สายลมเย็นพัดโชยเข้ามาทางหน้าต่าง แสงแดดอ่อน ๆ ยามเช้าส่องเข้ามา ละอองน้ำจากน้ำค้างตลบอบอวนไปทั่วบริเวณ เด็กน้อยที่แต่งกายด้วยชุดเครื่องแบบนักเรียนกำลังก้าวเดินออกจากห้องของเขา ร่างเล็ก ๆ ก้าวเดินลงมาตามบันไดด้วยท่าทางสบาย สายตาจับจ้องไปที่ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเบื้องล่างที่กำลังยืนคอยปีเตอร์อยู่สักพักใหญ่แล้ว
"เรารีบไปกันเถอะ สายมากแล้ว" ปีเตอร์เอ่ยขึ้นพร้อมทั้งส่งยิ้มเล็กน้อย วันนี้เป็นวันที่สำคัญของพวกเขา แต่ก็ไม่ได้พิเศษอะไรมากมายสำหรับปีเตอร์ ชายหนุ่มทั้งสองยิ้มแย้มให้กับเขาเล็กน้อยก่อนที่ทั้งสามจะเดินออกจากตัวอาคารปรุงยา ตรงไปยังลานกว้างด้านหน้าของโรงเรียน
ระหว่างทางที่เดินไป ไม่มีนักเรียนแม้แต่คนเดียว บรรยากาศเงียบสงัดคล้ายโรงเรียนร้าง เมื่อเดินมาได้ไม่นาน ภาพผู้คนจำนวนนับพันเบื้องหน้ายืนต่อแถวอย่างเป็นระเบียบ เวทีขนาดกลางปรากฏอย่างเด่นชัด บนนั้นมีนักเรียนยืนอยู่ทั้งหมดเจ็ดคน และมีพิธีกรอีกหนึ่งคน ขณะที่ทั้งสามเดินเข้ามาในเขตของลานกว้าง ทุกสายตาต่างเบี่ยงจ้องมองมาที่พวกเขา การปรากฏตัวของทั้งสามกลายเป็นจุดสนใจของผู้คน
เมื่อทั้งสามขึ้นไปบนเวที ก็เดินไปยืนประจำตำแหน่งของตนเอง ปีเตอร์ยืนอยู่ที่หัวแถวทางด้านซ้าย ด้านข้างมีหญิงสาวคนหนึ่งที่ในตอนนี้แสดงสีหน้าไม่พอใจเขาอย่างมาก เพราะว่าในขณะนี้ได้ล่วงเลยเวลาที่จะเริ่มงานมากว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว เพียงเพื่อรอคอยทั้งสามคนมาถึงเท่านั้น
"นิสัยเด็กจริง ๆ ไม่รู้หรือไงว่ามันเริ่มกี่โมง ถึงปล่อยให้คนทั้งโรงเรียนรออย่างงี้" มากาเร็ตเอ่ยด้วยความโมโห เธอมายืนคอยกว่าหนึ่งชั่วโมง พอถึงเวลาที่งานควรจะเริ่ม ทั้งสามคนก็ยังไม่มา อีกทั้งวันนี้แสงแดดก็ร้อนแรงจนหมือนอยู่ในเตาอบเลยทีเดียว
"หุบปากของเจ้าซะ อย่าได้มาโอหังกับข้าเช่นนี้ ไม่งั้นลิ้นที่เจ้าใช้พูดจะขาดออกจากปาก!!!" ปีเตอร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาและปะปนไปด้วยจิตสังหาร สีหน้าของมากาเร็ตซีดขาวลงอย่างรวดเร็ว ภาพการประลองของซีตาร์และไรเดอร์ผุดขึ้นในหัวของนาง เดิมทีแล้วหากทั้งสองคนไม่พิการ คงจะสามารถติดอันดับของนักเรียนเกียรติยศได้อย่างแน่นอน แต่ก็ไม่มีใครคาดคิดว่า