ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic TVXQ] Through the Forest (YJ/MX/SM)

    ลำดับตอนที่ #1 : Chapter I : First Love

    • อัปเดตล่าสุด 29 ต.ค. 50








    ผืนดินนุ่มปกคลุมด้วยใบหญ้าเล็กสีเขียวขจี ลำแสงสีทองส่องลอดกิ่งก้านหนาดูคล้ายผ้าลูกไม้บางเบาระริ้วไหวอยู่ที่ปลายเท้า เด็กชายยุนโฮก้าวอย่างระมัดระวังไม่ให้เผลอทำร้ายเจ้าต้นไม้เล็กๆ ที่ขึ้นเบียดเสียดกันราวกับครอบครัวใหญ่ที่ได้ลูกแฝด ลัดเลาะผ่านลำต้นหนาใหญ่ที่เขาคุ้นเคย สิ่งแปลกใหม่น่าอัศจรรย์พบได้ทุกครั้งเมื่อเข้ามาในป่านี้ หลายครั้งบิดามักเอ่ยห้ามเพราะอันตราย ทว่าตั้งแต่จำความได้ เขาไม่เคยถูกป่าแห่งนี้ทำร้ายเลยสักครั้ง

    ดอกไม้สีสวยรูปร่างประหลาด หมุนเวียนผลัดกันเจริญเติบโตทุกคราที่ได้มาเยือน อากาศเย็นสบาย สายลมที่ผัดพ่านมาทักทายเป็นบางครั้ง หอบเอาใบไม้เล็กๆ สีทองมาด้วย ราวกับจะเชิญชวนให้เขาติดตามไป เด็กชายเดินตามมันไปไร้ความหวาดระแวง  จนกระทั่งมาถึงลานเล็กๆ ที่มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นอยู่หนาครึ้ม สายตาก็สะดุดเข้ากับต้นไม้ต้นหนึ่ง ขนาดไม่ใหญ่ไปกว่าตัวเขาทว่าดูอ่อนแรง ใบที่เคยมีสีเขียวกลับกลายเป็นเหลืองซีด กิ่งตกโค้งลงเรี่ยกับผืนดิน หากเป็นคนก็อาจกำลังพยายามหายใจเฮือกสุดท้ายอยู่ ยุนโฮรู้ดีว่าเขาไม่ควรเข้าไปยุ่งกับชีวิตของราชินีแห่งแมกไม้ มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่ต้นไม้เพิ่งเกิดจะต้องตายไปเพราะร่มไม้ใหญ่บดบัง แย่งแสงแดดอันสำคัญไปหมดสิ้น ทว่าลำต้นที่เหยียดตรงราวกับจะบอกเขาว่าไม่มีทางยอมแพ้ ทำให้อดไม่ได้ที่จะยื่นมือเข้าไป

    ร่างเล็กในวัย 7 ปีทรุดลงนั่ง ใช้มือขุดดินรอบโคนต้นก่อนจะค่อยๆ ประคองมันไว้ในอ้อมแขน ความสนใจสิ่งแปลกใหม่หมดลงตั้งแต่ตัดสินใจจะช่วยชีวิตของต้นไม้น้อยๆ ที่เขารู้สึกราวกับว่าตัวเองเป็นเพื่อนของมัน ขาเล็กก้าวออกไปจากป่า น่าแปลกที่ไม่มีการขัดขวางจากราชินีแห่งแมกไม้อย่างที่บิดาขู่เอาไว้ บางทีมันอาจจะเป็นแค่คำขู่ก็ได้ เหมือนหลายๆ เรื่องที่เคยเล่าให้เขาฟังก่อนนอน เพื่อจะได้ไม่กล้าเข้ามาเที่ยวเล่นในป่าอีก

