คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1
ตอนที่ 1
โทรศัพท์ตรงโต๊ะทำงานดังรบกวนประสาทราวกับเสียงกรีดร้องของเด็กเล็กๆที่กำลังเอ็ดตะโรโวยวายให้ซื้อของเล่น
หากแต่แฟ้มเอกสารมากมายซึ่งกองพะเนินเทินทึกนั้นทำให้นัยน์ตาสีเปลือกไม้ที่ซ่อนอยู่ภายใต้แว่นกรอบหนาไม่สามารถผละไปมองหรือเอื้อมมือที่กำลังเขียนอย่างรีบเร่งเพื่อรับสายได้แม้อยู่ใกล้เพียงปลายนิ้ว
“แซนด์...โทรศัพท์ดังน่ะ”
ชาซียาเพื่อนสาวจากโต๊ะข้างเคียงเอ่ยย้ำเมื่อได้ยินมันงอแงมาสักพักใหญ่
“ยังเขียนคอลัมน์หนังสือพิมพ์ในฉบับพรุ่งนี้เช้าไม่เสร็จเลย
อีกครึ่งชั่วโมงจะปิดต้นฉบับแล้วด้วย!!!”
น้ำเสียงหวานเอ่ยจากริมฝีปากสวยหยักรับกับใบหน้ารูปไข่สไตล์เอเชียตะวันออก
อย่าง มนตร์ทราย พัฒนวิไล นักข่าวสาวชาวไทยสายเศรษฐกิจแห่งสำนักข่าวคาฟาห์ประจำสหรัฐอาหรับฟาเราะห์
ประเทศที่รุ่งเรืองเฟื่องฟูไปด้วยกิจการบ่อน้ำมันและธุรกิจท่องเที่ยวอันดับต้นๆในแถบตะวันออกกลาง
แม้ต้องมาอยู่ต่างบ้านต่างเมืองทั้งที่มีวัยเพียงยี่สิบสี่ปี
หากแต่นั่นไม่ใช่ปัญหาสำคัญในเมื่อรายได้การว่าจ้างที่นี่ค่อนข้างดีกว่าประเทศไทยถึงสองเท่าทำให้มีโอกาสก็ต้องรีบคว้าเอาไว้
“ฮัลโหล...สำนักข่าวคาฟาห์ค่ะ”
ในที่สุดผู้ที่ทนไม่ไหวกลับกลายเป็นเพื่อนสาวที่ต้องผละจากงานของตนมารับโทรศัพท์ให้เฉกเช่นทุกครั้งในช่วงเวลาปิดต้นฉบับ
เนื่องจากเจ้าของโต๊ะมักไม่ใส่ใจงานอื่นมากไปกว่างานที่อยู่ตรงหน้าราวกับสมาธิของเธอมันหลุดหายเข้าไปแล้วดึงกลับคืนมาได้ต่อเมื่ออักษรตัวสุดท้ายเสร็จสิ้นเท่านั้น!
“ลีธโทรมา!!!”
หล่อนส่งมอบสิ่งไม่ปรารถนาที่สุดในยามนี้ให้หญิงสาวซึ่งต้องผ่อนลมหายใจเพื่อปรับอารมณ์แล้วรับโทรศัพท์สายด่วนจากเพื่อนชายคนสนิทชาวอาหรับ
“ว่าไง...”
เธอกรอกเสียงเข้าไปโดยที่สายตายังคงจดจ้องงานตรงหน้า ส่วนมือก็เริ่มจับปากกาแล้วขีดๆเขียนๆอีกครั้งอย่างไม่ค่อยใส่ใจว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรสักเท่าไร
เพราะหลายครั้งที่เขาโทรมากระทันหันมักเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆอย่างลืมแฟ้มงานบนโต๊ะให้เก็บเข้าตู้
หรือ ลืมถ่ายเอกสารงานที่ได้รับมอบหมายเก็บไว้อีกชุดเผื่อฉุกเฉิน ซึ่งเธอก็จะทำให้อย่างไม่เกี่ยงเพียงแต่ต้องหลังปิดต้นฉบับแล้วเท่านั้น
“ทราย...ผมวานอะไรหน่อยได้มั้ย?”
เขาเรียกชื่อไทยของเธอที่น้อยคนนักจะรู้บ่งบอกถึงความสนิทสนมและตามด้วยประโยคเหมือนทุกครั้งที่ต้องการความช่วยเหลือ
“ได้...ว่ามาสิ”
“วันนี้ตอนค่ำผมติดธุระกับครอบครัวเลยไปทำข่าวในงานเจรจาผู้นำระหว่างรัฐประจำปีที่โรงแรมยัสมินไม่ได้ในคืนนี้
ทรายช่วยทำแทนให้หน่อยได้มั้ย?”
“อืมๆ...ได้สิ...ห๊ะ...”
