ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic TVXQ] Rising Sun (YunxJae/MicxXiah/SiwonxMin)

    ลำดับตอนที่ #3 : Chapter Two : Attraction

    • อัปเดตล่าสุด 8 ก.ค. 50









    ร่างเพรียวบางก้าวเข้าไปในห้องโถงใหญ่ เสาหินอ่อนสีขาวสลักลายเถาวัลย์อ่อนช้อย เรียงตัวเป็นวงกลมสลับกับหน้าต่างกระจกใส เผยให้เห็นทิวทัศน์อันงดงามของพระอาทิตย์ยามตกดิน ภาพที่เคยเห็นจนชินตาแต่กลับทำให้คิดถึงใครบางคนอย่างประหลาด

    อีกหนึ่งวันกำลังจะผ่านพ้น...แต่จากวันนี้ไป...ข้าคงไม่มีเจ้าอีกแล้ว...

    แจจุงหันไปมอบรอบๆ พยายามเลิกคิดถึงเรื่องที่ผ่านมา จึงได้เห็นบัลลังก์หินอ่อนสีขาวอันคุ้นเคย...บัลลังก์ของท่านพ่อ?

    บางทีที่เขาไม่ทันสังเกตเห็นมันแต่แรก คงเพราะสีขาวนุ่มนวลนั้นถูกกลืนไปกับสีของผนังและพื้นห้อง เขาก้าวเข้าไปใกล้ มือเล็กลูบไล้ผิวเรียบแข็งเย็นเยียบ

    ทั้งที่เคยเป็นหนึ่งในสมบัติของราชวงศ์ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นเพียงวัตถุชิ้นหนึ่งที่ถูกตั้งเอาไว้ในห้องธรรมดาๆ ก็เหมือนกับเขาที่ตอนนี้ไม่เหลืออะไรอีก มันเป็นความยินดีในความขื่นขม ตอนนี้โซ่แห่งความเกลียดชังถูกตัดขาดหมดสิ้น แต่ความรักที่เขาเคยมีก็จากไปเช่นกัน

    "เจ้าทำอะไรน่ะ?" เสียงแข็งกร้าวดังขึ้นเบื้องหลัง ร่างบางสะดุ้งก่อนจะยืนถอยห่างออกไปพลางก้มหน้านิ่ง เขารู้ดีว่าไม่ว่าจะเป็นอาณาจักรใด คนในราชวงศ์ล้วนยิ่งใหญ่และมีอภิสิทธิ์เกินสามัญชนธรรมดา แค่เขายื่นมือไปสัมผัสบัลลังก์นั่น โทษก็มากพอจะให้ตัดมือหรือกระทั่งตัดศีรษะด้วยซ้ำ ถึงจะคิดว่ามันเป็นกฎงี่เง่า แต่คนอย่างเขาจะทำอะไรได้นอกจากยอมรับมัน?

    "ขอโทษครับ" ทั้งที่ควรจะยืนอย่างสงบเสงี่ยมรอให้มีคนมาตามเข้าไปรายงานตัวกับหัวหน้าองครักษ์แท้ๆ

    นี่คือเรื่องน่ายินดีที่เหลือเชื่ออีกอย่าง ใครจะคิดว่าพลทหารอย่างเขาจะได้เป็นหนึ่งในองครักษ์ของเชื้อพระวงศ์ แม้จะไม่รู้เหตุผลที่ได้รับเลือก แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้เขาได้เข้าใกล้เป้าหมายของตัวเองไปอีกก้าวหนึ่ง...ดีกว่าจมอยู่กับภาพลวงตา

    "เงยหน้าขึ้น!" ใบหน้าหวานทำตามอย่างไม่แน่ใจ แต่ดวงตาสีดำสนิทนั่นก็ไม่ได้ฉายแววหวาดกลัว ทั้งยังจ้องสบดวงตาดุดันของอีกฝ่ายอย่างไม่คิดจะหลบหนี ริมฝีปากเรียวหยักยิ้มพอใจ มือใหญ่เอื้อมไปจับคางมนให้หันไปมาราวกับจะตรวจหาตำหนิสินค้า แจจุงสะบัดถอยออกมา นัยน์ตาสีราตรีเริ่มฉายแววโกรธเคือง

    "ทำอะไรน่ะ?"

