทันได้ตั้งคำถาม...แต่คำตอบก็ปรากฏตรงหน้าชัดเจนในตอนนี้
เมื่อพบหน้าแรกของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับโชว์ภาพการปะทะคารมระหว่างเธอกับชีคคาฟาห์ที่โรงแรมยัสมินแผ่หลาครึ่งหน้ากระดาษ
โดยมุมเล็กๆด้านล่างมีข่าวเกี่ยวกับ “งานเจรจาผู้นำระหว่างรัฐประจำปี”
ทว่า...ยังไม่อลังการงานสร้างเท่าข่าวของเธอกับเขาคนนั้น!
“อะไรกันเนี่ย!!!” หญิงสาวพึมพำในรถตัวเองหลังจ่ายเงินค่าหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งอย่างรวดเร็วก่อนที่ชายแก่ชาวอาหรับเจ้าของร้านจะทันได้นึกออกว่าเธอเป็นใคร
ภาษาอารบิกที่ยึกยือตรงหน้ากระดาษไม่ได้ทำให้เธอเข้าใจมากไปกว่ารูปภาพ
สามารถคาดเดาออกได้ว่าพวกนักข่าวเหล่านั้นคงพาดหัวในเชิง “สาวเอเชียบ้าระห่ำท้าทายอำนาจชีคผู้นำรัฐ” หรือ ถ้าเลวร้ายกว่านั้นก็ “ชีคคาฟาห์ไล่ตะเพิดสาวเอเชียขายบริการภายในงานใหญ่” ทำนองนั้น
โอ้ย...แค่คิดก็ทำให้เธอแทบบ้าแล้ว!
มนตร์ทรายพยายามแสร้งทำเป็นไม่สนใจข่าวหน้าแรกแล้วเปิดหาโฆษณาเพื่ออนาคตของเธอในภายภาคหน้าดีกว่ามาครุ่นคิดฟุ้งซ่านเกี่ยวกับผู้ชายแย่ๆคนหนึ่ง
ก่อนหยิบปากกาวงสถานที่ทำงานต่างๆซึ่งเปิดรับพนักงานอย่างรวดเร็วแล้วเลือกหาเป้าหมายไม่ใกล้ไม่ไกลเพื่อไปเป็นอันดับแรก
ตึกสูงตั้งอยู่กลางย่านชุมชนธุรกิจของรัฐคาฟาห์ดึงความสนใจให้มนตร์ทรายตรงเข้าไปสมัครงานอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นประกาศรับพนักงานจากหนังสือพิมพ์
เป็นอีกครั้งที่สายตาของใครหลายคนภายในออฟฟิศเพ่งพินิจจับจ้องมองเธอราวกับเป็นตัวประหลาด
หญิงสาวไม่สนใจรีบเดินไปยังลิฟท์แล้วกดชั้นห้าเพื่อมุ่งสู่แผนกช่างภาพของสำนักพิมพ์นิตยสารการท่องเที่ยวแห่งหนึ่ง
อย่างน้อยก็น่าสนใจและใกล้เคียงอาชีพเก่าที่ต้องอาศัยฝีมือการถ่ายภาพและเขียนเนื้อหา
ภายใต้ผ้าคลุมฮิญาบสีม่วงอ่อนปรากฏใบหน้าของหญิงสูงวัยที่ดูไม่เต็มใจรับแขกเสียเท่าไรกำลังนั่งประจำตรงเคาน์เตอร์ด้านหน้าแผนกเพื่อรับรองบุคคลมากมายซึ่งสนใจมาสมัครงาน
หล่อนดูเฉยเมยไม่แยแสผู้คนที่ต่อแถวเพียงแค่รับเอกสารยืนยันตัวและส่งใบสมัครงานกลับไปเท่านั้น
จวบจนมนตร์ทรายหยุดยืนตรงหน้าแล้วยื่นข้อมูลส่วนตัวบางอย่างสำหรับใช้สมัครงานไปจึงค่อยๆทำให้ใบหน้าเรียบเฉยนั้นเงยขึ้นมอง
“มิสมนตร์ทราย...ทางเราไม่สามารถรับคุณเข้าทำงานได้ค่ะ” เธอเอ่ยเสียงแข็งพอๆกับใบหน้าจืดชืดไร้เครื่องสำอางและไร้รอยยิ้มแย้มภายใต้ฮิญาบที่คลุมเส้นผม
“ทำไมคะ?” หญิงสาวถามอย่างสงสัย เธอยังไม่ทันได้กรอกใบสมัคร
คณะกรรมการยังไม่ทันได้พิจารณาประวัติการทำงานที่ดีมาตลอด แล้วพนักงานคนนี้มีสิทธิ์อะไรมาตัดสินว่าสามารถได้งานนี้หรือไม่!
