คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Chapter One : Revenger
อาณาบริเวณกว้างไกลสุดสายตา มองไปทางไหนก็เห็นแต่ความงดงามของทิวทัศน์ ดอกไม้หลากสี ทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ ผู้คนมากมายเดินกันขวักไขว่ตามถนน วัวสีขาวเทียมเกวียนมีเจ้าของคอยบังคับให้เดินไปในทิศทางที่ตนต้องการ ในมือไม่จำเป็นต้องใช้แส้ เพียงกระซิบเวทมนตร์เบาๆ เจ้าสัตว์ใช้แรงงานสองตัวก็จะทำตามคำสั่งทุกประการ มันเป็นเรื่องปกติของที่นี่ ดินแดนที่เวทมนตร์คือทุกสิ่งทุกอย่าง พลังอำนาจ ศักดิ์ศรี ชื่อเสียง และเงินตรา
เด็กหนุ่มร่างเพรียวเบือนหน้าออกมาจากหน้าต่างบานกว้าง จากยอดหอคอยแห่งนี้ เขามองเห็นการเคลื่อนไหวของชีวิตและสีสันบนดินแดนที่ได้ชื่อว่าเป็นของบิดา...คนเพียงคนเดียวในโลกนี้ที่รักเขา...และคนเพียงคนเดียวในโลกนี้เช่นกันที่เขารัก
ในความทรงจำเลือนลาง เขายังจำได้ครั้งเมื่อยังเป็นเด็ก เสียงดุด่าด้วยความรังเกียจ สายตาเคลือบแคลงจากคนในวัง คนที่ได้ชื่อว่ามีสายเลือดเช่นเขาอยู่บ้างไม่มากก็น้อย ไม่ว่าจะเกี่ยวพันกันอย่างไร เขามั่นใจว่าคนพวกนั้นคงไม่อยากนึกจะให้เขามีชีวิตอยู่เท่าไรนัก
โอรสผู้สืบทอดสายเลือดเพียงคนเดียวแห่งอาณาจักรตะวันตก คนๆ นั้นคือเขา สายเลือดและฐานะอันสูงส่งไม่เคยทำให้เขามีความสุข การเป็นลูกของท่านพ่อไม่ได้ทำให้ทุกคนลืมว่าแม่เขาเป็นเพียงนางทาสต่ำต้อย คำครหาที่ได้ยินตั้งแต่ลืมตาดูโลก คือหญิงแพศยาจิตใจต่ำช้าที่ทิ้งลูกตัวเองไปทันทีที่คลอดออกมา เพียงเพราะนั่นไม่มากพอจะทำให้นางได้เป็นราชินี
เขาไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร แต่การที่ท่านพ่อยังคงเฝ้าคิดถึงท่านแม่อยู่ และไม่ยินยอมอภิเษกกับใคร แม้นางจะจากไปนับสิบปี คงมากพอจะทำให้เขาเชื่อว่าความรักในครั้งนั้นไม่ใช่ความหลงใหลชั่วครู่
ทุกคนเบื้องล่างไม่รับรู้ถึงการมีชีวิตอยู่ของเขา ไม่ใช่ว่าท่านพ่อรังเกียจที่จะแนะนำเขาให้ทุกคนรู้จัก หรืออับอายที่จะต้องยอมรับว่าเขาเป็นลูก ตรงข้าม ท่านพ่อทำทุกอย่างเท่าที่พ่อคนหนึ่งจะทำเพื่อลูกชายได้ ดังนั้น แม้ทุกคนบนโลกนี้เกลียดชังเขา เขาก็ไม่สนใจ ตราบใดที่ท่านพ่อยังคงรักเขาเช่นลูกชายคนหนึ่งที่ผู้ให้กำเนิดพึงจะรักได้ เขาเคยคิดว่าหากท่านพ่อจากไป เขาเองก็คงไม่จำเป็นต้องมีชีวิตอยู่ เพราะไม่รู้จะอยู่ไปเพื่ออะไร ในโลกที่เต็มไปด้วยความเคืองแค้นจากคนรอบข้าง ผู้สืบทอดที่มีสายเลือดสกปรกอยู่ครึ่งหนึ่งและที่แย่กว่านั้น...ไม่มีพลังเวทย์แม้แต่น้อย
ความนึกคิดในตอนนั้นกลายเป็นความจริงในเวลาไม่นาน กองทัพจากอาณาจักรตะวันออกเร็กซัสบุกเข้าโจมตีดินแดนแห่งนี้ย่อยยับภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน ท่านพ่อจับเขาขังไว้บนหอคอยนี้ เพราะรู้ว่าเขาที่ไร้พลังจะต้องถูกฆ่าได้อย่างง่ายดาย แม้จะพยายามต่อต้าน แต่เขาที่ไม่มีพลังใดๆ ไม่มีทางสู้พลังเวทย์ของท่านพ่อได้ แม้จะไม่อาจออกไปจากที่นี่ แต่หน้าต่างเพียงบานเดียวของหอคอยนี้ ก็ทำให้เขาได้เห็นทุกอย่าง ความโหดร้ายของศัตรู เลือดเนื้อที่สูญเสีย ร่างคนตายที่นอนเกลื่อนผืนดิน ราวกับจะถูกย้อมให้เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย แม้มันไม่น่ายินดี แต่เขาก็ไม่เคยนึกเศร้าไปกับมัน ตราบใดที่ท่านพ่อยังอยู่...ท่านพ่อจะต้องกลับมา...