    "แค่คิดว่าจะเฉือนแก้มข้างไหนออกก่อนดี" แจจุงอ้าปากค้างก่อนจะใช้มือสองข้างตะปบผิวแก้มตัวเอง เจ้าบ้านี่พูดอะไร แค่จับเก้าอี้หินนิดๆ หน่อยๆ มันจะสึกขนาดต้องตัดแก้มเขาไปแปะแทนรึไง!

    ร่างสูงหลุดหัวเราะออกมา เล็กน้อยเกินกว่าจะสัมผัสถึงความรื่นเริงในน้ำเสียงทุ้มนุ่ม เขาก้าวเท้าเข้าไปใกล้ น้อยครั้งที่จะเจอคนที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ได้โดยไม่ถอยหนี ความกล้าเช่นนี้ทำให้เขานึกอยากทำลายมันลงด้วยน้ำมือของตัวเอง

    "เจ้าชื่ออะไร?"

    "แจจุง"

    "ข้ายุนโฮ" มือเล็กกำแน่นทันทีที่ได้ยินชื่อของเจ้าตัว กษัตริย์แห่งอาณาจักรตะวันออกเร็กซัสกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา!

    ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่น แจจุงไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกมานอกอก ไม่อาจบอกได้ว่าความรู้สึกไหนที่มากกว่า ระหว่างความแค้นกับความเกลียดชัง

    ร่างสูงยิ้มเย็น นึกชอบแจจุงขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แผ่นหลังบางเหยียดตรง ดวงตาที่เป็นประกายจ้องมองไปข้างหน้าอย่างไม่หวาดหวั่นต่อสิ่งใด ทว่าบางครั้งกลับเผยความไร้เดียงสาออกมาให้นึกแปลกใจเล่น ถ้ามีคนๆ นี้อยู่ เขาคงหายเบื่อได้บ้างในช่วงที่ไร้สงครามเช่นนี้

    "ไม่คิดจะแสดงความเคารพข้าบ้างรึไง?"

    แจจุงก้มศีรษะลงเล็กน้อย หากไม่ตาบอดก็คงรู้ได้ว่าช่างเป็นการกระทำที่ไร้ซึ่งความจริงใจ ยุนโฮเกลียดคนเสแสร้ง และยิ่งเคียดแค้นหากรู้ว่ามีใครกล้าโกหกเขา ทว่ากับคนที่เพิ่งพบหน้านี้ เขานึกชอบการเสแสร้งแบบตรงไปตรงมาของอีกฝ่าย

    "ดื้อจริงนะ" นิ้วเรียวเกี่ยวปลายผมนุ่มเล่น แต่มันก็สะบัดหายไปจากมือเขาอย่างรวดเร็ว

    "ข้าคงไม่บังอาจเช่นนั้น" ถ้อยคำสั้นๆ แต่ตีความได้หลากหลาย แม้จะดูงดงามราวกับตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ แต่ตุ๊กตาตัวนี้มีอะไรมากกว่าสิ่งที่อยู่ภายนอก อย่างน้อย...ก็มีสมองมากกว่าคนอื่นๆ แล้วกัน

    "เจ้าก็บังอาจแตะต้องบัลลังก์ของข้าไปแล้วนี่" ยุนโฮซ่อนรอยยิ้ม เดินไปนั่งที่บัลลังก์หินอ่อน ยกแขนขึ้นเท้าคางพลางทอดสายตารอคำตอบ

    "หากต้องเฉือนแก้มของข้าเพื่อให้ท่านพอใจ คนต่ำต้อยอย่างข้าคงไม่อาจปฏิเสธได้" แจจุงก้มหัวลงอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะรู้สึกผิด แต่เพราะไม่อยากมองหน้าอีกฝ่ายต่างหาก ดวงตาสีดำพราวระยับจนน่าโมโหนั่นมันยิ่งทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดจนแทบทนไม่ได้ แต่ก็รู้ดีว่าหากทำอะไรลงไปตอนนี้ นอกจากจะทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้แม้แต่รอยข่วนแล้ว เขายังต้องตายเปล่าแน่ๆ