พวกมันจะไปเตะเกล็ดย้อนของมังกรเข้าให้ สภาพที่พวกมันได้รับ เรียกได้ว่าตายเสียยังดีกว่า เดิมทีพวกมันคิดจะล้างแค้นปีเตอร์ แต่เมื่อได้รับรู้ถึงศักดิ์ที่แท้จริงของเขา ก็ทำได้เพียงสะกดข่มความเครียดแค้นเอาไว้ หากลงมือกับปีเตอร์เข้า ดินแดนแห่งนี้คงไม่มีที่ให้พวกมันได้ยืนอย่างแน่นอน
พิธีแห่งเกียรติยศได้เริ่มต้นขึ้น อาจารย์ใหญ่อัสตินออกมากล่าวแสดงความยินดี พร้อมทั้งมอบเหรียญเกียรติยศที่แสดงถึงศักดิ์ฐานะของนักเรียนเกียรติยศแห่งโรงเรียนเวทย์ศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาเหล่านี้เป็นที่นับหน้าถือตาในดินแดนแห่งนี้ แม้จะยังเรียนไม่จบก็อาจจะถูกถึงตัวให้ไปทำงานกับเหล่ามหาอำนาจอื่นก็ได้ เมื่อมอบเหรียญเกียรติยศให้กับคนสุดท้ายเสร็จแล้ว เสียงปรบมือของเหล่านักเรียนเบื้องล่างก็ดังขึ้น ภาพที่พวกมันเห็นในขณะนี้คือนักเรียนทั้งสิบคนที่แข็งแกร่งที่สุดของโรงเรียนแห่งนี้
หลังจากเสร็จสิ้นพิธี ปีเตอร์ก็แยกกลับไปที่ร้านประกายดารา นับตั้งแต่วันที่ฝึกซ้อมก่อนประลอง จนถึงวันนี้ เขายังไม่ได้กลับไปที่ร้านประกายดาราเลย เด็กน้อยเดินผ่านใจกลางเมืองมาได้สักพัก ภาพเบื้องหน้าเนืองแน่นไปด้วยผู้คน วันนี้เป็นวันที่ประมูลเม็ดยาบริสุทธิ์สิบส่วน ทำให้ผู้คนต่างก็แห่กันมาจากทั่วทุกสารทิศ ผู้ที่มาซื้อต่างต่อแถวด้วยความเป็นระเบียบเรียบร้อย ปีเตอร์เดินผ่านเข้าทางด้านหน้า สายตาของผู้คนที่มาซื้อเม็ดยาต่างจับจ้อง
"เห้ยเจ้าหนู อย่าหน้าด้านสิ ไม่เห็นหรือว่าพวกเรามาก่อน แกจะเดินเข้าไปแบบนั้นได้ยังไง เดินไปต่อแถวด้านหลังไป!!" ชายร่างกำยำ แต่กายด้วยชุดเกราะของอัศวินสีเงินยวง ตัวเกราะคล้ายกับถูกสร้างมาจากแร่ที่แข็งแกร่ง ลวดลายเกราะสลักสีทองคล้ายสายลมพัด ด้านข้างมีฝักดาบยาวกว่าสามฟุต ใบหน้าเคร่งขรึม ดวงตาฉายแววดุดันออกมา ดูท่าบุคคลคนนี้คงจะเป็นคนที่ตำแหน่งสำคัญของอาณาจักรทะเลวายุ
"ข้าเป็นเจ้าของที่นี่ ข้าจะเข้าไปข้างในมันก็เป็นสิทธิ์ของข้า" เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ก่อนที่จะค่อย ๆ เดินผ่านไป แต่ทันใดนั้นเอง
