ผมจำเรื่องราววันแรกที่เกิดมาไม่ได้แล้ว ผมเริ่มจำอะไรได้เป็นเรื่องเป็นราวก็ตอนเรียนอยูอนุบาลหนึ่ง ครูประจำชั้นก็สอนให้ท่องอักษรภาษาไทยทุกวัน บางวันก็สอนดับเลข ในแต่ละวันสอนแค่ช่วงตอนเช้าเท่านั้น ส่วนช่วงตอนบ่ายคุณครูก็จะปล่อยให้เด็กๆได้นอนพักผ่อน ส่วนครูก็แอบพากันมาตั้งวงเล่นไพ่กัน เด็กๆที่ยังไม่ได้หลับก็แอบดูผ่านรูที่ผนังหัองข้างๆ
ในห้องเรียนชั้นอนุบาลหนึ่งก็มีเพื่อนคนหนึ่ง ตัวเขาเป็นผูหญิงน่ะ แต่เขามีอวัยวะเพศชายติดมาด้วย ช่วงพักเที่ยงผมก็เห็นคนมามุงดูเขาเพื่อขออวัยวะที่ว่า พอโตขึ้นมาเพื่อนๆก็ชอบแกล้งเขาอยู่บ่อยๆ เขากลัวแมงตำข้าว เพื่อนคนหนึ่งก็จับแมงตำข้าวมาใส่ตัวเขา คนที่แกล้งเขาก็พากันหัวเราะด้วยความชอบใจที่เห็นเขานอนชักดิ้นชักงอลงกับพื้นเพียงอีแค่กลัวแมงตำข้าว เขาเรียนรู้ช้ามากจบม.3แล้วก็ยังอ่านหนังสือไม่ออก เวลาลอกข้อความที่ครูเขียนบนกระดานแล้วให้เด็กๆจดตาม เขาก็จดได้ทีละตัวอักษร คนอื่นเขาพากันจดได้ทีละประโยค มนุษย์เราทุกคนเกิดมาแตกต่างกัน บ้างก็ตัวสูง บ้างก็ตัวเตี้ย บางก็ตัวอ้วน บ้างก็ตัวผอม บ้างก็โง่ บ้างก็ฉลาด ธรรมชาติให้คนเรามาไม่เท่ากัน
เด็กๆมักสนใจกับอะไรที่มันแปลกตา ตอนพ่อผมไปส่งที่โรงเรียนในตอนเช้า พ่อมาจอดรถที่หน้าห้องเรียนประจำชั้นผม เพื่อนๆก็มามุงดูรถยนต์ พวกเขามองดูเงาของตัวเองที่ข้างรถเหมือนว่าเห็นตัวเองอ้วนขึ้น
พี่คนหนึ่งผิวค้ำๆแกชื่อพี่เบิ้มอายุราวๆ20ปี แกชอบถีบจักรยานมาเที่ยวเล่นที่โรงเรียน พี่แกเป็นโรคลมบ้าหมู พอแกเป็นลมชักขึ้นมาทีไรเด็กๆก็จะมามุงดูกันด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ตอนที่อยู่โรงเรียนผมชอบเล่นอยู่คนเดียวบ้างเป็นบางครั้ง อยู่ที่หน้าชั้นเรียนผมมีต้นมะม่วง ผมมองเห็นอะไรแปลกๆที่ใต้ใบของต้นมะม่วง มีอะไรห่อเป็นรูกรวย มีเส้นใยเล็กๆเชื่อมระหว่างกรวยนั้นกับใบไม้ ผมเกิดความสงสัยขึ้นมาเลยเด็ดมาดูปรากฏว่าเวลาเอานิ้วจิ้มดูมันกระดุกกระดิกได้ด้วย ผมรู้สึกราวกับเป็นการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ของมวลมนุษยชาติ สงสัยเลยไปถามผู้ใหญ่ เขาบอกว่ามันเป็นแค่ดักแด้ อีกสักหน่อยมันก็จะกลายเป็นผีเสื้อ แล้วก็จะบินไปไหนมาไหนได้อย่างใจต้องการ
ผมกับเพื่อนๆชอบทำอะไรซุกซนอยู่เรื่อย วันนั้นผมกับพรรคพวกพากันไปเปิดน้ำเล่นกันที่ซิ้งค์ล้างจานแบบคอนกรีต อุดรูระบายน้ำทิ้งไว้แล้วเปิดน้ำใส่ ผมเห็นผู้หญิงคนหนึ่งมองมายังพวกผมจากหน้าต่างห้องเรียนแต่ไกล เธอเป็นครูประจำชั้นของผมเองดูสายตาราวกับสไนเปอร์เล้งเป้ามายังข้าศึกฝ่ายศัตรู มองแบบไม่ละสายตาเลย แต่ผมก็ไม่ได้คิดเอะใจอะไรเลย สักพักก็มีลุงภารโรงแกเดินมาทางพวกเรา พอแกเดินมาถึงพวกเราก็เขกหัวพวกเราคนละที่ พวกผมก็รีบวิ่งหนีกันแตกกระเจิงไปคนละทิศคนละทาง
