ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อย่าคลิก !! มะมีรัย

    ลำดับตอนที่ #2 : - ฟามจิง เนื้อหาทั้งหมดเปงของ esprit de corps เพราะงั้นนี่คือคลังเก็บเท่านั้น -

    • อัปเดตล่าสุด 23 เม.ย. 49



              <<< [ M ] a g n e t i z [ E ] >>>

              สายลมอ่อนๆ พัดโบกเข้าปะทะต้นไม้หนาที่ขึ้นกันเป็นว่าเล่นแต่ก็ยังไม่มากเทียบเท่าพวกหญ้าน้อยใหญ่ที่แย่งกันผุดโผล่ขึ้นมาบนผืนดินแห้งๆ นี้ ดวงจันทร์ส่องแสงเข้ากระทบเหล่าต้นหญ้าทั้งหลายที่ล้อมต้นไม้ใหญ่ราวกับว่ามันจะรองรับต้นไม้เอาไว้ พุ่มไม้สั่นไหวเล็กน้อยก่อนจะนิ่งเงียบเหมือนเช่นดังเดิม เสียงหายใจแผ่วเบาราวกับไม่ต้องการให้ใครได้ยินดังลอดออกมา แสงไฟที่จุดโดยตะเกียงถูกแขวนไว้หน้าทางเข้า เสียงพูดขึ้นดังสะท้อนก้องเกือบครึ่งป่าแน่ะ แค่ทหารยามสองคนคุยกันแค่นั้นก็เล่นซะดังจนผู้มาเยือนยามวิกาลรำคาญหน่อยๆ สายลมพัดหาอีกครั้งจนไฟในตะเกียงดับวูบ ทุกอย่างมืดมิดไปเสียหมด มีเพียงแสงลางๆ จากดวงจันทร์เท่านั้น เสียงพูดดังขึ้นงึมงำกระทบโสตประสาทหูของยามทั้งสองอย่างดี อาวุธถูกชักออกมาอยู่ในมือ แสงสีเขียวเรืองๆ วิ่งพล่านไปในอากาศหลังจากเสียงนั้นหยุดลงก่อนจะพุ่งเข้าหาผู้เฝ้าประตูทั้งสอง ร่างหนาทั้งสองล้มฟุบลงไปจูบกับพื้นดินอย่างไม่ละอายเลยแม้แต่น้อย

              "ระบบการรักษาความปลอดภัยของที่นี่ห่วยจริงๆ เลย"

              ชายหนุ่มก้าวข้ามร่างทั้งสองก่อนจะส่งเสียงพึมพำไปตลอดทางแล้วหยุดอยู่กับที่ทันทีเมื่อจุดหมายอยู่เบื้องหน้า เขาหรี่ตามองสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าด้วยความยากลำบาก ถึงจะรู้ว่ามีประตูอยู่เบื้องหน้าแต่ดันมองไม่เห็นรูกุญแจ ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะดีดนิ้วขึ้นหนึ่งครั้ง เปลวไฟสีฟ้าผวยพุ่งขึ้นมาจากอากาศส่องแสงสว่างไปทั่วบริเวณ เมื่อเขาพบรูกุญแจแล้วก็รีบยัดลวดทั้งสองของตนเข้าใส่ทันที ชายหนุ่มงัดอะไรบางอย่างสักพักก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วเตะปะตูเข้าเต็มแรง

              โอ๊ย!!...

              ประตูบานนั้นไม่แม้แต่จะสั่นไหวเลยสักนิด ชายหนุ่มสบถออกมาก่อนจะสะบัดเท้าไปมา ถ้าหากพวกชาวบ้านมาเห็นก็คงคิดว่าเป็นโจรกระจอกที่แม้แต่จะไขประตูด้วยกุญแจผีก็ยังไม่ได้ แต่ใครจะรู้ละว่าโจรผู้นี้แหละที่สร้างปัญหาให้กับกองทหารมามากมายแล้ว ส่วนของราคาแพงที่หายไปก็ฝีมือเขาอีกนั่นแหละ...

              ชายหนุ่มมองไปยังประตูบานนั้นก่อนจะนึกหมั่นไส้อยากเตะอีกครั้งแต่ก็หยุดไปเพราะกลัวเจ็บ เขาก้มลงมองรูกุญแจอยู่พักนึงก่อนจะใช้นิ้วลากเขียนเป็นดาวหกแฉกที่รูกุญแจ หลังจากที่ชายหนุ่มลากนิ้วเสร็จก็ท่องคาถาอะไรสักอย่าง แสงสีฟ้าอ่อนสะท้อนออกมาจากวงเวทย์อักขระนั้นก่อนที่จะมีเสียงดังกริกเบาๆ ชายหนุ่มคลี่ยิ้มออกมาแก้มปริราวกับว่าเขาเพิ่งเคยใช้เวทมนตร์สำเร็จครั้งแรกทั้งๆ ที่เขาเคยใช้มาแล้วไม่ต่ำกว่าร้อยกว่าครั้ง แสงสว่างฉายลอดออกมายังด้านนอก ชายหนุ่มดีดนิ้วดับไฟเวทย์ก่อนจะปิดประตูแล้วเดินตามที่มาของแสงนั้นไป ทางเดินนั้นมีขนาดกว้างมากเลยทีเดียวแถมยังทำด้วยหินอ่อนอีกต่างหาก แต่น่าเสียดายทำเลไม่ดีเพราะดันมาตั้งซะเกือบกลางป่า ความจริงเมื่อกี้ก็เกือบหลง โชคดีที่เสียงยามโม้มันดังเกินไปเลยหาเจอ รอบข้างทางเดินเต็มไปด้วยตู้กระจกที่มีเครื่องประดับต่างๆ วางโชว์ไว้อยู่ แถมแต่ละอย่างก็ดูมีค่ามหาศาลทั้งนั้น ก็แหมมันเป็นพิพิธภัณฑ์นี่