กว่าจะรู้ตัวว่ารับปากเรื่องอะไร
อีกฝ่ายก็ขอบอกขอบใจเป็นการใหญ่พลางตัดสายไปเสียดื้อๆ
ครั้นโทรกลับก็ปิดเครื่องหนีอาจเพราะเขารู้ว่าเธอมักตกปากรับคำด้วยประโยคเดิมๆ
นั่นทำให้พลาดท่ายอมรับงานนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แม้สะสมประสบการณ์ในการทำข่าวมาถึงหนึ่งปีแต่ก็แค่เรื่องเศรษฐกิจทั่วไปภายในประเทศ
อย่างการค้าขายส่งออกน้ำมันและสถานที่ท่องเที่ยว ไม่ใช่ข่าวเกี่ยวกับการเมืองที่ลีธทำซึ่งต้องพบปะผู้ทรงอำนาจมากมาย
และไม่ใช่ว่าใครจะได้ทำง่ายๆถ้าไม่มีเส้นสายหรือเครดิตพิเศษ เพราะเท่าที่เธอรู้...มีนักข่าวเพียงสิบคนจากหลายร้อยหลายพันคนในประเทศนี้เท่านั้นที่ได้ทำงานนี้ในฐานะตัวแทนรัฐทั้งสิบ
คิดในแง่ดี...อย่างน้อยเธอก็ได้เป็นหนึ่งในนั้นที่ได้เข้าไปร่วมงานแม้จะแค่วันเดียวก็ตาม
มันอาจเป็นโอกาสที่หาไม่ได้ง่ายๆอีกแล้ว
คอลัมน์ข่าวเศรษฐกิจถูกส่งให้มิสเตอร์โรเบิร์ตผู้จัดการฝ่ายคัดกรองชาวอังกฤษทันพอดิบพอดีก่อนเวลาปิดต้นฉบับเพียงเล็กน้อย
เขาขยับแว่นตากรอบทองทรงกลมพลางตรวจเช็คอย่างคร่าวๆแล้วอนุญาตให้เธอกลับบ้านไปเตรียมตัวทำข่าวการเมืองในคืนนี้แทนลีธที่ขอลาหยุดล่วงหน้า...แต่เพิ่งบอกเธอเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน
โดยไม่ลืมส่งบัตรวีไอพีสำหรับผ่านพนักงานรักษาความปลอดภัยให้ใช้ในงานนี้
ถนนคอนกรีตแปดเลนที่ลาดยาวราบเรียบไร้รอยขรุขระนั้นรองรับปริมาณรถได้อย่างเหลือเฟือจนทำให้การจราจรไม่แออัดยัดเยียดเหมือนอย่างในกรุงเทพฯ
บ่งบอกถึงความเจริญที่มีมากมายในรัฐนี้ ไม่ว่าจะเป็นสองข้างทางล้วนมีแต่ตึกรามบ้านช่องซึ่งสะอาดสะอ้านไร้คราบฝุ่นแม้ทั้งเมืองตั้งอยู่กลางทะเลทราย
แถมไม่รกตาด้วยเสาไฟฟ้าเพราะซ่อนไว้ใต้ดิน รวมถึงป้ายโฆษณาที่น้อยนักจะได้เห็นเนื่องจากสิ่งเหล่านี้ทำให้ทัศนวิสัยในการท่องเที่ยวของเมืองย่ำแย่
ชีค คาฟาห์ โมฮัมหมัด เจ้าของและผู้ปกครองหนึ่งในสิบรัฐแห่งสหรัฐอาหรับฟาเราะห์
จึงไม่สนับสนุนให้มีขยะชิ้นใหญ่แม้มันช่วยโปรโมตการท่องเที่ยวก็ตาม
ถึงอย่างนั้นมหาเศรษฐีทุนทรัพย์หนาบางรายก็อ้อนวอนร้องขอติดป้ายโฆษณาเกี่ยวกับธุรกิจของตนจนได้
ย้ำว่า “อ้อนวอน”
เพราะการฝืนกฏของชีคผู้นี้ได้นับว่าต้องฝ่าการวิงวอนอย่างแสนสาหัสทีเดียว
หญิงสาวขับรถญี่ปุ่นคันเล็กๆของตนเบี่ยงออกเลนขวาเพื่อแซงรถเก่าสภาพใกล้พังคันหน้าอย่างหงุดหงิด
เชื่อเถอะว่าถ้าชีคคาฟาห์เห็นต้องโยนเศษเงินลงมาให้เจ้าของรถอนาถาคันนั้นเปลี่ยนเป็นคันใหม่เพื่อไม่ให้เสียภาพพจน์รัฐที่หรูหรา
ก่อนจะสั่งเก็บเศษโลหะอันน่าสงสารลงใต้หลุมทรายให้กลายเป็นมัมมี่เหล็กอย่างไม่ต้องสงสัย
ในความจริงแม้เธอจะชื่นชอบอารยธรรมแห่งทะเลทรายมากสักเพียงใด
ก็ไม่อาจหลงลืมประเทศไทยที่เป็นดินแดนแม่ได้เลย ทั้งสภาพบ้านเมือง อาหารการกิน
ล้วนแล้วแต่เคยชินมากกว่า มนต์ทรายปรารถนาจะทำงานเก็บประสบการณ์และออมเงินให้ได้เยอะๆเพื่อเอาไว้ตั้งตัวเมื่อกลับไป
ระหว่างที่หญิงสาวกำลังเหม่อลอยคิดถึงไออุ่นจากแผ่นดินเกิด
เธอไม่ทันสังเกตเห็นสัญญาณไฟจราจรตรงสี่แยกว่าเปลี่ยนเป็นสีแดง
และกว่าจะรู้สึกตัวท้ายรถคันหนึ่งก็อยู่ใกล้ในระยะสายตา...