“เพราะคุณมีปัญหากับชีคคาฟาห์”
หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งถูกวางลงตรงหน้า
แน่นอนว่าเธอเคยเห็นแล้วบนแผงหนังสือเมื่อสักครู่
“แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่จะรับสมัครหรือไม่นี่คะ” มนตร์ทรายพยายามแย้ง
“ก็ใช่ค่ะ...แต่ทางเราไม่ต้องการมีปัญหากับชีคคาฟาห์ถ้าได้คุณมาร่วมงาน”
“คุณมีสิทธิ์อะไรมาประเมินว่าฉันควรได้งานหรือไม่ได้คะ
ในเมื่อผู้บริหารหรือคณะกรรมการยังไม่ทันได้เห็นความสามารถของฉัน”
“มีคำสั่งจากทางคณะกรรมการลงมาทันทีเมื่อทราบข่าวต่างๆที่ออกสื่อค่ะ
แต่ถ้าคุณไม่เชื่อจะให้ฉันต่อสายเพื่อให้คุยก็ได้นะคะ”
หล่อนทำท่าจะต่อสายโทรศัพท์ขึ้นไปหายังผู้บริหารที่อ้างถึง
ทำให้มนตร์ทรายอารมณ์เสียเนื่องจากเป็นการแสดงออกเหมือนไล่เธอทางอ้อมจึงได้สะบัดหน้าเชิดเดินออกไปจากตรงนั้นทันทีโดยไม่แคร์สายตาใครหลายคนที่จดจ้องมองมา
ก็ได้ให้รู้กันไปข้างหนึ่ง ว่า...ชีคคาฟาห์จะควบคุมชีวิตได้ยังไง
ในเมื่อเธอมีสิทธิ์เลือกเส้นทางเอง!!!
หนังสือพิมพ์นับสิบฉบับไม่ว่าจะเป็นภาษาอารบิกหรือภาษาอังกฤษล้วนแล้วถูกโยนทิ้งลงบนพื้นหินอ่อนขัดมันอย่างไม่ไยดีเพราะทุกทีที่นึกถึงเรื่องนี้มันทำให้อารมณ์ของชีคคาฟาห์ขุ่นมัวได้ทุกครั้ง
ศีรษะซึ่งโพกผ้ากูฟียะห์นั้นเอนลงทับพนักโซฟาขนสัตว์สีน้ำตาลตัวใหญ่แล้วปิดเปลือกตาเพื่อคลายความเครียดที่คั่งค้างจากเมื่อคืน
หากแต่ภาพของผู้หญิงคนนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในหัวจนไม่อาจสลัดทิ้งไปได้ง่ายดาย
สาวเอเชียไร้มรรยาทแบบนี้ทุกคน ทั้งยังไร้กาลเทศะ และ ไม่รักนวลสงวนตัว!!! เขาสบถด่าทอหล่อนในใจ
ในตอนนี้ท่วงทำนองแห่งอัลอูดกับลูทที่ผสมผสานกลายเป็นจังหวะดนตรีแบบอะราเบียนไม่ได้ช่วยขัดเกลาจิตใจให้สดใสเลยแม้แต่น้อย
นัยน์ตาสีเทาเหลือบขึ้นมองเฟอร์นิเจอร์หรูหราภายในห้องนั่งเล่นขนาดโอ่อ่าซึ่งล้วนตระการตาไปด้วยหินอ่อนและไม้สักทองคำขัดเงาจากต่างแดนอย่างเบื่อหน่าย
จะมีประโยชน์อะไรถ้าชีวิตที่สวยหรูไม่ได้อยู่กับคนในครอบครัว
รู้สึกตัวอีกทีภาพตรงหน้าก็หาใช่เครื่องเรือนแต่เป็นภาพวาดขนาดใหญ่ดูหม่นหมองแม้กรอบที่คลอบทับจะสดใส
มันคือ รูปครอบครัวซึ่งประกอบไปด้วย พ่อ แม่ เขา และ น้องสาว...
