คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : ตอนที่ 11 [Record of Raknarok] Waltz in Black
“ หา? สู้กับเทพงั้นหรอ? ไหงฉันถึงต้องทำเรื่องเสี่ยงตายแบบนั้นด้วยละนั่น ”
“ เหอะ… สู้เพื่อปกป้องมนุษย์ชาติบ้าบออะไรกัน ไอ้เจ้าพวกนั้นน่ะตายๆไปก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนิ ”
ชื่อ : วาสซาโก้ คาซาลส์ (Vassago Casals)
เพศ : ชาย
อายุ : 42 ปี [ตอนตาย] , 38 ปี [ยุคทอง]
รูปร่าง : ชายหนุ่มสั้นสีดำสนิท มีผิวกายสีซีด และดวงตาสีดำมืดหม่นที่ไร้ซึ่งประกายใดๆ มักปกปิดใบหน้าของตัวเองด้วยหน้ากากสีดำอยู่ตลอดเวลา ชุดที่สวมใส่อยู่เป็นประจำคือชุดสูทสีดำเรียบง่ายกับเสื้อเชิ้ตสีขาว ผูกเนคไทสีดำและใส่รองเท้าสีดำ นอกจากนี้เขายังสวมใส่ถุงมือสีดำสนิทที่ปกปิดแผลเป็นที่มือของเขาอีกด้วย
นิสัย : วาสซาโก้คือชายผู้ที่เกลียดชังมนุษย์ชาติมากจนถึงมากที่สุด เขาไม่มีความต้องการที่จะสู้เพื่อพวกเขาเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย สิ่งเดียวที่เขาต้องการก็คือการได้เห็นพวกเขาเจ็บปวดและทุกข์ทรมาณเพียงเท่านั้น เมื่อยังสวมใส่หน้ากากอยู่เขาจะมีนิสัยชอบพูดประชดประชันกับคู่สนทนาอยู่เสมอ ชอบพูดวกไปวนมาเพื่อก่อกวนอีกฝ่ายจนหลายๆคนที่ได้ฟังก็ต้องรำคาญ แต่ทว่าแม้จะดูน่ารำคาญจนเกินเหตุแต่เขาก็จริงจังกับเหตุการณ์ปัจจุบันอยู่เสมอ นอกจากนี้เขายังมีไหวพริบและความเจ้าเล่ห์พอตัว เขายอมใช้วิธีที่สกปรกและโหดร้ายเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายของเขาโดยไม่สนว่าคนอื่นจะมองยังไง เพราะสำหรับเขาแล้วอะไรก็ตามที่ขวางทางเขา เขาก็ขอพร้อมที่จะกำจัดสิ่งกีดขวางตรงหน้าทิ้งไปเสียต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นถึงเทพก็ตามที
ประวัติ : วาสซาโก้ คาซาลส์ เป็นเด็กกำพร้าคนหนึ่งที่ถูกทิ้งไว้ในย่านสลัมตั้งแต่ยังเด็กโดยแม่แท้ๆของตัวเอง เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมผู้ให้กำเนิดเขาขึ้นมาต้องทิ้งเขาไว้อย่างโดดเดี่ยวแบบนี้ด้วย แต่สาเหตุที่เขาพอเดาได้ก็คงมีเพียงอย่างเดียว…
….นั่นก็เพราะตัวเขานั้นเกิดมาโดยที่แม่ของเขาไม่ต้องการยังไงล่ะ….
แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอันใดก็ช่าง ตัวของวาสซาโก้ก็ได้ตัดความสัมพันธ์กับผู้หญิงคนนั้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตัวเขาในตอนนั้นต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดจากชะตาชีวิตอันแสนเลวร้ายที่เขาไม่เคยต้องการมันเลยสักนิด แต่เพื่อการเอาตัวรอดวาสซาโก้จึงตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตในสังคมมืดแทน
วาสซาโก้ในช่วงอายุ 15 ปีนั้นได้ถูกแก๊งอาชญากรรมกลุ่มหนึ่งรับเลี้ยงดูเขาไป เขาถูกฝึกฝนอย่างหนักเพื่อให้กลายเป็นมือสังหาร เรียนรู้ทักษะการต่อสู้และทักษะการลอบสังหารต่างๆ อีกทั้งยังได้เรียนรู้ภาษาต่างๆไว้เพื่อให้สะดวกในการทำงานของเขายิ่งขึ้นด้วย และภายใน 1 ปีวาสซาโก้ก็ได้รับงานสังหารคนไปทั่วโลกมาแล้วมากมาย จนเขาได้รับสมญานามมาว่า “ The Black Silence ”
จนเวลาผ่านไปหลายปี วาสซาโก้ที่เริ่มเบื่อหน่ายกับการลอบสังหารแล้วจึงได้ขอออกมาจากแก๊งมาแล้วเลือกที่จะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขกับภรรยาของเขา “ เอลิน่า ” เพื่อนร่วมงานมือสังหารของเขานั่นเอง ทั้งสองใช้ชีวิตในฐานะฉันธ์สามีภรรยาอย่างมีความสุข จนกระทั่งเรื่องร้ายๆก็มาเยือนพวกเขา…