เอี้ยดดดดดดดดดดด...ตึงงง!!!
ให้ตายเถอะ!!!...ไม่อยากเชื่อเลยว่าพนักงานกินเงินเดือนเดือนละสามหมื่นอย่างเธอจะเสยชนรถยุโรปรุ่นใหม่เอี่ยมราคาสามล้านกว่าจนไฟท้ายแตกละเอียด
แม้ไม่เสียหายมากแต่ก็ประเมินค่าอะไหล่และอะไรต่อมิอะไรหลังจากนั้นได้ทันที
นั่นยังไม่นับพาหนะสำคัญของตนเองที่ฝากระโปรงยับเยินราวกับจะหลุดออก
ในความโชคดี
คือ ร่างกายไม่ได้รับบาดเจ็บเพราะคาดเข็มขัดนิรภัย แต่ในความโชคร้าย คือ แผลถลอกของรถราคาเป็นล้านกับอาการสาหัสของรถตัวเองก็ทำให้เธอกลัดกลุ้มกุมขมับราวกับผู้ป่วยฉุกเฉินได้ไม่ยาก
บุรุษหนุ่มในชุดสูทสีดำสนิทก้าวออกจากรถคันนั้นพลางใช้นิ้วไล่เลี่ยสัมผัสบาดแผลถลอกบนเนื้อเหล็กผสมผสานกับไฟท้ายซึ่งแตกยับเหมือนวิญญาณหญิงสาวที่ใกล้ดับสูญไปพร้อมๆกัน
เขาคงเป็นนักธุรกิจพันล้านที่บังเอิญดวงซวยโดนรถห่วยๆขับชนจนเกิดรอยมลทิน
ไม่สิ...เธอต่างหากที่โชคร้ายเพราะเงินเก็บนับแสนที่สะสมไว้ในตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาคงหมดไปก็คราวนี้!!!
ก็อกๆๆ
“คุณๆ...”
กระจกที่สั่นไหวพร้อมเสียงเรียกของอีกฝ่ายดึงสติหญิงสาวให้หลุดจากภวังค์ความงุนงงปนตกใจ
“เอ่อ...ขอโทษจริงๆค่ะ”
ด้วยความเคยชินตามมรรยาทของบ้านเกิดทำให้มนตร์ทรายเผลอยกมือไหว้อย่างลืมตัวทันทีเมื่อก้าวเท้าออกจากรถของตน
อย่างน้อยอีกฝ่ายอาจเกิดความเมตตาสงสารไม่ให้เธอใช้หนี้หัวบานจนครบถ้วนก็เป็นได้
“ขอโทษนะคะ
ไม่ได้ตั้งใจขับชนรถคุณจริงๆ”
คิดแล้วก็เสียดายถ้าเรียนการแสดงมาสักหน่อยจะยอมแสร้งบีบน้ำตา
เผื่อจะผ่อนหนักให้กลายเป็นเบาได้มากขึ้น
“ผมน่ะไม่ว่าอะไรหรอก
แต่...เจ้านายนี่สิ...”
