ตอนที่ 148 : ภาค 2-บท 48 สงครามป้อมปราการทมิฬ (1)
“ปืนใหญ่ ยิงได้ !” หัวหน้าเผ่าไซเลนตะโกนเสียงดังลั่น พร้อมกับเสียงกลองที่เปลี่ยนไปเพื่อส่งสัญญาณให้แนวป้องกันบนป้อมปราการโจมตี
เสียงระเบิดดังกึกก้องไปทั่วสนามรบ ปืนใหญ่นั้นสามารถสอยม้าเพกาซัสให้ร่วงลงจากท้องฟ้าได้เพียงไม่กี่ตนเท่านั้น
เพราะปืนใหญ่จำเป็นต้องเล็งขึ้นท้องฟ้า นั่นจึงทำให้ความเร็วของมันลดลง และส่งผลให้ม้าเพกาซัสหลบได้ง่ายขึ้น
“คาเรอัสเจ้าจงเตรียมพลธนูยาวให้พร้อมสำหรับการโจมตีระยะไกล คาอัสเจ้าจงนำกองทัพนักรบเงาเข้าปกป้องโครงกระดูกเพื่อเป็นทัพหน้ารับการโจมตี ส่วนราชันก็อบลินเจ้าจงหาที่ซ่อนและรอโอกาสโจมตีที่เหมาะสม บริเวณนี้มีต้นไม้ที่สูงและแนวป้องกันอีกมาก จงใช้ให้เป็นประโยชน์”
เวลโดรเริ่มแจกแจงหน้าที่ของแม่ทัพแต่ละคนตามความเหมาะสมทันที
ทั้งคาเรอัสและคาอัส รวมถึงราชันก็อบลินก็ต่างแยกกันไปควบคุมกองทัพของตนเพื่อเข้าตั้งรับการโจมตีจากกองทัพอัศวินม้าเพกาซัส
คาเรอัสควบม้ากลับไปยังกองทัพโครงกระดูก และออกคำสั่งให้ทุกตนเตรียมคันศรและลูกธนูให้พร้อม
เหล่าทหารโครงกระดูกเริ่มง้างธนูยาวในมือและเล็งตรงไปยังม้าเพกาซัสบนฟ้าและรอคำสั่งยิง เพราะกองทัพโครงกระดูกเป็นทัพที่โจมตีระยะไกลได้ดีที่สุด
คาอัสเองก็เช่นกันเขาเดินไปยังกองทัพร่างเงาและบังคับให้พวกนักรบเงาเตรียมการป้องกันการโจมตีที่เข้ามา เนื่องจากกลุ่มนักรบเงานั้นไม่ค่อยมีการโจมตีระยะไกลที่มากนัก แต่มีร่างกายที่ทนทานและตายยาก
ส่วนราชันก็อบลินเองก็เช่นกัน พวกก็อบลินไม่ถนัดการโจมตีระยะไกล และไม่ได้มีความแข็งแกร่งทางร่างกายที่มากนัก ราชันก็อบลินจึงสั่งให้กองทัพของตนเข้าหาที่กำบังและรอคอยจังหวะซุ่มโจมตี
เวลโดรนั้นมีความเข้าใจในเรื่องจุดแข็งจุดอ่อนของแต่ละเผ่าอย่างดี จึงทำให้เขาสามารถออกคำสั่งที่เหมาะสมกับทัพของตนได้อย่างไม่ยากเย็น
สายตาของคาเรอัสที่จ้องมองไปยังเวลโดรนั้นยังเต็มไปด้วยความเลื่อมใสเช่นเคย
ส่วนราชันก็อบลินก็มีท่าทีเคารพเวลโดรมากขึ้นกว่าเดิม เพราะการออกคำสั่งที่มีตรงกับสถานการณ์ อีกทั้งยังสามารถดึงจุดแข็งของแต่ละเผ่ามากลบจุดอ่อนได้
เหล่าอัสวินม้าเพกาซัสเริ่มลดระดับการบินลง และเตรียมพุ่งเข้าโจมตีทหารเผ่าไซเลนที่ประจำการอยู่บนป้อมปราการ
“ยิงเวทได้!” หัวหน้าเผ่าไซเลนตะโกนเสียงดังลั่น
ทันใดนั้นเองวงเวทหลายวงก็ถูกวาดขึ้นกลางอากาศและโจมตีใส่อัศวินเพกาซัสที่โจมตีเข้ามา
แต่ทว่าพวกอัศววินเพกาซัสนั้นหาได้อ่อนแอไม่ พวกเขาเองก็มีเวทเช่นเดียวกัน
พวกเขาเริ่มร่ายเวทป้องกันออกมา นั่นจึงส่งผลให้เกิดม่านพลังโล่ทรงกลมสีทองรอบตัวพวกเขา
ม่านพลังสีทองป้องกันการโจมตีจากเวทและลูกธนูจากโครงกระดูกได้เป็นอย่างดี
นั่นจึงทำให้อัศวินเพกาซัสสามารถฝ่าการโจมตีระลอกที่ 2 เข้ามาได้ และสามารถโจมตีเหล่าทหารบนป้อมปราการได้สำเร็จ
“กระบวนทัพ 9 มังกร!” เสียงตะโกนของมอสได้ดังขึ้น และตามมาด้วยเหล่าอัศวินที่ทวนคำสั่งซ้ำ ๆ
ทันใดนั้นเองทัพอัศวินเพกาซัสที่กระจุกตัวอยู่เป็นทัพกันในตอนแรกเริ่มแบ่งแยกออกมาเป็นกลุ่มย่อยทั้งหมด 9 กลุ่ม และพุ่งเข้าโจมตีในจุดที่แตกต่างกัน