ความหวังของเขาไม่ได้เป็นจริง หนึ่งเดือนผ่านไป หลังจากสงครามครั้งนั้น คนในวังถูกฆ่าทิ้งเพื่อป้องกันการก่อกบฎ และท่านพ่อ...ไม่ได้กลับมา
แม้ไม่รู้ว่าท่านพ่อจะยังมีชีวิตอยู่หรือจากโลกนี้ไปแล้ว สิ่งเดียวที่ทำให้เขายอมอยู่บนโลกนี้ต่อไป...คือการแก้แค้น...
ร่างเพรียวเดินไปที่ชั้นหนังสือ หยิบเครื่องประดับชิ้นหนึ่งขึ้นมา มันเป็นหินสีเงินยวงราวแสงจันทร์ ตัวเรือนทำด้วยโลหะสีขาวสุกสว่าง หลายเดือนจากการศึกษาตำราโบราณในห้องสมุดของที่นี่ จนเขาสามารถสร้างอัญมณีที่ให้พลังเวทย์ได้ แต่เขาก็ต้องให้ค่าตอบแทนพลังนี้อย่างสมน้ำสมเนื้อ การทุกข์ทรมานจากบาดแผลที่มองไม่เห็นทุกคืนวันเพ็ญคือสิ่งที่เขาไม่อาจหลีกเลี่ยง ราชินีแห่งค่ำคืนมีมนต์วิเศษที่มหัศจรรย์ แต่เธอก็เรียกค่าตอบแทนอันแสนแพงจากคนที่คิดจะใช้มัน
ก็แค่คืนเดียวในหนึ่งเดือน ไม่ว่าจะต้องเจ็บปวดแค่ไหน มันก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่เขาได้ฆ่ากษัตริย์แห่งอาณาจักรตะวันออกเร็กซัสด้วยมือของเขาเอง!
คืนพระจันทร์เต็มดวงคืนแรกผ่านพ้นไป ทันทีที่สามารถรวบรวมเรี่ยวแรงได้ แจจุงก็รีบลุกขึ้นหยิบสัมภาระที่เตรียมไว้เพื่อออกไปจากที่นี่ ท่านพ่อคงไม่รู้ว่าเขาจะใช้เวทย์ได้ จึงลงสลักไว้ด้วยมนต์ง่ายๆ บทหนึ่ง ที่ยากจะเปิดออกจากภายนอก แต่ถ้าเป็นคนที่อยู่ข้างในก็อีกเรื่องหนึ่ง
กริชเงินอันเล็กเรียบ คืออาวุธที่ท่านพ่อทิ้งมันไว้ให้เขาใช้เผื่อจำเป็นก่อนจะออกไปจากหอคอย แจจุงเก็บมันไว้กับตัว เรือนผมสีดำสนิทยาวจรดเอวที่บางส่วนถูกรวบไว้ด้านหลัง เผยให้เห็นเครื่องประดับหูสีเงินแวววาว ร่างบางมองไปรอบๆ ห้องที่ตนอยู่มาสามเดือนราวกับจะกล่าวคำอำลา
สถานที่หลบภัยและที่คุมขัง ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องขอบคุณจริงๆ ที่ทำให้ข้ามีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้
***********************
บรรยากาศของตลาดไม่ได้เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนเท่าไร แม้จะยังมีกลิ่นอายแห่งความเศร้าปะปนอยู่บ้างก็ตาม จากการปลอมตัวเพียงเล็กน้อย ก็ไม่มีใครจำเขาได้ นั่นเพราะเขาเองก็ไม่ชอบที่จะออกมาพบเจอผู้คนเท่าไรนัก คนที่เคยเห็นหน้าเขาคงมีแต่คนในวัง แต่ยังไงก็กันไว้ดีกว่าแก้
"ขอโทษครับท่านป้า ข้าอยากรู้ทางไปอาณาจักรเร็กซัส ท่านพอจะบอกเข้าได้มั๊ย?" หญิงวัยกลางคนหันมามองเขาราวกับเป็นสิ่งมีชีวิตน่ารังเกียจ โชคดีที่แแจจุงคุ้นเคยกับมันดีเลยไม่รู้สึกอะไร
"มีแต่พวกทรยศเต็มไปหมด! อยากรู้นักก็ไปถามพวกทหารที่ประตูเมืองนั่นสิ!!" แจจุงยิ้มพลางก้มหัวขอบคุณ ที่เขาต้องการไม่ใช่เส้นทางไป แต่คือคนที่รู้ว่าจะไปยังไงต่างหาก ผู้หญิงคนนั้นมองเด็กหนุ่มอย่างระแวง ท่าทางอย่างนั้นราวกับไม่ใช่คนธรรมดา แต่พลังเวทย์ที่เธอสัมผัสได้มันก็ไม่มากไปกว่าแม่ค้าขายของอย่างเธอสักเท่าไร ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงได้...น่ากลัว...
