คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1
ตอนที่ 1
อักขระภาพเฮียโรกลิฟฟิก ( *** ) ที่จารึกอยู่บนผนังศิลาสีทรายตรงบริเวณหนึ่งของมหาวิหารคาร์นัค ( *** ) เทวสถานอันยิ่งใหญ่ซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจชาวไอยคุปต์ ( *** ) ในอดีตกาล มีการกล่าวถึง...พระราชวังโบราณช่วงรัชสมัยฟาโรห์เนเฟอร์ซาอมุนได้อันตราธานจากผืนแผ่นดินอียิปต์ประหนึ่งโดนม่านมนต์บดบังตา
รวมถึงเชื้อพระวงศ์กับเหล่าข้าราชบริพารก็ต่างหายสาบสูญเช่นเดียวกัน
การจลาจลในอาณาจักรจึงอุบัติขึ้นดุจไฟลามทุ่งสร้างความวอดวายไปทั่วทุกหย่อมหญ้า
ขณะที่ชาวประชากำลังสิ้นหวังและหมดอาลัยตายอยากยามบ้านเมืองระส่ำระสายก็ก่อเกิดวีรบุรุษผู้กล้าหาญชาญชัยสถาปนาตนเองขึ้นเป็นฟาโรห์
( *** ) เพื่อปกครองอาณาประชาราษฎร์ให้ร่มเย็นผาสุกสืบต่อมา
“ไร้สาระ! จู่ๆพระราชวังใหญ่โตจะหายสาบสูญไปได้อย่างไร”
รณกร แสงสุริยะชัย นักโบราณคดีหนุ่มชาวไทยวัยยี่สิบสี่ปีส่ายศีรษะน้อยๆหลังอ่านจารึกล้ำค่าบนกำแพงประวัติศาสตร์เสร็จสิ้น
ความแปลกประหลาดของเรื่องราวผ่านตัวอักษรภาพนั้นช่างน่าตลกขบขันคล้ายนิทานหลอกเด็ก
หรือ เทพนิยายเพ้อฝันของพวกผู้หญิงจนเขาไม่อาจเชื่อถือได้แม้แต่น้อย
“รณ...เสียมรรยาทจริงเชียว
ในฐานะที่พวกเราเป็นนักโบราณคดีก็ควรศึกษาเอาไว้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือเท็จก็ตาม!”
ปภาพินท์ วิริยะโสภา นักโบราณคดีสาวชาวไทยวัยเดียวกันไม่พึงพอใจเสียเท่าไร
เมื่อเพื่อนชายคนสนิทใช้วาจาก้าวร้าวอย่างไม่ควรพึงกระทำต่อสถานที่สักนิดเดียว
“อย่าบอกนะ
ว่า...พิณเชื่อเรื่องตลกพรรค์นี้!”
เขากล่าวพลางหันมองหญิงสาวข้างกายทันที “แม้ประวัติศาสตร์สามารถทำให้มนุษย์ล่วงรู้ถึงอดีตและความเป็นมาจากอารยธรรมกับวัฒนธรรมที่หลงเหลือ
แต่เราก็ควรเชื่อในสิ่งที่มีหลักฐานพิสูจน์ได้มากกว่าตัวอักษรไม่มีที่มาที่ไปนะ”
“แล้วรณกล้าพูดได้อย่างไร
ว่า...เรื่องนี้ไม่มีที่มาที่ไป ทั้งที่ยังไม่ได้ค้นคว้าหาข้อมูลหรือหลักฐานเพิ่มเติมมากกว่านี้!”
ใบหน้ามนสวยสะบัดเชิดใส่จนเส้นผมสีดำขลับพลิ้วไหวเป็นลอนคลื่นก่อนสาวเท้าพาร่างระหงเดินหนีไปอีกทาง
ทำเอาเพื่อนร่วมอาชีพหลายสิบคนซึ่งกำลังศึกษาดูงานอยู่บริเวณใกล้เคียงส่งเสียงหัวเราะคิกคักอย่างรู้กัน
ว่า...ถึงเวลาง้องอนของรณกรอีกแล้ว
“พิณ!!! ผมขอโทษ” ชายหนุ่มร้องเรียกเพื่อนสาวพลางวิ่งอ้อมดักหน้าไว้อย่างรวดเร็ว
“ผมสัญญา ว่า...ต่อไปนี้จะไม่พูดถึงประวัติศาสตร์ในทางไม่ดี”
“สัญญาแบบนี้เป็นรอบที่เท่าไรแล้ว!” ปภาพินท์กล่าวด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง เพราะรู้จักนิสัยชายหนุ่มมากพอจะคาดเดาได้ไม่ยาก
ว่า...ไม่กี่วันหลังจากนี้เขาจะต้องพูดคำๆนี้อีกครั้งอย่างแน่นอน
ความเป็นเพื่อนสนิทรู้จักมาเนิ่นนานตั้งแต่วัยเด็กจวบจนปัจจุบันได้บ่มเพาะมิตรภาพมากมายหลายสิ่งหลายอย่างระหว่างทั้งคู่ให้กล้าพูดคุยเปิดเผยแทบทุกเรื่องทั้งที่อุปนิสัยแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
เพราะหากไม่ใช่คนใกล้ตัวจริงๆคงไม่มีใครคาดคิด ว่า...ผู้หญิงเรียบร้อย พูดจาไพเราะ
เยี่ยงปภาพินท์จะสามารถคบหารณกร ผู้ชายนิสัยห่าม
พูดจาติดตลกแบบไม่คิดหน้าคิดหลังสักเท่าไรได้ยาวนานกว่ายี่สิบปี แต่กระนั้นก็มีสิ่งหนึ่งซึ่งทั้งสองคนมีเหมือนกัน
คือ ความชื่นชอบในประวัติศาสตร์ที่ฝังรากลึกจนแทรกซึมกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายและจิตใจ
“พิณก็รู้
ว่า...ปากผมมันไวกว่าสมองเสียอีก” เขาโอดครวญเสียงอ่อยยอมรับความผิดพลาดของตนเองพลางจับแขนอีกฝ่ายเขย่าราวกับเด็กเล็ก
เพราะรู้ดีว่าเพื่อนสาวมักใจอ่อนยอมยกโทษให้ทุกครั้งกับวิธีนี้
“คราวหน้าอย่าทำแบบนี้อีกล่ะ” หญิงสาวกล่าวอย่างจำยอมพร้อมกลอกนัยน์ตากลมโตไปมาอย่างอิดหนาระอาใจ “คิดดีๆก่อนพูดออกมา เพราะฉันขี้เกียจทะเลาะเรื่องเดิมๆซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
“ครับผม!” รณกรตอบรับเสียงดัง ทำท่าวันทยหัตถ์ติดตลกอย่างร่าเริง ก่อนจะรีบเดินตามปภาพินท์ไปค้นคว้าหาข้อมูลบริเวณอื่นโดยไม่หลงลืมหันมาชูหัวแม่มือให้เพื่อนพ้องร่วมทีมในเชิงว่า
‘ปฏิบัติการง้อครั้งนี้ลุล่วงเรียบร้อย!”
ดวงตะวันใกล้ลาลับอับแสงหลังจากเดินทางบนฟากฟ้ามานานกว่าครึ่งค่อนวัน
ความเหน็ดเหนื่อยของเหล่ามนุษย์ตัวน้อยๆอาจไม่เทียบเท่าความวิริยะอุตสาหะขององค์สุริยเทพแห่งรา
( *** ) แต่กระนั้นปภาพินท์กับรณกรก็รู้สึกเมื่อยล้าเหลือกำลังจนสัปหงกโงนเงนระหว่างนั่งเครื่องบินลำเล็กจากเมืองลักซอร์
( *** ) มหานครแห่งทวยเทพถึงกรุงไคโร ( *** ) เมืองหลวงของประเทศอียิปต์ตลอดทาง
กระเป๋าสะพายแทบถูกเขวี้ยงอย่างไม่แยแสทันทีที่กลับมาถึงห้องพักเล็กๆแคบๆในศูนย์วิจัยประวัติศาสตร์แกลตัน
หญิงสาวไม่ปล่อยเวลาให้ไร้ค่าพลางรีบทิ้งตัวลงบนฟูกนอนหนานุ่มอย่างหมดแรง
แม้เธอจะหลงใหลอารยธรรมเก่าแก่สักเพียงใดแต่การเดินทางไปกลับระหว่างอียิปต์บนกับอียิปต์ล่าง
( *** ) ภายในวันเดียวก็หนักหนาสาหัสขนาดสลบไสลไม่เป็นท่าทุกครั้ง
นับว่ายังโชคดีที่
ศาสตราจารย์จอห์น แกลตัน ไม่เรียกเธอเข้าพบเฉกเช่นเพื่อนชายซึ่งเท้ายังไม่ทันจะแตะพื้นเสียด้วยซ้ำก็มีคำสั่งเรียกตัวด่วนเสียแล้ว
ต่อให้รณกรตาใกล้ปิดก็จำต้องฝืนใจไปตามคำบัญชาเจ้าของศูนย์วิจัยประวัติศาสตร์แห่งนี้อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง
การเป็นนักโบราณคดีในประเทศอียิปต์มากว่าสองปี
ไม่มีเลยสักวันที่ปภาพินท์จะไม่คิดถึงบ้านเกิดเมืองนอนอย่างประเทศไทย
ไหนจะเรื่องอาหารการกินก็หนักเครื่องเทศจนรู้สึกเลี่ยน ไหนจะเรื่องอากาศร้อนและแห้งแล้งจนผิวพรรณหยาบกระด้าง
ยังไม่รวมสภาพสังคมซึ่งแวดล้อมด้วยฝูงชนต่างภาษา ศาสนา และ วัฒนธรรม หากไม่ได้รณกรคอยอยู่เป็นเพื่อนข้างกายยามอ่อนล้าเธอคงหนีกลับไปหาครอบครัวตั้งแต่วันแรกแล้ว
ปังๆๆ!!!