              ชายหนุ่มเดินโยกซ้ายที โยกขวาที หยุดดูโน่นบ้าง หยุดดูนี่บ้าง มีแต่ของล่อใจทั้งนั้นเลย จะว่าไปในบรรดาโจรก็คงมีนี่คนเดียวละมั้งที่แปลกกว่าใครอื่น ทั้งท่าทาง ทั้งระบบการทำงานหรือแม้กระทั่งอายุ เพชรเม็ดยักษ์แวววับตั้งสง่าอยู่เบื้องหน้า ชายหนุ่มยกมือขึ้นแตะกระจกอย่างกับจะเอามือของเขาล้วงผ่านกระจกแล้วหยิบมันขึ้นมาใส่กระเป๋าของตัวเองไว้ แต่แล้วเขาก็ต้องสะบัดหน้าหนีความคิดนั้นเพราะมันมีสิ่งที่มีค่ามหาศาลรอเขาอยู่เบื้องหน้า

              ถ้าขายจะได้สักเท่าไหร่เนี่ย

              แม้จะยังเกาะติดตรงนู่นที ตรงนี้ทีแต่ในหัวของชายหนุ่มก็ยังคงทำงานอยู่ เสียเพียงแต่ว่ามันทำงานในด้านเงินด้านเดียว นอกนั้นคิดไม่เป็น เจ้าตัวก็ยังดูนู่นดูนี่ไปเรื่อยจนกระทั่งแสงสว่างของใจกลางพิพิธภัณฑ์ดับวูบลง ชายหนุ่มหันขวับทันทีก่อนจะแนบตัวเข้ากับกำแพงแล้วท่องคาถาบังกายเข้าช่วย ชายร่างท้วมเดินผ่านหน้าไปพร้อมกับไฟฉายที่สอดส่องไปทั่ว แถมในมืออีกข้างยังมีกระบองสีดำที่ถืออยู่ ยามร่างท้วมเดินผ่านไปได้สักพักก็เลี้ยวตรงเข้าทางแยกอีกทางหนึ่งทันที ชายหนุ่มยื่นหน้าออกไปมองให้แน่ใจก่อนจะถอนหายใจครั้งนึงแล้วรีบก้าวฉับๆ ไปยังใจกลางของที่นี่ แววตาลุกวาบเมื่อเห็นของตรงหน้า ขายิ่งรีบก้าวเร็วขึ้นแต่อยู่ๆ ก็หยุดทันที ชายหนุ่มเหลือบมองซ้าย มองขวาก่อนจะทำสีหน้าครุ่นคิด

              แสงสว่างของเวทย์ส่องผ่านไปทั่วทุกมุมห้องก่อนที่อักขระบนพื้นจะค่อยๆ ปรากฏออกมา แสงพวกนั้นดับวูบลงในทันที ชายหนุ่มก้าวเท้ายาวๆ ออกมายืนด้านหน้าของอักขระที่ห้องสีเหลี่ยมกว้างๆ ไร้ซึ่งการตกแต่ง แผ่นผนังเป็นสีขาวสะอาดตาแต่ไม่มีตู้โชว์วางไว้ มีทางเชื่อมสู่ห้องนี่ทุกด้านเกือบสิบทางเข้า ใจกลางของห้องนี้มีแท่นหินขนาดยักษ์ตั้งสง่าอยู่ ด้านบนของมันมีกระจกเหลี่ยมๆ ครอบไว้ อักขระที่ถูกเขียนลงบนพื้นนั้นมีอยู่รอบแท่นหินทุกทิศ ชายหนุ่มก้มลงมองก่อนจะร่ายคาถาออกมา เขาใช้นิ้วนั้นลบอักขระออกไปตัวนึงหลังจากร่ายคาถาเสร็จแล้ว รอยยิ้มบางปรากฏขึ้นที่มุมปาก มือขวาเอื้อมออกไปเขียนวงเวทย์กับกระจกเบื้องหน้าที่ครอบสิ่งมีค่าไว้อยู่

              "เฮ้ย!..."

              ชายหนุ่มเปร่งเสียงออกมาด้วยความตกใจเมื่อแสงสีม่วงเข้มส่องสว่างจากดาวหกแฉกแทนสีฟ้าอ่อนแล้วดับลง นั่นแสดงว่าเวทย์ของเขาใช้ไม่ได้ผล ชายหนุ่มส่ายหน้าอย่างเลิกลันก่อนจะวาดดาวหกแฉกขึ้นมาใหม่ แต่ทว่าผลมันก็ยังเป็นเช่นเดิม สักพักชายหนุ่มก็หยุดลงสงบสติอารมณ์แล้วหาวิธีเปิดกระจกนี่ก่อนที่ความคิดนึงจะแล่นแปลบเข้าสมอง

              ...ระเบิดมันทิ้งไปเลยดีกว่า เฮ้ย! ไม่ได้ๆ เดี๋ยวของพัง...

