ตอนที่ 110 : ภาค 2-บท 10 แกล้งเจ็บที่เจ็บจริง
เวลาผ่านไปอีกประมาณ 10 นาที
“มีคนอยู่ตรงนี้! มีคนบาดเจ็บอยู่นี่ มาช่วยกันเร็วเข้า”
รุ่นพี่ปี4-5ในเครื่องแบบนักสำรวจกรูกันเข้ามาช่วยดึงร่างของกันต์ออกมาจากโพรงต้นไม้
รุ่นพี่คนหนึ่งที่อยู่หน่วยแพททย์เดินเข้ามาหากันต์และเริ่มตรวจสอบสภาพร่างกายของเขา
“แขนกับขารู้สึกเหมือนจะกระดูกร้าว มีบาดแผลฟกช้ำเล็กน้อย รีบช่วยกันหามเขาขึ้นเปลเร็ว”
ในเวลาต่อมากันต์ก็ถูกหามขึ้นเปลและพาตัวออกจากเขตอุทยาน
ที่โรงพยาบาลภายในเขตของโรงเรียน บริเวณหน้าทางเข้าอาคารรองรับผู้ป่วย
โรงพยาบาลแห่งนี้มีเอาไว้รองรับผู้ที่เจ็บป่วยขั้นรุนแรงและสาหัสเท่านั้น
ถ้าแค่เจ็บป่วยแบบเล็ก ๆ น้อยก็จะถูกนำตัวไปที่ห้องพยาบาลในอาคารเรียน
ถึงแม้ว่าภายในโรงเรียนจะมีผู้ที่บาดเจ็บถึงขั้นต้องหามเข้าโรงพยาบาลไม่มากนัก แต่ที่นี่กลับมีคนเจ็บป่วยเข้ามารับการรักษาทุกวัน
นั่นก็เพราะโรงพยาบาลแห่งนี้กำลังเข้าร่วมโครงการที่จะใช้เทคโนโลยีมานาในการรักษา
เรียกได้ว่าเป็นการรักษาที่เหนือชั้นกว่าเดิมไปอีกขั้นเพราะที่แห่งนี้มีการใช้มานาเป็นตัวรักษาด้วย
การรักษาในลักษณะเช่นนี้นั้นจะสามารถรักษาได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากกว่า
แต่หากเป็นพวกไวรัสหรืออะไรพวกนี้ยังไม่สามารถรักษาให้หายได้ มีแต่คงต้องรอเทคโนโลยีทางด้านมานาที่ก้าวหน้ากว่านี้
เมื่อรถหุ้มเกราะขับมาถึงหน้าทางเข้าโรงพยาบาล พวกเขาก็นำตัวกันต์ออกมาทันที
ในเวลาต่อมากันต์จึงได้รับห้องพักผู้ป่วยมานอนรักษาตัวอยู่ห้องหนึ่ง
ในตอนนี้ตัวผมกำลังใส่เฝือกสีเขียวที่แขนและขาซ้ายเพื่อรักษาอาการกระดูกร้าวที่เกิดจากฝีมือของลมพายุ อันที่จริงก็ฝีมือผมเอง แต่ยังพยายามโกหกไปอย่างนั้น
“หรูกว่าโรงพยาบาลที่เราเคยนอนเยอะเลย” ผมหันมองไปรอบ ๆ ห้องเพื่อตรวจสอบ
ไม่ว่าจะเป็นเตียงที่ใหม่และนุ่มกว่า ทีวีที่เป็นจอแบนโค้งรองรับระบบ3มิติ แอร์ที่เย็นฉ่ำยิ่งกว่าที่โรงเรียน
ทุกอย่างมันดูดีไปหมดจนทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้เลยว่าโรงเรียนไปหางบขนาดนี้มาจากที่ไหนกัน ไม่ใช่แค่สร้างโรงพยาบาล แต่ยังสร้างโรงเรียนที่ใหญ่ขนาดนี้ได้
หรือเงินพวกนี้คือภาษีประชาชนที่รัฐบาลเก็บมาตลอดทั้งหมดกันแน่?
ในขณะเดียวกันนั่นเองเสียงเคาะประตูก็ได้ดังขึ้นพร้อมกับแพทย์ชายคนหนึ่งที่เดินเข้ามา
“อืม---นักเรียนปี1นายกันธศิลป์ สิริพงศ์ มีชื่อเล่นว่ากันต์ จากคลาส A เลเวล 20”
คุณหมอเพ่งตามองเอกสารที่อยู่ในมือ ซึ่งนั่นก็คือผลตรวจเบื้องต้นของผมเอง
กันธศิลป์ สิริพงศ์ คือชื่อเต็มพร้อมนามสกุลของผม แต่ข้อมูลที่ผิดพลาดคือตอนนี้ผมไม่ได้เลเวล20แล้ว ตอนนี้ผมเลเวล 25
“เท่าที่ดูและได้รับรายงานมา กระดูกแขนและขวาซ้ายมีรอยร้าว มีบาดแผลฟกช้ำตามร่างกายเล็กน้อย ถือว่าอยู่ในระดับที่ไม่ร้ายแรงมาก”
“ถ้าเป็นแค่นี้ผมต้องนอนโรงพยาบาลอีกกี่วันครับ?”