ร่างบางเดินไปถามทหารที่ประตูเมือง จริงอย่างที่คิด แค่บอกว่าสนใจจะมาสมัครเป็นทหาร พวกนั้นก็รีบตอบรับเขาทันที แค่ได้ยินกิตติศัพท์เรื่องบ้าสงครามของกษัตริย์แห่งเร็กซัส เขาก็รู้ดีว่าสิ่งที่คนบ้าอำนาจอย่างนั้นต้องการ คงไม่ใช่เงินหรือผู้หญิง แต่เป็นพวกโง่ที่จะมาเป็นทหารเอาไว้เล่นสนุกกับเลือดเนื้อของคนอื่นต่างหาก
ทหารที่ประตูเมืองฝากเขาไปอาณาจักรเร็กซัสกับทหารกลุ่มหนึ่งที่กำลังจะกลับไปรายงานความเป็นไปในเมือง ทุกอย่างดูจะเป็นไปได้ด้วยดี เขาก็ได้แต่หวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้น...
*****************
ทั้งที่มีพลังเวทย์เพียงน้อยนิด แต่ทหารที่รูปร่างยังเสียเปรียบคนอื่นอย่างแจจุงก็ถูกส่งออกไปรบเป็นแนวหน้าอยู่ดี ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเจ้ากษัตริย์บ้าอำนาจนั่นก็ต้องการแค่หมากตัวหนึ่งเอาไว้ฆ่าเวลาเท่านั้น
เลือดเนื้อที่สูญเสียคงเป็นเพียงของเล่น ข้าอยากจะรู้นักว่าหากกษัตริย์ของพวกเจ้าเจอกับตัวเองบ้างจะรู้สึกอย่างไร หรือจะนึกสนุกไปกับการถูกทรมานจนตายอย่างช้าๆ?
ขณะที่คิดเช่นนั้น กริชสีเงินคมกริบก็ทำงานของมันได้อย่างไม่บกพร่อง ความว่องไวในการหลบหลีกศัตรูของแจจุง ไม่ได้ด้อยไปกว่าความรวดเร็วในการตวัดปลายมีดแทงขั้วหัวใจเท่าใดนัก แม้พลังเวทย์จะน้อยนิดจนแทบไร้ประโยชน์ในสนามรบ แต่ฝีมือการสู้ตัวต่อตัวของแจจุงก็ยากที่จะหาใครเทียบได้ เป็นความสามารถที่ทดแทนสิ่งที่ไม่มีอย่างเวทมนตร์ได้อย่างเหลือเชื่อ ศัตรูตรงหน้าล้มตายลงไปคนแล้วคนเล่า โลหิตสีแดงฉานสาดกระเซ็นไปทั่วทุกแห่ง ราวกับจะย้อมทุกสิ่งให้เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและทรมาน
ร่างเพรียวเดินโซซัดโซเซผ่านซากศพที่กองทับถม กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทุกหนแห่ง เสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดและพวกทหารที่พากันพยุงเพื่อนตัวเองไปที่เรือนพยาบาล
"ช..ช่วยด้วย" แจจุงรู้สึกเหมือนขาตัวเองถูกใครสักคนดึงรั้งไว้ เมื่อมองไปก็เห็นพลทหารคนหนึ่งนอนหายใจรวยริน เขาจำได้ว่าสัญลักษณ์บนเกราะนั่นเป็นของฝ่ายตรงข้าม
"ข...ขอร้อง" บางสิ่งที่ไม่เคยได้รับ...ใครสักคนมาขอความช่วยเหลือจากเขา... ด้วยความรู้สึกบางอย่าง แจจุงทรุดลงประคองร่างนั้นขึ้นมา แม้อีกฝ่ายจะตัวใหญ่กว่าเขามาก แต่การฝึกฝนร่างกายตั้งแต่เด็กก็ทำให้แจจุงสามารถแบกทหารคนนั้นไปจนถึงเรือนพยาบาลได้
ทุกคนต่างกำลังวุ่นวายอยู่กับการรักษาพวกทหารที่บาดเจ็บ จนไม่มีใครสนใจเขาที่แบกทหารคนนั้นเข้าไป แจจุงเองก็ไม่แน่ใจนักว่าการช่วยฝ่ายตรงข้ามเช่นนี้จะเป็นเรื่องผิดจนถูกลงโทษ หรือกลายเป็นพาคนๆ นี้ให้มาถูกฆ่าแทน ในความรู้สึกของเขา การต่อสู้ที่มีฝ่ายแพ้แล้ว ก็ไม่จำเป็นจะต้องเหยียบย่ำชีวิตที่ยังอุตส่าห์รักษาไว้ได้