“อย่าพูดให้ขำไปหน่อยเลยเจ้าหนู ใคร ๆ ต่างก็รู้ว่าร้านนี้เป็นของเซโน่ ลูกศิษย์ของท่านอาร์ลัม ถ้าจะแต่งเรื่องโกหกก็ให้มันแนบเนียนหน่อย” ชายร่างกำยำเอ่ยขึ้น พร้อมทั้งมองปีเตอร์ด้วยสายตาดูถูกดูแคลน เด็กน้อยเบื้องหน้าแต่งเรื่องโกหกได้ไม่แนบเนียนเอาเสียเลย แต่ทันใดนั้นชายหนุ่มคนหนึ่งก็เดินออกมาจากในร้าน การแต่งกายเป็นชุดคลุมยาวสีเขียวสด ทับอยู่บนเสื้อสีขาว ทุกคนต่างรู้เป็นอย่างดีว่าเขาคือ แกสทอน ผู้ดูแลร้านประกายดาราแห่งนี้ ผู้คนทั่วไปต่างให้ความเคารพนับถือเขา
แต่เรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อแกสทอนเดินออกมาหยุดด้านหน้าของปีเตอร์ ชายร่างกำยำคาดคิดว่าแกสทอนจะต้องโยนเจ้าเด็กไม่รู้หัวนอนปลายเท้านี่ออกจากร้านอย่างแน่นอน แต่ภาพที่ปรากฏคือแกสทอนคุกเข่าลงกับพื้นด้วยท่าทีนอบน้อม
“ยินดีต้อนรับกลับครับ นายน้อย” น้ำเสียงของแกสทอนอ่อนนุ่มลงอย่างเห็นได้ชัด มันแสดงถึงความน้อบน้อมอย่างสุดซึ้ง แตกต่างจากเวลาปกติที่ดูแลการขายเม็ดยาอย่างมาก ซึ่งปกติแล้วท่าทีของแกสทอนจะค่อนข้างเคร่งขรึมและเย็นชาอย่างมาก นั่นจึงทำให้ใครหลายคนยำเกรงเขาอยู่หลายส่วน
“อ่า กลับมาแล้ว เข้าไปด้านในกันเถอะ” ปีเตอร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนที่จะค้อนสายตาหันไปมองชายร่างกำยำที่ในตอนนี้ยืนแข็งค้างอย่างตกตะลึง จากคำพูดของแกสทอน ทำให้คำกล่าวก่อนหน้านี้ของเด็กน้อยหนักแน่นยิ่งกว่าภูผา
ปีเตอร์เดินเข้ามาภายในร้านประกายดารา ภาพบรรยากาศภายในร้านตกแต่งไว้อย่างสวยงาม ครอบครัวของทั้งสองคนต่างก็มาช่วยดูแลจัดการเรื่องภายในร้านได้เป็นอย่างดี พวกเขาหันมาทำความเคารพปีเตอร์ด้วยความจริงใจ เด็กน้อยยิ้มรับอย่างอ่อนโยนแล้วเดินขึ้นบันไดตรงขึ้นชั้นที่สามทันที ชั้นนี้เป็นห้องทำงานส่วนตัวของเขา เบื้องหน้าปรากฏชายชราและเด็กที่มีหูคล้ายกับจิ้งจอก
“ท่านอาร์ลัม เบอร์ลิน ขอโทษที่ให้คอย” ปีเตอร์กล่าวขึ้น ทั้งสองหันมาทำความเคารพเขาอย่างนอบน้อม ปีเตอร์เชิญพวกเขาทั้งสองคนนั่งลงที่เก้าอี้รับแขกที่ตกแต่งอย่างหรูหรา
“งั้นเรามาเริ่มปลุกพลังจิตวิญญาณกันเลยดีกว่าท่านอาร์ลัม” ปีเตอร์เดินออกมาที่กลางห้อง เขารวบรวมสมาธิแล้วใช้มือวางบนบ่าของอาร์ลัมที่นั่งลงกับพื้น พลังจิตวิญญาณของเทพอสูรพุ่งตรงไปกระตุ้นพลังจิตวิญญาณของอาร์ลัม กระแสพลังบางอย่างที่ทะลักออกมาจากภายใน ปีเตอร์สั่งให้อาร์ลัมรับสัมผัสความรู้สึกนี้เอาไว้ แล้วประคองมันให้ได้นานที่สุด เนื่องจากแต่เดิมแล้ว อาร์ลัมมีพลังจิตวิญญาณอยู่ในระดับต่ำอยู่แล้วแต่เขาแค่ไม่รู้สึกและไม่สามารถนำออกมาใช้ได้ ปีเตอร์เพียงแค่ไปกระตุ้นมันเท่านั้น หลังจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ของอาร์ลัมแล้วว่าจะพัฒนาไปได้มากเพียงใด