คุณหมอจ้องตรงมายังหน้าของผมอีกสักพักก่อนที่จะพูดขึ้น
“สำหรับกรณีนี้แค่ใส่เฝือกก็กลับไปเรียนตามปกติได้แล้ว แต่เพื่อความปลอดภัยหมอจะต้องเจาะเลือดเพื่อตรวจอีกหน่อย”
ตรวจเลือด? นั่นมันก็หมายความว่าผมจะถูกเปิดเผยเรื่องสายเลือดปีศาจไม่ใช่รึไง
ผมต้องรีบหาทางหลีกเลี่ยงและปฏิเสธการเจาะเลือดครั้งนี้ให้เร็วที่สุด
ทันใดนั้นเองเสียงเปิดประตูก็ได้ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับครูเอลที่เข้ามาในห้องผู้ป่วย
“เกรงว่าการตรวจเลือดนั่นจะไม่จำเป็นนะคะคุณหมอ” ครูเอลเดินเข้ามาหาคุณหมอทันที
“แต่ถ้าเด็กคนนี้เกิดเป็นอะไรขึ้นมาอีกใครจะรับผิดชอบละครับอาจารย์เอล?”
“ไม่ต้องกังวลไป ทางบริษัทแมกเทนของเราได้รับเด็กคนนี้เป็นนักเรียนทุนแล้ว เขามีประวัติที่ชัดเจน เราไม่จำเป็นต้องเสียเวลาไปตรวจสอบให้มากมาย”
ดูเหมือนว่าอาจารย์เอลจะเดาความต้องการของคุณหมอคนนี้ออก เหตุผลที่เขาต้องการเจาะเลือดนั่นก็เพราะต้องการตรวจสอบว่าผมคือปีศาจในคราบมนุษย์รึเปล่า
ขอโทษนะครับอาจารย์ผมมีสายเลือดของปีศาจอยู่ในตัวจริง ๆ
“ถ้าคุณพูดถึงขนาดนั้นผมก็จะขอเชื่อในบริษัทแมกเทนแล้วกัน” คุณหมอพูดสั้น ๆ ก่อนที่จะเปิดประตูออกและจากไป
เมื่อประตูห้องปิดลงอาจารย์เอลก็เดินเข้ามานั่งที่โซฟาด้านข้างมุมห้อง
“กันต์เธอรู้ตัวไหมว่าในตอนนี้บริษัทแมกเทนของเรารับนักเรียนทุนทั้งประเทศไทยกี่คน”
ครูเอลเปิดบทสนทนาด้วยคำถามแปลก ๆ
“เท่าที่ผมรู้ก็มีแค่กานต์กับตัวผมเท่านั้นเอง” ผมตอบไปตามความจริง
ครูเอลสูดลมหายใจและถอนหายใจออกมาก่อนที่จะพูดขึ้น
“ทั้งหมด220คนจากทุกชั้นปี ในพวกนักเรียนปี1มี70คน เป็นจำนวนที่เยอะที่สุดถ้าเทียบกับปีอื่น ๆ”
“ในทุกอาทิตย์บริษัทจะให้ครูทุกคนที่อยู่ใต้สังกัดทำการรวบรวมรายชื่อนักเรียนรวมถึงผลงานที่ทำและจัดเป็นอันดับออกมา ใครที่อยู่ที่โหล่หรือไม่พัฒนาจะมีโอกาสโดนเอาออกจากนักเรียนทุน”
ผมไม่เคยรู้เลยว่ามันมีแบบนี้ด้วย แล้วเลเวลผมมันคงที่20มาตั้งแต่ต้นจะรอดเหรอ ไม่อยู่ที่โหล่ก็แปลก
“กันต์ เธอได้ที่โหล่ในตารางการจัดอันดับทั้งหมด” ครูเอลพูดด้วยน้ำเสียงและใบหน้าที่เรียบเฉย
“ผมก็พอจะเดาออกครับ ก็เลเวลของผมมันดันค้างอยู่ที่20ตั้งนาน”
ถึงผมจะพูดแบบนั้นออกไปก็ตามแต่อันที่จริงผมเลเวล 25แล้ว
“ไม่หรอก ในตอนเช้าวันนี้มีการทดสอบเลเวลอีกครั้งเพื่อบันทึกผลใหม่ แต่ตอนเช้าเธอดันไม่อยู่ เลยไม่ได้ทดสอบ”
เมื่อครูเอลพูดจบ ครูก็เดินเข้ามาใกล้ ๆ และยื่นเครื่องแสกนบางอย่างมาทางผม
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

739 ความคิดเห็น
-
#235 Fikusa (จากตอนที่ 110)วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2563 / 10:22แกล้งเจ็บที่เจ็บจริงๆไม่ใช่ตัวแสดงแทน#2351
-
#235-1 SuruMaster(จากตอนที่ 110)16 กุมภาพันธ์ 2563 / 12:12ใข่ครับ ตามชื่อตอนเลย555#235-1
-