แจจุงประคองร่างนั้นให้เอนลงกับที่ว่างมุมหนึ่งในเรือนพยาบาล เขาละล้าละหลังเพราะไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป
"ข้าจัดการเอง" ใครคนหนึ่งในชุดคลุมสีน้ำตาลอ่อนเดินเข้ามาแล้วใช้พลังเวทย์รักษาบาดแผลนั้นจนเกือบหายสนิท แจจุงได้แต่มองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างประหลาดใจ ใช่ว่าเขาจะได้เห็นการรักษาแบบนี้บ่อยๆ เสียเมื่อไร
"ทำไมถึงช่วยเขา?" คนในชุดคลุมเอ่ยถาม
"เขาเรียกให้ข้าช่วย" แจจุงตอบแบบไม่คิดอะไร
"แค่นั้นน่ะเหรอ?" ใบหน้าสวยพยักเบาๆ คนในชุดคลุมเงยหน้าขึ้นมองเขาหลังจากการรักษาเสร็จสิ้น เรือนผมสีน้ำตาลเข้มถูกรวบไว้ด้านหลัง ปล่อยให้ผมด้านหน้าตกลงมาปรกหน้าผาก แต่ไม่อาจซ่อนดวงตาที่แฝงความฉลาดเอาไว้ได้
"ข้าชื่อชางมิน ยินดีที่ได้รู้จัก" เป็นครั้งแรกที่ได้ฟังคำพูดแบบนี้ แจจุงก็เลยเกิดอาการทำตัวไม่ถูกขึ้นมา
"ข้า...ข้าแจจุง" แก้มขาวขึ้นสีเรื่อเหมือนเด็กๆ ที่กำลังเขินอายตอนเจอคนแปลกหน้า ตั้งแต่จำความได้ สิ่งที่เขาได้รับจากคนอื่นนอกจากท่านพ่อคือแววตาเกลียดชังและรอยยิ้มเย้ยหยันรังเกียจ ไม่มีเลยสักครั้งที่คนอื่นจะมองเขาที่เป็นเขา ไม่ใช่ลูกชายเลือดสกปรกที่ไร้ความสามารถ
"ท่านดูแปลกๆ ไม่สบายตรงไหนรึเปล่า?" ชางมินขยับเข้ามาใกล้ ทำท่าจะตรวจดูบาดแผลตามร่างกายของแจจุง ด้วยความไม่คุ้นเคย ร่างบางจึงถอยหนีแล้วรีบส่ายหน้า
"ข้าไม่เป็นไร" ชางมินหัวเราะออกมากับท่าทางพิลึกนั่น "คนๆ นี้ไม่เป็นไรแล้วล่ะ แต่ข้าว่าเรามาช่วยถอดเกราะเขาออกแล้วเอาไปทิ้งดีกว่า ไม่อย่างนั้นถ้าคนอื่นมาเห็น ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น" แจจุงพยักหน้าเห็นด้วย หลังจากการทำอะไรสักอย่างที่เหมือนแผนร้ายเล็กๆ ทั้งสองคนก็ดูจะสนิทกันมากขึ้น
"ท่านหิวรึยัง ข้าหิวมากเลย" เด็กหนุ่มผิวสีแทนเอ่ยออกมา แจจุงนึกทึ่งที่อีกฝ่ายยังพูดเรื่องกินออกมาได้หน้าตาเฉยทั้งที่มือยังแดงเถือกจากเลือดคนอื่น
"ข้าก็หิว" เขาเองก็คงพอกัน ช่วยไม่ได้นี่นะ ก็ยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้า ตื่นมาก็ถูกส่งออกไปรบเลย
"ว่าแต่...เจ้าอยู่หน่วยไหน?" ชางมินหัวเราะ "ท่านเห็นชุดข้ายังไม่รู้อีกเหรอ?" แจจุงส่ายหัว "ข้าจะไปรู้ได้ไง" ชางมินยิ้มขำให้กับคำตอบนั้น
"ข้าอยู่หน่วยพยาบาล"
"ไม่น่าล่ะ เจ้าใช้เวทย์รักษาเก่งมากเลยนะ" เพราะศึกษาตำราพวกนั้นจนทะลุปรุโปร่ง แจจุงจึงสามารถพูดคุยได้ราวกับคนที่ใช้เวทย์เป็น หากไม่มีตุ้มหูนั่น เขาก็แค่คนที่รู้ทุกอย่างแต่ใช้งานไม่ได้สักอย่างเท่านั้นเอง
"ขอบคุณ แต่ข้าไม่ค่อยชอบใช้นักหรอก ข้าว่าพึ่งพาเวทย์มนตร์มากเกินไปมันดูไม่เป็นตัวของตัวเอง" แจจุงหัวเราะออกมา "งั้นเหรอ แต่เวทย์นั่นมันก็ของเจ้าไม่ใช่รึไง" ชางมินยิ้มกว้าง ไม่รู้เพราะเห็นอาหารตรงหน้า หรือเพราะคำพูดของแจจุง
