ตอนที่ 129 : ภาค 2-บท 29 ร่างเงาปริศนา
ณ เกาะลอยฟ้าเหนืออาณาจักรทางตอนกลาง
เหล่าหมู่เมฆบนท้องนภาเริ่มสลายตัวและกลับไปเป็นปกติดังเดิม นั่นจึงทำให้ท้องฟ้ากลับมาสว่างอีกครั้ง
ส่วนมังกรทองที่เกิดจากการรวมตัวของมานาสลายหายไปในอากาศเช่นกัน
เมื่อพลังเวทที่ถูกบรรจุไว้ในแท่นบูชาได้หมดลง ผลลัพธ์ที่เกิดจากวงเวทภายในแท่นบูชาก็สิ้นสุด
ในตอนนี้แทบจะทั่วทั้งโลกได้รับรู้โดยพร้อมเพรียงกันแล้วว่าจอมมารลำดับที่ 3 เวลโดรได้หลุดจากการคุมขังของผนึกศักดิ์สิทธิ์แล้วเป็นที่เรียบร้อย
หลังจากที่เวลโดรได้ออกจากวิหารลอยฟ้าสมบัติแสงได้ไม่นาน เหล่านักรบพาลาดินก็สามารถทำลายหนามทมิฬได้สำเร็จ
ในขณะเดียวกันนั่นเองเสียงของโลหะที่กระทบกันได้ดังขึ้นอย่างเป็นจังหวะ
นักรบพาลาดินอีกประมาณ 100 นายได้เคลื่อนพลเข้ามาบนเกาะแห่งนี้ได้สำเร็จ
ธงประจำกองทัพของพวกเขาเป็นรูปของมังกรสีทองอันสง่างาม
พวกเขาคือภาคีอัศวินแห่งแสง มีศักดิ์เป็นผู้รับช่วงต่อจากผู้กล้าคล็อด
เมื่อพันปีที่แล้วก่อนที่ผู้กล้าคล็อดจะสิ้นชีพลงหลังจากที่ปราบจอมมารเวลโดรสำเร็จ
เขาได้ก่อตั้งกองทัพขึ้นมา นั่นคือภาคีอัศวินแห่งแสง อันซึ่งเป็นกองกำลังที่ถูกฝึกฝนจากผู้กล้าคล็อดโดยตรง
ทุกวิชาทุกทักษะทุกศิลปะการต่อสู้ถูกส่งต่อและส่งผ่านกันในภาคีอัศวินแห่งแสง
เพื่อรักษาความศักดิ์สิทธิ์และความยิ่งใหญ่ของภาคีนี้ พวกเขาจึงตัดสินใจจะรับเพียงแค่ผู้ที่มีศรัทธาและจิตใจอันบริสุทธิ์เท่านั้น
นั่นจึงทำให้ภาคีอัศวินแห่งแสงจึงกลายเป็นที่ยอมรับและนับถือ
แต่เหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้ภาคีนี้แข็งแกร่งทั้ง ๆ ที่มีการกำจัดสิทธิ์เข้าร่วมภาคีขนาดนี้ก็คืออาวุธและชุดเกราะที่ได้รับสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน
อาวุธและชุดเกราะของผู้กล้าคล็อดมีทั้งหมด 3 อย่างด้วยกัน
อุปกรณ์ทั้ง 3อย่างนั้นจะถูกถือครองโดยผู้นำภาคีทั้ง 3 คนเพื่อถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกัน
ในวันนี้ผู้นำภาคีอัศวินแห่งแสงมาที่นี่เพียงคนเดียวเพื่อตรวจสอบเรื่องราวที่เกิดขึ้น
มอสคือนามของหนึ่งในผู้นำภาคี เขาเป็นชายวัยกลางคนผู้มีความน่าเกรงขามชุดเกราะที่เขาสวมคือเกราะมังกรเงินของผู้กล้าคล็อดเมื่อพันปีก่อน
“จอมมารเวลโดรเอาสมบัติไปทั้งหมดแล้ว ข้าคงมีแต่ต้องปลิดชีพตนเพื่อชดใช้บาปที่ข้ามาหยุดมันไม่ทัน”
ภายในวิหารลอยฟ้าสมบัติแสงนั้นเต็มไปกล่องสมบัติที่ถูกเปิดออก และแน่นอนว่าไม่มีสมบัติอะไรเหลือในที่แห่งนี้อีกแล้ว
แม้แต่ผนึกศักดิ์สิทธิ์เองที่เคยถูกบันทึกว่ามันถูกเก็บไว้ในวิหารลอยฟ้าก็พลอยหายไปด้วย
“ถึงเวลาที่ภาคีแห่งแสงต้องร่วมมือกัน เรียกผู้นำภาคีแห่งแสงทุกคนมาที่นี่ ภารกิจครั้งนี้ใหญ่หลวงเกินกว่าที่ข้าจะจัดการคนเดียวได้”
มอสออกคำสั่งแก่เหล่านักรบพาลาดินก่อนที่จะนั่งคุกเข่าลงบริเวณกลางวิหารลอยฟ้า