“ท่านครับ” เสียงผู้รับใช้คนสนิทดึงสติของชีคคาฟาห์ออกจากภวังค์ความขุ่นเคือง
นัยน์ตาสีเหล็กกล้าปรายมองชายร่างสูงที่หมอบอยู่ไม่ห่างอย่างสงสัย
“ว่าอย่างไรอัมเม็ต
วันนี้ข้าไม่มีงานไม่ใช่เหรอ?” เขาถามด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายและเรียกชายผู้ต่ำศักดิ์กว่าด้วยคำพูดอย่างเจ้านายกับข้ารับใช้ตามปกติของชนชั้นโบราณ
ซึ่งมันเป็นอารยธรรมที่ยังสืบทอดในปัจจุบันแม้ตอนนี้เจือปนวัฒนธรรมตะวันตกบ้างแล้วก็ตาม
“เรื่องที่ท่านสั่งผมไว้เมื่อเช้าเกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้น
ตอนนี้ได้ข่าวคราวความคืบหน้ามารายงานแล้วครับ”
“มีอะไรเพิ่มเติม?”
“หล่อนชื่อ มนตร์ทราย
พัฒนวิไล มาจากประเทศไทย มาทำงานเป็นนักข่าวสายเศรษฐกิจของสำนักข่าวคาฟาห์ได้ราวๆหนึ่งปีกว่าแล้วครับ”
ข้อมูลที่เหลือถูกส่งยื่นให้ชีคคาฟาห์ซึ่งรับไปอ่านอย่างรวดเร็ว
เมื่อมีหลักฐานยืนยันในสายอาชีพว่าเธอทำงานสุจริตในใจเขาก็เริ่มรู้สึกผิดนิดหน่อยที่ไปกล่าวหาไม่ดีไม่งาม
“แล้วตอนนี้หล่อนเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ได้รับการรายงานจากสำนักข่าวคาฟาห์ว่าหล่อนโดนมิสเตอร์โรเบิร์ตไล่ออกไปแล้ว
และยังมีสถานที่ต่างๆแจ้งให้ทราบ ว่า...พบเจอผู้หญิงคนนี้เข้าไปขอสมัครงาน
แต่พวกเขาไม่กล้ารับเพราะเกรงว่าท่านจะไม่พอใจ” คำรายงานจากอัมเม็ตขึงใบหน้าหล่อเหลาคมคายให้บึ้งตึงอีกครั้ง
ใช่...เขาไม่พอใจเอามากๆที่โดนเธอเถียงด้วยน้ำเสียงไม่เคารพต่อหน้าแขกเหรื่อมากมายภายในงาน
นั่นทำให้ต้องตอบคำถามนักข่าวรวมถึงท่านชีคผู้นำรัฐซึ่งต่างตื่นตระหนกตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนวุ่นวายไปหมด
โชคดีที่บอกปัดว่าแค่เรื่องเล็กน้อยไม่มีปัญหาเพราะเธอคนนั้นเข้าผิดงาน
ทำให้การเจรจาพูดคุยเป็นไปได้ต่ออย่างราบรื่น แต่ถึงกระนั้นมันก็เกือบพัง!!!
“ต่อให้เป็นชีคเจ้าของรัฐก็ไม่มีสิทธิ์ดูถูกใคร
อำนาจเงินของคุณอาจเป็นเจ้าชีวิตใครหลายคนได้แต่ไม่ใช่กับฉัน!!!”