"ก็จริง แต่สิ่งที่ทำให้คนเราเป็นอยู่ตอนนี้ ก็คือความคิดของตัวเองต่างหาก ไม่ใช่พลังเวทย์" แจจุงรู้สึกถูกชะตากับคนตรงหน้าขึ้นมา คงเพราะไม่มีคำว่า โอรสของกษัตริย์แห่งอาณาจักรตะวันตก เขาจึงไม่ต้องถูกเกลียดตั้งแต่ยังไม่ได้พูดคุย แต่เขามั่นใจว่าต่อให้เป็นอย่างนั้น ชางมินก็ไม่ใช่คนตัดสินคนอื่นจากภายนอกอยู่ดี
"ข้าก็ว่างั้น" แจจุงก้มหน้าก้มตาตักซุปในถ้วยตัวเอง ไม่กล้ามองสบตาชางมินอีก ความรู้สึกเป็นสุขที่ไม่ได้สัมผัสมานานทำให้แจจุงนึกกลัวขึ้นมา
"เจ้าน่ะ เป็นคนดีนะ" แจจุงเงยหน้าขึ้นมองคนพูดอย่างแปลกใจ จากประสบการณ์ที่ผ่านมาสอนให้เขารู้ว่าอย่าหลงเชื่อคำชมของใครง่ายๆ แม้สำหรับชางมิน เขาจะนึกอยากให้มันเป็นคำพูดจากใจจริงก็เถอะ
"อุตส่าห์ช่วยศัตรูทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร" ชางมินให้เหตุผล แจจุงยิ้มบางเหมือนเข้าใจขึ้นมา "แค่นั้นเอง แค่นั้นใช้ตัดสินคนว่าดีหรือเลวไม่ได้หรอก"
"แต่เจ้าก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้ทำอย่างนั้น" แจจุงเบือนหน้าหนี เพราะเกิดกลัวที่จะสบตากับอีกฝ่ายขึ้นมา ทำไมดวงตาคู่นั้นถึงได้ดูเหมือนรู้ไปเสียทุกอย่างเลยนะ
"ข้าอาจจะมีก็ได้ ถ้าข้ามีคงไม่บอกเจ้าหรอก"
ชางมินหัวเราะ "ข้ารู้ว่าเจ้าไม่มี" แจจุงหยิบขนมปังขึ้นมาปาใส่ชางมิน "รีบๆ กินไปเลยไป"
ทั้งที่เพิ่งได้พบกัน แต่ทำไมข้าถึงรู้สึกวางใจได้ถึงขนาดนี้
ทำไมถึงรู้สึกอยากอยู่ใกล้ๆ อยากพูดคุย อยากทำทุกๆ อย่าง แค่มีเจ้าอยู่ด้วย
สิ่งที่ข้าไม่เคยมี...และจากนี้ไปก็ไม่อยากสูญเสีย
มันไม่ควรเกิดขึ้นเลยจริงๆ
*********************
การรบครั้งนั้นไม่ได้ยาวนาน เพียงสามวันมันก็เสร็จสิ้นลงอย่างง่ายดาย แต่การต่อสู้สุดความสามารถของฝ่ายตรงข้าม ก็ทำให้มีพลทหารบาดเจ็บหลายสิบคน กลายเป็นงานหนักให้กับชางมิน เพราะหมอในค่ายนั้นมีเพียงชางมินคนเดียว
ตลอดเวลา แจจุงคอยอยู่ข้างๆ ช่วยชางมินรักษาบ้าง ปฐมพยาบาลพวกที่เพิ่งส่งเข้ามาบ้าง แม้แจจุงจะต้องออกไปรบจนเหนื่อยกลับมาแค่ไหน แต่ก็ต้องกลับมาช่วยชางมินที่เรือนพยาบาลจนได้ แม้ชางมินจะห้ามไม่ให้แจจุงมาเพราะเห็นว่าเหน็ดเหนื่อยจากการรบมามาก แต่ร่างบางก็ไม่ยอมเชื่อฟังจนหมออย่างชางมินต้องยอมแจจุงอย่างไม่มีทางเลือก
"นี่ ไปพักได้แล้ว เดี๋ยวข้าเฝ้าเอง" ชางมินเอ่ยปากไล่คนที่มาวุ่นวายอยู่กับเขาตั้งแต่เย็น
"ได้ไง เจ้าก็ไม่ได้พักเหมือนกันนี่" ถ้าทำได้ชางมินคิดว่าแจจุงคงย้ายมานอนห้องเดียวกับเขาไปแล้ว แม้จะเพิ่งได้เจอกัน แต่เขาก็รู้สึกชอบแจจุงด้วยเหตุผลหลายๆ อย่าง คนอื่นมองว่าแจจุงเย็นชา แต่เขาไม่เคยคิดว่าอีกฝ่ายเป็นอย่างนั้น อย่างน้อยก็กับเขา
"มีข้าอยู่มันน่ารำคาญขนาดนั้นเลยรึไง" แจจุงก้มหน้า ชางมินถอนหายใจ อีกอย่างที่คนอื่นไม่รู้คือแจจุงจอมเย็นชา ความจริงแล้วงอนเก่งเป็นที่หนึ่ง
"เปล่าซะหน่อย ข้าเป็นห่วงเจ้าต่างหาก" ทั้งที่แจจุงอายุมากกว่าเขาหนึ่งปี แต่หลายครั้งที่ชางมินรู้สึกว่าอีกฝ่ายยังเด็กกว่าเขา ทั้งเรื่องการพูดคุยและคบหาคนอื่น แต่พอเขาพูดเรื่องนี้ทีไร โดนหาว่าเด็กสอนผู้ใหญ่ทุกที สุดท้ายเขาก็เลยได้แต่เล่นเป็นน้องเล็กที่คอยดูแลพี่ใหญ่แทน