    "หึ...ทั้งที่ตอนแรกเจ้าทำท่าตกใจเสียน่ารัก...จนข้าอดเอ็นดูไม่ได้ แต่ตอนนี้กลับจะกล้าขึ้นมาหรือไง?" คิ้วเรียวกระตุกตั้งแต่ได้ยินคำว่าน่ารัก ผิวแก้มขาวขึ้นสีเรื่อ แต่ก็ไม่ยอมนิ่งเงียบให้ถูกต้อนอยู่ฝ่ายเดียว

    "ตกใจไม่ใช่ขลาดกลัว หากนั่นเป็นสิ่งที่ฝ่าบาททรงมอบให้ ข้าคงไม่อาจปฏิเสธ" แจจุงตอบกลับด้วยใบหน้านิ่งเฉย ทั้งที่ความจริงในใจโกรธเกรี้ยว เขาไม่เคยต้องใช้ความพยายามเพื่ออดทนกับใครสักคนขนาดนี้เลย ก็ดี...อย่างน้อยถ้าเป็นคนที่ทำให้เกลียดได้ขนาดนี้ เวลาจะฆ่าก็คงไม่ต้องลำบากใจนักหรอก...

    "น่าเบื่อชะมัด ข้าฟังประโยคพวกนี้จนเอียนจะแย่ ไม่เห็นมีใครทำได้อย่างปากว่าสักคน" แจจุงหันกลับไปจ้องมองคนพูดอย่างกินเลือดกินเนื้อ ไม่ใช่เพราะการเสียสละเลือดเนื้อของคนนับร้อยนับพันหรอกหรือ ที่ทำให้เจ้ามานั่งอยู่ตรงนี้ได้ เหยียบย่ำชีวิตของคนอื่นมากมายเพื่อขึ้นไปถึงจุดสูงสุด ทั้งยังไม่ละอายใจหรือแม้แต่จะสำนึกบุญคุณอีก เจ้ามันน่ารังเกียจเกินไปแล้ว!

    "หากท่านอยากให้ข้าพิสูจน์นัก ข้าก็จะทำให้ดู" มือเล็กคว้ากริชออกมาจากที่ซ่อน ยุนโฮไม่ได้แสดงอาการตกใจหรือแปลกใจที่มีคนกล้าพกอาวุธในวัง กลับจ้องมองร่างบางตรงหน้าอย่างไม่อาจละสายตา ดวงตาสีดำสนิทพราวระยับด้วยความถูกใจ

    แต่ทันทีที่คมมีดแตะลงบนผิวแก้มนิ่ม ยุนโฮก็โบกมือห้าม ไม่ใช่ให้หยุดแต่บอกให้ร่างบางเปลี่ยนไปกรีดมันลงกับท้องแขนต่างหาก แจจุงขบฟันแน่น คิดเสียว่าแขนของตัวเองเป็นผิวเนื้อยุนโฮที่เขาอยากจะแทงเฉือนมันให้สะใจ ชายหนุ่มยกยิ้มเมื่อเห็นคมกริชกรีดผิวเนื้ออ่อนเป็นทางยาว เลือดไหลรินจากท้องแขนจนถึงข้อศอก ก่อนจะหยดลงบนพื้นหินอ่อนสีขาวบริสุทธิ์

    ...งดงามจับตา...