ประตูไม้สนซีดาร์สั่นไหวตามแรงเคาะระรัวของใครบางคน
ฉุดหญิงสาวหลุดจากห้วงภวังค์ให้ต้องลุกขึ้นนั่งมองรอบกายด้วยความมึนงง
“พิณ...เปิดประตูให้ผมหน่อย!” คำเร่งเร้าจากเพื่อนชายสร้างความขุ่นเคืองแก่เจ้าของห้องที่ต้องลุกไปปลดโซ่คล้องกลอนเพื่อเปิดประตูตามคำสั่งอย่างหัวเสียไม่น้อย
“ไม่เห็นต้องรีบร้อนขนาดนี้...มีอะไร?”
“ผมได้รับคำสั่งให้ไปร่วมศึกษาดูงานที่โอเอซิสซิวา
( *** ) กับคณะวิจัยของศาสตราจารย์แกลตันเป็นเวลาสามเดือน...สุดยอดไปเลยใช่ไหม!”
คำตอบนั้นทำเอาเธอตาสว่าง พลางอ่านเอกสารฉบับหนึ่งในมือเพื่อนชายซึ่งกำลังมีความสุขเสียเหลือเกิน
“ว้าววว...ยอดเยี่ยมจริงๆ
ดีใจด้วยนะ!” ปภาพินท์กล่าวขณะเขย่ามืออีกฝ่ายเพื่อแสดงความยินดีกับความก้าวหน้าในอนาคตของรณกรซึ่งเริ่มปรากฏเด่นชัด
เพราะศาสตราจารย์จอห์น
แกลตันคงไม่คว้าบุคคลไม่เอาไหนไปร่วมเดินทางต่างสถานที่นานถึงสามเดือนแน่นอน
“เอ่อ...ความจริงแล้วผมขออนุญาตศาสตราจารย์แกลตันให้พาพิณไปด้วย
แต่การเดินทางครั้งนี้เป็นแบบกองคาราวาน ( *** ) ข้ามผ่านทะเลทราย
ท่านจึงเกรงว่าพวกผู้หญิงจะรู้สึกลำบากเลยให้พวกผู้ชายไปเท่านั้น” น้ำเสียงหดหู่ของชายหนุ่มทำให้หญิงสาวนึกเอ็นดูขึ้นมา
ก็แหม...คุณรณกร
แสงสุริยะชัย ใช่คนธรรมดาเสียเมื่อไร
หน้าตาหล่อเหลาคมคายกับบุคลิกภาพสง่างามของเขาสามารถดึงดูดสตรีหลากหลายเชื้อชาติให้เหลียวมองประหนึ่งเป็นนักแสดงหรือนายแบบชื่อดังทุกครั้งเมื่อปรากฎโฉมในที่สาธารณชน
อีกทั้งยังเป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของท่านนายพลณรงค์ฤทธิ์ แสงสุริยะชัย
ฐานะการเงินของทางบ้านเลยสูงส่งกว่าคำว่า ‘มีอันจะกิน’
หลายเท่าตัว แม้ความเพียบพร้อมทุกอย่างจะฉุดอาชีพมีหน้ามีตาทางสังคมให้ดาหน้าเข้ามาเลือกง่ายๆ
แต่รณกรก็ไม่คิดแยแสแล้วข้ามฟ้าข้ามทะเลมาเป็นนักโบราณคดีถึงประเทศอียิปต์ตามที่เคยสัญญาไว้กับเธอตั้งแต่สมัยเยาว์วัย
“ไม่เป็นไรหรอก...ฉันไม่ได้ไปคราวนี้ก็ยังมีคราวหน้า
เมื่อมีโอกาสผ่านเข้ามารณก็ควรรีบคว้ามันไว้นะ”
กลายเป็นปภาพินท์ที่ต้องปลอบใจคนโชคดี “แล้วอย่าลืมเอาประสบการณ์ที่ได้มาฝากฉันด้วยล่ะ”
“ผมสัญญาว่าจะรีบกลับมา
เพื่อเอาประสบการณ์ดีๆที่ได้รับฝากพิณเป็นคนแรก”
รณกรกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น โดยไม่รู้เลย ว่า...เขาจะไม่ได้กลับมาตามคำพูด!
จากวันนั้นจวบจนวันนี้กาลเวลาก็ล่วงเลยมากว่าหกเดือนแล้วที่คณะวิจัยสำรวจโอเอซิสซิวาจำนวนสิบคนไม่ได้ติดต่อกลับมายังศูนย์วิจัยประวัติศาสตร์แกลตันเลยสักครั้งเดียว
ถึงกระนั้นบุคลากรคนอื่นๆในสำนักงานก็ไม่ได้รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจ เพราะการตรวจค้นซากอารยธรรมมักมีการยืดเยื้อเสมอและครั้งนี้ก็คงด้วยเหตุผลเดียวกัน
“วันนี้ก็ยังไม่ได้รับการติดต่อจากคณะวิจัยฯเหรอคะ?”
ปภาพินท์เอ่ยถามรุ่นพี่คนหนึ่งซึ่งมีหน้าที่ดูแลจัดสรรตารางงานต่างๆให้ศาสตราจารย์จอห์น
แกลตันโดยตรง
“ยังเลย” หล่อนตอบก่อนจะจิบกาแฟสำเร็จรูปในแก้วกระเบื้องด้วยอารมณ์เบิกบานใจตามปกติวิสัยของลูกน้องยามเจ้านายไม่อยู่สั่งใช้งาน
“แต่นี่มันหกเดือนเต็มๆแล้วนะคะ!”
“ใจเย็นๆสิพิณ! ทุกคนก็รู้ ว่า...ศาสตราจารย์แกลตันมักทุ่มเทเวลาให้กับการทำงานอย่างเต็มที่จนหลงลืมติดต่อกลับมายังศูนย์วิจัยฯบ่อยครั้ง”
“อย่างน้อยรณหรือใครสักคนในคณะวิจัยฯก็ควรติดต่อกลับมาบ้างนะคะ!”
“พวกเขาคงไม่สะดวกติดต่อกลับมา
เพราะบริเวณโอเอซิสซิวาอยู่ไม่ห่างจากลิเบีย ( *** ) มากนัก
อาจทำให้มีปัญหาเกี่ยวกับคลื่นสัญญาณโทรศัพท์ก็ได้ ขนาดพี่โทรศัพท์ไปยังศูนย์วิจัยประวัติศาสตร์เทเลอร์ในโอเอซิสซิวาตั้งหลายครั้งก็ไม่มีสัญญาณเช่นกัน”
คำอธิบายนั้นไม่ได้ช่วยทำให้ผู้ฟังอุ่นใจมากขึ้น
ข่าวคราวไม่คืบหน้าสร้างความหงุดหงิดใจแก่หญิงสาวพอสมควร
ยิ่งเห็นทุกคนเมินเฉยประหนึ่งเป็นเรื่องปกติก็ทำให้เธอไม่อาจทนอยู่ต่อไปได้จึงก้าวเดินฉับๆออกจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว
ช่วงสามเดือนแรกปภาพินท์ยังไม่หวาดวิตกถึงเพียงนี้
ด้วยคิดว่างานทางด้านโน้นคงยุ่งวุ่นวายจนไม่สามารถสละเวลาทำอย่างอื่นได้ ทว่า
ช่วงสามเดือนหลังก็เริ่มสังเกตเห็นบางสิ่งบางอย่างไม่ชอบมาพากล เพราะหากรณกรไม่สามารถโทรศัพท์ติดต่อกลับมา
เขาจะต้องพยายามส่งจดหมายทางไปรษณีย์หรือหาวิธีอื่นๆอย่างแน่นอน ไม่ใช่หายเงียบจนผิดวิสัยจากที่เคยเป็น!