              ว่าแล้วคิ้วทั้งสองข้างก็ขมวดกันจนจะกลายเป็นโบว์ได้อยู่แล้ว ร่างนั้นยืนนิ่งครุ่นคิดอยู่นานสองนานแต่ก็ไม่มีท่าทีว่าจะคิดออกเลย แต่นั้นก็นับว่าสมแล้วที่มาเป็นโจร (ก็เพราะโง่สุดๆ นั่นแหละ)

              คิ้วเริ่มคลายออกจากกันเล็กน้อยแต่ว่ามันไม่ได้หมายความว่าคิดออกหรอกนะ แต่มันเมื่อยต่างหากละ ว่าแล้วนิ้วก็ถูกลากไปกลางอากาศก่อนจะกางมือออกแล้วเริ่มร่ายเวทย์ทันที สายลมแรงพัดกรรโชกเข้าล้อมรอบตัวของชายหนุ่มทั้งๆ ที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ไม่มีช่องระบายลมเลยสักแห่งเดียว ดวงตาของผู้ร่ายหลับพริ้มลง อักขระโบราณเริ่มปรากฏขึ้นกลางอากาศ มันส่องแสงสว่างสีม่วงเรืองๆ บทคาถายังคงถูกท่องอยู่อย่างไม่เว้นช่วง อักขระเวทย์เหล่านี้ปรากฏขึ้นรอบๆ ชายหนุ่ม ดาวหกแฉกสีทองอร่ามเผยตัวขึ้นที่ใต้เท้าของเขา แสงสีฟ้าอ่อนส่องสว่างวาบไปทั่วห้อง สายลมยิ่งกรรโชกหนักขึ้นราวกับว่าต้องการพัดทุกสิ่งที่อยู่ใกล้ให้กระจาย สุดท้ายชายหนุ่มลืมตาขึ้นอย่างฉับพลัน กระจกแก้วครอบก็แตกกระจายทันที แท่นหินแกร่งเริ่มร้าวขึ้นเรื่อยๆ เจียนจะแตก ชายหนุ่มพุ่งปราดเข้าไปคว้าของเอาไว้ ซึ่งมันมีลักษณะเป็นไข่มุกสีดำสนิทดูแล้วน่าเกรง สร้อยสีเงินเงาวาวถูกประดับไปด้วยไข่มุกสีดำทมิฬเกือบๆ สิบลูก รอบข้างของมันมีไข่มุกสีขาวนวลวางเรียงไว้อย่างสวยงาม ชายหนุ่มคว้าสร้อยไข่มุกขึ้นมาก่อนที่ไฟของพิพิธภัณฑ์จะสว่างพรึบ!...

              ความมืดถูกปัดเป่าจนกระจายหายไปเหลือไว้แต่เพียงความสว่างที่ส่องมาจากเพดานด้านบน เมื่อความมืดจางหายไปก็ปรากฏร่างของชายหนุ่มทันที ผ้าคลุมสีดำสนิทแกว่งไหวตามจังหวะการวิ่ง เสื้อและกางเกงก็ยังเป็นสีดำสนิทเช่นกัน หน้ากากของมันสวมไว้ที่ตาเท่านั้น จังหวะการวิ่งของชายหนุ่มนั้นเป็นไปอย่างเงียบเฉียบและรวดเร็วตามแบบฉบับหัวขโมย

              ...เห็นแล้ว! เห็นประตูแล้ว อีกนิดเดียว อีกนิดเดียวเท่านั้นเอง...

              "หยู๊ด!!! เจ้าหัวขโมยผู้น่ารังเกียจ!"

              เอี๊ยด!!...

              เสียงประกาศห่วยๆ ดังขึ้นเบื้องหน้าของชายหนุ่มเมื่อตอนที่เขาเกือบจะถึงประตูแล้วตามด้วยเสียงเบรคของชายหนุ่มที่ดังเสียดสีหูเหลือเกิน ร่างท้วมที่คุ้นตายืนขวางทางไปเบื้องหน้า ชายหนุ่มเบรคเอี๊ยดทันที หันซ้ายหันขวาก็เจอแต่บุคคลในเครื่องแบบทั้งนั้น เราตกอยู่ในวงล้อมมันตั้งแต่เมื่อไหร่หว่า...

              "ยอมมอบตัวซะดีๆ แล้วส่งของกลางในมือแกมาด้วย!"

              ห่างกันไม่ถึงหกก้าวแต่ดันตะโกนซะดังลั่นกลัวว่าใครเขาไม่รู้รึไงเนี่ย ชายหนุ่มยกมือป้องหูตนเองเอาไว้อย่างเร็วที่สุดเพราะเกรงว่าหูจะแตกตายก่อนจะโดนจับเช่นเดียวกันกับเครื่องแบบเคลื่อนที่ทั้งหลาย เซลล์สมองเริ่มทำงานหนักอีกครั้งหลังจากได้หยุดพักไปเกือบเดือน หยาดเหงื่อเริ่มไหลลงอาบซอกคอ การประมวลผลหาทางรอดนั้นแทบเป็น "ศูนย์" ถูกล้อมอยู่ภายในวงล้อมของเครื่องแบบเคลื่อนที่ แถมทางออกก็มีทางเดียว จะร่ายเวทย์ก็ยังต้องใช้เวลา มันจะมีเวทย์ไรสั้นๆ บ้างไหมเนี่ย!

              "เฮ้ย! เป็นโจรผู้น่ารังเกียจแล้วยังหูตึงด้วยรึไง!"

              ชายหนุ่มขยับกายเล็กน้อยเมื่อคิดไปคิดมาถึงการกระทำทุกอย่างจนกระทั่งตัดสินใจได้ เขากำสร้อยในมือแน่นก่อนจะค่อยๆ ยกมันขึ้นแล้วโยนมันออกไปข้างหน้า ไข่มุกสีดำส่องแสงวาววับก่อนจะไปตกอยู่ในมือของชายร่างท้วมเบื้องหน้า

              "มอบตัวซะแล้วถอดหน้ากากของแกออกด้วย!"

              รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ถูกฉีกกออกปรากฏบนใบหน้าคมคายของชายหนุ่ม มือขวาของเขาค่อยๆ เอื้อมขึ้นมาจับบริเวณหน้ากาก รอยยิ้มปรากฏขึ้นอีกครั้งท่ามกลางความงุนงงของบรรดาเครื่องแบบเดินได้! ชายหนุ่มพึมพำเพียงคำเดียวเท่านั้น ควันสีเทาก็พวยพุ่งออกมาจากฝ่ามือของเขา สัญญาณเตือนประจำพิพิธภัณฑ์ส่งเสียงกรีดร้องให้รับรู้ เสียงไอดังระงมท่ามกลางฝูงควันนี้ เสียงกระจกแตกดึงความสนใจของเหล่าเครื่องแบบทันทีตามด้วยเสียงกระแทกของประตูเหล็กบานนั้น! พอควันสีเทาทึบเริ่มจางหายเขาก็เพิ่งเริ่มรู้ตัวว่าตนเองโดนขังอยู่ภายในพิพิธภัณฑ์อย่างไร้ทางออก แถมเพชรขนาดเล็กยังโดนขโมยไปอีกเสียด้วย!

              เสียงหอบหายใจดังถี่ขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับการก้าวเท้าที่เริ่มไม่สม่ำเสมอ เสียงโวยวายดังขึ้นไล่หลังของชายหนุ่มตามด้วยแสงไฟที่รี่ลงตามแรงลม พวกเครื่องแบบเดินได้ตามเขามาอีกแล้ว! ชายหนุ่มร่ำร้องในใจแทบเป็นแทบตายว่าอยากใช้เวทย์ยิงมันทิ้งทุกตัวเลย แต่ก็ทำไม่ได้ ทำไมน่ะเหรอ... ก็มันไม่รู้เวทย์แบบนั้นนิหน่า!

              เสียงย่ำใบไม้แห้งดังขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับเสียงต้นหญ้าที่หลุดลอยออกจากพื้นดินเพราะโดนเกี่ยวไปด้วย ชายหนุ่มรีบพุ่งตัวไปข้างหน้าอย่างสุดแรง ตรงเข้าไปภายในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งก่อนจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ฝูงเครื่องแบบเดินได้พอหลุดออกจากป่าก็นั่งเรียงรายหอบแฮ่กๆ โดยไม่มีความคิดที่จะตามเจ้าหัวขโมยคนนั้นต่อเลยแม้แต่น้อย ร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลเพราะโดนหนามข่วนทำเอาเหล่าเครื่องแบบเดินได้ฉุนกึก

              แสงไฟเริ่มถูกเปิดขึ้นทีละดวงๆ ตามบ้านทั้งหลาย ชายในชุดเครื่องแบบสองถึงสามคนเดินเคาะไปตามประตูบ้านต่างๆ แล้วขอเข้าไปตรวจค้นอย่างไม่เกรงใจ แม้แต่ห้องนอนของเด็กตัวน้อยๆ ยังถูกบุกรุกด้วยความไม่ยินยอมของเจ้าของบ้าน เสียงเด็กร้องไห้เพราะถูกปลุกดังขึ้นจนเครื่องแบบเดินได้ต้องถอยหนีเพราะทนฟังเสียงไม่ไหว หมู่บ้านยามค่ำคืนถูกปลุกให้ตื่นด้วยเหล่าเครื่องแบบเดินได้ที่ไร้สมอง ... เสียงสบถด่าว่าดังขึ้นในใจของคนหลายคนในหมู่บ้าน หรืออาจไม่เว้นแม้แต่เด็กที่จะสบถด่าพวกนั้น การล่าตัวหัวขโมยใจเด็ดล่วงเลยเวลานานเข้าเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงบ้านหลังสุดท้ายซึ่งตั้งอยู่นอกหมู่บ้าน แยกออกจากเหล่าบ้านทั้งหลาย แต่มันก็ไม่ไกลเกินไป ชายร่างท้วมเจ้าเดิมลงมือเคาะบานประตูไม้ที่ตั้งสง่าอยู่เบื้องหน้า รอสักพักแสงไฟก็สว่างวาบตามด้วยเสียงที่แสดงบอกว่ารู้แล้ว บานประตูเบื้องหน้าถูกกระชากเปิดออก เงาสูงถูกทาบลงบนร่างเตี้ยๆ ของเขา ร่างสูงยืนขวางทางเข้าบ้านของตัวเองพลางส่งสายตาม่พอใจไปยังเหล่าเครื่องแบบเดินได้

              "มีไร คนเขาจะหลับจะนอนกันไม่น่ามากวนเลย!"

              "ขอตรวจค้นบ้านหน่อย เมื่อกี้มันมีหัวขโมยผ่านมาทางนี้!"

              ร่างท้วมพยายามมุดเข้าไปภายในบ้านแต่กลับโดนเจ้าของบ้านถีบออกมาซะนี่ มันส่งเสียงฮึดฮัดไม่พอใจก่อนจะส่งเสียงเปร่งๆ ของมันออกมาแล้วยัดตัวเองเข้าไปในบ้านอีกครั้ง

              ตูม!...