พี่ชายลูกพี่ลูกน้องของผมแกชื่อพี่ต้น พี่แกเรียนที่โรงเรียนเดียวกัน แต่พี่เขาอยู่ชั้นป.6ในตอนนั้น เราพักอยู่บ้านหลังเดียวกัน พ่อพี่แกใจดีซื้อเครื่องเล่นเกมส์มาให้ แต่พี่แกไม่แบ่งผมเล่นด้วยหรอก พอเรามาเจอกันที่โรงเรียน พี่ต้นก็มาแกล้งผม ตอนนั้นผมอยู่ที่ม้านั่งขนาดยาวใต้ต้นมะม่วง ผมนั่งห่างจากเด็กผู้หญิงหน้าตามอมแหมคนหนึ่งอยู่แค่ประมาณศอกหนึ่ง พี่ต้นมาเห็นผมอยู่อย่างนั้นพอดี ก็เข้ามานั่งเบียดผมให้ไปชิดกับเด็กผู้หญิงคนนั้น ทำเอาผมรู้สึกสะอิดสะเอียนไปหมดเลย
แฟนของครูประจำชั้นผมคนนี้ ท่านก็เป็นครูสอนดนตรีว่างๆก็มาเล่นกับเด็กๆชัันอนุบาล วันนั้นแกซื้อถุงยางอนามัยมาเป่าเป็นลูกโปร่งให้เด็กๆตีเล่นกันที่สนามบอลเล่บอลภายในหอประชุม
ผมกลับบ้านไปก็เอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ปู่กับย่าฟังว่าครูคนนี้เอาถุงยางอนามัยมาเป่าเป็นลูกโปร่งให้เด็กๆเล่น ย่ากับปู่พากันเราะกันยกใหญ่ แต่ผมกลับไม่เข้าใจว่าทำไมท่านจึงหัวเราะกัน ย่ายังมาถามผมว่า
"ครูแก เอาถุงยางที่ใช้แล้วมาเป่าหรอ?"
ที่บ้านผมทำธุรกิจโรงสีข้าว ข้างบ้านทางขวามือจะมียุ้งฉางเพื่อเก็บกระสอบข้าวเปลือก ตรงข้ามถนนไปก็เป็นโรงสีแบบหัวจักรไอน้ำใช้งานไม่ได้แล้ว บ้านผมตั้งอยู่หัวมุมของสี่แยกถนน ตรงข้ามถนนไปอีกฟากหนึ่งก็เปิดร้านขายของช้ำ ย่าเป็นเจ้าของร้านแต่ให้คุณอาสะใภ้ดูแล ส่วนมุมตรงข้ามบ้านผมอันนี้ไม่ใช่ของบ้านผม มันเป็นร้านอาหารตามสั่ง ทุกๆเช้าผมจะเห็นคุณย่าไปนั่งนินทาคนนั้นคนนี้เรื่อยเปื่อยให้เจ้าของร้านอาหารฟัง เวลาแกพูดชอบทำเสียงเล็กเสียงน้อย ไม่รู้คนอื่นเขาสนใจฟังอยู่หรือเปล่า แต่ย่าแกก็ยังพูดต่อไปเรื่อย ถึงแม้คนอื่นเขาจะไม่สนใจฟังในสิ่งที่แกพูด
ปู่รักผมมากเพราะหน้าตาผมคล้ายกับคุณทวดจารบุญ คุณทวดเคยบวชนานจนเป็นถึงพระอาจารย์ แล้วก็สึกออกมามีครอบครัว ผมมีโอกาศเห็นท่านเพียงแต่ในรูปภาพที่ตั้งไว้บนหิ่งพระที่ห้องนอนปู่เท่านั้น ทุกวันพระปู่ผมจะสวดมนต์ไหว้พระเป็นประจำไม่เคยขาด
คุณอาพ่อของพี่ต้นทำงานราชการทหาร ผมกลัวแกเวลาแกเมา แกเมาส่งเสียงเอะอะโวยวายอยู่ในบ้านตอนกลางคืน ผมกลัวเลยเข้าไปแอบอยู่ใต้เก้าอี้โซฟา มีเด็กคนหนึ่งพูดว่าผมแอบอยู่ใต้เก้าอี้โซฟา อาแกก็ตามมาดึงขาผม พูดถึงความกลัวแล้ว ผมกลัวแม้กระทั่งการเดินกลับบ้านคนเดียว ห่างจากบ้านผมไปประมาณ 20 เมตรจะเป็นร้านขายยา คุณย่าเดินจูงมือผมผ่านร้านขายยาร้านนั้น ย่าก็บอกให้ผมเดินกลับบ้านเองน่ะ เพราะย่าจะคุยกับเจ้าของร้านยา แต่ผมกลับร้องไห้งอแง แล้วก็พูดว่า
"กลับเองไม่ได้"
เจ้าของร้านขายยากับย่าเห็นผมร้องไห้งอแงกับเรื่องไม่เป็นเรื่องต่างก็หัวเราะเยาะผม ยิ่งเรากลัวแล้วพยายามหลบหนีมากเท่าไหร่ ความกลัวยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นตามไปด้วย แต่ถ้าเรากล้าที่จะเผชิญหน้ากับความกลัว ความกลัวก็เริ่มหดหายไปจากจิตใจเรา