ก่อนหน้านี้ไม่นานมอสได้รับรายงานมาว่าของเหลวสีดำที่เจิ่งนองอยู่บนพื้นนี้ได้คร่าชีวิตของนักรบพาลาดินด้วยการสัมผัส
ไม่ว่าใครที่ได้แตะกับของเหลวสีดำนี่ก็ล้วนแต่ถูกเผาจนไม่เหลือชิ้นดีและไม่มีใครสามารถเข้าช่วยเหลือได้ทัน
นักรบบางคนก็บอกว่าเป็นของฝากจากจอมมารเวลโดรก่อนที่เขาจะจากไป
มอสผู้มีศักดิ์เป็นหนึ่งในผู้นำภาคีก็ต้องมาจัดการเรื่องวุ่นวายนี้เป็นธรรมดา
นิ้วมือที่หุ้มเกราะสีเงินของมอสซึ่งไม่ใช่เกราะส่วนเดียวกับเกราะมังกรเงินของผู้กล้าคล็อด
เกราะมังกรเงินจะเป็นเกราะที่กันช่วงไหล่ยาวลงมาจนถึงเอวเท่านั้นไม่ได้ไม่ใช่ส่วนเดียวกับเกราะแขนและถุงมือ
เมื่อนิ้วหุ้มเกราะของมอสสัมผัสกับของเหลวสีดำที่อยู่บนพื้นวิหารนั่นเอง
เปลวเพลิงสีแดงก็ได้ลุกไหม้ขึ้นมาจนมอสต้องรีบถอดถุงมือเกราะออกและโยนทิ้ง
ใช้เวลาไม่นานเปลวเพลิงสีแดงก็ลุกไหม้ไปทั้งเกราะมือจนกลายเป็นของเหลวเช่นเดียวกับของเหลวสีดำที่เจิ่งนองอยู่บนพื้น
ของเหลวสีดำบนพื้นนั่นก็คือเกราะแขนของเวลโดรที่ถูกแก่นแท้ตะวันหลอมไปนั่นเอง
ถึงแม้เวลาจะผ่านไปนานแล้วผลลัพธ์ก็ยังคงอยู่ ซึ่งมอสเองก็ไม่ได้รู้เรื่องนี้
“ข้าขอสาบาน หลังจากที่ข้าผนึกจอมมารเวลโดรด้วยผนึกศักดิ์สิทธิ์สำเร็จแล้ว ข้าจะปลิดชีพของตนเพื่อไถ่โทษ”
มอสเอ่ยพลางชักดาบสีเงินออกมา และแทงลงไปที่ของเหลวสีดำ
เปลวเพลิงเริ่มลุกไหม้ขึ้นไปบนตัวดาบ แต่ในชั่วพริบตาถัดมาดาบสีเงินก็ได้เปลี่ยนเป็นสีทอง
“พรแห่งการชำระล้าง” มอสร่ายเวท
หลังจากการร่ายเวทสิ้นสุดลงของเหลวสีดำจึงได้อันตรธานหายไปจนหมดสิ้นเหลือทิ้งไว้เพียงพื้นวิหารที่มีรอยไหม้
กลับไปที่กันต์ในร่างของเวลโดร
เหล่านักรบร่างเงายังคงดาหน้าเข้ามาไม่จบไม่สิ้น
ทั้งเวลโดรและหญิงสาวสวมหน้ากากแดงได้ร่วมมือกันต่อสู้กับร่างเงามาได้พักหนึ่ง
“ร่างเงาพวกนี้เป็นของใคร” เวลโดรเอ่ยถามในขณะที่ตนออกหมัด
นักรบร่างเงาที่โดนการโจมตีของเวลโดรนั้นถึงกับนิ่งไป เพราะกรงเล็บของเวลโดรได้แทงทะลุเข้ากลางของหัวร่างเงาเต็ม ๆ
เมื่อร่างเงาได้รับความเสียหายถึงจุด ๆ หนึ่งพวกมันก็จะสลายกลายเป็นผุยผงสีดำลอยหายไปในอากาศ
“ข้าเองก็ไม่มั่นใจนัก แต่น่าจะเป็นของพวกนักรบเผ่ามนุษย์จากที่ไหนสักแห่ง” หญิงสาวตอบกลับในขณะที่ดาบสีแดงกวาดตัดคอนักรบเงาขาดกระเด็น
ในระหว่างที่พวกเขากำลังคุยกันราวกับเป็นเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมานานนั่นเอง เสียงของโลหะที่เสียดสีไปกับพื้นได้ดังขึ้น
มันเป็นเสียงของโลหะที่ถูกลากไปกับพื้น เมื่อเหล่าร่างเงาได้ยินเสียงนี้พวกมันก็หยุดชะงักและยืนนิ่งไปในทันที
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

739 ความคิดเห็น
-
#266 Fikusa (จากตอนที่ 129)วันที่ 6 มีนาคม 2563 / 09:07งืมๆๆ รู้สึขำนิดๆที่เขาแค้นกันเพราะเกราะแขนเวลโดร ฮ่าๆๆๆ#2661
-
#266-1 SuruMaster(จากตอนที่ 129)6 มีนาคม 2563 / 13:04ของฝากพี่แกก่อนไปครับ555#266-1
-