คำพูดนี้ยังคงติดตรึงอยู่ในความทรงจำ...คิดแล้วน่าจับลงโทษเสียให้เข็ด
ถ้ากฎสมัยโบราณยังสามารถใช้ได้ในปัจจุบัน ป่านนี้เขาคงจับหล่อนโยนลงกลางทะเลทรายให้แห้งตายกลายเป็นมัมมี่อย่างไม่ปรานี! พลัน...รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นตรงมุมปากเมื่อชีคหนุ่มครุ่นคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“อัมเม็ต...ข้าวานเจ้าอีกเรื่องหนึ่ง...” เขากล่าวความปรารถนาให้คนรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ฟัง ก่อนหัวเราะเบาๆในลำคออย่างยินดีที่จะได้สะสางเรื่องบางเรื่อง
แล้วเราจะได้รู้กันแม่สาวเอเชีย ว่า...ฉันสามารถเป็นเจ้าชีวิตได้ทุกคนไม่เว้นแม้แต่เธอ!!!
ร่างบางกระแทกลงบนเก้าอี้ไม้ตัวยาวในสวนสาธารณะเล็กๆของชุมชนอย่างอ่อนระโหยโรยแรงเมื่อเท้าสองข้างหนักอึ้งจนไม่อาจเดินต่อไปได้
เพราะเธอตระเวนหางานไปทั่วถนนทั้งสายภายในสามถึงสี่ชั่วโมงโดยไม่ได้หยุดพัก หากแต่ไม่มีที่ไหนรับและให้ใบสมัครเพียงเพราะเหตุผลเดียวกัน
นั่นคือ...มีปัญหากับชีคคาฟาห์
มนตร์ทรายมองสีหน้ายิ้มแย้มของชาวเมืองที่ผ่านไปมาจากตรงมุมมืดอย่างรู้สึกท้อแท้
ทำไมทั้งที่ทุกคนล้วนต่างมีชีวิตเป็นของตัวเองแต่กลับต้องมาเกรงกลัวอำนาจจากผู้ชายคนหนึ่ง
แม้เป็นชีคปกครองรัฐหากแต่ก็ไม่ได้ควบคุมชีวิตให้คนนั้นคนนี้ทำงานอะไร รักกับใคร
กินอาหารอะไร ทำไมต้องเชื่อฟังเสียทุกเรื่อง!!!
และหญิงสาวก็ไม่เชื่อว่าทุกที่ในรัฐคาฟาห์จะไม่ต้อนรับเธอเข้าทำงานเพียงเพราะทะเลาะกับชีคคาฟาห์
ในตอนนี้แม้จะไม่ได้งานในสายข่าว หรือ งานเขียน จะให้เป็นพี่เลี้ยงเด็ก หรือ
พนักงานขายของก็ยอมเพราะอย่างน้อยมันก็เป็นข้อพิสูจน์และสร้างรายได้โดยไม่ต้องงัดเงินเก็บจากการสะสมถึงหนึ่งปีมาใช้
ลำแสงสีส้มคล้อยต่ำตามดวงตะวันกลมโตบ่งบอกถึงเย็นมากแล้วที่จะหางานทำในวันนี้
เธอมองเงาใบไม้ไหวไปมาบนลำต้นใหญ่เพื่อผ่อนคลายความฟุ้งซ่าน
หวังให้มันช่วยขับกล่อมจิตใจเพื่อละทิ้งปัญหาต่างๆไว้ที่นี่แล้วกลับไปพักผ่อนในอพาร์ทเม้นท์ของตัวเองได้อย่างมีความสุข
“นี่มันอะไรกัน!!!” เธอกรีดร้องถามหญิงสูงวัยเจ้าของตึกที่เธอเช่าอย่างตกใจ เมื่อพบข้าวของตัวเองกองพะเนินเทินทึกตรงหน้าทางเข้าอพาร์ทเม้นท์
“ก็ของๆเธอไง จำไม่ได้เหรอ?” หล่อนย้อนกลับมา
“ใช่...ฉันรู้ แต่คุณขนออกมาทำไมคะ?” มนตร์ทรายถามโดยที่ในใจนั้นหวังให้ไม่ใช่เหตุผลน่าเบื่อซึ่งได้ฟังมาทั้งวัน
“ฉันไม่อยากให้คนที่มีปัญหากับชีคคาฟาห์มาอาศัยร่วมด้วย
เดี๋ยวจะพาคนอื่นซวยเปล่าๆ”
“อะไรกัน...ฉันไปทำอะไรให้พวกคุณ
เรื่องทะเลาะมันก็เป็นปัญหาระหว่างฉันกับเขาไม่ได้เกี่ยวกับคนอื่นๆเลย” เธอพยายามแย้งชี้แจงเหตุผล
“เธอไม่รู้หรือไง ว่า...ท่านมีอิทธิพลมากมาย
ถ้าโกรธใครขึ้นมาคนๆนั้นก็ซวยแล้วพลอยทำให้คนรอบข้างลำบากไปด้วย!”