              ไม่จำเป็นต้องสงสัยเลยว่าเสียงอะไร ก้นกบกระแทกกับพื้นถนนอย่างแรงเสียจนเจ้าตัวคิดว่าอาจจะหัก ร่างเตี้ยๆ ท้วมๆ ยืนขึ้นอย่างทุลักทุเลแล้วล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงควักอาวุธขึ้นมาอยู่ในมือแล้วขู่เจ้าของบ้านว่าหากไม่ให้เข้าจะจิ้มให้ไส้ไหลเลย ส่วนเจ้าของบ้านร่างสูงกลับยืนขำจนท้องแข็งแล้วพูดออกมาว่า "ถ้าแกจะใช้ไม้จิ้มฟันนั่นจิ้มชั้นไส้ไหลละก็ ...ชั้นก็จะตื้บแกให้ไส้ไหม้เลยโว้ย!" ใบหน้าอ้วนๆ เคร่งขึ้นถนัด เลือดในกายฉีดพล่านด้วยความโกรธ มันง้างมีดในมือที่ยาวเกือบฟุตแล้วแทงใส่เป้าหมายอย่างสุดแรงเกิด

              ตูม!...

              ร่างอ้วนเตี้ยที่กำลังจะกลายเป็นลูกบอลลงไปกลิ้งขลุกๆ อยู่กับพื้นบ้านหลังนั้น ส่วนเจ้าของบ้านก็ขำจนกระเพาะแทบไหลออกมาทางทวารหนักเลยทีเดียว แค่เอียงตัวหลบนิดหน่อยมันก็ล้มลงไปคลุกฝุ่นในบ้านได้ซะนี่ แต่ก็ดีนะสะอาดขึ้นหนึ่งจุด ถ้าใช้ตัวมันกลิ้งไปมาในบ้านแล้วมันจะสะอาดขึ้นปล่าวหว่า...

              "ฮ่าๆ โชว์นี้มัน ...ขำเป็นบ้าเลย ฮ่าๆ"

              เจ้าของบ้านร่างสูงแต่ปัญญาอ่อน (รึปล่าว) ยืนขำจนเครื่องแบบเดินได้ที่ยืนอยู่ด้านนอกกลัวว่าจะต้องจัดงานศพ ไม่ใช่อะไรหรอกกลัวมันจะขำมากจนซ๊อคตายไปก็เท่านั้นเอง ว่าแล้วเจ้าของบ้านก็เปิดทางให้กับเหล่าเครื่องแบบเดินได้ ส่วนเจ้าหมูกลิ้งก็เดินสะบัดหน้านำไปตรวจค้นห้องต่างๆ ไม่ว่าจะตรวจเท่าไหร่ๆ ก็ไม่พบและไม่หมดเสียที ทั้งๆ ที่ดูภายนอกแล้วไม่น่าจะมีเกินสิบห้องอย่างนี้ อาจจะไม่ใช่ว่าห้องมันเยอะก็ได้แต่ทางเดินมันดิ วกวนชะมัดเดินตั้งเกือบครึ่งชั่วโมงหาเจอแค่ห้องเดียว พอจะให้ไอ้คุณท่านเจ้าของบ้านนำมันก็ดันบอกว่าจำทางไม่ได้แล้ว (แล้วมันจะไปห้องน้ำยังไงฟะ)

              "อ๊ะๆ นี่ห้องทำงานของผมเอง!"

              ถึงไอ้คุณเจ้าของบ้านจะพูดยังงั้นก็เถอะแต่ดูยังไงก็ไม่เหมือน จะให้นอนดู นั่งดู กระโดดดู ตีลังกาดู หรือจะให้บินดูก็ได้แต่ยังไงก็ไม่เหมือน ห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ที่ปูกระเบื้องทั้งพื้นและผนังสีขาวออกฟ้าๆ กระจกบานมหึมาตั้งอยู่ข้างๆ ประตูพร้อมกับแท่งหินอ่อนที่ตั้งอยู่ใต้กระจกบานนั้น หน้าต่างเล็กๆ อยู่สูงจนเกือบติดกับเพดาน พัดลมติดเพดานหมุนติ้วๆ อยู่ แล้วสิ่งสุดท้ายมันก็คือ โถส้วม! ที่ตั้งอยู่มุมห้องใต้หน้าต่างบานเดียวในห้อง เอ...หรือว่าไอ้คุณเจ้าของบ้านมันจะทำงานดูดส้วมหว่า

              มาตรวจค้นบ้านนี้แทบประสาทกิน แรงขาก็จะหมดเอาดื้อๆ เครื่องแบบก็เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อที่ไหลซึมไปทั่วรูขุมขนเนื่องจากทางเดินบ้านนี้ไม่มีแม้แต่หน้าต่างสักบาน บางครั้งก็หันไปมองเจ้าของบ้านที่ทำตัวสบายๆ ยิ้มกริ่มอยู่ เหงื่อสักหยดก็ไม่มี สงสัยจะชินแล้วละ ส่วนเจ้าอ้วนเตี้ยอยู่ๆ ก็เดินดุ่ยๆ มาหาเจ้าของบ้านก่อนจะพูดคุยชนิดแบบข่มขู่

              "สงสัยไม่มีใครหลบซ่อนอยู่ พาพวกเรากลับได้แล้ว"

              "อืม~ เหรอ... สงสัยฉันจะลืมทางกลับแล้วละ"

