ตอนที่ 112 : ภาค 2-บท 12 ผนึกที่อ่อนกำลัง
"อาการของเจ้าหนุ่มนั่น จะเริ่มจากหมดสติอย่างกระทันหัน หลังจากนั้นก็ขึ้นอยู่กับเจ้าตัวแล้วว่าจะมีอาการยังไง"
ริสาหันมองอสรพิษสีขาวด้วยท่าทางอันเรียบเฉย อย่างกับเธอกำลังคิดถึงอะไรบางอย่างอยู่
“แต่เจ้าไม่ต้องกังวลไป ถ้าเจ้าหนุ่มนั่นเป็นลูกศิษย์ของเวรัคจริงยังไงก็รอด” อสรพิษสีขาวค่อย ๆ พูดออกมา
เมื่อสิ้นประโยคริสาก็คิดขึ้นมาได้ทันที เหตุผลที่อสรพิษตัวนี้ยอมมอบเลือดของมันให้ในครั้งนี้เพราะมันกำลังหวังผลจากเหตุการณ์ตรงนี้อยู่
มันต้องการทดสอบว่าชายในชุดคลุมที่มีชื่อว่าเดสเพียร์นั้นเป็นลูกศิษย์ของเวรัคจริงหรือไม่
แต่ยังไงก็ตามริสาเองก็ยังเชื่อว่า ต่อให้เดสเพียร์ไม่ใช่ลูกศิษย์ของเวรัคจริง ยังไงเขาก็รอด
ในขณะเดียวกันที่เมืองเคสมอร์ ภายในวิหารนักบุญศักดิ์สิทธิ์
ที่บริเวณทางเข้าวิหารเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังแบกวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อฟื้นฟูเมือง ซึ่งก็เกือบจะสมบูรณ์แล้ว
ในตอนนี้กองเคสมอร์อันเป็นกองกำลังหลักได้กลับมาถึงเมืองหลวง
พวกเขาต่างอยากรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างที่พวกเขาไม่อยู่และกำลังรีบกลับมา
ส่วนคำตอบที่ได้ก็มีเพียงวีรบุรุษที่มีนามว่าเครกเท่านั้น กับตำนานของปีศาจปีกดำที่เล่าขานอยู่ในกลุ่มทหาร
กองทัพเคสมอร์ได้รับหน้าที่ในการกระจายข่าวให้เมืองต่าง ๆ ได้ทราบถึงเหตุการณ์ที่เข้าสู่สภาวะปกติเพื่อเรียกความสงบสุขกลับมาอีกครั้ง
นั่นจึงทำให้กองทัพเคสมอร์จำใจต้องออกเดินทางอีกครั้ง แต่ดยุกไมล์ก็ยังอยู่ที่นี่
ตามปกติดยุกไมล์มีศักดิ์เป็นผู้นำทัพเคสมอร์คนปัจจุบัน
ในระหว่างที่เกิดการต่อสู้ระหว่างเรล์มและดันเต้ ดยุกไมล์ก็กลับเข้ามารักษาตัวในเมืองจึงทำให้เขาได้รับรู้เรื่องราวส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นไปพร้อม ๆ กับกองกำลังของตน
“ท่านนักบุญศักดิ์สิทธิ์ ปีศาจปีกสีดำนั่นเป็นเรื่องจริงรึ เรื่องเล่านี้ถูกเล่าขานในหมู่ทหารจนแพร่กระจายไปนอกเมืองหมดแล้ว”
ดยุกไมล์เอ่ยถามในขณะที่เขากำลังยืนอยู่เบื้องหน้าทางเข้าวิหาร โดยมีเรติน่าและองครักษ์ของเธอยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม
“มันเป็นเรื่องจริง ปีศาจที่มีปีกสีดำได้ช่วยพวกเราไว้ก่อนที่ท่านเครกจะมาถึง แม้แต่เรย์เองก็สามารถยืนยันได้”
เรติน่าเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่เหนื่อยล้าเพราะงานอันมากมายล้นหลามของเธอ
ดยุกไมล์ที่ได้ยินดังนั้นก็ก้มหน้าลงคิดสักพัก ก่อนที่จะกล่าวตอบ
“ตามที่บรรพบุรุษของเราท่านเคสมอร์ได้เคยบันทึกไว้ในตำราพิชัยสงครามบทที่ 7 มีความว่าปีกสีแดงคือศัตรู สีขาวผู้นำทาง สีม่วงเป็นผู้นำหายนะ และสีดำคือเพื่อนร่วมชะตากรรม”
เรติน่าที่ได้ยินดังนั้นก็นิ่งคิด ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองฟ้าเพราะเธอได้ยินเสียงร้องของสิ่งมีชีวิตบางอย่าง
มันเป็นเสียงของนกอินทรีตัวสีขาวเผือกกำลังบินมา พร้อมกับสาสน์ที่อยู่ในกรงเล็บ
อินทรีเผือกร่อนตัวลงและหยุดต่อหน้าเรติน่า
“ตราประทับของเทพอาเธน่า?” เรติน่าเอ่ยพลางคว้าสาสน์ที่อยู่ในกรงเล็บของนกอินทรี