"ข้าก็เป็นห่วงเจ้าถึงได้มาช่วยนี่ไง" แจจุงเม้มปากแน่น เขาไม่คุ้นเคยกับการคบหาคนอื่น เขาไม่เคยมีเพื่อนและไม่รู้ว่าการมีเพื่อนนั้นเป็นอย่างไร ชางมินเป็นคนแรกที่เข้ามา และเขาไม่อยากจะสูญเสีย ไม่ว่าจะด้วยอะไรก็ตาม เขายอมจะทำทุกอย่างเพื่อให้ชางมินมีความสุข เพราะเขาคิดอย่างอื่นไม่ออกแล้วจริงๆ
"ข้ารู้ แล้วก็ดีใจด้วยที่มีคนห่วง" เท่านั้นแหละแจจุงถึงยิ้มออกมาได้
"จริงน่ะ? ไม่รำคาญข้าใช่มั๊ย?" ชางมินส่ายหัว "บางทีข้าก็อดคิดไม่ได้ว่าเจ้านี่ไม่ต่างกับเด็กสิบขวบเลยจริงๆ ให้ตายเหอะ" แจจุงฟาดผ้าสีขาวในมือใส่ชางมิน
"หาเรื่องกันรึไง เจ้านั่นแหละเด็ก พูดมากเดี๋ยวก็ให้อดข้าวซะหรอก" ความสามารถพิเศษที่เพิ่มขึ้นมาหลังจากการถูกขังบนหอคอยคือฝีมือการทำอาหาร เพราะว่างมากจนไม่รู้จะเอาเวลาไปทำอะไร แล้วตอนนี้ ยิ่งได้ทำให้คนอื่นกินก็ยิ่งรู้สึกชอบที่ได้ทำมากกว่าเมื่อก่อน ชางมินเองก็ชอบที่ได้กินไม่น้อยไปกว่ากันเท่าไร
"ขอโทษๆ เจ้าทำอาหารเก่งจนข้าติดแล้วรู้มั๊ย กลับไปคราวนี้จะกินฝีมือคนอื่นลงรึเปล่าก็ไม่รู้" ชางมินพูดยิ้มๆ เพราะรู้ว่าแจจุงโดนชมทีไร เขินจนตัวลอยทุกที
"ไม่ต้องชมข้าก็ทำให้เจ้ากินได้ทุกวันอยู่แล้ว อย่าพูดมาก รีบๆ เก็บของสิ จะได้ไปกินข้าว" ชางมินหัวเราะกับวิธีแก้เขินของแจจุง ถึงจะโดนโกรธโดนงอนใส่ แต่ได้แหย่แจจุงมันก็สนุกดีจนกลายเป็นกิจวัตรอย่างหนึ่งของชางมินไปแล้ว
"กินตอนนี้เนี่ยนะ?" ชางมินแกล้งถาม พระจันทร์ขึ้นไปอยู่กลางฟ้าสีดำมืด ดูยังไงก็ไม่ใช่เวลากินข้าวแน่ๆ
"เอ่อ...ก็ไปนอนน่ะแหละ พูดผิดมั่งไม่ได้รึไง" แจจุงจะเข้ามาทุบชางมินแก้เขิน แต่ร่างสูงก็เผ่นหนีไปก่อน ความสุขที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาสั้นๆ แม้จะถูกโอบล้อมด้วยความโหดร้ายและทุกข์ทรมานของสงคราม มันก็ยังผลิบานได้อย่างงดงาม แต่ว่า...จะอยู่ได้นานถึงเมื่อไร?
วันพรุ่งนี้ก็ต้องกลับเมืองหลวงแล้ว แท้จริงในใจแจจุงกำลังหวาดกลัวบางอย่าง ความรู้สึกที่เหมือนกำลังจะสูญเสียใครบางคนไป...อีกครั้ง
"ชางมิน" ร่างสูงหยุดเดินก่อนจะหันไปมองตามเสียงเรียก เขาไม่ได้คิดไปเอง กับน้ำเสียงที่ฟังดูสั่นไหวแปลกๆ นั่น
"ถ้ากลับไปแล้ว...ข้าจะยังได้เจอเจ้าอีกไหม?"
"ถ้าเราสองคนไม่มีใครป่วยตายระหว่างทางล่ะก็..." ชางมินแกล้งทำท่าคิดหนัก มือเล็กทุบหลังกว้างดังพลั่กจนคนถูกทุบแทบจะทรุดลงไปกองกับพื้น
"โอ้ย เล่นอะไรเนี่ย ข้าได้ตายเพราะถูกเจ้าทุบก่อนแน่ๆ"
"ใครใช้ให้คิดอะไรบ้าๆ แบบนั้นเล่า" แม้จะอยู่ในความมืด มีเพียงจันทร์เสี้ยวสีเงินส่องแสงเบาบาง ชางมินก็รับรู้ได้ว่าแจจุงกำลังเศร้า
"ต้องได้เจอกันแน่ๆ ข้าสัญญา เลิกคิดมากได้แล้ว"
"ถ้าได้เจอกันอีกครั้ง ถ้าข้าทำอะไรที่ไม่ดี เจ้าจะยังอยากเจอข้าอยู่รึเปล่า?"