    แจจุงจ้องมองดวงตาคู่นั้น ก่อนหัวใจจะกระตุกวูบเมื่อรับรู้ได้ถึงความเหี้ยมโหดที่ฉายอยู่ภายใน แม้เขาจะเคยฆ่าคนมามากในสนามรบ แต่ก็ไม่เคยเห็นมันเป็นเรื่องสนุกเพลิดเพลินเลยสักครั้ง ไม่ใช่สำหรับยุนโฮ...อีกฝ่ายคงยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เห็นคนอื่นเจ็บปวดทรมาน ช่างโชคดีเสียจริงที่ประชาชนมีกษัตริย์ไร้หัวใจถึงขนาดนี้

    "เอาล่ะๆ ข้ายอมเชื่อเจ้าแล้ว อย่าทำร้ายผิวสวยๆ นั่นเลยดีกว่า" ยุนโฮเอ่ยพร้อมรอยยิ้มถูกใจไม่เลิกรา แต่สิ้นคำนั้นแจจุงก็กรีดคมมีดซ้ำลงไปที่เดิมราวกับจะแกล้งประชด ใบหน้าสวยเรียบนิ่งเหมือนตุ๊กตาที่ไม่รู้จักความเจ็บปวด ร่างสูงกระตุกคิ้วมองอย่างไม่พอใจ จนแจจุงได้แต่นึกขำยุนโฮที่เหมือนเด็กไม่รู้จักโต ถูกขัดใจนิดหน่อยก็หงุดหงิดจนเก็บอาการไม่อยู่

    ยุนโฮร้อนใจ ไม่ใช่เพราะความห่วงใย แต่เป็นเพราะกลัวของเล่นที่ตัวเองเพิ่งค้นพบจะกลายเป็นอะไรไปซะก่อน คงต้องหยุดเล่นสนุกแล้วเรียกให้เจ้านั่นมาจัดการ

    "ชางมิน!" ลมหายใจกระตุกวูบเมื่อได้ยินชื่อของคนที่เฝ้าคิดถึง กริชสีเงินหล่นกระทบพื้นหินแข็ง ส่งเสียงก้องไปทั่วบริเวณ แจจุงหันไปมองคนที่เพิ่งปรากฎตัวตรงทางเข้าอย่างคาดหวัง ก่อนจะเม้มริมฝีปากแน่นเมื่อได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคย

    ชางมิน...ทำไมเจ้าถึง...

    "แจจุง?" ใบหน้านั้นดูแปลกใจ ร่างสูงในเสื้อคลุมสีอ่อนเดินตรงเข้ามาหาเหมือนจะลืมไปว่าเขาถูกเรียกตัวมาที่นี่เพราะอะไร และเพราะใคร หยาดเลือดสีแดงฉานที่หยดกระทบพื้นเริ่มเจิ่งนองเป็นวงกว้าง มือแกร่งคว้ากระชับข้อมือบางขึ้นมาตรวจดูบาดแผลอย่างห่วงใย อ่อนโยน..ไม่เปลี่ยนแปลง...

    ...อย่างน้อยเจ้าก็ยังไม่ลืมข้า

    ดวงตารูปอัลมอนด์กะพริบถี่ พยายามกักเก็บน้ำตาที่กำลังจะร่วงหล่นลงมาอย่างยากเย็น เขาไม่อยากร้องไห้ตอนนี้ ไม่อยากอ่อนแอต่อหน้าใคร ทั้งที่คิดว่าอีกฝ่ายคงไม่มีทางรู้ แต่ชางมินกลับลูบเส้นผมนุ่มนั้นแผ่วเบา แล้วโอบไหล่บางเข้ามาใกล้ แจจุงคล้ายลืมความทรมานที่ผ่านมาตลอดหนึ่งอาทิตย์ ร่างบางเอนศีรษะลงซบไหล่กว้าง ปล่อยให้หยดน้ำตาไหลซึมลงบนเนื้อผ้านุ่ม เพียงไม่นานมันก็เหือดหายไป

    "ชางมิน เจ้ามีอะไรจะบอกข้ามั๊ย?" แม้จะมีความไม่พอใจเพียงเล็กน้อยที่เจืออยู่ในน้ำเสียง แต่ชางมินก็รู้ดีว่าถ้าเขาไม่ตอบคำถามเจ้าตัวตอนนี้ มันจะกลายเป็นความไม่พอใจที่เอาไปลงกับคนอื่นแทนแน่ๆ

    "เขาเป็นองครักษ์ที่ข้าขอเอาไว้ครับ" แจจุงกัดริมฝีปาก ก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าตัวเองคงไม่โชคดีขนาดนั้น แค่คิดไม่ถึงว่าชางมินจะเป็นคนช่วย...รู้สึก...สมเพช...