วิถีชีวิตในมหานครไคโรยังคงคึกคักด้วยพ่อค้าแม่ขายเร่นำสินค้าหลากหลายประเภทมาปรนเปรอนักท่องเที่ยวพร้อมอวดอ้างสรรพคุณต่างๆเกินควร
ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเรือน เครื่องประดับล้วนถูกวางขายริมทางเดินอันจอแจด้วยผู้คน
บางครั้งบางคราวปภาพินท์ก็อดไม่ได้ที่จะเลือกชมเลือกหาข้าวของเพื่อประดับประดาห้องตามรสนิยม
แต่รณกรมักห้ามปรามอยู่ร่ำไปด้วยเกรงว่าเธอจะพลาดท่าเสียทีคนร้ายซึ่งแอบขโมยวัตถุโบราณจากสุสานเก่าแก่มาอย่างผิดกฎหมาย
“โอ้ย!!! ยัยพิณ ทำไมถึงฟุ้งซ่านแบบนี้” หญิงสาวพึมพำต่อว่าตนเอง
ทั้งที่ตั้งใจออกมาเดินเล่นในข่านอัล คาลิลี ( *** )
ตลาดเก่าแก่แห่งหนึ่งของเมืองหลวงเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดเรื่องเพื่อนชายกลับกลายเป็นคิดถึงเขามากกว่าเดิมเสียได้
การเป็นผู้หญิงไทยตัวคนเดียวในสังคมต่างถิ่นช่างลำบากลำบนไม่น้อยเมื่อไม่อาจทำอะไรได้ดั่งใจปรารถนา
เพราะปภาพินท์ต้องการออกตามหาคณะวิจัยสำรวจโอเอซิสซิวาเพื่อยุติความคลางแคลงสงสัยเรื่องขาดการติดต่อของพวกเขา
ถึงกระนั้นก็ไม่รู้จะพึ่งพาใครได้...
พลัวะ!!!
ร่างบอบบางปะทะเข้ากับชายชราคนหนึ่งซึ่งเดินสวนมาจนต่างคนต่างล้มกองบนพื้น
แต่หญิงสาวก็รีบกระวีกระวาดลุกขึ้นช่วยเหลืออีกฝ่ายอย่างไม่รังเกียจเดียดฉันท์
แม้สภาพของเขาจะสกปรกมอมแมม สวมใส่ชุดขาดวิ่น และ เก่าคล้ายผ้าขี้ริ้วก็ตามที
“ขอโทษค่ะ...คุณลุงไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหนใช่ไหมคะ?”
เธอร้องถามเป็นภาษาท้องถิ่น
นึกเจ็บใจที่ดันประมาททำให้คนอื่นเดือดร้อน
“ไม่เป็นไรหรอก...ลุงเองก็ไม่ทันระมัดระวัง” เขาไม่ถือสาหาความพลางโบกไม้โบกมือไปมา
“ขอโทษจริงๆค่ะ...หนูมัวแต่คิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ก็เลยไม่ทันสังเกตรอบข้าง”
สองมือเล็กๆพนมไหว้ตามมรรยาทไทยอย่างลืมตัว
ความจริงใจของปภาพินท์เรียกรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าเหี่ยวย่นเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งวัย
ก่อนผู้อาวุโสจะจับผ้าพาดไหล่ขึ้นคลุมผมเผ้าขาวโพลนจนมิดชิดพร้อมคว้าเชือกที่พันธนาการเจ้าอูฐตัวใหญ่แล้วทำท่าจะเดินออกจากบริเวณนั้น
“รอเดี๋ยวค่ะ!” น้ำเสียงหวานร้องเรียกอีกฝ่าย หลังคาใจเกี่ยวกับลักษณะการแต่งตัวแปลกตาอย่างชุดแขนยาวสีมอซอคลุมต้นคอจรดข้อเท้าซึ่งแตกต่างจากคนอื่นๆ
รวมถึงเจ้าพาหนะสี่ขาซึ่งกำลังส่ายคอไปมาข้างกายเขาด้วย “คุณลุงเป็นชาวเบดูอิน
( *** ) ใช่ไหมคะ?”
“ใช่! ลุงเป็นชาวเบดูอิน”
“ไม่ทราบว่าคุณลุงสามารถพาหนูเดินทางข้ามทะเลทรายไปยังโอเอซิสซิวาได้ไหมคะ?”
ปภาพินท์ถามด้วยความหวัง เพราะรู้ดีว่าชนเผ่าเบดูอินมีความเชี่ยวชาญในทะเลทรายเป็นอย่างมาก
หากได้พวกเขาคอยช่วยนำทางออกค้นหาคณะวิจัยสำรวจโอเอซิสซิวาคงดีไม่น้อยทีเดียว
“ได้สิ...ลุงมีพรรคพวกอยู่ประมาณสิบกว่าคนกับอูฐอีกจำนวนหนึ่ง พอจะตั้งกองคาราวานเดินทางข้ามทะเลทรายได้” ชายแก่ตอบ “ว่าแต่...ทำไมแม่หนูถึงต้องการไปโอเอซิสซิวาล่ะ?”
“เอ่อ...คือ...หนูกับเพื่อนสนิทเป็นนักโบราณคดีที่ศูนย์วิจัยประวัติศาสตร์แกลตัน
เมื่อหกเดือนก่อนหน้านี้เขากับเพื่อนร่วมทีมได้เดินทางแบบกองคาราวานข้ามผ่านทะเลทรายไปสำรวจโอเอซิสซิวาโดยมีกำหนดกลับในสามเดือนที่แล้ว
แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่มีการติดต่อกลับมาสักครั้งเดียว...”
จู่ๆน้ำตาก็รื้นจนเธอต้องหยุดเล่าชั่วครู่ “หนูพยายามสอบถามคนอื่นๆในสำนักงานเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ไม่มีใครสนใจใยดีที่จะออกตามหา
เพราะคิดว่าคณะวิจัยฯนั้นติดภารกิจในโอเอซิสซิวาจนต้องเลื่อนกำหนดกลับ
แต่หนูรู้สึกว่ามันผิดปกติ...คล้ายพวกเขาหายสาบสูญมากกว่า!”
ความอัดอั้นของหญิงสาวไหลพรั่งพรูดุจสายน้ำหลาก
แม้เพิ่งพบเจอชายชราไม่กี่นาทีแต่กลับไว้ใจเสมือนญาติผู้ใหญ่รู้จักกันมาเนิ่นนานจนกล้าเปิดอกเล่าเรื่องราวต่างๆได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ
“หรือจะเป็นอาถรรพ์วันจันทรา”
ผู้อาวุโสพึมพำขึ้นมาเบาๆ
“เอ๊ะ...อะไรนะคะ?” เธอได้ยินไม่ชัดนัก
“ไม่มีอะไรหรอก! เอาเป็นว่า...หากแม่หนูต้องการออกเดินทางไปโอเอซิสซิวา ให้มาพบลุงที่นี่ในวันจันทร์หน้าตอนเจ็ดโมงเช้า”
“ได้ค่ะ! เอ่อ...แล้วเรื่องค่าจ้างล่ะคะ?”