"ไม่รู้สิ อะไรล่ะ? ถ้ามันทำแล้วทำให้คนที่รักมีความสุขก็ทำไปเถอะ"
"เจ้าควรจะห้ามข้าไม่ใช่รึไง"
"ถ้าเจ้าอยากทำจริงๆ ข้าก็ไม่ห้ามหรอก เพราะมันทำให้เจ้ามีความสุข" แจจุงนิ่งไป ก่อนที่จะนึกถึงคำพูดก่อนหน้าของชางมิน แล้วหน้าแดงขึ้นมา
"ขอบคุณนะ ชางมิน" มือเล็กเอื้อมไปจับชายเสื้ออีกคนไว้ ดูลังเลไม่แน่ใจว่าควรจะทำอย่างที่ต้องการหรือไม่ ท่าทางรีรอเหมือนเด็กขี้อายของแจจุงทำให้ชางมินต้องกลั้นหัวเราะในใจ ก่อนจะดึงร่างอีกฝ่ายเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดตัวเอง
"ข้าดีใจที่ได้เจอเจ้า" แจจุงซุกหน้าลงกับอกกว้าง กลิ่นยาสมุนไพรและคาวเลือด มันไม่ได้หอมหวาน แต่กลับทำให้เขามีความสุข มีความสุขที่ได้อยู่ในอ้อมกอดนี้...มีความสุขที่ได้อยู่กับเจ้า...
"ข้าก็เหมือนกัน" ชางมินกระซิบ น้ำเสียงไม่บ่งบอกอารมณ์ใด ไม่ว่าอ่อนหวานหรือเสแสร้ง แต่แจจุงกลับรักมันมากกว่าถ้อยคำใดในโลกนี้ แค่มันออกมาจากใจเจ้าก็พอแล้ว...แค่ไม่โกหกข้าก็พอ...
เขากลัว...
ความรู้สึกที่เพิ่มมากขึ้นจนทรมานไปหมดนี้
หากวันหนึ่งต้องสูญเสียไป
เขาจะทำอย่างไร?
*****************************
เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ชางมินบอกกับแจจุงว่าต้องไปจัดการธุระบางอย่าง ถ้าเสร็จเรียบร้อยจะไปหาที่ค่ายทหาร เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้สึกอึดอัดใจ แจจุงจึงไม่กล้าถามว่าชางมินพักอยู่ที่ไหน สามวันแล้วที่เขาต้องรอการติดต่อจากชางมินอยู่ฝ่ายเดียว เพราะเป็นห่วงกลัวว่าชางมินจะมาหาแล้วไม่เจอ แจจุงไม่ยอมออกไปไหนนอกจากอาบน้ำกับกินข้าว นอกนั้นก็เอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้อง ไม่พูดคุยกับใคร เฝ้ารอคอยใครบางคนอยู่ลำพัง
เสียงฝีเท้าคนที่เดินผ่านหน้าห้อง ทำให้ร่างบางต้องผงกหัวขึ้นมาจากเตียงทุกครั้ง ด้วยความหวังว่าใครสักคนจะมาหา แต่แล้วก็ต้องผิดหวังเมื่อมันเป็นเพียงเสียงพลทหารที่กลับมาจากการออกไปเที่ยวเล่นในเมือง ราวกับจะลืมไปแล้วว่าเขามาที่นี่เพื่ออะไร เพราะหากยิ่งตอกย้ำก็จะยิ่งรู้สึกผิด
ทั้งที่ความแค้นมันไม่ได้จางหาย แต่ความรู้สึกที่ไม่เคยรู้จักนี้กลับทำให้จิตใจของเขาหวั่นไหว
...จนกลัวที่จะเดินไปข้างหน้า...
************************
ตึก...ตึก...ตึก...
เป็นเสียงรองเท้ากระทบพื้นหินขัดที่แจจุงเลิกใส่ใจมันไปนานแล้ว เขานอนนิ่งอยู่ที่เตียงหันหลังให้กับประตู ทอดมองกำแพงสีเทาที่ก่อขึ้นอย่างหยาบๆ การไม่ได้เจอกับชางมินเกือบอาทิตย์อาจทำให้แจจุงเศร้า แต่กาลเวลาเหล่านั้นก็ช่วยฝังกลบความรู้สึกบางอย่างเอาไว้ แทนที่จะต้องเผชิญหน้ามัน สู้กลับไปเป็นตัวเขาอย่างเมื่อก่อนคงดีกว่า
ไม่ได้ลืม...ก็แค่ไม่คิดถึง...
เสียงเคาะประตูห้องทำให้แจจุงต้องหันกลับไปมองต้นเสียงอย่างไม่แน่ใจ ความรู้สึกยินดีที่แผ่ซ่านทำให้ต้องกุมอกตัวเองไว้แน่น ราวกับกลัวว่ามันจะหลุดลอยไปที่อื่น เพิ่งเข้าใจวันนี้ว่าคนที่สิ้นหวังแล้วกลับมีความหวังขึ้นมาอีกครั้งนั้นรู้สึกเช่นไร
มีความสุข...แม้รอยยิ้มก็ยังคงไม่เพียงพอ...