    "ข้าว่าเอาไปเป็นสนมยังจะเหมาะกว่า" ร่างสูงหัวเราะในลำคอพลางยิ้มหยัน ทั้งรูปร่างบอบบางจนเหมือนจะแตกหักได้ทุกเมื่อ ไหนจะพลังเวทย์ที่ต่ำจนไม่น่าเป็นทหาร ในเมื่อมีดีแค่หน้าตา จะเป็นอะไรไปได้มากกว่านางสนม?

    "ข้าเพิ่งรู้ว่าไม่ใช่แค่ชอบเห็นคนอื่นทำร้ายตัวเอง ท่านยังมีรสนิยมวิปริตไม่เหมือนใครดีนะ" แจจุงประชด รู้ตัวว่ากำลังพาล แต่นั่นก็เพราะยุนโฮมาหาเรื่องเขาก่อน

    "ข้าว่าเจ้าคงกำลังหมายถึงตัวเองอยู่ล่ะมั้ง ถึงได้อ้อนให้ชางมินกอดซะแนบแน่นขนาดนั้น"

    "มีแต่ท่านที่เห็นเพื่อนกอดกันแล้วคิดบ้าๆ ได้น่ะ สมองคงคิดเรื่องอื่นไม่เป็นแล้วใช่มั๊ย?"

    "งั้นก็คงมีแต่เจ้านั่นแหละที่คิดว่าคนมีสนมเป็นพวกวิปริตน่ะ เห็นทีอาณาจักรไหนๆ ก็คงมีแต่คนวิปริตแน่ๆ" ทั้งที่ปกติยุนโฮไม่เคยปล่อยให้ใครกล้าหยาบคายกับตัวเองขนาดนี้ แต่นอกจากไม่โกรธแล้วยังดูสนุกเสียด้วยซ้ำ

    "แล้วสนมของท่านมันเหมือนของคนอื่นรึไง?" แจจุงยังคงไม่รู้ตัวว่าตัวเองอยู่ในสถานะอะไร คิดแต่ว่าไม่อยากแพ้เท่านั้น

    "แค่ชายหญิง มันจะแตกต่างกันตรงไหน ยังไงก็มีร่างกายที่รองรับความใคร่ได้เหมือนกัน" ชางมินรีบปิดริมฝีปากสีเรื่อเอาไว้ก่อนเจ้าตัวจะวิ่งเข้าไปหาเรื่องยุ่งมากกว่านี้

    "อย่าใส่ใจเลยครับท่านพี่ เขาเพิ่งเข้ามาอยู่ คงยังไม่รู้ว่าท่านเป็นใคร"

    "ข้าคิดว่าเขารู้นะ" ชางมินชะงักค้าง เท่าที่จำได้คนที่กล้าพูดหาเรื่องกับยุนโฮทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครไม่เคยมี มีก็แต่พวกไม่รู้เลยทำอวดตัวหยิ่งไม่เข้าเรื่องเท่านั้นแหละ ถึงได้ถูกฆ่าเป็นผีเฝ้าวังเต็มไปหมด

    "ท่านพี่...?" แจจุงรำพึงออกมาเบาๆ ไม่อาจพูดอะไรไปได้มากกว่านี้ ทั้งที่อยากจะตะคอกถามอีกฝ่ายว่าทำไมไม่เคยบอกเขา แต่ความจริงที่เพิ่งรู้ก็ถาโถมใส่เสียจนสับสนไปหมด

    ทำไม...ทำไมถึงต้องเป็นชางมิน?