“ค่าจ้างไม่สำคัญเท่าการเดินทางครั้งนี้” ชายสูงวัยตอบพร้อมคลี่ยิ้มน้อยๆอย่างอ่อนโยน
มือเหี่ยวย่นจูงอูฐเดินหายลับตาไปท่ามกลางฝูงชนขวักไขว่ในข่านอัล คาลิลี โดยทิ้งปภาพินท์ให้ฉงนกับคำพูดของเขาอยู่เพียงลำพัง
ทว่า ก็ต้องสลัดความสงสัยนั้นเมื่อมันไม่สำคัญเท่าเรื่องที่จะต้องทำหลังจากนี้
สิทธิ์การลาพักร้อนสองสัปดาห์ถูกใช้ครั้งแรกหลังจากทำงานเป็นนักโบราณคดีที่ศูนย์วิจัยประวัติศาสตร์แกลตันมากว่าสองปี
ความจริงแล้วเบื้องบนไม่อยากเซ็นชื่ออนุมัติเสียเท่าไรเพราะเกรงว่าบุคลากรจะลดน้อยขณะที่ภาระยังเท่าเดิม
ถึงกระนั้นปภาพินท์ก็หว่านล้อมเหล่าผู้บริหารให้ยินยอมด้วยเหตุผลการตรงต่อเวลาอย่างไม่เคยขาดงานสักวันเดียว
ระยะเวลาที่ได้รับอาจไม่เพียงพอต่อความต้องการสักเท่าไร
แต่หญิงสาวต้องจำยอมคว้าเอาไว้และใช้ให้คุ้มค่ามากที่สุด
สมุดบันทึกหนึ่ง
กล้องถ่ายรูปอีกหนึ่ง คือ สิ่งจำเป็นนอกเหนือจากเสื้อผ้าและอาหารสำหรับนักโบราณคดี
เมื่อก้าวผจญภัยออกสู่โลกภายนอกก็อาจพบเจอข้อมูลหรือหลักฐานชิ้นสำคัญทางประวัติศาสตร์ได้ทุกเวลา
ปภาพินท์จึงไม่ยอมให้อุปกรณ์อันเปรียบเสมือนแขนขาถูกวางทิ้งไว้ในห้องพักจนฝุ่นจับแน่นอน
และ กระเป๋าสัมภาระจะไม่สมบูรณ์หากขาดสิ่งหนึ่งซึ่งตั้งใจนำติดตัวไปด้วย
“รณ...ฉันขอยืมหน่อยนะ” หญิงสาวเอ่ยบอกเจ้าของปืนสั้นในมือลอยๆ
ด้วยหวังว่ามันจะคอยช่วยยามฉุกเฉินได้บ้างไม่มากก็น้อย และ เพื่อนชายคงไม่ขัดศรัทธาถ้ารู้ว่าเธอต้องออกเดินทางพร้อมคนแปลกหน้ามากมาย
ลึกๆแล้วยังอดแปลกใจตนเองไม่ได้ที่จู่ๆนึกอยากข้ามทะเลทรายด้วยกองคาราวาน ทั้งที่มีรถบัสพิเศษวิ่งจากสถานีรถประจำทางตรงไปยังโอเอซิสซิวาทุกวันแท้ๆ
เอาเถอะ...อย่างน้อยอาจได้พบประสบการณ์ใหม่ระหว่างการเดินทางครั้งนี้
และ ยังได้สัมผัสวิถีชีวิตของชาวเบดูอินจริงๆจังๆสักที
ชายชรามาพบหญิงสาวในเช้าวันจันทร์ตามเวลานัดหมายไม่ขาดไม่เกิน
ก่อนพานั่งรถรับจ้างคันหนึ่งมุ่งตรงไปทางทิศตะวันตกของกรุงไคโรเพื่อพบปะเพื่อนร่วมทางเป็นชายฉกรรจ์จำนวนสิบกว่าคน
พวกเขากำลังจัดสัมภาระต่างๆไว้บนหลังอูฐด้วยท่วงท่าทะมัดทะแมงแข็งขัน
จะมีก็แต่หนวดเครารกรุงรังบนใบหน้าเกรียมแดดกับชุดสกปรกมอมแมมที่ทำให้รู้สึกเหมือนเป็นกองโจรมากกว่ากองคาราวาน
“อย่ากังวลไปเลย...พวกนี้อาจแต่งเนื้อแต่งตัวไม่สะอาดสะอ้านตามประสาพวกเร่ร่อนแต่ก็ไว้วางใจได้”
คงเพราะเธอแสดงความหวาดหวั่นทางสีหน้ามากไปกระมัง
ชายแก่จึงได้ช่วยผ่อนปรนความวิตกให้ราวกับรู้ใจ
“เอ่อ...แล้วไม่มีผู้หญิงเลยเหรอคะ?”
ปภาพินท์ถามด้วยความสงสัย เมื่อพบว่าตัวเองเป็นสตรีคนเดียวท่ามกลางกลุ่มผู้ชายมากหน้าหลายตา
“หากไม่มีเหตุจำเป็นจริงๆก็คงไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากออกเดินทางกลางทะเลทรายหรอก”
จริงดั่งว่า...ถ้ารณกรไม่ขาดการติดต่อและเงียบหายนานกว่าครึ่งปีจนรู้สึกร้อนใจถึงเพียงนี้
สู้ทำงานระหว่างอียิปต์บนกับอียิปต์ล่างแบบเช้าไปเย็นกลับยังดีเสียกว่าต้องลำบากตรากตรำในทะเลทรายเป็นไหนๆ
“ก็จริงค่ะ” เธอเห็นด้วย “ออ...หนูชื่อ พิณ ไม่ทราบว่าคุณลุงชื่ออะไรคะ?”
หญิงสาวเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของอีกฝ่ายทั้งที่เจอหน้ากันแล้วถึงสองครั้งสองครา
ทว่า ชายแก่ยังไม่ทันขยับปากจะตอบก็มีเสียงร้องเรียกจากเพื่อนพ้องเสียก่อน
“บาฮียา! มาช่วยจัดของตรงนี้หน่อยสิ”
“ได้ๆ...จะไปเดี๋ยวนี้!” เขาตะโกนตอบกลับโดยไม่ลืมหันมาบอกผู้จ้างวานสาวสวยด้วยรอยยิ้ม “นั่นล่ะ...ชื่อของลุง” พูดจบก็เดินไปร่วมกับคนอื่นๆเพื่อจัดสัมภาระเฉกเช่นของกินและของใช้ที่จำเป็นอย่างขะมักเขม้น
ต่อให้หวาดกลัวการใช้ชีวิตต่างถิ่นกับคนแปลกหน้าหลายสิบคน
แต่ความเป็นห่วงเพื่อนชายก็มีมากมายกว่า ปภาพินท์จึงทำได้เพียงสวดภาวนาในใจ
ว่า...ขอให้ทุกสิ่งทุกอย่างประสบความสำเร็จและผ่านพ้นด้วยดีเท่านั้น
ขบวนอูฐเดินเรียงรายเป็นทิวแถวตอนยาวมุ่งหน้าสู่จุดหมายอันไกลโพ้น
พื้นทรายร้อนระอุดูจะเย็นสบายสำหรับเจ้าสัตว์สี่เท้าเสียเหลือเกิน เพราะทุกก้าวย่างของมันช่างนุ่มนวลประหนึ่งกำลังเริงร่าอยู่กลางแมกไม้เขียวขจีมีบ่อน้ำใสริมทางทั้งที่ความจริงนั้นกลับตาลปัตรโดยสิ้นเชิง
เกล็ดทรายละเอียดส่องประกายวาววับยามจับต้องแสงสุริยา
สร้างภาพลวงตาให้ทะเลแห่งความแห้งแล้งแปรเปลี่ยนเป็นขุมทองเลอค่าอันกว้างใหญ่ไพศาล
หญิงสาวต้องดึงปีกหมวกแก๊ปที่สวมใส่ลดต่ำลงเล็กน้อยหลังรู้สึกระคายเคืองตา
ขณะที่มืออีกข้างก็ต้องกระพือพัดพลาสติกเพื่อคลายความร้อนอบอ้าวจากสภาพอากาศรอบตัว
ไม่น่าเชื่อจริงๆ
ว่า...พวกชนเผ่าเบดูอินสามารถอาศัยอยู่ท่ามกลางสถานที่แบบนี้ได้ตั้งแต่ลืมตาดูโลกจวบจนเม็ดทรายกลบหน้า
แค่เธอนั่งอยู่บนหลังอูฐราวสามถึงสี่ชั่วโมงก็รู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียแรงเสียแล้ว
“แม่หนู...ดื่มน้ำสักหน่อยไหม?”
อูฐตัวใหญ่ของบาฮียาเดินถอยร่นลงมาขนาบข้าง
มือเหี่ยวย่นหยิบถุงหนังบรรจุน้ำส่งให้ปภาพินท์ซึ่งไม่มีวันปฏิเสธข้อเสนอพลางคว้ามันมาดื่มดับกระหาย
“สดชื่นขึ้นเยอะเลย
ขอบคุณมากนะคะ”
“ไม่เป็นอะไร
แต่ต้องดื่มและใช้สอยอย่างประหยัดมากที่สุด
เพราะอีกตั้งสามวันกว่าจะถึงโอเอซิสบาฮาริยา ( *** ) เพื่อสะสมเสบียงก่อนเริ่มเดินทางต่อไปยังโอเอซิสซิวา”
“เราจะพักที่นั่นกี่วันก่อนออกเดินทางต่อคะ?” คำถามของเธอสร้างเสียงหัวเราะเบาๆจากผู้อาวุโส
“ใจแม่หนูคงไปถึงจุดหมายก่อนร่างกายแล้วสินะ
ไม่นานหรอก...พักแค่หนึ่งวันก็ออกเดินทางต่อได้”
สิ่งที่เขาพูดนั้นถูกต้องประการ
หากมีปีกเหมือนนก
คงโบยบินถึงโอเอซิสซิวานานแล้ว...