    สำหรับเด็กวัยเดียวกัน ยุนโฮเป็นคนเดียวที่กล้าเข้ามาวิ่งเล่นในป่าอาถรรพณ์แห่งนี้ จริงอยู่ว่าต้นไม้ไม่ได้ขึ้นหนาทึบจนแสงอาทิตย์ส่องลงมาไม่ถึงพื้นเบื้องล่าง ถ้าเข้าไปลึกกว่านี้ก็เป็นไปได้ แต่เพราะเขาก็แค่วนเวียนอยู่แถวชายป่า ไม่ได้กลัวอันตรายอะไรนอกจากกลัวหลงทางเท่านั้นเอง ที่ผ่านมาก็ไม่เคยเจออะไรร้ายแรง เช่นถูกหมาป่าทำร้าย หรืออย่างเบาๆ ก็ผึ้งต่อยเหมือนเด็กหลายคน เขาจึงไม่เคยนึกกลัวป่าแห่งนี้เลยสักครั้งเดียว ยิ่งได้เข้ามาบ่อยเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกไม่อยากกลับออกไป

    พอมาถึงชายป่าก็เจอกระท่อมหลังเล็ก สร้างจากหินมุงหลังคาด้วยฟางสีเหลืองทอง มีปล่องไฟเล็กๆ สำหรับเขามันคือบ้านที่อบอุ่น แต่เพราะเด็กหลายคนในหมู่บ้านชอบล้อเลียนว่ามันเป็นเพียงคอกหมู เขาถึงไม่ชอบไปเล่นกับพวกนั้น ถึงมันจะเป็นคอกหมูจริง เขาก็คิดว่ามันสวยอยู่ดี

    พ่อคงยังไม่กลับมา เด็กชายคิดในใจก่อนจะยิ้มกว้าง อย่างน้อยก็ไม่มีใครมาห้ามไม่ให้เขาทำ ร่างเล็กเดินหาทำเลเหมาะๆ มองหาพื้นที่ว่างใกล้กับหน้าต่างห้องนอนของเขา แต่หากปลูกใกล้เกินไปก็กลัวเจ้าต้นไม้ในอ้อมแขนจะเติบโตได้ไม่เต็มที่ ยุนโฮจึงให้มันได้เติบโตกับญาติๆ ตรงชายป่า แต่เขาก็ยังมองเห็นได้ตลอดเวลา

    กินเวลานานไม่น้อยกว่าเขาจะขุดดินให้ลึกพอจะวางเจ้าต้นไม้ลงไป หลังจากโกยดินและอัดแน่นดีแล้ว ร่างเล็กก็ทรุดนั่งอยู่ข้างลำต้นผอม ใบไม้สีซีดคล้ายจะสั่นไหวขอบคุณเขา เด็กหนุ่มยิ้มออกมา ความสุขที่ได้ช่วยใครสักคนคงเป็นอย่างนี้เอง

    เขาไม่รู้ว่ามันจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความรักที่น่าเศร้าในเวลาต่อมา...

    *********************

    สิบปีผ่านไป...

    หลังจากได้ยุนโฮช่วยชีวิตไว้วันนั้น หัวใจของภูติน้อยประจำต้นไม้ก็ไม่อาจเป็นของใครอื่นได้อีก ทุกวันเขาเฝ้ามองและเติบโตไปพร้อมๆ กับยุนโฮ แม้ต้นไม้ของตอนนี้จะสูงใหญ่สมกับที่อีกฝ่ายตั้งใจไว้แล้ว ทว่าตัวเขากลับไม่เติบใหญ่ตามต้นไม้ของตนสักเท่าไร หลายครั้งยังถูกภูติประจำต้นไม้ตนอื่นแกล้งล้อเลียนเสียด้วยซ้ำ แต่เขาก็ไม่เข้าใจคำพูดของท่านเทพแห่งป่าที่มาช่วยเอาไว้บ่อยๆ เลยสักนิด ที่ว่ายิ่งชอบยิ่งอยากแกล้ง มันเป็นยังไงกัน เขาไม่เห็นจะอยากแกล้งยุนโฮเลยนี่นา เขาเกลียดการถูกคนอื่นแกล้งที่สุดเลย!