หลังจากที่มันทำหน้าที่เสร็จสิ้นแล้วก็บินจากไปทันที
“ข้าเกรงว่าท่านกำลังมีเรื่องยุ่ง ข้าคงต้องขอตัวก่อน” ดยุกไมล์โค้งตัวคำนับเรติน่าและเดินจากไป
เรติน่ารีบกลับเข้าไปในห้องของเธอและเปิดอ่านสานส์ที่ถูกส่งมาจากอาณาจักรมนุษย์ทางตอนกลางทันที
เหตุผลที่เธอรู้ได้เพราะเทพอาเธน่าเป็นเทพที่มนุษย์ในอาณาจักรตอนกลางนับถือกันเป็นส่วนใหญ่ และยังเป็นตราประจำตัวของนักบุญศักดิ์สิทธิ์อีกคนหนึ่ง
“ผนึกศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านผู้กล้าคล็อดทำไว้กำลังอ่อนแอลงไปตามกาลเวลา ผนึกที่เก่าแก่ก็ไม่ต่างอะไรจากกรงขังที่ขึ้นสนิม”
เรติน่าค่อย ๆ ไล่อ่านเนื้อความในสาสน์ทีละบรรทัด
“ ข้ารู้ดีว่าเมืองหลวงเคสมอร์กำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบาก แต่หากจอมมารเวลโดรหลุดออกจากผนึกนั่นอาจจะหมายถึงจุดจบของโลก”
“ถ้าเป็นไปได้ข้าอยากจะขอยืมพลังของเจ้าเพื่อช่วยกันผนึกจอมมารเวลโดรอีกครั้ง ด้วยผนึกศักดิ์สิทธิ์อีกอันที่ผู้กล้าคล็อดเคยสร้างไว้เมื่อหนึ่งพันปีก่อน”
เรติน่าวางสาสน์ในมือและกุมหน้าผากด้วยความเครียด
ทำไมช่วงนี้ถึงมีแต่เรื่องยุ่งยาก ตั้งแต่เกิดมาเธอไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่เธอรู้สึกเครียดขนาดนี้มาก่อน
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความมั่นคง และไหนจะเรื่องของจอมมารในตำนานเวลโดรนั่นอีก
“ลองปรึกษาเรย์ดูก็น่าจะดี ท่านเครกเองก็ดูเหมือนจะไว้ใจเขามาก”
ว่าแล้วเรติน่าก็รีบเดินทางไปยังสมาคมการค้าดาบสีครามทันที
กลับไปที่กันต์ (ไม่ได้สวมชุดคลุม)
ผมลืมตาขึ้นอีกครั้งในความมืดมิด ทุกอย่างรอบตัวมันมืดไปหมด มืดสนิทจนมองไม่เห็นอะไรสักอย่าง
“มันดันเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก ความจริงอยู่แค่เอื้อมแท้ ๆ”
เท่าที่ผมจำได้ ล่าสุดคือผมกำลังเดินทางไปเค้นความจริงจากเล็กที่ห้องข้าง ๆ ในโรงพยาบาล
แล้วอยู่ ๆ ก็ล้มลงเพราะควบคุมสติตัวเองไม่ได้ และสุดท้ายก็หมดสติไป
“ไม่ใช่ว่านั่นจะเป็นยาพิษหรอกน่ะ” ผมยังจำขวดแก้วที่ได้มาจากริสาได้ดี
ในระหว่างที่ผมกำลังพยายามคิดและหาหนทางออกจากสถานการณ์ตอนนี้นั่นเอง
“มันก็แค่ภาพลวงตา ทำลายมันด้วยจิตใจของเจ้า” เสียงของใครบางคนที่ฟังดูทุ้มต่ำและน่าหวั่นเกรงดังเข้ามาในหัวของผม
“ภาพลวงตา? ก่อนที่จะให้เชื่อก็บอกชื่อตัวเองมาก่อนสิ”
ในระหว่างที่ผมกำลังรอฟังคำตอบอยู่นั่นเองความมืดสีดำตรงหน้าก็ค่อย ๆ แตกออกราวกับรอยแก้วที่แตก
แสงสว่างสอดส่องเข้ามาตามรอยแตก มันสว่างเสียจนผมต้องเอามือมาบังตาไว้
หลังจากนั้นไม่นานความเข้มของแสงก็ได้ลดลง นั่นอาจจะเป็นเพราะสายตาของผมมันเริ่มปรับตัวได้แล้ว
“จงอย่าหวาดกลัว จงตั้งมั่นอยู่ในจิตแห่งนักรบ!!!” เสียงตะโกนของชายหลายคนดังขึ้นพร้อมกัน
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

739 ความคิดเห็น
-
#239 Fikusa (จากตอนที่ 112)วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2563 / 06:35เอ หลุดไปที่ไหนเนี่ย#2391
-
#239-1 SuruMaster(จากตอนที่ 112)19 กุมภาพันธ์ 2563 / 11:23ต่างโลกครับ 555#239-1
-