การรอนแรมกลางทะเลทรายหาได้สวยหรูเหมือนในนวนิยายโรแมนติกที่เคยอ่านสักเศษเสี้ยว
ผิวกายของหญิงสาวที่เคยขาวนวลเนียนบัดนี้เปลี่ยนเป็นหมองคล้ำและหยาบกร้านเพราะแรงแดดแรงลม
ยังไม่นับเรื่องอาหารซ้ำซากซึ่งต้องทนฝืนรับประทานเพื่อประทังชีวิต
รวมถึงการนอนซุกตัวในกระโจมผ้าเล็กๆเก่าๆอวลอบด้วยกลิ่นเหม็นอับน่าสะอิดสะเอียน
ถึงกระนั้นมันก็คงไม่แตกต่างจากเนื้อตัวสกปรกมอมแมมของเธอ
ยามกลางวันก็ร้อนจัดราวจะแผดเผาให้ไหม้เป็นจุณ
ยามกลางคืนก็หนาวจัดราวจะแช่แข็งให้ตายทั้งเป็น
บททดสอบจากธรรมชาติช่างโหดร้ายและไม่เมตตาสงสาร
ขนาดเพื่อนร่วมเดินทางเป็นชาวเบดูอินแท้ๆยังแสดงสีหน้าเหนื่อยอ่อนให้เห็นประปราย
นับประสาอะไรกับปภาพินท์ที่ไม่เคยชินกับสภาพอากาศทารุณกรรม กว่าจะถึงโอเอซิสบาฮาริยาก็ทำเอาท้อถอยกับชะตากรรมเลยทีเดียว
สีเขียวสดของต้นปาล์มที่ขึ้นเรียงรายหนาแน่น
กับ เสียงคำรามจากท่อไอเสียรถบุโรทั่งใกล้พังซึ่งกำลังแล่นส่ายบนถนนเส้นเล็กๆจนฝุ่นทรายคลุ้งกระจายราวกับม่านหมอกสีส้ม
คือ สิ่งเจริญหูเจริญตาที่สุดในความคิดของหญิงสาวหลังทนเห็นแค่ฟ้ากับทรายนานหลายวัน
คำว่า สวรรค์บนดิน
หมายความว่าแบบนี้นี่เอง!
ทั้งที่สามารถขออาศัยค้างแรมร่วมกับชาวบ้านในชุมชนโอเอซิสบาฮาริยา
แต่ชายชราก็เลือกที่จะสั่งพรรคพวกให้สร้างกระโจมผ้าหลายหลังริมสระน้ำใสสะอาดห่างจากหมู่บ้านเล็กน้อย
เพื่อความสะดวกสบายสำหรับการเดินทางต่อในวันรุ่งขึ้น ปภาพินท์จึงฉวยเอาจังหวะนี้ออกไปเดินเล่นเมื่อรู้ดี
ว่า...ไม่สามารถแบ่งเบาภาระใครๆได้ มิหนำซ้ำอาจกลายเป็นตัวถ่วงให้พวกเขาทำงานล่าช้ามากกว่าเดิม
วิถีชีวิตของผู้คนในละแวกนี้ค่อนข้างเรียบง่ายและสงบสุข
ปราศจากเทคโนโลยีฟุ้งเฟ้ออันไม่จำเป็นต่อการดำรงชีพซึ่งมักรบกวนและทำลายความพอเพียงให้หมดจากสังคมเฉกเช่นเมืองใหญ่
นัยน์ตากลมโตของหญิงสาวสอดส่องทั่วบริเวณเพื่อเก็บเกี่ยวบรรยากาศเป็นความทรงจำ
พร้อมกดชัตเตอร์บันทึกภาพน่าประทับใจไว้ในกล้องถ่ายรูปครั้งแล้วครั้งเล่า แต่กระนั้นก็ไม่หลงลืมที่จะสอบถามชาวบ้านชาวช่องเกี่ยวกับเรื่องคณะวิจัยสำรวจโอเอซิสซิวา
ทว่า โอเอซิสบาฮาริยาถูกใช้เป็นเส้นทางผ่านทุกวันจึงไม่มีใครจดจำแขกต่างถิ่นได้สักคนเดียว
“โอ้ยยย!!! จำไม่ได้หรอก” นี่คือคำตอบที่ได้รับจากทุกคนเป็นเสียงเดียวกัน
ให้จำคนแปลกหน้ามากมายวันต่อวันยังยาก
ก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนแปลกหน้าที่หายสาบสูญนานถึงหกเดือน...ปภาพินท์เข้าใจดี
แม้ความท้อจะเริ่มก่อเกิดขึ้นมาบ้างแต่ก็ไม่อาจเอาชนะความห่วงใยที่มีต่อเพื่อนชายได้
สองเท้าก้าวเดินต่อไปจนกระทั่งถึงตลาดสดกลางหมู่บ้านที่แวดล้อมด้วยข้าวของนานาชนิด
ไม่ว่าจะเป็นสินค้าเกษตรกรรมอย่างเนื้อสัตว์กับพืชผักผลไม้ และ
สินค้าหัตถกรรมอย่างเครื่องปั้นดินเผากับเครื่องจักสานได้ถูกนำมาวางขายให้เลือกซื้อเลือกหาตามอัธยาศัย
หญิงสาวไม่รู้จะถามใครทั้งที่มีผู้คนมากมายอยู่รายรอบ เพราะคาดเดาได้ไม่ยาก
ว่า...คำตอบที่ได้รับกลับมาจะไม่ต่างอะไรจากที่เคยได้ยิน
ระหว่างกำลังชั่งใจเรื่องการสอบถามอยู่นั้น
พลัน ก็เหลือบพบรถเข็นขายเครื่องดื่มบริเวณใต้ต้นปาล์มใหญ่ ผลไม้สด อาทิเช่น ส้ม
มะม่วง มะนาว กล้วย ฝรั่ง ทับทิม และอีกมากมาย ถูกกองสุมเป็นรูปพีระมิดอย่างสวยงามคล้ายพยายามเชิญชวนลูกค้าให้สนอกสนใจเป็นนัยๆ
ว่ากันว่า...น้ำผลไม้คั้นสดในประเทศอียิปต์มีรสชาติดีเยี่ยมและราคาถูกมาก
ทว่า หญิงสาวกังวลเรื่องความสะอาดเลยไม่คิดลิ้มลองสักครั้ง น้ำแร่ธรรมชาติในขวดพาสเจอร์ไรส์ที่วางขายตามซูเปอร์มาร์เก็ตจึงเป็นทางเลือกสำหรับชาวต่างชาติขี้กลัวเยี่ยงเธอมาตลอดสองปีเต็มๆ
แต่บัดนี้ความกระหายได้ทำลายความหวาดวิตกในเรื่องไม่เป็นเรื่องจนหมดสิ้นพร้อมเร่งเร้าให้สาวเท้าตรงดิ่งไปอุดหนุนทันทีทันใด
“ต้องการรับอะไรคะ?” แม่ค้าสาววัยกลางคนเอ่ยถาม ขณะกำลังทำความสะอาดอุปกรณ์ทำมาหากินอย่างเจ้าเครื่องคั้นน้ำผลไม้จนมือเป็นระวิง
“อาซิรรูมันค่ะ” เธอตอบเป็นภาษาท้องถิ่น
ไม่นานเกินรอ อาซิรรูมัน
หรือ น้ำทับทิม สีแดงสดสวยในแก้วพลาสติกก็ถูกส่งยื่นให้เร็วดั่งใจคิด ปภาพินท์ไม่รอช้าคว้ามันมาดื่มแล้วยอมรับคำร่ำลือ
ว่า...หวานละมุนชุ่มคอจริงๆ ถ้าจำนวนเงินไม่กี่ปอนด์ ( *** ) สามารถแลกได้กับความสดชื่นก็นับว่าคุ้มค่า ตอนแรกนั้นหญิงสาวตั้งใจจะสอบถามชาวบ้านคนอื่นๆเกี่ยวกับเรื่องสำคัญที่ค้างคา
แต่บางสิ่งบางอย่างฉุกใจให้หมุนตัวกลับไปหาแม่ค้าสาวซึ่งยังคงง่วนกับงานของตน
“ขอโทษนะคะ...ฉันขอถามอะไรสักหน่อยได้ไหมคะ?”
“ได้ค่ะ” หล่อนตอบ
“ไม่ทราบว่า...เมื่อหกเดือนก่อนเคยพบเจอกองคาราวานชายล้วนจำนวนสิบคน
มีชายแก่หนึ่งคนกับชายหนุ่มเก้าคน เดินทางผ่านมาทางนี้บ้างไหมคะ?”
“ตายจริง! ถ้านานขนาดนั้นฉันคงจำไม่ได้หรอกค่ะ!” คำตอบไม่ต่างอะไรจากหลายๆคน
“แล้วไม่มีรายละเอียดนอกเหนือจากนี้เหรอคะ?” อีกฝ่ายถามต่อขณะที่หญิงสาวเริ่มหมดหวังอีกครั้ง
“พวกเขาเป็นนักโบราณคดีเดินทางมาจากศูนย์วิจัยประวัติศาสตร์แกลตันที่กรุงไคโรเพื่อสำรวจโอเอซิสซิวาค่ะ”
“เอ๊ะ...ถ้าเช่นนั้นลองถามผู้ชายคนนั้นดูสิ...เห็นว่าเป็นนักโบราณคดีเหมือนกัน
เขาอาจรู้จักคนที่คุณกำลังตามหาก็ได้นะ!”