    "ยุนโฮ ตักน้ำรึยัง จะเข้าไปในป่าอีกแล้วรึ?" เสียงตะโกนอันอ่อนแรงจากบิดาทำให้เด็กหนุ่มชะงัก

    "ตักแล้วครับ ท่านจะให้ข้าช่วยทำงานอะไรอีกหรือเปล่า?" ร่างที่นั่งอยู่บนเก้าอี้โยก เรือนผมเป็นสีเงินตามกาลเวลา โบกมือไล่ลูกชายคนเดียว

    "ไปไหนก็ไปเถอะ" เพราะร่างกายของบิดาเริ่มหมดเรี่ยวแรงตามวัย ยุนโฮจึงต้องทำอาชีพเดิมของผู้ให้กำเนิดแทน จริงๆ เขาไม่อยากทำเลยสักนิด แต่ก็ไม่มีหนทางอื่นให้เลือก จะให้เป็นนายพราน เขาก็ทำใจไม่ได้ ให้ทำไร่ทำสวนก็ไม่มีที่ดินกว้างใหญ่เหมือนคนอื่นเขา ถ้าต้องไปของานคนอื่นทำ สู้เป็นสิ่งที่ตัวเองพอจะทำได้ดีกว่า

    หลังจากต้องกลายเป็นคนตัดไม้เสียเอง ยุนโฮก็คิดหนักอยู่นานว่าจะทำอย่างไรไม่ให้ต้นไม้ที่เขารักต้องเจ็บ พลันก็เหมือนมีเสียงแว่วบอกให้เขาหาต้นไม้ที่ตายแล้วแทน จากนั้นเขาถึงยิ้มออกมาได้ ต้นไม้ที่ตายแล้วมีอยู่พอสมควรในป่า เขาไม่รู้ว่าป่านี้ถือกำเนิดมาตั้งแต่เมื่อไร อาจจะนับพันนับหมื่นปีก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นจึงต้องมีต้นไม้ที่หมดอายุขัย หรือถูกต้นไม้รุ่นลูกรุ่นหลานแย่งอาหารและแสงแดดไป คงจะคล้ายมนุษย์นั่นแหละ พอหมดเวลาของตัวเองก็ถึงเวลาของรุ่นต่อๆ ไป จากนั้นยุนโฮก็หาไม้ไปขายเป็นฟืนด้วยวิธีนี้ โชคดีต้นไม้ที่ตายแล้วจะแห้ง ติดไฟดีจนขายหมดทุกครั้ง พอมีคนมาถามเขาก็บอกไปตามตรงแต่คนตัดไม้ร่วมอาชีพเหล่านั้นกลับส่ายหัว หาว่าเขาประสาท

    "วันนี้ข้าจะเข้าไปในป่า ฝากดูแลพ่อข้าด้วยนะ" นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่คนในหมู่บ้านหาว่าเขาจิตไม่ปกติ ใครที่ไหนเขาพูดกับต้นไม้เป็นเรื่องเป็นราวเช่นนี้มั้ง แต่เด็กหนุ่มชินเสียแล้ว กิ่งไม้นิ่งเงียบไม่สั่นไหว คิ้วเรียวขมวด

    "ทำไมล่ะ ไหนๆ เจ้าก็ไปไหนไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าเจ้าตกลงข้าจะเอาปุ๋ยดีๆ มาฝากนะ ดีมั๊ย?" มูลสีเงินของมูนคาล์ฟคืออาหารชั้นเลิศของต้นไม้ ทำให้เจริญงอกงามดีจนน่าตกใจ พวกชาวไร่ชาวสวนในหมู่บ้านเขาอยากได้กันทั้งนั้น แต่ก็ไม่มีใครกล้าพอจะเข้าป่าอาถรรพณ์ตอนเที่ยงคืน ต่อให้เป็นช่วงเช้ามืดก็เถอะ นายพรานยังกล้าล่าสัตว์แค่ช่วงกลางวันเลย

    ถ้าเขาไม่ได้ตาฝาด รู้สึกเหมือนต้นไม้กำลังเชิดใส่เขาอยู่ กิ่งใหญ่เหยียดตรงนิ่ง ไม่ยอมโอนอ่อนให้สิ่งใด ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรให้อีกฝ่ายไม่ถูกใจรึเปล่า หรือไปทำอะไรให้อารมณ์เสียกันนะ