ในขณะที่กำลังพุ่งโจมตีลงมานั่นเองมอสก็สังเกตเห็นโลงศพสีทองเงินบริเวณทัพหลัง ของกองทัพโครงกระดูกอยู่ไม่ไกล
ใช่แล้ว ถ้ายังจำกันได้มันก็คือโลงศพที่เวลโดรเจอในวิหารลอยฟ้าและนำพามันวาร์ปข้ามมิติมาด้วย
หลังจากที่คาเรอัสทำลายผนึกศักดิ์สิทธิ์ได้สำเร็จ เวลโดรก็สั่งให้ปีศาจโครงกระดูกแบกเจ้าสิ่งนี้ไปด้วยเพราะคิดว่าเวลโดรอาจจะต้องการใช้มัน ถึงแม้เจ้าตัวจะไม่ได้สั่งก็ตาม
“นั่นต้องเป็นสมบัติที่เวลโดรขโมยมาจากวิหารลอยฟ้าแน่”
มอสกล่าวด้วยความโกรธแค้นและควบม้ามุ่งหน้าเข้าโจมตีปีศาจโครงกระดูกรอบ ๆ โลงศพ
เหตุผลที่มอสคิดว่าโลงศพเป็นของจากวิหารลอยฟ้านั่นก็เพราะมันมีสีทองเงินแตกต่างกับสีที่พวกปีศาจใช้กัน
คาเรอัสเองก็เช่นกันเขาสังเกตเห็นม้าเพกาซัสตนหนึ่งที่แยกออกจากกลุ่มและพุ่งลงมาตัวเดียว เขาจึงควบม้าโครงกระดูกเข้าไปจัดการทันที
คาเรอัสสร้างหอกกระดูกในมือและแทงออกไปอย่างเต็มกำลัง
ม้าเพกาซัสของมอสที่กำลังดิ่งตัวลงมานั้นถึงกับต้องรีบเบี่ยงตัวหลบหอกกระดูกของคาเรอัส
มอสเริ่มร่ายเวทลำแสงและโจมตีสวนกลับใส่คาเรอัส ซึ่งมันก็เป็นเวทเหมือนกับที่อาเธน่าในร่างของนักบุญศักดิ์สิทธิ์เคยใช้ แต่ดูจากสภาพแล้วท่าจะอ่อนแอกว่า
ในขณะเดียวกันม้าเพกาซัสก็เก็บปีกและเริ่มวิ่งอยู่บนพื้นเหมือนม้าธรรมดา
มือซ้ายของมอสจำเป็นต้องร่ายเวทอย่างต่อเนื่องเพื่อกดคาเรอัสไว้ ในขณะที่มือขวาต้องเหวี่ยงดาบเพื่อฟาดฟันนักรบโครงกระดูกที่เข้ามา
แต่คาเรอัสเองก็ไม่ได้อ่อนแอ เขารีบควบม้าโครงกระดูกและใช้หอกกระดูกในมือปัดลำแสงที่พุ่งเข้ามาได้อย่างแม่นยำ
เมื่อม้าเพกาซัสที่ขึ้นขี่โดยมอสเริ่มเข้าใกล้ระยะโจมตีของคาเรอัสที่ขึ้นขี่ม้าโครงกระดูกนั่นเอง
คาเรอัสเริ่มร่ายเวทและนั่นก็ทำให้เกิดไฟสีทมิฬห้อมล้อมไปทั่วทั้งหอกกระดูก
เมื่อเป้าหมายเข้าสู่ระยะโจมตีคาเรอัสจึงไม่รอช้าแทงหอกออกไปทันที
หอกเพลิงทมิฬพุ่งฉียดแก้มของมอสไปได้อย่างน่าเสียดายเพราะมอสสามารถเบี่ยงตัวหลบได้ทัน
ในขณะเดียวกันนั่นเองดาบของมอสก็ตวัดโจมตีออกไป จริงอยู่ที่ระยะดาบนั้นฟันไม่ถึงตัวของคาเรอัส แต่ทว่าเมื่อมอสตวัดดาบแล้วคลื่นพลังสีทองก็ถูกปล่อยออกมาจากดาบและพุ่งเข้าโจมตีแทน
คลื่นพลังสีเหลืองทองพุ่งกระแทกเข้าใส่ชุดเกราะของคาเรอัสจนเกิดเป็นรอย และเริ่มมีไอสีขาวจาง ๆ เกิดขึ้นบริเวณชุดเกราะส่วนที่โดนโจมตีโดยคลื่นพลังงาน
“ถ้าข้าจำไม่ผิด เจ้าคือมอสหนึ่งในผู้นำภาคีแห่งแสงผู้ที่มีเลเวล 95…ผู้กล้าคล็อดนั่นมีทักษะเวทที่มากมายเสียจริง”
คาเรอัสรู้ดีว่าภาคีแห่งแสงเกิดจากผู้กล้าคล็อดที่เป็นคนส่งต่อทักษะการต่อสู้และอุปกรณ์ให้ จึงทำให้พวกเขามีความแข็งแกร่งที่มิอาจดูถูกได้
ทั้งคาเรอัสและมอสต่างเข้าปะทะกันอย่างสูสีและดูเหมือนจะไม่มีใครเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

741 ความคิดเห็น
-
#312 Fikusa (จากตอนที่ 148)วันที่ 25 มีนาคม 2563 / 09:47สู้กันมันหยดจริงๆ#3121
-
#312-1 SuruMaster(จากตอนที่ 148)25 มีนาคม 2563 / 10:58เป็นสงครามเลยละครับ 555#312-1
-