"เบอร์ลิน ข้าฝากดูท่านอาร์ลัมด้วย อย่าให้ใครรบกวนสมาธิของเขา" ปีเตอร์เอ่ยบอกแก่เบอร์ลิน พร้อมทั้งเดินลงมาที่ชั้นสอง ภายในชั้นแห่งนี้ถูกประดับตกแต่งอย่างสวยงาม เพื่อใช้ต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ ปีเตอร์เดินเข้าไปในห้องรับรองห้องหนึ่ง ภายในห้องนี้มีเก้าอี้รับแขกที่ประดับตกแต่งอย่างสวยงาม ที่ขาดไม่ได้เลยคือหุ่นโกเลมรักษาการณ์ ภายในนั้นมีชายชราคนหนึ่ง พร้อมด้วยกันนาร์นั่งอยู่ภายในห้อง เมื่อปีเตอร์เดินเข้าหญิงสาวก็ทำความเคารพเขาอย่างนอบน้อม เด็กน้อยเดินมานั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามกับชายชราพร้อมทั้งอมยิ้มเล็กน้อย
"ยินดีที่ได้พบองค์ชายปีเตอร์ ข้าคือหัวหน้าของหอการค้าแห่งแสง มีนามว่า'เลอร์เนส' ที่องค์ชายเชิญข้ามาในวันนี้มีเรื่องให้ข้าช่วยเหลืออันใดรึ" ชายชรากล่าวพร้อมกับยิ้มแย้มเล็กน้อย เขาไม่ได้มีท่าทีเคารพแต่ก็มิได้แสดงท่าทางยโสโอหัง ด้วยฐานะตำแหน่งของเขาก็เป็นถึงหนึ่งในสามขั้วอำนาจของอาณาจักรแห่งแสง และด้วยเด็กน้อยเบื้องหน้าก็เป็นแค่องค์ชายลำดับสามของอาณาจักรอสูรพฤกษาเท่านั้น หากเป็นองค์ราชามาเอง เขาคงจะต้องเคารพยำเกรงมากกว่านี้
"ยินดีต้อนรับท่านเลอร์เนส สู่ร้านประกายดาราของข้า ที่ข้าเชิญท่านมาในวันนี้ก็เพื่อเจรจาธุระกิจเท่านั้น ข้าจะซื้อสมุนไพรจากท่านทุกครั้งที่มีการปรุงเม็ดยาในราคาที่สูงกว่าปกติ และจะแบ่งกำไรหนึ่งส่วนจากการขายเม็ดยาของร้านประกายดาราให้แก่หอการค้าแห่งแสง..." ปีเตอร์ลดเสียงลงต่ำในขณะที่พูดว่าจะแบ่งกำไรหนึ่งส่วนให้หอการค้าแห่งแสง พร้อมทั้งจองมองไปที่เลอร์เนส ที่ตอนนี้ดวงตาเบิกโพล่งราวกับลูกกวาง กำไรหนึ่งส่วนแม้จะฟังดูน้อย แต่เป็นที่ทราบกันดีว่า ร้านประกายดาราที่ขายเม็ดยาที่บริสุทธิ์ระดับเก้า หรือสิบนั้น สร้างเม็ดเงินอันมหาศาลจนมิอาจประมาณได้ ข้อเสนอของปีเตอร์นั้นดูล่อตาล่อใจอย่างมาก แต่ว่า...