              คำตอบที่แทบทำให้เหล่าเครื่องแบบเดินได้แทบคลั่ง ส่วนเจ้าของบ้านก็ยังยืนยิ้มกริ่มอยู่ พูดๆ ไปเจ้าของบ้านนี่น่าฆ่าหมกส้วมจัง ร่างอ้วนเตี้ยในเครื่องแบบเดินวนไปวนมาอยู่ภายในบ้านขนาดเล็ก! อีกไม่กี่นาทีดวงอาทิตย์จะขึ้นรับหน้าที่แทนจันทราที่เริ่มล้าแสงลงแล้ว แต่กระนั้นการผจญภัยในบ้านวงกตก็ยังไม่สิ้นสุด เหล่าเครื่องแบบเดินได้กำลังหาทางกลับออกจากบ้านอย่างยากเย็นในขณะที่เจ้าของบ้านยังทำตัวสบายอารมณ์ เมื่ออารมณ์ของเหล่าเครื่องแบบเดินได้สุดกลั้น อาวุธต่างๆ ถูกประเคนเข้าปะทะผนังทั้งสองข้างจนพังทลายเผยให้เห็นตัวหมู่บ้านอีกครั้ง เหล่าเครื่องแบบไม่รอช้าพุ่งทะยานวิ่งหนีออกจากบ้านทันที

              "ไหนบอกมาตรวจค้นบ้านไง เล่นซะผนังเป็นรูเลยแฮะ"

              แสงแดดลูบไล้ไปยังต้นหญ้าอ่อนที่ผุดขึ้นมาแย่งอาหารของต้นไม้ สายลมเย็นๆ พัดไปตามทิศทางของมัน เสียงนกบรรเลงเพลงยามเช้าคลอเคลียให้ง่วงเหงาหาวนอนแม้จะเพิ่งตื่น กลิ่นดอกไม้หอมๆ ลอยละล่องแตะปลายจมูกให้ความรู้สึกสบายใจเข้าแทรกแซง ฟ้าสีครามสดใสส่องประกายต้อนรับวันใหม่ ผู้คนในหมู่บ้านต่างทำหน้าที่ของตนเองอย่างขยันขันแข็ง เสียงหัวเราะอย่างมีความสุขดังขึ้นเป็นช่วงๆ เหล่าสรรพสัตว์ที่ถูกเลี้ยงเอาไว้ถูกปล่อยให้ออกหากินเอง นัยน์ตาสีดำนิลส่องแววประกายอย่างสุขใจ ผมสีดำขลับของผู้เป็นเจ้าของดวงตาสีดำนั้นปลิวไสวไปตามแรงลม มือขวาของเขาสะบัดน้อยๆ ก่อนจะยันกายลุกขึ้น ส่วนมือซ้ายก็เก็บของที่ตนเอามานอนดูเล่นลงกระเป๋ากางเกง รอยยิ้มคลี่ออกจากมุมปากก่อนจะคว้าเป้สีดำทมิฬขึ้นมาสะพายไว้แล้วมุ่งตรงไปยังป่าเบื้องหน้า

              แสงแดดอุ่นๆ สาดส่องลงมาได้ไม่เต็มที่นักเพราะต้นไม้ที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจนบดบังแสงอาทิตย์ไปกว่าครึ่ง หนทางขรุขระที่แสนลำบากถ้าไม่ได้เดินมา ชายหนุ่มเดินทอดน่องอย่างสบายอารมณ์ เป้สีดำแกว่งไปมาตามจังหวะการเดินของเขา เพชรเม็ดยักษ์ถูกโยนเล่นไปมากลางอากาศ รอยยิ้มของชายหนุ่มยังคงไม่เลือนหายไปจากใบหน้าของเขา มือข้างซ้ายคลึงมันอย่างพอใจก่อนจะยัดมันกลับลงกระเป๋าอีกครั้ง

              "เฮ้ย!..."

              ปลายดาบยาวสอดเข้าหาชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มผงะเล็กน้อยก่อนจะมองไปยังกลุ่มบุคคลเบื้องหน้า

              "ของมีค่าส่งมาให้หมด!"

              "อ...เอ่อ พี่ชายผมไม่มีของมีค่าหรอกนะ มีแค่เป้ใบเดียวเนี่ย"

              "โกหก!"

              เสียงตะเบ็งของโจรป่าเบื้องหน้าทำเอาชายหนุ่มสะดุ้ง แขนสั่นนิดๆ ขาสั่นหน่อยๆ ปากพะงาบๆ เมื่อมันสอดดาบเข้าหาคอของชายหนุ่มในระหว่างที่เหลือเพียงนิดเดียว ส่วนเพื่อนมันอีกคนก็เดินตรงเข้ามาหาก่อนจะล้วงหาของมีค่าในร่างกาย ล้วงไปล้วงมันดันเจอ... มันแข็งๆ อุ่นๆ โจรป่าดึงมันออกมาทันที เพชรเม็ดงามส่องประกายยามต้องแสงอยู่ในมือของเหล่าโจร แววตามันสั่นระริกที่ได้เพชรเม็ดงามมาอยู่ในมือ มันล้วงกระเป๋าของชายหนุ่มต่อทันทีโดยไม่รี่รอหวังว่าจะเจอสมบัติอยู่ มันล้วงอยู่นานสองนานก็ไม่พบอะไรนอกจากเศษกระดาษเล็กๆ เป้สีดำถูกกระชากหลุดออกจากบ่าไปยังมือของเหล่าโจร เป้ใบดำถูกกระชากเปิดอย่างรุนแรงโดยไม่คิดจะถนอมมันเลยสักนิด มีดเล่มยาวถูกวางลงบนพื้นอย่างเร่งรีบ เสบียงต่างๆ ถูกรื้อออกมาจนกระจุยกระจาย แววตาสีดำนิลส่องประกายไม่พอใจก่อนจะใช้นิ้วข้างขวาของตนวาดวงแหวนเวทย์ในอากาศทันที