นัยน์ตาคมอย่างชาวอาหรับชม้ายไปยังด้านหลังของรถเก๋งคันงามราวกับไม่มั่นใจ
ทำให้มนตร์ทรายรับรู้ได้ว่าบุรุษชุดดำผู้นี้เป็นเพียงคนขับรถเท่านั้น
พลัน...ประตูหลังก็ถูกเปิดออกอย่างช้าๆปรากฏเทวดารูปงามในชุดสีขาวของกันดูเราะห์
ราวกับเวลาและทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวของหญิงสาวได้หยุดอยู่กับที่ดั่งต้องมนตรา
เมื่อพบใบหน้าหล่อเหลาคมคาย ไม่ว่าจะเป็นคิ้วเข้มซึ่งโก่งรับดวงตาสีเทาดุจเหล็กกล้า
จมูกโด่งสันเข้ากันกับริมฝีปากบางหยักสวย ทั้งหมดนี่เผยผ่านกูฟียะห์ที่ไม่ได้ถูกปกปิดในส่วนใบหน้า
ต่างจากบริเวณอื่นในร่างกายซึ่งล้วนรัดกุมตามปกติของชายหญิงชาวมุสลิม
ทว่า...ณ
เวลานี้ เทวดาที่ใครหลายคนต่างเห็นเป็นต้องหลงใหลกลับกลายเป็นปีศาจร้ายในสายตาของมนตร์ทรายเสียมากกว่า
เพราะไม่ว่าจะพินิจพิจารณาสักกี่ครั้งกี่ครา เขาก็คือ ชีคคาฟาห์ โมฮัมหมัด!
โอ้...พระเจ้า!!!
เธอขับชนรถของชีคผู้ปกครองรัฐ นี่มันย่ำแย่ยิ่งกว่านักธุรกิจพันล้านเสียอีก!!!
“เป็นอย่างไรบ้างอัมเม็ต?”
น้ำเสียงทุ้มกล่าวถามผู้รับใช้คนสนิท
“ยังคุยอยู่ครับท่าน
พอดีผู้หญิงคนนี้บอกว่าไม่ได้ตั้งใจ แต่ไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหน”
อีกฝ่ายรายงานความคืบหน้าอันน้อยนิดแด่ผู้เป็นนาย นัยน์ตาสีเหล็กกล้าปรายมองเธอตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าแล้วเหยียดริมฝีปากเป็นเส้นตรง
“คุณรู้หรือไม่
ว่า...รัฐคาฟาห์มีปัญหาเกี่ยวกับการประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์น้อยมากเพราะถนนที่เปิดโล่งไม่แออัด
รวมถึงสัญญาณไฟจราจรในแต่ละจุดจะมีป้ายดิจิตอลบอกระยะเวลาการเปลี่ยนสัญญาณล่วงหน้าถึงห้าร้อยเมตรทำให้รัฐของเราติดอันดับหนึ่งในด้านความปลอดภัย
แต่นั่นก็น้อยเกินกว่าความพยายามของคุณที่ยังอุตส่าห์ขับชนรถผมได้”
มนตร์ทรายก้มหน้ายอมรับผิดแต่โดยดี
เพราะเธอเหม่อลอยคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้มากเกินไป ซึ่งนั่นไม่เกิดผลดีเลยจริงๆทั้งที่ใครหลายคนเคยเตือนว่าอย่าฟุ้งซ่านระหว่างขับรถแท้ๆ
“ฉัน...ไม่ได้ตั้งใจจริงๆค่ะ...คือ...”
หญิงสาวพยายามหาเหตุผลเพื่ออธิบายให้ชีคฟัง หากแต่สมองยังคงมึนงงปนสับสน
เธอตื่นเต้นและประหม่าจนไม่รู้จะแก้ต่างได้อย่างไร
“นั่นใช้เป็นข้ออ้างไม่ได้หรอกนะ
ทำไมไม่ยอมรับตรงๆ ว่า...นี่เป็นการหากินอีกรูปแบบหนึ่ง!!!”
ประโยคนี้เองที่เรียกสติหญิงสาวให้กลับคืนมาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์
“หากิน?”
เธอย้ำคำๆนั้นอย่างไม่ค่อยเข้าใจ
“คุณเองก็น่าจะรู้เรื่องนี้ดี
ผู้หญิงเอเชียมากมายที่เข้ามาในแถบตะวันออกกลาง ถ้าไม่ได้คิดจับคนรวยเป็นสามีก็คงพยายามขายบริการด้วยวิธีแปลกๆเช่นนี้!”
ใบหน้าหวานด้านชาขึ้นมาจนแทบไร้ความรู้สึก
ริมฝีปากบางเม้มแน่นพลางพยายามสะกดกลั้นอารมณ์โกรธที่ปะทุขึ้นมาในอกเมื่อได้รับการเหยียดหยามดูถูกจากบุรุษตรงหน้าซึ่งกำลังใช้สายตาเดียดฉันท์ราวกับเห็นเธอไม่ใช่มนุษย์เยี่ยงเขา
“นี่คุณ…มันจะมากไปแล้วนะ!!!”
เธอตะโกนกลับอย่างโมโห หากแต่ไม่ได้ช่วยให้สีหน้าดูแคลนนั้นปรับเปลี่ยนเป็นในทางที่ดีขึ้น
“มันไม่มากเกินไปสำหรับผู้หญิงสกปรก
ดีเท่าไรแล้วที่ผมไม่สั่งเนรเทศคนประเภทคุณออกไปจากรัฐ แต่เอาเถอะครั้งนี้จะยอมยกโทษให้เพราะถือว่าคุณเลือกเป้าหมายผิดไปหน่อย!!!”