"องค์ชายคงต้องการให้ข้าช่วยเหลือสิ่งใดใช่หรือไม่ ถึงยื่นข้อเสนอเช่นนี้กับข้า" เลอร์เนสกล่าวถามกลับไป ข้อเสนอที่ล่อตาล่อใจเช่นนี้ มักจะนำมาซึ่งข้อแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมกันเสมอ การซื้อสมุนไพรในราคาที่สูงกว่าปกตินับว่าน่าสนใจอยู่บ้าง แต่สิ่งที่เย้ายวนจิตใจของเขาแท้จริงแล้วคือกำไรหนึ่งส่วนจากการขายเม็ดยาของร้านประกายดารานั่นเอง จำนวนเงินเพียงหนึ่งส่วนอาจมากพอ ๆ กับยอดขายประมาณหนึ่งเดือนของหอการค้าแห่งแสงเลยก็เป็นได้
"ท่านเลอร์เนสนับว่าคาดเดาได้ถูกต้อง ข้าต้องการให้ท่านขายสมุนไพรให้กับร้านของข้าแต่เพียงผู้เดียว ห้ามจำหน่ายให้กับผู้ค้ารายอื่นเป็นอันขาด และที่สำคัญข้าอยากให้หอการค้าประกายแสงช่วยเป็นธุระในการหาวัตถุดิบที่หายากบางชนิดให้ หากข้าต้องการแล้วข้าจะให้ราคากับมันอย่างงามจนท่านพึงพอใจ ข้าต้องการจะเป็นร้านขายเม็ดยาที่ใหญ่ที่สุดเพียงร้านเดียวในดินแดนแห่งนี้" ปีเตอร์ยิ้มแย้มเล็กน้อย พร้อมมองด้วยแววตาที่มีเลศนัย หากเลอร์เนสนั้นตอบรับข้อเสนอนี้ อาจทำให้ความเป็นกลางทางการค้าของหอการค้าแห่งแสงสั่นคลอนได้ แต่การแลกมาด้วยเม็ดเงินจำนวนมากเช่นนี้ ก็ล่อตาล่อใจในความโลภของมนุษย์ได้เป็นอย่างดี
"หากทางเราไม่จำหน่ายสมุนไพร ก็ยังมีอาณาจักรอสูรพฤกษาที่ส่งออกมาขายได้อยู่ดี เหล่าผู้ทรงอิทธิพลทางการปรุงยาของแต่ละอาณาจักรจะต้องออกมาเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน" เลอร์เนสรู้สึกตกใจกับความคิดความอ่านของปีเตอร์เด็กน้อยในวัยเจ็ดปีคนนี้ การจะเป็นร้านขายเม็ดยาขนาดใหญ่เพียงร้านเดียวในดินแดนแห่งนี้นั้น นับว่าสั่นสะเทือนต่อวงการปรุงยาอย่างยิ่ง เดิมทีแล้วทั้งดินแดนแแห่งนี้ จะมีเพียงหอการค้าแห่งแสง และอาณาจักรอสูรพฤกษาที่เป็นผู้ขายสมุนไพรรายใหญ่ที่สุด หากร้านขายยาใหญ่ ๆ ของแต่ละอาณาจักรไม่สามารถซื้อสมุนไพรจากทั้งสองแหล่งนี้ได้ กิจการของพวกมันคงได้ล้มละลายอย่างแน่นอน เพราะร้านขายสมุนไพรขนาดกลาง ถึงขนาดเล็กย่อมไม่สามารถหาสมุนไพรในปริมาณที่มากพอต่อความต้องการของร้านขายยารายใหญ่อย่างแน่นอน
"ท่านมิต้องห่วงไป ทางอาณาจักรอสูรพฤกษาจะไม่ส่งสมุนไพรออกมาขายในตอนนี้อย่างแน่นอน เพราะความต้องการภายในอาณาจักรก็สูงมากอยู่แล้ว หากมีใครลักลอบสมุนไพรออกมานอกอาณาจักร จะมีบทลงโทษคือ สายเลือดของพวกมันทุกคนจะถูกทรมานจนตายทั้งเป็น ท่านวางใจได้ พวกผู้มีอิทธิพลคงไม่กล้าลงมือทำอะไรหอการค้าแห่งแสงอย่างแน่นอน ด้วยความยิ่งใหญ่ของอิทธิพลทั้งสามในอาณาจักรแห่งแสงการลงมือทำอะไรนั้น คงยากเย็นอย่างยิ่ง" ปีเตอร์เอ่ยอธิบาย ในขณะนี้หากอาร์ลัมบรรลุพลังจิตวิญญาณระดับกลางหรือระดับสูง คงสามารถผลิตเม็ดยาที่มีความบริสุทธิ์ระดับเก้าหรือสิบออกมาได้เพียงพอต่อความต้องการของอาณาจักร ในขณะนี้เป็นช่วงพัฒนาของอาณาจักรอสูรพฤกษาดังนั้นแล้วทรัพยากรจึงจำเป็นอย่างมากในการพัฒนาครั้งนี้