“แต่อย่างน้อยคุณควรแจ้งให้ทราบก่อนไม่ใช่ขนข้าวของออกมาแบบนี้
แล้วนี่มันก็มืดค่ำแล้วฉันจะไปพักที่ไหน?” เธอร้องถาม
“นั่นมันเรื่องของเธอ
แต่ต้องไม่ใช่ที่นี่!!!” หล่อนตอบด้วยสีหน้าเฉยเมยไม่ไยดีเลยแม้แต่น้อยก่อนเดินกลับเข้าไปภายในอพาร์ทเม้นท์
มนตร์ทรายรู้สึกอยากร้องไห้เหลือเกินเพราะวันนี้พบเจอแต่เรื่องเลวร้ายมาทั้งวันพลางค่อยๆหอบข้าวของไปไว้ในรถซึ่งจอดไม่ห่างจากตรงนั้น
เอี้ยดดดด....
เสียงเบรกดึงความสนใจให้หญิงสาวเหลียวมองรถยุโรปสีดำ
หัวใจนั้นเริ่มเต้นแรงขึ้นและหวังว่ามันคงไม่มีอะไรย่ำแย่มากไปกว่านี้
หากแต่คิดผิดเมื่อบุคคลที่ลงมา คือ ชีคคาฟาห์!!!
“คุณ!!!”
มนตร์ทรายร้องอุทานอย่างตื่นตระหนก
นี่มันบังเอิญหรือตั้งใจกันแน่!!!
“ขอบคุณที่จำผมได้” เขากล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่สะทกสะท้าน
“คุณมาที่นี่ทำไม?”
“ที่นี่คือรัฐของผม...แล้วทำไมผมจะไปไหนมาไหนไม่ได้” คำตอบยียวนกวนโทสะนั้นทำให้หญิงสาวต้องพยายามอดกลั้นอารมณ์โกรธ
เพราะไม่ต้องการมีปัญหามากกว่านี้
“เรื่องของคุณ” เธอตัดบทเรียบง่ายและเดินเลี่ยงออกไปให้พ้นจากบริเวณนี้
“จะรีบไปไหนมิสมนตร์ทราย”
เขารู้ชื่อเธอ? ใบหน้าหวานเหลียวมองชีคหนุ่มอย่างแปลกใจ
หากแต่ต้องเก็บความสงสัยเอาไว้ภายในเมื่อเริ่มคาดเดาสถานการณ์ต่างๆได้ ว่า...คนมีอำนาจอย่างชีคคาฟาห์อาจให้ใครต่อใครไปสืบหาชื่อที่อยู่
แม้ดูละเมิดสิทธิ์ส่วนบุคคลแต่คงไม่มีอะไรที่คนบ้าอำนาจเยี่ยงเขาไม่อาจกระทำ
“ฉันไม่อยากคุยกับคุณ”
“แต่คุณจำเป็นต้องคุยกับผม...รับนี่ไป”
กระดาษใบหนึ่งถูกยื่นส่งตรงหน้าหญิงสาวซึ่งดูลังเลจะรับ
แต่แล้วก็ตัดสินใจคว้ามันมาแล้วอ่านข้อความที่เขียนไว้
“อะไรกัน!!!” เธอร้องเสียงดังเมื่อพบว่ามันคือ ใบเรียกร้องค่าเสียหายจากรถที่ถูกชนเป็นจำนวนเงินถึงสองหมื่นดอลล่าห์
“ไหนคุณบอกว่ายกโทษให้ฉัน”
มนตร์ทรายเอ่ยถามเพราะยังจดจำคำพูดไม่ถือสาหาความปนการเหยียดหยามเมื่อวานนี้ได้อย่างแม่นยำ
“มันไม่มากเกินไปสำหรับผู้หญิงสกปรก
ดีเท่าไรแล้วที่ผมไม่สั่งเนรเทศคนประเภทคุณออกไปจากรัฐ
แต่เอาเถอะครั้งนี้จะยอมยกโทษให้เพราะถือว่าคุณเลือกเป้าหมายผิดไปหน่อย!!!”