จู่ๆวาสซาโก้ก็ถูกไล่ออกจากที่ทำงานอย่างกระทันหัน พอสืบเรื่องสาเหตุที่ไปที่มาก็พบว่ามันเป็นเพียงเพราะเขาถูกหัวหน้างานของเขารังเกียจ เขาถูกใส่ร้ายว่าขโมยเงินของบริษัทมาจนต้องจ่ายค่าชดใช้ไปมาก แม้จะเคยแจ้งเอาคดีนี้ขึ้นศาลแล้วก็ตาม แต่ทว่าเขากลับต้องพ่ายแพ้เพียงเพราะอำนาจของเงินตราเสียอย่างนั้น
ในตอนนี้ฐานะการเงินของวาสซาโก้นั้นตกต่ำลงมาก และภรรยาของเขาเองก็ตั้งครรภ์จนใกล้ครบกำหนดคลอดแล้ว ถึงจะหางานใหม่ทำได้แต่ทว่ามันก็ไม่มากพอที่จะจ่ายค่ารักษาอยู่ดี ชายหนุ่มจึงตัดสินใจเลือกทางที่เขาไม่ชอบที่สุด เขายอมกลับไปให้มือทั้งสองข้างของเขาแปดเปื้อนไปด้วยเลือดของผู้คนอีกครั้ง แม้จะรู้ดีว่านี่ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุดก็ตาม แต่เพื่ออนาคตของลูกในที่กำลังจะเกิดมาแล้ว เขาขอยอมสูญเสียทุกอย่างเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีสำหรับลูกและภรรยาของเขาก็เสียดีกว่า
แต่ทว่าโชคชะตาของเขาเหมือนจะไม่อยากให้ความปารถนาของเขาเป็นจริงเสียเท่าไหร่นัก เมื่อกลับมาถึงเขาพบว่าบ้านของเขานั้นถูกวางเพลิงโดยใครบางคน วาสซาโก้ไม่รอช้า รีบกระโจนเข้าสู่กองเพลิงนั้นไปโดยไม่สนว่าร่างกายของเขาจะถูกไฟลวกก็ตาม ร่างสูงของอดีตมือสังหารเดินฝ่ากองเพลิงที่ลุกโชนไปทั่วทั้งบ้าน กวาดสายตามองไปทั่วเพื่อหาร่างภรรยาของเขาที่ยังติดอยู่ในบ้านอยู่ แต่ทว่าเมื่อวาสซาโก้มาถึงมันก็สายเกินไปแล้ว…
เอลิน่าและลูกในครรภ์ของเธอนั้นถูกฆ่าตายโดยใครบางคนไปแล้ว ราวกับโลกทั้งใบของเขาพังทลายลงไม่เหลือชิ้นดี ชายหนุ่มตัดสินใจทิ้งร่างภรรยาของตนไว้และออกจากบ้านที่ยังคงมอดไหม้ด้วยเปลวเพลิงนั้นต่อไป
หลังจากนั้นมาฉายาของ “ The Black Silence ” ก็ถูกยกขึ้นมากล่าวถึงอีกครั้งหนึ่ง วาสซาโก้ที่สูญเสียทุกอย่างไปแล้วเริ่มสาปแช่งโลกใบนี้ เขาใช้ความโศกเศร้าและความโกรธแค้นของเขาทำลายแก๊งและองค์กรในโลกมืดที่เขาคิดว่าต้องรับผิดชอบกับเหตุการณ์ในครั้งนั้น เขาทำการสังหารหมู่ไปมากมาย เหยียบย่ำซากศพที่สามารถกองพะเนินเป็นภูเขาขนาดเขาขนาดเล็กได้ด้วยนัยน์ตาอันว่างเปล่าภายใต้หน้ากากสีทมิฬ
แต่ทว่าสุดท้ายแล้วจุดจบของชายหนุ่มผู้เต็มไปด้วยความโศกเศร้าคนนี้ก็ได้มาเยือนเสียที วาสซาโก้ถูกจับตัวได้และถูกทรมาณทั้งเป็น เสียงกรีดร้องแห่งความเจ็บปวดของเขาดังสนั่นไปทั่วทั้งห้องทรมาณ แต่ทว่าความเจ็บปวดพวกนั้นก็มิอาจเทียบเท่ากับความเจ็บปวดที่เขาได้รับมาตลอดชีวิตได้เลยแม้แต่นิด จนในที่สุดวาสซาโก้ก็ได้เสียชีวิตลงจากการเสียเลือดมากเกินไป แต่ทว่าก่อนที่เขาจะสิ้นใจชายหนุ่มก็ได้พูดประโยคหนึ่งขึ้นมาพร้อมกับเสียงหัวเเราะอันบ้าคลั่ง
“ สักวัน…. ฉันคนนี้นี่แหละ… จะทำให้พวกแกทุกคนรู้สึกเจ็บปวดและสูญเสียให้ยิ่งกว่าตัวฉันในตอนนี้เสียอีก! อะฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!!! ”
เพิ่มเติม :
- คำพูดติดปากของเขาคือ “ It's Show Time! ”
- แผลเป็นที่มือทั้งสองข้างของเขาเกิดจากเหตุการณ์ในตอนที่เขาได้ไปช่วยเหลือเอลิน่าในบ้านที่กำลังลุกไหม้ไปด้วยเปลวเพลิง แต่ด้วยความรู้สึกผิดที่เขาไม่อาจช่วยคนที่ตนรักได้เขาจึงสวมใส่ถุงมือสีดำเพื่อปกปิดความรู้สึกผิดเหล่านั้นเอาไว้
- ที่เขาใส่หน้ากากตลอดเวลาส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าเขาถูกตักเตือนไว้ว่าอย่าเปิดเผยตัวตนของตัวเองให้ใครรู้เด็ดขาด มิเช่นนั้นเขาอาจจะถูกจดจำใบหน้าและโดนแก้แค้นคืนในภายหลังได้ และอีกส่วนหนึ่งคือเขารู้สึกละอายใจที่มีส่วนร่วมในการฆ่าตามคำสั่งของผู้อื่น
ความคิดเห็น