    แจจุงกำลังโมโหที่ยุนโฮบอกว่าเขาไปไหนไม่ได้ ที่ไหนกันล่ะ เขาไปได้ทุกที่ที่อยากไปนั่นแหละ ใครกันที่คอยติดตามยุนโฮตอนเข้าไปในป่า แอบกระซิบบอกทางไปหาต้นไม้ที่ตายแล้วให้ แถมบางครั้งหิวน้ำ เขายังพาไปหาน้ำอร่อยๆ กินเลย ที่เขาทำอยู่มันผิดกฏของราชินีแห่งแมกไม้ก็จริง...แต่เขาอยากทำนี่นา ถ้าเทพแห่งป่าไม่ว่าอะไร เขาก็ขอเอาแต่ใจหน่อยแล้วกัน อีกอย่าง ทุกคนในป่าก็รักยุนโฮ เพราะนิสัยเป็นมิตรกับความเอาใจใส่ที่มนุษย์คนอื่นไม่มี ช่วยคนที่รัก เอ้ย คนที่มีบุญคุณบ้างจะเป็นไรไป แต่ตอนนี้อีกฝ่ายกำลังลืมบุญคุณเขานี่สิ

    "ไม่เป็นไร ถ้าเจ้าอยากทำอย่างอื่นข้าก็ไม่ว่าหรอก แค่เสียใจนิดหน่อย" ร่างสูงแกล้งตีหน้าเศร้า ก่อนจะเดินคอตกเข้าป่าไป แจจุงอยากบอกแทบแย่ว่าเขาไม่มีอย่างอื่นทำหรอก นอกจากตามติดยุนโฮ ทำยังไงถึงจะได้คุยกับเจ้านะ...

    ดวงตารูปอัลมอนด์เหลือบมองร่างชราที่นอนหลับอยู่บนเก้าอี้หน้าบ้าน สับสนว่าควรจะทำตามที่ยุนโฮขอร้องหรือติดตามอีกฝ่ายไปเช่นทุกครั้ง แต่แถวนี้ไม่มีอันตรายอะไรนี่นา ไม่มีสัตว์ร้ายตัวไหนกล้ายุ่งกับครอบครัวยุนโฮหรอก ราชินีแห่งแมกไม้ได้เอาตายแน่เลย ถึงอีกฝ่ายจะเคยเป็นคนตัดไม้ แต่เขาก็ทำเพื่อปากเพื่อท้อง แจจุงได้แต่ปลอบใจตัวเองอย่างนั้น ก่อนจะวิ่งตามอีกฝ่ายไป

    เย็นย่ำ อาจเพราะเป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วง เวลามืดจึงมาถึงเร็วกว่าเคย ร่างสูงรีบลุยออกมาจากป่ากว้าง เพราะกลัวว่าบิดาจะเป็นห่วง เศษใบไม้สีส้มทองฟุ้งกระจายในอากาศ เมื่อมาถึงบ้านก็แปลกใจเพราะบิดายังคงนอนหลับสนิทอยู่ที่เดิม เมื่อแตะตัวก็ตกใจเพราะมันเย็นเฉียบ ร่างสูงแบกบิดาเข้าบ้าน วางลงบนเตียงห่มผ้าหนาให้ ละล้าละหลังเพราะไม่รู้จะทำอย่างไร พยายามปลุกเท่าไรดวงตาเข้มแข็งคู่นั้นก็ไม่ยอมลืมขึ้นมา จะวิ่งไปตามหมอก็ไม่กล้า ไม่อยากทิ้งให้บิดาอยู่คนเดียว เขาจะทำอย่างไรดี?

    แจจุงรีบวิ่งไปหาสายลมเหนือ ขอร้องให้ส่งข่าวไปบอกให้หมอประจำหมู่บ้านมาที่บ้านยุนโฮ ปกติแล้วสายลมเหนือไม่เคยฟังคำสั่งใครนอกจากราชินีแห่งแมกไม้ แต่เพราะแจจุงมาขอร้องทั้งน้ำตา เขาเองก็เช่นเดียวกับภูติตนอื่นๆ ที่รักและเอ็นดูภูติน้อยตนนี้ อดใจอ่อนไม่ได้เลยสักครั้ง

    ยุนโฮยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าคนที่มาเคาะประตูเป็นใคร ทว่าการมาถึงของหมอผู้ผ่านโลกมามากกลับยิ่งตอกย้ำความจริงให้ชัดเจนกว่าเดิม