              แสงสีเงินลอยกระจายอยู่ในห้วงอากาศ มันเข้าพันธนาการโจรป่าทั้งสองอย่างแน่นหนาราวกับงูขย้ำเหยื่อ เพชรเม็ดงามในมือถูกชายหนุ่มฉวยไปอย่างง่ายดาย เสียงคำรามอย่างโกรธแค้นของบรรดาโจรป่าทั้งสองดังขึ้นจนชายหนุ่มหงุดหงิด แขนเสื้อข้างขวาถูกถกขึ้นจนถึงหัวไหล่ ชายหนุ่มยื่นแขนขวาออกไปก่อนจะกำมันแน่นราวกับจะบีบอากาศให้แตกคามือ แววตาหวาดกลัวสุดขีดปรากฏขึ้นในดวงตาที่เคยมีแต่ความหยิ่งทะนงของโจรป่าทั้งสอง ร่างกายของพวกเขาแตกกระจายออกราวกับว่าร่างกายของเขาเป็นกระจกไม่ปาน ไม่มีแม้แต่เลือด และไม่มีเสียงกรีดร้อง เหลือแต่เพียงเศษกระจกเล็กๆ ที่กำลังจะสลายไปในอากาศ เป้สีดำทมิฬถูกสะพายขึ้นบนบ่าอีกครั้งพร้อมกับร่างที่ค่อยๆ เคลื่อนห่างจากไป

              ชายหนุ่มย่ำเท้าตนเองลงไปบนแอ่งน้ำใสสะอาด กลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่วอาณาบริเวณ ชายหนุ่มก้มลงเปิดเป้ก่อนจะหยิบมีดเล่มยาวธรรมดาขึ้นมาถือไว้ในมือ แววตาสีดำนิลสอดส่องไปรอบๆ ตัว ลำธารใสๆ กำลังไหลเข้าปะทะกับขาของชายหนุ่มอย่างเบาๆ

              โฮก~!...

              เพียงหันตามมองเท่านั้น ร่างกายก็เกร็งกระตุกไม่ยอมฟังคำสั่ง แววตาสั่นด้วยความหวาดกลัว เขี้ยวยาวโง้งฝังลงบนหัวไหล่ของชายหนุ่มอย่างไร้ทางปกป้อง สายเลือดสีคล้ำพุ่งกระจายไหลลงอาบร่างกาย แววตาสั่นคลอด้วยความเจ็บ มีดยาวในมือพุ่งเข้าหมายแทงคอของมันทันที ยิ่งขยับมากเท่าไหร่ เขี้ยวของมันก็ยิ่งแทงลึกเท่านั้น ยิ่งสู้เท่าไหร่ ก็ยิ่งแพ้ แพ้ให้กับ "ไชน์" สัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่ง รูปร่างใหญ่เหมือนเสือของมันแต่เขี้ยวที่ยาวใหญ่เหมือนดาบ หนังสีดำสนิทกับแววตาสีแดงฉาด "ใบมีด" บนหลังของมันเรียงตัวกันอย่างสวยงามและน่าสะพรึงกลัว มันกระชากเขี้ยวของมันออกมาอย่างแรงจนเนื้อหัวไหล่ของชายหนุ่มคงฉีก มันหลบพ้นมีดยาวในมือของชายหนุ่มได้อย่างง่ายดาย

              โฮก~!...

              ลำธารใสโดนแต่งแต้มหยาดโลหิตลงไป มันขึ้นไปเดินดูเชิงริมลำธารขณะที่ชายหนุ่มยังยืนขบฟันแน่นนิ่งในลำธาร วงแหวนเวทย์ถูกเขียนขึ้นกลางอากาศอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้ยังไม่สำเร็จ...

              ฉัวะ!...

              ร่างกายเอนโอนไปตามแรงข่วน สายโลหิตสาดกระเด็นราวน้ำพุ ชายหนุ่มล้มลงกระแทกกับก้อนกรวดในลำธาร ไชน์คำรามขึ้นอีกครั้งก่อนจะพุ่งตัวเข้าหาหมายขย้ำคอให้กระจุย มือซ้ายพุ่งเข้าจับไปยังลำคออันน่าเกลียดของมันก่อนจะตามด้วยมีดยาวที่พุ่งเข้าสมทบ เหมือนราวกับว่า... ใช่ เหมือนราวกับว่าเวลาในโลกหยุดหมุนไปแล้ว

              เสียงคร่ำครวญแห่งความตายดังขึ้น ชายหนุ่มยกแขนซ้ายข้างเดียวที่เหลือขึ้นจับไปยังกรงเล็บที่แสนคมของมัน น้ำกำลังไหลเวียนเข้าไปในปอดแทนอากาศบริสุทธิ์ หัวไหล่ขวาหลุดออกอย่างง่ายดายจากอุ้งเท้าอันมหึมาของมัน มันคำรามขึ้นอย่างผู้ชนะก่อนจะกดกรงเล็บข้างซ้ายของมันให้จิกเข้าไปในเนื้อของชายหนุ่มได้อย่างง่ายดาย เลือดสีคล้ำพุ่งกระจายออกลอยตามลำธารที่ใสสะอาด อากาศสุดท้ายกำลังจะหมดลง เขี้ยวยาววาววับถูกโชว์ให้ชายหนุ่มเห็น น้ำลายไหลยืดลงลำธาร วงแหวนเวทย์ถูกวาดลงบนผืนน้ำก่อนจะตามด้วยฟองอากาศที่ผุดออกจากปากของชายหนุ่ม แม้จะร่ายด้วยคำพูดไม่ได้แต่กระนั้นวงเวทย์ก็ส่องแสงสว่างออกมา กรงเล็บข้างขวาของมันซัดเข้าศีรษะของชายหนุ่มอย่างแรงจนคิดว่าน่าจะแตกสลายได้เลย โลหิตที่ไหลออกจากแผลราวกับเขื่อนแตกยังไม่คงหยุดแค่นั้น

              โฮก~!...