มือหยาบกร้านบ่งบอกถึงการทำงานหนักมากว่าค่อนชีวิตชี้ไปยังชายแก่ร่างท้วมสวมใส่เสื้อซาฟารีแขนสั้นสีครีม
ผมเผ้าขาวโพลนกระเซอะกระเซิงทั้งที่สวมทับด้วยหมวกซาฟารีสีน้ำตาลเข้มแล้วก็ตาม
กำลังจดบันทึกข้อมูลอะไรบางอย่างจากชาวบ้านแถวนี้ด้วยความมุ่งมั่น อายุคงไม่ห่างจากศาสตราจารย์จอห์น
แกลตัน สักเท่าไร ปภาพินท์จึงรีบขอบคุณแม่ค้าสาวก่อนเดินจ้ำอ้าวเข้าไปหาเขาอย่างว่องไว
“ขอโทษนะคะ...ฉันชื่อ
ปภาพินท์
วิริยะโสภา เป็นนักโบราณคดีมาจากศูนย์วิจัยประวัติศาสตร์แกลตันที่กรุงไคโร” เธอแนะนำตัวเองตามมรรยาท
ชายคนดังกล่าวละสายตาจากสิ่งที่กำลังทำพลางหันมองสตรีตรงหน้าอย่างพินิจพิจารณา
“ยินดีที่ได้รู้จัก...ผมชื่อ
ริชาร์ด เทเลอร์ เป็นศาสตราจารย์ประจำอยู่ที่ศูนย์วิจัยประวัติศาสตร์เทเลอร์ในโอเอซิสซิวา
คุณคงเป็นคนของศาสตราจารย์จอห์น แกลตันสินะ?”
“ใช่ค่ะ!” เธอตอบรับด้วยความดีใจ
ความหวังที่เคยมอดดับค่อยๆคุกรุ่นขึ้นอีกระลอกเมื่อฟังคำถามนั้น
ทว่า สิ่งที่จะได้ยินต่อจากนี้กลับพลิกความรู้สึกหน้ามือเป็นหลังมือ
“จริงสิ...ศาสตราจารย์จอห์น
แกลตัน ติดต่อผมไว้เมื่อครึ่งปีก่อน ว่า...จะพาคณะวิจัยฯมาศึกษาดูงานที่โอเอซิสซิวาแต่ผมก็ยังไม่พบใครมาเลยสักคน
พวกเขาคงติดธุระสำคัญอยู่ที่กรุงไคโรใช่ไหม?”
“เอ๊ะ...พวกเขายังไม่ได้ไปที่นั่นอีกเหรอคะ?” หญิงสาวถามด้วยความตกใจ
“ก็ใช่น่ะสิ! พอโทรศัพท์ไปสอบถามที่ศูนย์วิจัยประวัติศาสตร์แกลตันก็ไม่มีสัญญาณ ฝากคุณบอกศาสตราจารย์จอห์น
แกลตันด้วยละกัน ว่า...ผมจำเป็นต้องเดินทางไปเมืองอัสวาน ( *** ) เป็นเวลาสองเดือน หากมีอะไรให้ติดต่อมาหลังจากนั้น” ศาสตราจารย์ริชาร์ดเอ่ยด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์เสียเท่าไร “ออ...ตอนนี้ผมคงต้องขอตัวก่อนเพราะยังทำงานไม่เสร็จ โชคดี!” พูดจบเขาก็พาร่างท้วมๆของตนเองเดินออกไปสัมภาษณ์ชาวบ้านอีกกลุ่มหนึ่งโดยทิ้งให้ผู้ฟังยังคงมึนงงปนสับสนอยู่ที่เดิม
ถ้ารณกรกับทุกๆคนไม่ได้ไปยังโอเอซิสซิวาอันเป็นจุดหมาย
แล้วพวกเขาหายไปไหนนานถึงครึ่งปี!
นี่คือคำถามที่ผุดขึ้นมาในใจของปภาพินท์
“คุณ!!! ได้ข่าวคราวอะไรบ้างไหมล่ะ?”
ใบหน้ามนสวยเหลียวมองแม่ค้าขายเครื่องดื่มที่ตะโกนถามจากอีกฟากของถนนเส้นเล็กๆ
ไม่ว่าหล่อนจะอยากรู้อยากเห็นด้วยเจตนาใดๆก็ตาม
แต่ก็เรียกฝีเท้าของหญิงสาวให้ก้าวเข้าไปหาอย่างเชื่องช้า
“ไม่เชิงค่ะ”
“เอ้า! เห็นคุยกันตั้งนานสองนาน ไม่ได้ข่าวคราวอะไรบ้างเลยเหรอ?”
“ศาสตราจารย์ริชาร์ดบอก
ว่า...พวกเขาไม่ได้ไปที่โอเอซิสซิวา
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงพวกเขาเหล่านั้นหายไปไหนทั้งที่ออกเดินทางจากกรุงไคโรตั้งครึ่งปีแล้วแท้ๆ!” หญิงสาวไม่เข้าใจเรื่องนี้แม้แต่นิดเดียว “ไม่มีการติดต่อกลับมา
ไม่ได้ไปยังจุดหมายปลายทาง เหมือนกับหายสาบสูญไปทั้งอย่างนั้น!”
“คงไม่ใช่อาถรรพ์วันจันทราหรอกนะ!” น้ำเสียงของแม่ค้าแหบแห้งแผ่วเบาคล้ายจะหายไปในลำคอ
“เอ๊ะ!” ไม่ใช่ครั้งแรกสำหรับคำๆนี้ ทว่า มันไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องกลัดกลุ้มสักนิดเดียว
“อาถรรพ์วันจันทรา คือ อะไรเหรอคะ?”
“เอ่อ...ฉันต้องขอตัวก่อนนะ
ตั้งแผงตรงนี้นานแล้ว!” หล่อนตัดบทไม่ตอบคำถาม
พลางรีบเร่งเข็นรถขายเครื่องดื่มออกจากบริเวณนั้นอย่างไม่รั้งรอแม้ว่าปภาพินท์จะร้องเรียกเอาไว้ก็ตาม
ฟืนสีแดงแตกปะทุเพราะความร้อนในกองไฟกำลังสว่างไสวโชติช่วงท่ามกลางความมืดมิดที่โอบล้อมรายรอบ
เงาทะมึนจากต้นปาล์มใหญ่อาจน่ากลัวไปบ้างแต่ก็ไม่เทียบเท่าความเวิ้งว้างของทะเลทรายที่พบเห็นตลอดหลายคืนที่ผ่านมา
การเดินทางทำให้ชายแปลกหน้าในกองคาราวานเริ่มกลายเป็นคนคุ้นเคยมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อหญิงสาวสามารถสัมผัสได้ถึงความมีน้ำใจจากพวกเขาซึ่งคอยหยิบยื่นให้สม่ำเสมอ
ทั้งที่ภายนอกแลคล้ายโจรผู้ร้าย ทว่า ภายในกลับดีงามดุจเทพในคราบมารก็ไม่ปาน
หลายวันแล้วที่ทุกคนในกองคาราวานต้องทนฝืนรับประทาน
ฟูล เมดาเมส ( *** ) หรือ ถั่วฟาวาต้มเปื่อยเพื่อประทังชีวิตขณะรอนแรม
ปภาพินท์จึงไม่พลาดโอกาสที่จะซื้อเนื้อไก่จากตลาดติดไม้ติดมือกลับมาฝากเพื่อนร่วมเดินทางให้ทำชิชเคบับ
( *** ) สำหรับมื้อเย็นวันนี้ งานเลี้ยงสังสรรค์รอบกองไฟแสนสนุกสนานจึงเริ่มขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ปลายนิ้วสีคล้ำกรีดเส้นสายของอูด
( *** ) เครื่องดนตรีตัวเล็กมีลักษณะคล้ายกีต้าร์ทรงหยดน้ำออกมาเป็นเสียงเพลงได้ไพเราะจับใจยิ่งนัก
ความสุนทรีย์ของชนเผ่าเบดูอินสามารถสร้างง่ายๆเพียงแค่ใช้เวลาอยู่ร่วมกันโดยพวกเขาไม่คิดพึ่งพาความสะดวกสบายจากเทคโนโลยี
หรือ ต้องการเห็นแสงสีจากสถานเริงรมย์เฉกเช่นคนหัวสูงในสังคมอันเสื่อมโทรม
แต่กระนั้นความสุขที่หญิงสาวได้รับก็ไม่เพียงพอที่จะลบล้างความทุกข์เรื่องเพื่อนชายออกจากจิตใจ
มิหนำซ้ำยังไม่เข้าใจอะไรหลายสิ่งหลายอย่างที่ได้ยินได้ฟังจากศาสตราจารย์ริชาร์ด
เทเลอร์ กับ แม่ค้าขายเครื่องดื่ม ด้วย
ทำไมคณะวิจัยสำรวจโอเอซิสซิวายังไปไม่ถึงจุดหมายและหายไปไหนกว่าหกเดือน?