พูดจบเขาก็หมุนตัวกลับเข้าไปในพาหนะคันหรู
ทำให้ชายในชุดสูทสีดำกระวีกระวาดประจำตำแหน่งพลางขับรถออกไปจาก ณ ตรงนั้น
โดยไม่สนใจหญิงสาวที่อยู่เบื้องหลังว่าเธอจะกรีดร้องด้วยความเกรี้ยวกราดสักเพียงใด
“ใจเย็นๆแซนด์
ดีเท่าไรแล้วที่ท่านไม่สั่งลงโทษหรือให้ชดใช้ค่าเสียหาย”
ชาซียาเพื่อนสาวพยายามปลอบใจมนตร์ทรายในโทรศัพท์ หลังเธอระบายความอัดอั้นทั้งน้ำตาด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นให้ฟังชั่วครู่ใหญ่
นานแค่ไหนแล้วที่เธอไม่ได้ร้องไห้...จะดีไม่น้อยเลยถ้าเหตุผลนั้นเป็นเรื่องเศร้ามากกว่าเรื่องเจ็บใจซึ่งมันคับแน่นอยู่ในอก
หลายครั้งหลายคราวที่ผู้หญิงไทยถูกกล่าวหาแบบนี้
ให้โดนเหยียดหยามว่ามาจากประเทศกำลังพัฒนายังดีเสียกว่าถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้หญิงขายบริการ
ซ้ำคนพูดยังเป็นถึงชีคผู้ปกครองรัฐ
แล้วแบบนี้จะไม่ให้เธอรู้สึกเจ็บปวดมากกว่าปกติได้อย่างไร
“เธอไปทำข่าวที่โรงแรมยัสมินแทนฉันได้มั้ย?”
ข้อเสนอของมนตร์ทรายนั้นน่าสนใจไม่น้อย
แต่ความเป็นจริงนั้นยากที่ชาซียาจะตอบรับได้
“ไม่ได้หรอก
เธอก็รู้ว่ามิสเตอร์โรเบิร์ตแจ้งชื่อให้ทางนั้นทราบแล้วว่าจะส่งใครไป เอาน่า...พยายามตั้งใจทำงานนี้ให้ดีที่สุดเถอะ
เพราะน้อยคนนักที่จะได้สัมภาษณ์และพบผู้นำรัฐทั้งสิบอย่างใกล้ชิด
มันเป็นโอกาสที่หายากมากเลยนะแซนด์!”
แม้ในใจเธอจะคิดอย่างที่เพื่อนสาวพูด
หากแต่ความจริงแล้วปฏิเสธไม่ได้เลยว่าอีกด้านหนึ่งที่แอบซ่อนอยู่นั้นกำลังหวาดวิตกกับการทำงานในค่ำคืนนี้
เพราะนอกจากเหล่าผู้นำทางการเมือง เจ้าภาพที่รับรองก็คือ ชีคคาฟาห์ โมฮัมหมัด
นั่นเอง!!!
ผมดำยาวสลวยถูกมัดรวบสะบัดพลิ้วไปมาขณะที่ร่างบางในชุดเสื้อเชิ้ตสีครีมกับกางเกงยีนขายาวกำลังหมุนตัวตรงหน้ากระจกเงาบานใหญ่เพื่อตรวจเช็คความเรียบร้อยก่อนออกไปทำข่าวในอีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้า
งานนี้มนตร์ทรายจะพลาดไม่ได้เนื่องจากเป็นตัวแทนของรัฐคาฟาห์
อีกทั้งยังเป็นประสบการณ์ครั้งแรกและครั้งเดียวของเธอที่จะต้องผ่านไปให้ได้เพราะเพื่อนสนิทอย่างลีธอุตส่าห์ไว้วางใจมอบหมายงานนี้
ยานพาหนะสภาพยับเยินไม่น่าอภิรมย์ต่อผู้คนที่พบเห็นแต่ก็เป็นหนทางเดียวในการไปถึงโรงแรมยัสมิน
เนื่องจากจุดหมายค่อนข้างห่างไกลซ้ำยังไม่ติดถนนใหญ่เพราะอาณาบริเวณกว้างขวางสำหรับทำกิจกรรมต่างๆจึงได้ตั้งอยู่ลึกในซอยส่วนบุคคล
หัวใจเต้นดังและเร็วขึ้นทุกขณะเมื่อหญิงสาวพาตัวเองเข้าใกล้สถานที่จัดงานเรื่อยๆ
จวบจนตอนนี้สองเท้าเล็กๆหยุดยืนอยู่หน้าห้องแกรนด์ บอลรูม ชั้นที่หกสิบของโรงแรมยัสมินอันเป็นจุดหมายปลายทาง