    ชางมินเข้าใจว่าแจจุงคงโกรธที่เขาไม่ยอมบอกความจริงจึงเงียบไปเช่นนั้น เขาคว้ามือเย็นเยียบของแจจุงไว้ ไม่กล้าแม้แต่จะกล่าวลายุนโฮ เพราะกลัวว่าเสียงของตัวเองจะทำให้แจจุงยิ่งโกรธหนักกว่าเดิม เขากระชับมือนุ่มไว้แน่นก่อนจะดึงพาให้เดินออกไปจากห้องนั้นด้วยกัน

    ยังมีอะไรที่ข้าต้องสูญเสียอีก?

    ********************************

    ชางมินพาแจจุงไปที่ห้องนอนของเจ้าตัวก่อนจะดันร่างบางที่ทำท่าเหมือนคนไร้วิญญาณเข้าไปในนั้น ห้องสี่เหลี่ยมไม่เล็กไม่ใหญ่ กำแพงสี่ด้านทำจากหินสีเทาอ่อน มีแต่จะทำให้แจจุงรู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิม แม้หน้าต่างสองบานจะเปิดกว้างเผยให้เห็นท้องฟ้ายามพลบค่ำและแสงไฟสลัวจากหมู่บ้านเบื้องล่าง มันก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอะไร นอกจากเหงาเท่านั้นเอง

    ชางมินไม่พูดอะไร แต่เอื้อมไปจับแขนเรียวที่บาดเจ็บ ก่อนจะใช้พลังรักษาแผลนั้นให้หายสนิทในเวลาไม่นาน แจจุงยังคงมองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างสนใจใคร่รู้ดังเช่นทุกครั้ง ราวกับจะลืมเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นไป

    "ขอโทษ..ข้าไม่ได้ตั้งใจจะปิดบัง" ริมฝีปากอิ่มยิ้มบาง ทั้งที่คิดว่านั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาจะทำได้ตอนนี้ "ช่างมันเถอะ" แจจุงดึงแขนออกมาจากการเกาะกุมแล้วเดิมไปนั่งที่เก้าอี้ริมหน้าต่าง ชางมินเดินตามไปอย่างไม่สบายใจ

    "ข้าไม่ได้คิดจะโกหกเจ้า แต่ไม่รู้จะบอกยังไง..."

    "กลัวข้าจะใช้ประโยชน์จากการเป็นเพื่อนของเจ้าล่ะสิ" แจจุงแย้งขึ้นมา ไม่มีอารมณ์โกรธใดๆ เจืออยู่ในน้ำเสียง แค่คิดว่ามันเป็นเหตุผลที่ฟังขึ้นและทำร้ายตัวเองน้อยที่สุดก็เท่านั้น...อย่าให้ต้องรู้สึกแย่ไปกว่านี้เลย ถึงตอนนี้...จะโกหกก็ได้

    "เปล่านะ! เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนแบบนั้นหรือไง?" ชางมินเริ่มโกรธบ้าง

    "แล้วเจ้า...คิดว่าข้าเป็นคนยังไงล่ะ?" แจจุงจิกเล็บลงบนฝ่ามือ กลัวแม้กระทั่งจะคิด...กลัวว่าชางมินจะโกรธ ทำไมเขาถึงกลายเป็นคนขี้ขลาด กระทั่งจะโกรธคนที่สมควรก็ยังไม่กล้า นั่นแค่เพราะอีกฝ่ายเป็นเพื่อนที่รักจนไม่อยากจะสูญเสียไปอีกครั้งน่ะเหรอ? ราวกับว่าเขาลืมช่วงเวลาหนึ่งอาทิตย์ที่เงียบเหงานั่นไปแล้ว ข้าก็แค่...ไม่อยากจะอยู่คนเดียวอีกแล้ว...