    "เสียใจด้วย บิดาเจ้าสิ้นใจแล้ว" ร่างสูงแทบทรุดอยู่ตรงนั้น มือใหญ่เอื้อมไปจับพนักพิงเก้าอี้ ก่อนค่อยๆ ทิ้งตัวลง เรื่องที่เกิดขึ้นมันรวดเร็วจนเตรียมตัวไม่ทัน ทำไม...ทำไม...มีแต่คำเหล่านี้เต็มหัวไปหมด

    "ข้าจะบอกให้คนในหมู่บ้านมาช่วยฝังพรุ่งนี้นะ คืนนี้ดึกแล้ว..." ชายชรานิ่งเงียบไป ผ่านความตายมามากจนกลายเป็นเรื่องที่ควรชินชา แต่ก็ไม่เคยไม่รู้สึกอะไร ทุกครั้งที่เห็นญาติผู้สูญเสียอยู่ตรงหน้า รู้ดีว่าไม่ว่าจะปลอบใจว่าอย่างไร ก็ช่วยให้จิตใจอีกฝ่ายดีขึ้นไม่ได้ "มันเป็นเรื่องธรรมดาของโลกนะ พ่อเจ้าเองก็ชรามากแล้ว คิดในแง่ดีว่าตอนนี้ท่านคงไปอยู่กับแม่เจ้าบนสวรรค์" คนฟังก้มหน้านิ่ง ไม่ได้ตอบรับ ไม่มีคำปฏิเสธ ชายชราส่ายศีรษะก่อนเดินจากไป

    ยุนโฮนั่งเงียบอยู่เช่นนั้น จมอยู่ในความคิดของตัวเองไม่รับรู้โลกภายนอก แม้กระทั่งตอนที่คนในหมู่บ้านมาแสดงความเสียใจ เขาก็เพียงแค่ตอบรับไปตามที่ต้องทำ สายตาเหม่อลอย จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แจจุงมองยุนโฮที่เป็นเช่นนั้นด้วยหัวใจเจ็บร้าว เพราะเขาแท้ๆ ถ้าเขาเชื่อที่ยุนโฮบอกก็คงดี เทพแห่งป่าได้แต่ยืนเคียงข้าง ลูบหัวปลอบใจคนที่เฝ้าโทษตัวเองไม่หยุดอย่างสงสาร

    "เขาถึงเวลาของเขา ไม่ใช่ความผิดเจ้าหรอก ยุนโฮก็ไม่ได้ว่าอะไรเจ้านี่"

    "ฮึก...แต่มัน...แย่ยิ่งกว่าว่าอะไรเสียอีก ท่านเทพแห่งป่า...ข้าทำให้ยุนโฮเสียใจ..."

    "เจ้าหลีกเลี่ยงมันไม่ได้หรอก แจจุง ทุกคนเกิดมาล้วนต้องพานพบความเจ็บปวดทั้งนั้น ยอมรับมันซะเถอะ" มือเล็กปาดเช็ดน้ำตา ทว่ามันยังคงไหลมาไม่หยุด ราวกับจะร้องไห้แทนคนที่ควรจะร้อง แต่กลับไม่มีน้ำตาสักหยดให้เห็น ราวกับความเจ็บปวดนั้นเป็นของเขาเสียเอง

    ยุนโฮไม่ยอมเฉียดกายใกล้ต้นไม้ของแจจุงอีกเลย ทั้งที่อีกฝ่ายไม่มีทางรู้ว่าเขาคอยติดตามอยู่ใกล้ๆ แต่พอยุนโฮแสดงท่าทีเมินเฉยเช่นนั้น แจจุงก็ไม่กล้าเข้าไปใกล้เหมือนกัน ได้แต่เฝ้ามองอยู่ห่างๆ เสียใจแต่ก็ไม่รู้จะทำอะไรที่ดีไปกว่านี้ ยุนโฮจะโกรธเขามันก็ถูกแล้ว แม้ภูติตนอื่นจะหาว่าอีกฝ่ายบ้า ถือเอาคำพูดลอยๆ กับต้นไม้มาเก็บเป็นจริงเป็นจัง คนปกติที่ไหนเขาฝากคนไว้กับต้นไม้กันบ้าง ทว่าแจจุงที่นิ่งเงียบไม่ยอมโต้ตอบ พาลทำให้พวกหาเรื่องหนีหายกันไปเอง ดวงตาช้ำแดงจ้องมองร่างสูงเดินท่องไปในป่า แผ่นหลังกว้างดูอ้างว้างเดียวดาย ร่างกายเคยแข็งแรงกลับเริ่มซูบผอม แจจุงทั้งเป็นห่วงทั้งกังวล แต่ก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร ตอนนี้แม้แต่เสียงกระซิบของเขา ยุนโฮคงหาว่ามันเป็นเสียงปีศาจ