เสียงดนตรีบรรเลงเพลงสากลภายในห้องนั้นดังเล็ดลอดออกมาแม้จะถูกปิดประตูไว้อย่างหนาแน่นโดยเวรยามรักษาความปลอดภัยตรงทางเข้าด้านหน้า
พวกเขาตรวจตราบัตรเชิญอย่างละเอียดไม่เว้นแม้แต่ผู้ทรงอำนาจจากทั้งสิบรัฐเพื่อป้องกันการปลอมแปลงแฝงตัวเข้ามาก่อการร้ายหมายปลิดชีพ
และเมื่อมนตร์ทรายฝ่าด่านนี้เข้าไปได้ก็ต้องพบกับความอลังการของงานที่ยิ่งใหญ่สมกับรัฐคาฟาห์เป็นผู้จัด
แชนเดอเลียร์คริสตัลเจียระไนวาววับจับตาบนเพดานหินอ่อนช่วยส่องประกายฉายโต๊ะทรงกลมนับพันตัวซึ่งถูกปูด้วยผ้าสีขาวระยิบระยับยามต้องแสงเพราะการถักทอผสมดิ้นทองคำ
บนโต๊ะเหล่านั้นมีกุหลาบสีแดงสดปักอยู่ในแจกันหินอะลาบาสเตอร์สีขาวนวล
ยังไม่นับพื้นที่ว่างกลางโถงหรูมันคลาคล่ำไปด้วยอาหารมากมายสไตล์บุปเฟต์ ทั้งเนื้อวัว
เนื้อไก่ รวมถึงอาหารทะเลสดๆจากเมดิเตอร์เรเนียน และไฮไลท์โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของอาหรับคงหนีไม่พ้นดอนเนอร์เคบับเนื้อแกะที่ถูกเสียบย่างหมุนโชว์ข้างเตาไฟราวกับการแสดงพิเศษ
กลิ่นไอของอารยธรรมตะวันออกกลางได้ถูกผสมผสานอย่างลงตัวกับยุโรปสากลเมื่อวงดนตรีออเคสตร้าบนเวทีขนาดใหญ่กำลังบรรเลงเพลงพื้นเมืองของรัฐคาฟาห์ที่แข็งแกร่งประดุจหินผาหากแต่ลึกซึ้งละมุนละไมยามได้ใคร่ครวญคิดตามท่วงทำนอง
เหนือศิลปินหลายสิบชีวิตขึ้นไปนั้นมีป้าย “งานเจรจาผู้นำระหว่างรัฐประจำปี”
ติดอยู่เด่นชัด ซึ่งหมายความว่า...ในแต่ละปีจะมีการจัดงานแบบนี้ขึ้นหนึ่งครั้งเพื่อปรึกษาหารือเกี่ยวกับด้านการเมืองการปกครองในตลอดช่วงปีที่ผ่านมา
ผู้นำทั้งสิบรัฐจะแลกเปลี่ยนความรู้ความสามารถเพื่อนำไปบริหารรัฐให้ดีขึ้นนั่นเท่ากับช่วยทำให้ประเทศเจริญเติบโตตามลำดับ
และในปีนี้เจ้าภาพ คือ รัฐคาฟาห์ นั่นเอง หลังจากปีที่แล้วผู้จัด คือ รัฐยัสซิม
อันเป็นเมืองหลวงและปกครองโดยผู้นำรัฐ คือ ชีค ยัสซิม โมฮัมหมัด
กษัตริย์แห่งสหรัฐอาหรับฟาเราะห์
นอกจากนี้ยังมีข่าวร่ำลือ
ว่า...ชีคคาฟาห์ โมฮัมหมัด
หาได้เป็นผู้นำรัฐที่ได้รับการแต่งตั้งปกติเยี่ยงผู้นำรัฐคนอื่นๆ
แต่เขาเป็นองค์รัชทายาทของชีคยัสซิมที่ถูกปกปิดเอาไว้เพื่อป้องกันผู้ก่อการร้ายหมายลอบเอาชีวิตก่อนได้รับตำแหน่งการปกครองสูงสุด
ความหรูหราของบรรยากาศผสมผสานกับการแต่งกายของชายหญิงชาวมุสลิมที่คล้ายคลึงกันไปหมดทำให้มนตร์ทรายเกิดความสับสนได้ไม่ยาก
บ่อยครั้งเธออดคิดไม่ได้ว่าใบหน้าของผู้คนในดินแดนแถบอาหรับช่างละม้ายคล้ายคลึง
ทั้งบุรุษยังสวมใส่กันดูเราะห์สีขาวเหมือนกันไม่ต่างจากสตรีที่สวมใส่อาบายะห์สีดำสนิทยาวปกปิดทุกสัดส่วนบนร่างกาย
ซ้ำยังคลุมฮิญาบเหลือไว้เพียงนัยน์ตาคมกริบที่เหมือนกันหมดทุกคน
ไม่เข้าใจจริงๆว่าพวกเขาจำกันได้อย่างไร