การจะส่งวัตถุดิบต่าง ๆ ออกมาขายคงมีปริมาณน้อยลงอย่างมาก โดยเฉพาะสมุนไพรที่ใช้ในการปรุงยาจะไม่มีการส่งออกมาขายนอกอาณาจักรอย่างแน่นอน ความลับที่หลาย ๆ คนไม่รู้คือ หากใครที่เติบโตขึ้นมาจากอาณาจักรอสูรพฤกษาจะมีตราประทับวิญญาณพฤกษาติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด และถูกหล่อเลี้ยงโดยพลังที่หลับไหลอยู่ใต้พื้นดินของอาณาจักร หากไม่ได้รับการปลดออกก่อนที่จะออกจากอาณาจักร ตราวิญญาณนั้นจะกัดกินร่างกายและพลังเวทย์จนตกตายไปในเวลาไม่นาน
ผู้คนภายในอาณาจักรอสูรพฤกษาแม้จะมีคนเลวอยู่บ้าง แต่ไม่มีใครเลยที่ไม่รักและหวงแหนอาณาจักรที่พวกเขาอยู่อาศัย พวกมันมีความภาคภูมิใจอย่างมาก ที่เป็นคนของอาณาจักรอสูรพฤกษาที่มีผู้คนในดินแดนแห่งนี้ยกย่องว่าแข็งแกร่งที่สุด แม้จะกล่าวว่าเป็นอาณาจักรที่ปิดกั้น แต่ก็สามารถออกจากอาณาจักรได้ เพียงแต่จะมีการตรวจสอบที่เข้มงวดอย่างมากเท่านั้นเอง
"เช่นนั้นก็ตกลงตามที่องค์ชายต้องการ" เลอร์เนสกล่าวขึ้น หากคิดไตร่ตรองดูแล้ว การร่วมมือกับปีเตอร์ก็ไม่ต่างจากการร่วมมือกับอาณาจักรอสูรพฤกษาที่ยิ่งใหญ่ การที่ปีเตอร์บอกว่าอาณาจักรกำลังต้องการใช้ทรัพยากรจึงไม่สามารถส่งออกมาได้ นั่นหมายความว่า อาจมีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้นภายในอาณาจักรแห่งนั้นก็เป็นได้ และถ้าหากเป็นการก่อสงครามแล้วการเลือกข้างที่มีเกณฑ์ชนะมากกว่าย่อมเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดที่จะอยู่รอดในสภาวะสงคราม
"งั้นสิ่งแรกที่ข้าจะขอให้ท่านช่วยคือ การรวบรวมวัตถุดิบ สี่ชนิดได้แก่ ผลึกแก้วจันทรา อัญมณีเงาเร้นลับ ดอกภูติเจ็ดราตรี และผลึกแก้วแท้อสูร ธาตุความมืด ระดับเจ็ด ข้าให้เวลาท่านเพียงหนึ่งสัปดาห์เท่านั้น" ปีเตอร์เอ่ยถึงสิ่งที่ต้องการออกไป เมื่อเลอร์เนสได้ฟังสิ่งที่ปีเตอร์กล่าว ดวงตาก็เบิกกว้างด้วยความตื่นตะลึงกับสิ่งที่ได้ยิน รายชื่อของวัตถุดิบทั้งสี่ล้วนหาได้ยากยิ่ง พวกมันล้วนแล้วแต่อยู่ในที่ที่อันตราย ยากต่อการค้นพบ แม้แต่ผลึกแก่นแท้อสูรธาตุความมืดระดับเจ็ด ก็หาได้ยากยิ่งเช่นกัน ผลึกแก่นแท้อสูรระดับหนึ่งถึงสามจะหาได้ทั่วไป ระดับสี่ถึงหกมักจะพบเจอในงานประมูล หากเป็นระดับสูงกว่านั้นคงต้องจ้างวาน หรือออกตามล่าอสูรเองเท่านั้น
"ข้าจะพยายามอย่างสุดความสามารถ" เลอร์เนสเอ่ยขึ้น ตามจริงเขาก็อยากถามปีเตอร์เหมือนกันว่าจะเอาวัตถุดิบเหล่านี้ไปทำอะไร เพราะมันไม่ได้ใช้สำหรับการทำยา แต่มันคิดว่าหากถามแล้วก็คงไม่ได้คำตอบอยู่ดี จึงไม่ได้เอ่ยอันใดมากมาย หลังจากพูดคุยกันอีกสักครู่ เขาก็กลับไปที่หอการค้าแห่งแสง เพื่อชี้แจงรายระเอียดการเจรจา และรวบรวมวัตถุดิบที่ปีเตอร์ต้องการ
เอาอีกกกกกกกกกกก