ทำไมศูนย์วิจัยประวัติศาสตร์แกลตัน
กับ ศูนย์วิจัยประวัติศาสตร์เทเลอร์ไม่สามารถติดต่อหากันได้?
ทำไมแม่ค้าขายเครื่องดื่มทำท่าทางเหมือนกลัวอะไรบางอย่างเกี่ยวกับอาถรรพ์วันจันทรา?
คำถามมากมายพรั่งพรูจนแทบเอ่อล้นจากสมอง
ไม่ว่าจะครุ่นคิดหาเหตุผลสักเพียงใดก็ไม่พบคำตอบเหมาะสมหรือความน่าจะเป็นสักนิดเดียว
“แม่หนู...ถ้าไม่รีบกินมันจะไหม้เสียก่อนนะ” บาฮียาร้องเตือน หลังพบว่าชิชเคบับไก่ของเธอเริ่มเกรียมแล้ว
“ตายจริง...ขอโทษค่ะ” มือบางกระวีกระวาดหยิบอาหารโดยไม่ทันระวังความร้อน พลัน ต้องสะดุ้งโหยงปล่อยไม้ชิชเคบับตกลงพื้นทราย
“โอ้ยยย...แย่จัง” เธอพึมพำด้วยความหงุดหงิดใจกับความสะเพร่าของตนเอง
“ประเดี๋ยวลุงย่างให้ใหม่ก็ได้”
“ไม่เป็นไรค่ะ...หนูไม่รู้สึกหิวสักเท่าไร” ปภาพินท์ปรามชายชราที่ทำท่าจะหยิบชิชเคบับไก่อีกไม้ย่างตรงกองไฟ
นั่นทำให้อีกฝ่ายประหลาดใจไม่น้อยกับสีหน้าท่าทางของหญิงสาวซึ่งดูเหมือนไม่อยากแตะต้องอาหารทั้งที่เป็นคนซื้อมาเองแท้ๆ
“คิดมากเรื่องเพื่อนใช่ไหม?” เขาถามอย่างรู้ใจ
“ค่ะ”
“อย่าคิดมากไปเลย...เพื่อนของหนูคงไม่เป็นอะไรหรอก!”
หญิงสาวเหลียวมองบาฮียาด้วยความสงสัย
เมื่อน้ำเสียงของเขาค่อนข้างเปี่ยมด้วยความมั่นใจ
“ทำไมคุณลุงถึงคิดเช่นนั้นล่ะคะ?”
นัยน์ตาสีเทาฝ้าฟางของผู้อาวุโสวัยเจ็ดสิบกว่าๆส่องประกายเรืองรองยามต้องแสงไฟจากกองฟืนที่กำลังลุกไหม้และจดจ้องมองสตรีตรงหน้าด้วยความเอ็นดูประหนึ่งลูกหลาน
“ถ้าแม่หนูมีความเชื่อที่ดี...ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะผ่านพ้นไปด้วยดี” เขาตอบด้วยถ้อยคำแห่งความศรัทธา “เบื้องบนจะอวยชัยในยามที่เรามีความมุ่งมั่นพยายาม”
“ค่ะ”
เบื้องบนที่ว่าคงหมายถึง...พระอัลเลาะห์ พระผู้เป็นเจ้าของศาสนาอิสลาม
เนื่องจากชาวอาหรับทุกคนล้วนเป็นมุสลิมผู้ศรัทธาพระองค์ทั้งนั้น หลักคำสอนอาจจะแตกต่างกับศาสนาพุทธแต่เธอก็ยินยอมเชื่อในสถานการณ์แบบนี้!
“ออ...ถึงแม่หนูจะไม่รู้สึกหิว
แต่ก็ควรดื่มนมรองท้องเสียหน่อยจะได้นอนหลับง่ายๆสบายๆ”
มือบางรับนมสีขาวขุ่นในถ้วยดินเผาซึ่งถูกส่งยื่นให้ด้วยความปรารถนาดี
แม้รู้อยู่เต็มอก ว่า...นั่นคือ นมอูฐ ( *** ) เครื่องดื่มยอดนิยมของชาวเบดูอินหาใช่นมวัวหรือนมแพะเฉกเช่นปกติ
เอาเถอะ! เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เคยดื่มตลอดการเดินทางครั้งนี้
งานเลี้ยงรอบกองไฟยังไม่เลิกรา
ทว่า ความง่วงได้รุกเร้าปภาพินท์จนต้องขอตัวเข้ากระโจมของตนเองก่อนใครเพื่อน
ร่างบางทอดกายนอนลงบนพรมเหม็นอับอย่างเคยชินพร้อมปิดดวงตาคู่งาม
ขณะที่หูยังคงได้ยินอูดบรรเลงเสียงเสนาะไพเราะดุจบทเพลงขับกล่อมให้หญิงสาวค่อยๆจมดิ่งสู่ห้วงนิทราโดยง่ายดาย
หมอกสีเทารายล้อมรอบตัวหญิงสาวที่พยายามกึ่งเดินกึ่งวิ่งเพื่อหาทางออกจากสถานที่แห่งนี้
มือบางไขว่คว้าสะเปะสะปะเหมือนคนตาบอดมองไม่เห็นทาง ขณะที่สติสตางค์กำลังเตลิดเปิดเปิงคล้ายคนเสียขวัญ
พลัน เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากที่ไกลแสนไกล
“พิณ...” ใครบางคนกำลังเรียกเธอ
สองเท้าชะงักหยุดนิ่งพลางกวาดตามองหาทิศทางของต้นเสียงคุ้นหูนั้นอย่างรวดเร็ว
“พิณ...”
“รณ...” ปภาพินท์จดจำได้เมื่อเสียงนั้นชัดและดังกว่าเดิม “รณ...ฉันมองไม่เห็นอะไรเลย!” เธอตะโกนโต้ตอบกลับไปพลางจะสาวเท้าวิ่งหาเพื่อนสนิทท่ามกลางหมอกหนา
“หยุด!!! อย่ามา” อีกฝ่ายตวาดลั่น “กลับไป!!!”
“ทำไมล่ะ?” หญิงสาวถามด้วยความไม่เข้าใจ แต่รณกรไม่ตอบกลับมา “รณ!!!
ฉันจะไปหา ได้ยินฉันไหม?” คล้ายว่าเขาไม่ได้ยินและสูญหายจากสายหมอกไปแล้ว
“รณ!!!”