หากแต่ในตอนนี้เธอต้องละทิ้งความสงสัยเหล่านั้นเอาไว้เบื้องหลัง
เพราะเบื้องหน้าคืองานสำคัญที่จำเป็นต้องฝ่าฟันไปให้ได้
อุปกรณ์สำคัญของนักข่าวถูกเตรียมพร้อมเมื่อกล้องตัวใหญ่แขวนคล้องคอ
เช่นเดียวกับในมือที่ถือเครื่องบันทึกเสียง โดยไม่ลืมติดบัตรวีไอพีในฐานะนักข่าวเอาไว้ตรงกระเป๋าเสื้อเชิ้ต
โชคดีที่ผู้นำรัฐและผู้ทรงอำนาจส่วนใหญ่สวมใส่บิชต์สีดำคลุมทับกันดูเราะห์สีขาวในงานสำคัญหรือโอกาสพิเศษ
มนตร์ทรายจึงสามารถแยกแยะได้ว่าใครคือผู้ที่ควรสัมภาษณ์ และแน่นอนว่าถ้าให้เลือกได้
ชีคคาฟาห์จะเป็นคนสุดท้ายที่หญิงสาวขอสัมภาษณ์ หากแต่โชคไม่ได้อำนวยเข้าข้างเธอมากนักเมื่อสายตาเหลือบไปพบกลุ่มนักข่าวการเมืองกำลังถ่ายรูปและบันทึกเสียงท่านผู้นำรัฐเจ้าภาพพอดิบพอดี
โชคร้ายที่เธอต้องเข้าไปร่วมกลุ่มนักข่าวเหล่านั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะไม่ต้องการให้ข้อมูลสำคัญหลุดพลาดไป
แต่ในความโชคดีคือไม่ต้องสัมภาษณ์ตัวต่อตัวโดยใช้การซักถามของนักข่าวคนอื่นๆเพื่อเก็บข้อมูลก็เพียงพอ
มือบางพยายามแหวกกลุ่มนักข่าวที่รุมล้อมชีคคนสำคัญเพื่อขอเก็บภาพสวยๆไปใช้ในหน้าหนังสือพิมพ์
หากแต่แรงเบียดเสียดส่งผลให้สาวน้อยตัวเล็กๆถูกผลักดันหลุดเข้าไปตรงกลางวง ซ้ำยังซวนเซเพราะไม่อาจตั้งหลักได้จึงไขว้คว้าใครบางคนเพื่อยันตัวเองไว้ไม่ให้ล้ม
โดยไม่ทันสังเกตว่าคนๆนั้น คือ ชีคคาฟาห์!
ทุกคนเงียบกริบราวกับนัดหมาย
มีเพียงเสียงดนตรีออเคสตร้าคลอเคล้าเท่านั้นที่ช่วยไม่ให้บรรยากาศอึมครึมจนเกินไป
หากแต่มันก็ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นเลยเมื่อนัยน์ตาสีเทาคมกริบจดจ้องมองเธออย่างจำได้แม่นยำ
“เอ่อ...ขอโทษค่ะ คือฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ” เป็นอีกครั้งที่เธอต้องขอโทษขอโพยเขา
โดยหวังให้ใบหน้าหล่อเหล่าซึ่งขึงตรึงอยู่นั้นผ่อนปรนลง หากแต่ไม่เลย...
“ใครเชิญคุณเข้ามาที่นี่ไม่ทราบ!!!” ท่านผู้นำรัฐกล่าวถามด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวจนใครหลายคนถึงกับหน้าถอดสี
เนื่องจาก...ชีคคาฟาห์ทั้งเข้มงวดกวดขันในระเบียบ ซ้ำยังใจแข็งเย็นชาไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งนั้น
แม้แต่กษัตริย์เขาก็หาได้เกรงกลัวอำนาจจนต้องก้มศีรษะให้ ทว่า...ชีคยัสซิมก็ไม่ถือโทษโกรธาซ้ำยังโปรดปรานชีคคาฟาห์เพราะความเป็นคนตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม
กลายเป็นข่าวร่ำลือว่าแท้จริงแล้วเขาก็คือองค์รัชทายาทนั่นเอง
“คือ...ฉันเป็นตัวแทนจากสำนักข่าวคาฟาห์ค่ะ”
แม้มันจะทำให้ชื่อเสียงสำนักข่าวคาฟาห์เสียหาย
แต่คงดีกว่าถูกจับโยนออกไปข้างนอก
“นักข่าว?”