ร่างบางแทบจะถลาไปที่หน้าประตูห้อง สูดหายใจเข้าสองสามทีเพื่อไม่ให้ตัวเองตื่นเต้นจนเกินไปนัก แต่ว่า...ถ้าหากไม่ใช่ชางมินล่ะ...ถ้าเป็นคนอื่นเขาจะทำอย่างไร?
เสียงกำปั้นที่ทุบลงบนแผ่นไม้หนาทำให้แจจุงตัดสินใจจับลูกบิดประตูเพื่อเปิดมันออก ถ้าถึงเวลา...ก็หนีไม่พ้นอยู่ดี ไม่ว่าจะเป็นความผิดหวังหรือความสุข...
"เจ้า...แจจุงใช่ไหม?" เมื่อพบว่าไม่ใช่ใบหน้าที่คุ้นเคย รอยยิ้มที่มีก็หดหายไป ใบหน้าหวานพยักเบาๆ แต่ดวงตาสีราตรียังคงเป็นประกายด้วยความหวังอันน้อยนิด...หรือจะเป็นเพียงแค่การหลอกตัวเอง?
"มีคำสั่งจากในวังให้เจ้าไปรายงานตัว" คิ้วเรียวขมวดมุ่น เรื่องนี้มันเกินความคาดหมายเขาไปมาก ทำไมพลทหารชั้นต่ำแถมพลังเวทย์แทบจะเทียบไม่ได้กับคนเก็บขยะอย่างเขาจะต้องเข้าวัง? หรือจะมีใครรู้แล้วว่าเขาเป็นรัชทายาทของอาณาจักรตะวันตก? ใบหน้าขาวยิ่งซีดกว่าเดิม แต่ยังคงทำหน้านิ่งเก็บความสงสัยเอาไว้อย่างแนบเนียน
"เมื่อไรครับ?" แจจุงยังคงความสุภาพเอาไว้ในน้ำเสียง สร้างมิตรก็ดีกว่าสร้างศัตรู ถึงนายทหารตรงหน้าจะดูเหมือนไม่พอใจเขาอะไรสักอย่างก็ตาม
"วันนี้" ดวงตารูปอัลมอนด์เบิกกว้าง ทั้งที่เขาควรจะดีใจที่ได้เข้าวังโดยไม่ต้องฆ่าคนเพื่อสร้างผลงานอะไรอีก แต่ความโชคดีนี้กลับดูง่ายดายจนอดหวาดระแวงไม่ได้...ทั้งความหวังอันน้อยนิดที่มีก็หมดไปตั้งนานแล้ว...
ถ้าข้าจากไปวันนี้...มันจะทำให้เจ้าเสียใจหรือเปล่า หากว่าข้าจากไปแต่เจ้ากลับมา หากเจ้าไม่เจอข้า เจ้าจะเสียใจหรือเปล่า? ทั้งที่ข้าคิดถึงเจ้าจนเจ็บไปหมดขนาดนี้...ทำไมเจ้าถึงเงียบหายไป ราวกับไม่เคยมีตัวตนอยู่บนโลกนี้มาก่อน...หรือแท้จริงแล้ว เรื่องทั้งหมดมันจะเป็นเพียงความนึกคิดไร้แก่นสารของคนที่ไม่มีใคร?
"ข้า..." แจจุงก้มหน้า เขาควรจะตอบรับ ถึงหนทางข้างหน้ามันจะเต็มไปด้วยอันตรายแค่ไหนก็ตาม ใช่...เจ้าไม่เคยกลัวตาย ไม่เคยกลัวอะไรทั้งนั้น เจ้าเคยอยู่เพื่อการแก้แค้น เจ้าอยู่เพื่อสิ่งนี้และพร้อมจะตายเพื่อมัน....แต่ตอนนี้กลับคิดจะทิ้งโอกาสที่อยู่ตรงหน้าเพื่อคนที่ลืมเจ้าไปแล้วน่ะหรือ?
"ถ้าคิดจะปฏิเสธล่ะก็ ลืมมันซะเถอะ เจ้าน่าจะรู้ดีว่าไม่มีใครขัดคำสั่งฝ่าบาทได้ รีบเก็บของแล้วตามข้ามาซะ" ร่างบางเงยหน้ามองคนที่เดินออกไปแล้ว ไม่มีเวลาให้คิดอะไรอีก มือเล็กคว้ากระเป๋าหนังสัตว์ใบใหญ่จากข้างเตียง ก่อนจะจ้ำเท้าเดินตามนายทหารคนนั้นไป
หากหนทางนี้จะทำให้เจ้ากับข้าไม่อาจได้พบกันอีก
หากเส้นทางของเราจะต้องแยกจากกันตลอดกาล
ข้าคงทำอะไรไม่ได้นอกจาก...อวยพรให้เจ้ามีความสุข...
TBC.
ความคิดเห็น