โลกแห่งความจริงฉุดกระชากหญิงสาวสะดุ้งตื่นจากห้วงภวังค์
เหงื่อกาฬผุดอาบทั่วใบหน้ามนสวย
ร่างเบาสั่นสะท้านขณะหัวใจเต้นดังระรัวแข่งกับเสียงหอบหายใจ
นัยน์ตากลมโตเหลียวมองภายในกระโจมด้วยความระแวดระวังอย่างหวาดผวา และ
เมื่อพบว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเพียงความฝันอันโหดร้ายก็ค่อยเบาใจ
“ยัยพิณเอ้ย...ฝันเป็นตุเป็นตะไร้สาระจริงๆ” เธอพึมพำพลางยกมือตีหน้าผากเบาๆ
ตั้งแต่เกิดมาความฝันครั้งนี้เสมือนจริงมากที่สุด
ทั้งน่ากลัวและชัดเจนราวกับเพิ่งประสบพบเจอกับตัวเองหมาดๆ ไหนจะน้ำเสียงของรณกรที่ดูเกรงกลัวบางสิ่งบางอย่างคล้ายต้องการห้ามปรามไม่ให้ตามหา
แต่กระนั้นมันคงเป็นเพียงจินตนาการจากความวิตกกังวลจนเกินควร และ
ไม่อาจบิดเบือนเจตจำนงของเธอได้
“รณ...รอฉันก่อนนะ!” น้ำเสียงหวานกล่าวด้วยความมาดมั่น พลางพยายามข่มตานอนอีกครั้งก่อนรุ่งสางจะคืบคลานเข้ามาพร้อมเหตุการณ์บางอย่างที่จะอุบัติในไม่ช้า
*** เฮียโรกลิฟฟิก = อักษรภาพของอียิปต์โบราณ ซึ่งชาวอียิปต์เชื่อว่าอักษรนี้ประดิษฐ์โดยเทพเจ้าธอธ
เขียนได้หลายแบบทั้งแนวนอนและแนวตั้งซ้ายไปขวาหรือขวาไปซ้าย สังเกตจากการหันหน้าของรูปคนหรือสัตว์จะหันหน้าเข้าหาจุดเริ่มต้น
แบ่งออกเป็น เฮียราติก ใช้ติดต่อในวงการค้า กับ เดโมติก ใช้ทั่วๆไป
*** คาร์นัค = มหาวิหารที่ใหญ่ที่สุดและสวยงามที่สุดของประเทศอียิปต์
สร้างขึ้นเพื่อถวายแด่เทพเจ้าอะมอนราเพื่อเป็นสถานที่จัดพิธีกรรมเกี่ยวกับความเชื่อของอียิปต์โบราณ
โดยฟาโรห์เซซอสตริสที่ 1 กษัตริย์องค์ที่ 2 แห่งราชวงศ์ที่ 12 มีอายุถึงปัจจุบันร่วม 4,000 ปี
*** ไอยคุปต์ = สันนิษฐานมาจากการทับศัพท์คำภาษากรีก ว่า ไอกึปตอส
ซึ่งเป็นชื่อที่คล้ายคลึงกับเทพเจ้าในตำนานปรัมปราของกรีกสององค์ คือ ไอกือปิออส
และ ไอกึปตอส แต่ที่มีความสำคัญเกี่ยวโยงกับอียิปต์ตามตำนานกรีก คือ ไอกึปตอส
เป็นผู้ตั้งชื่อแผ่นดินอียิปต์
*** ฟาโรห์ = มีความหมาย ว่า บ้านใหญ่
ใช้เรียกพระมหากษัตริย์สมัยอียิปต์โบราณอันเปรียบเสมือนเทพเจ้า
ซึ่งชาวอียิปต์โบราณมีความเชื่อ
ว่า...ฟาโรห์และพระราชโอรสกับพระราชธิดาต่างเป็นเทพเจ้าหรือเทพีแห่งโลกทั้งสิ้นและถือว่าต่างเป็นคู่อภิเษกสมรสกัน
*** รา = เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์
มีร่างเป็นมนุษย์แต่พระเศียรเป็นนกเหยี่ยว เชื่อว่าถือกำเนิดจากแม่น้ำแห่งเทพเจ้านุน
เทพเจ้าราเปรียบเสมือนบิดาแห่งมวลมนุษย์และสรรพสิ่งทั้งหลาย
จะเสด็จออกจากเมืองเฮลีโอโปลิสพร้อมเหล่าเทพเจ้าโดยใช้เรือสุริยันเป็นยานพาหนะเพื่อตรวจเยี่ยมราษฎร
12 แคว้น ทำให้เกิดแสงอาทิตย์ตลอด 12 ชั่วโมงใน 1 วัน
และในเวลากลางคืนพระองค์จะท่องไปในแดนมตภพดูอัตจากฝั่งตะวันตกไปฝั่งตะวันออกเริ่มเช้าวันใหม่
*** ลักซอร์ = เมืองลักซอร์สร้างโดย ฟาโรห์อเมโนฟิสที่ 3
มีมหาวิหารสำคัญ คือ มหาวิหารลักซอร์ ซึ่งได้รับการบูรณะเชื่อมมหาวิหารคาร์นัค
หากนับอายุถึงปัจจุบันจะมีอายุร่วม 3,400 ปี
ที่นี่เปรียบเสมือนบ้านหลังที่ 2 ของเทพเจ้าอะมอนรากับครอบครัว คือ เทวีมัต และ เทพเจ้าคอนซู
วิหารแห่งนี้ยังถูกจัดให้เป็นสถานที่เพื่อทำพิธีบูชาเทพเจ้าด้วย
*** ไคโร = เมืองหลวงของประเทศอียิปต์
มีประชากรประมาณ 15.2 ล้านคน เป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในทวีปแอฟริกา
ชื่อเมืองในภาษาอาหรับมีความหมายว่า ชัยชนะ เชื่อว่าเกิดจากการมองเห็นดาวอังคารในช่วงที่ก่อสร้างเมืองและดาวอังคารเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของการทำลายล้าง
*** อียิปต์บนกับอียิปต์ล่าง = อียิปต์บน ( ด้านล่างของแผนที่ )
มีอาณาเขตตั้งแต่เมืองอัสวานถึงเมืองเมมฟิส ส่วนอียิปต์ล่าง ( ด้านบนของแผนที่ )
มีอาณาเขตตั้งแต่เมืองเมมฟิสขึ้นไปถึงที่ราบลุ่มดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์ ในอดีตเคยแบ่งแยกออกอย่างชัดเจนแต่ฟาโรห์นาเมอร์ได้รวมสองอาณาจักรเข้าด้วยกัน
และ ก่อตั้งราชวงศ์ที่ 1 ปกครองประเทศอียิปต์
*** ซิวา = โอเอซิสที่มีชื่อเสียงของประเทศอียิปต์ ตั้งอยู่ในพื้นที่ของทะเลทรายลิเบีย
เป็นที่ตั้งถิ่นฐานของชนกลุ่มน้อยชาวเบอร์เบอร์ อาคารบ้านเรือนที่นี่จะสร้างด้วยอิฐโคลนเรียงรายขณะที่เขตรอบนอกรายล้อมด้วยต้นปาล์มกับต้นมะกอก
*** คาราวาน = คณะนักเดินทางที่รอนแรมไปด้วยกัน
*** ลิเบีย = ประเทศหนึ่งติดประเทศอียิปต์ทางทิศตะวันออก
มีเมืองหลวงชื่อ ตริโปลี
*** ข่านอัล คาลิลี =
ตลาดเก่าแก่แห่งหนึ่งของกรุงไคโร ก่อตั้งโดย อามิรมัมลุก ในปี 1382 จนกลายเป็นศูนย์กลางสินค้าด้านงานฝีมืออันเก่าแก่
ปัจจุบันขายสินค้าจำพวกของที่ระลึก เช่น เครื่องหนัง กล่องประดับลวดลาย
เครื่องเงิน ทอง อัญมณี ทองเหลือง ทองแดง ฯลฯ
บางครั้งบางคราวอาจมีงานศิลปะแท้โผล่มาให้เห็น
*** เบดูอิน = ชนเผ่าเร่ร่อนในทะเลทราย หาน้ำและอาหารประทังชีวิตโดยย้ายถิ่นฐานไปเรื่อยๆ
สามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ เบดูอินเหนือ และ เบดูอินใต้
ความจริงแล้ว คำว่า เบดูอิน ไม่มีความหมาย เพราะที่ถูกต้อง คือ เบดู เป็นชื่อเรียกที่ถูกต้องตามภาษาอาหรับ
และถ้าเอ่ยถึงคนๆเดียวในเผ่า เรียกว่า บาดาวี
*** บาฮาริยา = โอเอซิสกลางทะเลทราย
อยู่ห่างจากกรุงไคโรราว 360 กิโลเมตร มีการทำเกษตรกรรม เหมืองแร่เหล็ก และ การท่องเที่ยว
ผลผลิตทางการเกษตรหลักๆของที่นี่ คือ มะม่วง มะกอก ฝรั่ง และ อินทผาลัม
*** ปอนด์ = สกุลเงินปอนด์ของประเทศอียิปต์
*** อัสวาน = เมืองทางใต้ของประเทศอียิปต์
เป็นศูนย์กลางความเจริญอย่างการค้าและการท่องเที่ยว
*** ฟูล เมดาเมส = ถั่วฟาวาต้มเปื่อยซึ่งเป็นอาหารจานหลักของชาวอียิปต์ นิยมทำเป็นมื้อเช้า แต่สำหรับบุคคลที่ยากจนอาจรับประทานทุกมื้อเพื่อความประหยัด
วิธีการรับประทานฟูล เมดาเมสให้อร่อยจะนิยมเหยาะน้ำมันมะกอก บีบมะนาว
โรยเกลือกับพริกไทย และตามด้วยไข่ต้ม
*** ชิชเคบับ = เนื้อเสียบไม้ ปกตินิยมใช้เนื้อแกะหมักเครื่องเทศ
เกิดจากทหารเผ่าชาวเติร์กที่รุกเข้าไปสู่แคว้นอนาโตเลีย และใช้มีดดาบของตัวเองเสียบเนื้อย่างกิน
*** อูด =
เครื่องดนตรีคล้ายกีต้าร์ มีรูปทรงหยดน้ำหรือลูกแพร์
นิยมใช้ในทวีปแอฟริกาเหนือและตะวันออกกลาง
*** นมอูฐ = ชาวเบดูอินนิยมดื่มนมอูฐทั้งแบบร้อนและเย็น
บ้างก็นำไปหุงกับข้าวหรือต้มกับขนมปัง
ความคิดเห็น