นัยน์ตาคมกริบหลุบลงต่ำอย่างไม่เชื่อถือ
เป็นอีกครั้งที่เขาเหยียดสีหน้ามองเธอตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอย่างดูแคลน
“ผมจำได้ว่านักข่าวตัวแทนรัฐไม่ใช่คุณ”
“พอดีเพื่อนฉันมาทำงานนี้ไม่ได้
ทางสำนักข่าวเลยส่งฉันมาแทนค่ะ”
“ผมขอดูบัตรวีไอพีของคุณหน่อยสิ”
เขากำลังจับผิดเธอ
แต่...ไม่มีวันเสียล่ะที่คนอย่างมนตร์ทรายจะกลายเป็นตัวตลกต่อหน้าผู้คนนับร้อยนับพันเพราะเธอไม่เคยทำผิดพลาดเรื่องงานสักครั้ง
หญิงสาวรีบคว้าสิ่งยืนยันที่ติดไว้ตรงกระเป๋าเสื้อหากแต่มันกลับกลายเป็นอากาศธาตุคงเพราะหลุดหล่นไประหว่างฝ่าฝูงชนเข้ามาทำข่าวนั่นเอง
นัยน์ตากลมโตล่อกแล่กควานหาบัตรของตัวเองซึ่งอาจตกหล่นตามพื้น
ขณะที่บุรุษตรงหน้ายังคงจับจ้องมองมาอย่างเย้ยหยัน และเธอต้องสารภาพเมื่อท้ายที่สุดก็ยังหาไม่เจอ
“เอ่อ...ฉันคิดว่ามันคงตกหายไปตอนหกล้มค่ะ”
“พนักงานรักษาความปลอดภัยอยู่ที่ไหน
มาพาผู้หญิงคนนี้ออกไปจากงานเดี๋ยวนี้!!!”
คำสั่งดั่งประกาศิตเมื่อบอดี้การ์ดจำนวนสามถึงสี่คนวิ่งตรงเข้ามาท่ามกลางความตกใจของมนตร์ทราย
“นี่คุณ...ฉันไม่ได้โกหกนะ!!!”
แม้เธอจะตะโกนร้องบอกอย่างไรก็ไม่เป็นผลเมื่อชายในชุดเครื่องแบบเข้าหิ้วปีกทั้งซ้ายขวา
“เก็บคำพูดของคุณเอาไปใช้หลอกคนอื่นดีกว่ามั้ง...แม่สาวเอเชีย!”
“คุณทำแบบนี้กับฉันไม่ได้นะ!!!” มนตร์ทรายตะโกนอย่างโมโหพลางพยายามสะบัดตัวเองให้หลุดจากการจับกุม
เพราะทนไม่ไหวที่โดนเหยียดหยามถึงสองครั้งสองคราภายในวันเดียวกัน
“ทำไมจะทำไม่ได้ ในเมื่อผมเป็นเจ้าของรัฐแห่งนี้!!!” เขาตวาดด้วยเสียงดังจนแทบทั้งห้องแกรนด์ บอลรูม ต่างเพ่งความสนใจมายังทั้งคู่ที่ประจันหน้าอย่างไม่เกรงกลัวในแต่ละฝ่าย
“ต่อให้เป็นชีคเจ้าของรัฐก็ไม่มีสิทธิ์ดูถูกใคร
อำนาจเงินของคุณอาจเป็นเจ้าชีวิตใครหลายคนได้แต่ไม่ใช่กับฉัน!!!” คำพูดจากปากหญิงสาวที่ตอกใส่หน้าชีคคาฟาห์ทำให้ใครหลายคนตกใจเพราะไม่เคยมีผู้ใดกล้าต่อว่าเขามาก่อน
“จดจำคำพูดของคุณเอาไว้
พวกเจ้าพาผู้หญิงคนนี้ออกไป!!!” เขาสั่งย้ำอีกครั้งพลางหมุนตัวเดินออกไปไม่สนใจเสียงกรีดร้องของหญิงสาวที่ดังอยู่เบื้องหลังพลางส่งสัญญาณมือให้วงออเคสตร้าเริ่มบรรเลงเพลงอีกครั้งราวกับไม่เคยเกิดเหตุการณ์ปะทะคารมกันมาก่อนหน้านี้
แต่ใครจะรู้บ้างเล่าว่าภายใต้สีหน้าที่เรียบเฉยเย็นชากลับร้อนระอุจนมันส่งผลให้นัยน์ตาสีเทานั้นแข็งกร้าว
เขาไม่เคยยอมใครแม้แต่กษัตริย์
แล้วนับประสาอะไรกับผู้หญิงเอเชียต่ำๆ ถ้าไม่จัดการให้รู้สำนึกก็ไม่ใช่ชีคคาฟาห์
โมฮัมหมัด!!!
ความคิดเห็น