“ใช่...ผมเคยพูดแบบนั้นเอาไว้ว่าจะยอมยกโทษให้
แต่นั่นมันก่อนที่คุณหักหน้าผมกลาง “งานเจรจาผู้นำระหว่างรัฐประจำปี” รู้หรือไม่...งานนั้นมีการเตรียมการล่วงหน้าถึงสามเดือน
ทั้งยังลงทุนไปไม่รู้กี่สิบล้านดอลล่าห์ ค่าเสียหายรถแค่สองหมื่นดอลล่าห์ยังน้อยเกินไปสำหรับการเสียชื่อเสียงของผมกับรัฐคาฟาห์!!!”
ความสับสนก่อตัวขึ้นในหัวของมนตร์ทราย
ไม่อยากเชื่อว่าชีคตรงหน้าจะสร้างปัญหาซึ่งทวีคูณซัดซ้ำประดังประเดราวกับพายุที่โหมพัดคลื่นทะเลบ้าคลั่งให้รุนแรงหนักหน่วงกว่าเดิม
รถก็ยังไม่ได้ซ่อม งานใหม่ก็ยังหาไม่ได้ โดนไล่ออกจากอพาร์ทเม้นท์
ซ้ำยังเจอเรียกร้องค่าเสียหายอีก
“เอ่อ...ฉันไม่มีเงินมากพอในตอนนี้” เธอยอมรับสารภาพตรงๆ
คิ้วเข้มขมวดมุ่นส่งผลให้นัยน์ตาสีเทาหลุบลงต่ำแล้วจดจ้องมองสาวไทยตรงหน้าอย่างไม่พอใจ
หากแต่นั่นก็แค่รูปลักษณ์ภายนอกที่วางไว้อย่างมั่นคง เมื่อภายในนั้นกำลังกระหยิ่มยิ้มเป็นต่อเพราะก่อมรสุมปัญหาเอาไว้ให้หญิงสาวจนใบหน้าหวานเคร่งเครียดเห็นได้ชัด
“ผมมีทางเลือกง่ายๆให้คุณนะ”
“เอ๊ะ?”
“คุณแค่ขอโทษผมในสิ่งที่เคยกล่าวว่าไว้ในงาน
เพราะตอนนี้คงรู้แล้ว ว่า...ผมมีสิทธิ์ชี้เป็นชี้ตายและควบคุมชีวิตใครๆก็ได้ไม่เว้นแม้แต่คุณ
ถ้ายอมขอโทษดีๆรับรองว่าพรุ่งนี้ชีวิตที่เคยสุขสบายปกติเรียบง่ายจะกลับมาเหมือนเดิม!!!” คำพูดนั้นราวกับเปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณาเสียเหลือล้น
หากแต่คนอย่างมนตร์ทรายมีหรือจะแยกแยะไม่ออกว่าความถูกต้องนั้นคืออะไร
ตอนนี้เธอมั่นใจว่าปัญหาทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากผู้ชายตรงหน้าที่พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อเอาชนะ
แม้เป็นเรื่องผิดเขาก็สามารถพลิกกลับด้านให้ถูกต้องในมุมมองของตัวเอง นี่มันไม่ยุติธรรมและไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องกล่าวขอโทษทั้งที่ไม่ผิด!
“ไม่มีทาง…คุณกลับไปเสียเถอะ!!!”
“เมื่อไรคิดกลับใจก็บอกผมล่ะกัน
ออ...อย่าลืมเรื่องหนี้ด้วย ถ้าภายในสองอาทิตย์ยังไม่มีการจ่ายผมจะเรียกร้องทางกฎหมายจนถึงที่สุด!!!” เขากล่าวจบก็หมุนตัวกลับเข้าไปในรถอย่างรวดเร็ว
มนตร์ทรายพยายามกลั้นความเจ็บใจที่เอ่อคลอไม่ให้ไหลจวบจนรถยุโรปแล่นหายลับสายตาไป
ความคิดเห็น