    "ท่านเทพแห่งป่า ข้าจะทำยังไงดี ข้าไม่อยากให้ยุนโฮไม่สบาย ถ้าเป็นแบบนี้เขาต้องป่วยแน่ๆ" พอถูกภูติน้อยที่รักและเอ็นดูเฝ้าขอร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่า จะให้ใจแข็งต่อไปก็ยากเต็มที ชายชราผมขาวเครายาวถอนหายใจ

    "จะให้ข้าช่วยยังไง?" แจจุงยิ้มกว้างขยับกอดแขนประจบทันที "ท่านก็...ให้ใครสักคนไปเตือนสติเขาก็ได้ ให้เขากลับมากินอาหารอีกครั้งได้ก็คงดีกว่าที่เป็นอยู่"

    "แล้วถ้าเขาไม่ฟังล่ะ?" ใบหน้าสวยหมองลง ที่จริงเขาเองก็ไม่รู้จะช่วยยุนโฮอย่างไร รู้แต่ว่าอยากช่วย ปกติยุนโฮก็ไม่ใช่คนชอบสุงสิงกับใครอยู่แล้ว ตั้งแต่เด็กจนโตขลุกอยู่แต่ในป่า คนในหมู่บ้านเองก็ไม่คิดจะมายุ่งหรือสนใจ แม้จะมีรูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาหล่อเหลา หากจับมาแต่งกายดีๆ คงนึกว่าเจ้าชาย แต่ปัญหาเรื่องนิสัยกับฐานะต่างหากที่ทำให้หญิงสาวได้แต่ถอนหายใจด้วยความเสียดาย

    "ท่านช่วยข้าคิดหน่อยสิ" คนฟังถอนหายใจเป็นครั้งเท่าไรก็คร้านจะนับ คิดไว้ไม่มีผิดว่าขอได้อย่างหนึ่งก็ต้องขอเพิ่มเรื่อยๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้ง

    "ข้าจะให้เขาเจอทองสักก้อน เผื่อรวยขึ้น จะได้มีสาวๆ อยากมาช่วยดูแลเอาใจใส่บ้าง" ริมฝีปากอิ่มเม้มสนิท คิ้วเรียวคล้ายจะขมวดน้อยๆ เหมือนไม่พอใจ ใครไม่รู้ก็คงตาบอดเต็มทีว่าแจจุงมีความรู้สึกอย่างไรกับมนุษย์ตนนี้ เรื่องห้ามคงเป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรสองคนนี้ก็เหมือนเส้นขนาน ไม่มีทางได้พานพบเพื่อครองคู่อยู่แล้ว

    "แต่ข้าว่า..."

    "เจ้าไม่เอาข้าก็ไม่รู้แล้ว ข้าเป็นเทพแห่งป่าต้องคอยดูแลป่านี้ก็เหนื่อยมากพอ ที่ช่วยเจ้าก็เกินหน้าที่ไปแล้ว" พยักหน้าเบาๆ อย่างจำใจ หากยุนโฮเกิดตกหลุมรักใครสักคนขึ้นมาจริงๆ เขาจะเป็นอย่างไร...ไม่สิ อย่าเห็นแก่ตัวสิแจจุง ถ้านั่นเป็นความสุขของยุนโฮล่ะก็...เจ้าควรจะดีใจไม่ใช่หรือ?

    ทำไมในอกมันถึงได้เจ็บอย่างนี้ล่ะ...