    "ข้าไม่รู้.." นั่นหมายความว่าไม่ใส่ใจหรือเปล่า? แจจุงก้มหน้าลง ไม่อยากคิดอะไรอีก "ข้าแค่...อยากลองใช้ประโยชน์จากตำแหน่งตัวเองดู" ชางมินไม่ยอมพูดเหตุผลจริงๆ ออกไปเพราะคิดว่าคงไม่สำคัญ

    "เจ้าจะบอกว่า...ที่ข้าได้เข้าวังมาเพราะเจ้าช่วยไม่ใช่เพราะฝีมือใช่มั๊ย..." เหมือนถูกตอกย้ำให้ยิ่งเจ็บกว่าเดิม แค่คิดมันก็แย่พอแล้ว ยิ่งต้องพูดออกมาเองแบบนี้...จะมีอะไรเลวร้ายกว่านี้ได้อีก?

    "อย่าเข้าใจผิดสิ ข้าไม่ได้ช่วยเจ้าแบบนั้น ข้าแค่เสนอชื่อเจ้า เขียนรายงานส่งผลการรบคราวที่แล้วไปสิบสามหน้ากระดาษ แล้วหัวหน้าองครักษ์ก็เลือกเจ้าเข้ามาเองต่างหาก" ชางมินรู้สึกผิดที่พูดอะไรไม่ชัดเจนแต่แรกทำให้แจจุงต้องคิดมากขนาดนี้ เพราะเขารู้ดีว่าถึงจะดูเป็นคนเย็นชาแต่แจจุงก็ใส่ใจคนอื่นมากกว่าที่คิด อ่อนไหวง่ายจนเขาอดเป็นห่วงไม่ได้ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงไม่ถามว่าแจจุงอยากจะมาที่นี่ แต่กลับทำทุกอย่างเสร็จสรรพ เพราะรู้ว่าต่อให้แจจุงอยากเข้ามาแค่ไหนก็ไม่มีทางขอความช่วยเหลือเขาเด็ดขาด

    "...สิบสามหน้ากระดาษ?"

    "ใช่สิ มันทำเอาข้าไม่ได้กินไม่ได้นอนตั้งเกือบอาทิตย์ ไม่ใช่เพราะเจ้าไม่มีผลงานนะ แต่ข้าก็ต้องหาคำพูดจูงใจด้วยต่างหาก เจ้าก็รู้ว่าพวกคนในวังน่ะ ชอบตัดสินคนที่พลังเวทย์มากกว่าสมอง แถมยังทำงานชักช้ายังกับเต่า" ชางมินทำเป็นบ่นต่อยาวยืด เพราะรู้ว่าแจจุงคงไม่โกรธอะไรเขาแล้ว เหลือแค่พยายามทำให้อีกฝ่ายยอมรับการช่วยเหลือครั้งนี้เท่านั้นเอง

    "ขอบคุณนะ..." แจจุงยิ้มบาง เพราะเป็นความตั้งใจของชางมิน เขาจึงไม่อยากปฏิเสธ แต่ถ้าชางมินรู้ว่าเขาอยากเข้ามาที่นี่เพราะอะไร...คงไม่มีทางยกโทษให้แน่...

    "ไม่เป็นไร...ที่จริง..มันก็แค่เพราะข้าอยากอยู่กับเจ้า" ชางมินเกาหัวแก้เขิน ทั้งที่คิดว่าไม่อยากจะพูดออกไปแท้ๆ แต่ถ้ามันทำให้แจจุงสบายใจกว่าก็ทนเขินหน่อยแล้วกัน

    "ข..ข้าก็...เหมือนกัน" แจจุงกระซิบเสียงเบา รู้สึกได้ถึงผิวหน้าร้อนผ่าว อาการเขินอายของแจจุงที่ไม่ได้เห็นมานานทำให้ชางมินหัวเราะเบาๆ ก่อนจะสวมกอดร่างบางไว้แน่น "ข้าคิดถึงเจ้าจัง"

    ใบหน้าหวานซบลงกับไหล่กว้าง กอดเอาไว้ด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่มี ไม่อยากจะสูญเสียสิ่งที่มีอยู่ตอนนี้ไปเลย

    "อืม..." แจจุงตอบรับเบาๆ ไม่อาจพูดคำใดออกไปได้อีก อย่าปล่อยมือนี้ไปอีกเลยนะ...เพราะข้าคงทนรับมันไม่ได้อีกแล้ว...




    TBC.

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×