    ************************

    พอยุนโฮพบทองก้อนใหญ่ในป่า แทนที่ร่างสูงจะเอาไปขาย กลับวางมันไว้ในบ้านเสียอย่างนั้น ตั้งไว้เฉยๆ ราวกับเป็นก้อนหินไร้ค่า แต่ที่ไม่ทิ้งไว้ในป่าเพราะกลัวว่าคนอื่นจะมาเจอแล้วทึกทักเอาว่าในป่ามีทองคำจนขนพรรคพวกมาขุดหา ทำลายต้นไม้ทำลายป่าที่เขาแสนรักไป

    แท้จริงยุนโฮไม่ได้โกรธเคืองต้นไม้ของเขา เพราะรู้ดีว่าถึงอีกฝ่ายจะคอยเฝ้าดูให้ ก็ไปบอกใครมาช่วย หรือห้ามความตายของพ่อเขาไม่ได้อยู่ดี แต่ยุนโฮกลับนึกเป็นห่วงขึ้นมา ว่าหากวันหนึ่งชีวิตที่แสนสั้นของมนุษย์อย่างเขาต้องจบลง ต้นไม้ของเขาจะเหงาจนต้องร้องไห้ออกมาหรือเปล่า ทั้งที่อีกฝ่ายเป็นเพียงต้นไม้ที่ไม่อาจพูดหรือฟังเสียงใด เขาก็ยังเป็นห่วงอยู่ดี

    เจ้าอาจจะมีชีวิตที่ข้าไม่รู้จัก...ชีวิตที่ข้าไม่คุ้นเคย แต่ชีวิตของเจ้านั้น ข้าก็อยากให้มันมีเสียงหัวเราะและรอยยิ้ม มากกว่าน้ำตา...

    ร่างสูงเผลอหัวเราะออกมา ตอนนี้บิดาไม่อยู่ คงไม่มีใครมาห้ามไม่ให้เขาคิดหรือทำอะไรบ้าๆ เกี่ยวกับต้นไม้ของเขาอีกแล้ว จริงๆ ยุนโฮไม่เคยคุยกับต้นไม้ต้นอื่น เขาก็ยังมีความคิดแบบใช้เหตุผลมากกว่าจะเชื่อตำนานที่เล่าขาน อย่างเรื่องภูติประจำต้นไม้ หรือเรื่องเทพแห่งป่า เขาไม่เชื่อเพราะไม่เคยเห็นกับตา แต่ก็ไม่เคยลบหลู่เช่นกัน เขาคิดอยู่เสมอว่าหากมีอยู่ เขาก็ไม่ควรจะไปดูถูกคนที่ทำงานอย่างหนักเพื่อชีวิตอื่นมากมายเช่นนี้

    เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องคุยกับต้นไม้ที่เขาปลูกเองกับมือต้นนั้น แค่รู้สึกว่าอีกฝ่ายจะเหงาถ้าเขาไม่เข้าไปพูดคุยด้วยบ่อยๆ เขาอาจคิดไปเอง แต่กิ่งไม้ที่สั่นไหวตอบรับคำพูดเขาในบางครั้งก็ชวนให้ชุ่มชื่นหัวใจอยู่ใช่น้อย ชีวิตที่เขาดูแลปกป้องมานับสิบปี เติบโตอย่างแข็งแรงได้ก็พอแล้ว

    ปัญหาที่เขาขบคิดหนักช่วงนี้...คือเขาจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่ออะไรต่างหาก...


    TBC.


    สั้นไปมั๊ยอ่ะ TTOTT แบนเนอร์ก็ยังไม่มี ไม่มีเวลาทำอ่ะ ไว้จะมาทำให้เรียบร้อยนะคะ แล้วก็...อ่านไปจะเห็นว่ามันต่างกับพล็อตที่คิดไว้ตอนแรก อย่าไปสนใจค่ะ แต่ถ้ามีอะไรตรงไหนอยากติก็แปะมาเลยนะคะ ยินดีรับฟังค่ะ

    ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ ขอบคุณเป็นพิเศษสำหรับคนทีเมนต์ หุหุ >o<

    ps.มันเป็นเรื่องที่หาข้อมูลโหดกว่า Rising Sun ซะอีก...- -"

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×