              เสียงคำรามแห่งชัยชนะดังกึกก้องไปทั่วผืนป่าแห่งนั้น มันแยกเขี้ยวออกพร้อมที่จะเขมือบอาหารเบื้องหน้า

              พรวด!...

              เมื่อสิ้นสุดอากาศในปอด มันก็ร่ำร้องอยากได้อากาศบริสุทธิ์ใหม่ๆ ชายหนุ่มโผล่พรวดออกจากใต้ลำธาร เสียงหายใจหอบถี่พยายามเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าไปในปอดให้ได้มากที่สุด แววตาตื่นตกใจปรากฏภายในนัยน์ตาสีแดงฉาด มันอ้าปากขึ้นก่อนจะฟาดกรงเล็บเข้าใส่อีกครั้ง ปลายมีดยาวกรีดร้องเรียกเลือดสีดำเมือกได้เล็กน้อย มันทะยานตัวเองออกจากเหยื่อเบื้องหน้าเพราะตกใจในการกระทำของชายหนุ่ม มีดยาวถูกย้ายจากข้างขวามาเป็นข้างซ้าย แววตาส่องประกายเหนือสัตว์ประหลาดเบื้องหน้า ลิ้นแลบออกมาเลียริมฝีปากอย่างพอใจ

              แสงสีฟ้าโอบอุ้มร่างมันก่อนจะทิ่มแทงทะลวงเนื้อสีดำของมัน เลือดสีดำเมือกไหลรินออกจากทั่วร่างกายมัน ไชน์แผดเสียงร้องคำรามก้องอีกครั้ง วงเวทย์ที่วาดไว้กลางอากาศแตกสลายทันที เพียงการกู่ร้องเพียงครั้งเดียวก็สามารถทำลายวงแหวนเวทย์ได้ แววตาตื่นตระหนกกลับเป็นของฝ่ายชายหนุ่ม มันแลบลิ้นเลียริมฝีปากหนึ่งครั้งก่อนจะคำรามก้อง

              ผู้ที่แข็งแกร่งกว่ามักจะแลบลิ้นเลียริมฝีปากและลับเขี้ยวเล็งเหยื่อที่ดิ้นขยุกขยิกอยู่เบื้องหน้า...

              ส่วนผู้ที่อ่อนแอกว่าคงทำได้เพียงอย่างเดียว...

              หนี!!...

              หยาดเลือดที่ไหลรินลงบนผืนดินที่ชุ่มชื้นไปด้วยละอองน้ำ ต้นหญ้าที่ผุดขึ้นบริเวณทางเดินโดนเหยียบย่ำจนตาย เสียงหอบหายใจถี่ๆ ดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย มีดเล่มยาวถูกเก็บลงในกระเป๋า เป้สีดำถูกลากลงไถลกับพื้นดินอย่างน่าอนาถ เสียงกัดฟันอย่างโกรธแค้นดังขึ้น สมองยังไตร่ตรองหาทางรอด เสียงคำรามดังขึ้นกระชั้นชิดราวกับว่ามาหายใจรดต้นคอของชายหนุ่ม ความรู้สึกกระวนกระวายว่าจะถูกตามทัน ชายหนุ่มหยุดกึกทันที ร่างกายของเขารับไม่ไหวแล้ว ทั้งใช้งานร่างกายจนเกินกว่าเหตุ ทั้งสูญเสียเลือดมากจนเกินกว่าจะยอมรับได้ ร่างกายเริ่มล้า

              โฮก~!...

              เสียงนี้มันราวกับว่าเป็นมัจจุราชที่คอยตามหลอกหลอนแล้วเตรียมกระชากวิญญาณออกจากร่าง หากไม่หนีก็คือ "จบ" ถึงแม้หนีก็ไม่รอด เพียงแต่ว่ายืดเวลาให้มีชีวิตนานขึ้นก็เท่านั้น ร่างกายใหญ่โตสีดำค่อยๆ ย่างกรายเข้าหา บาดแผลเล็กๆ บริเวณต้นคอทำเอามันน่าเกลียดน่ากลัวขึ้นเยอะ ใบมีดบนหลังสั่นไหวอย่างไม่พอใจที่ชายหนุ่มทำให้มันเสียเวลา เข่าทั้งสองทรุดลงกระแทกพื้นจนเลือดไหลซึมออกมา ร่างกายหนักอึ้งราวกับถูกตรึงเอาไว้กับที่

              สัตว์ที่จะแข็งแกร่งได้ต้องออกล่าเหยื่อและหมั่นลับเขี้ยวอย่างจริงจัง...

              แล้ว... ลูกนกล่ะ ลูกนกที่ไม่มีทั้งเขี้ยวเล็บที่แหลมคม ทำได้แค่บินหนีเท่านั้นเหรอ?

              แต่ยังไงการบินหนีของมันก็คือ "เส้นทาง" แห่งการอยู่รอดเส้นนึงถูกมั๊ยล่ะ...

              แม้ว่าเขี้ยวแหลมจะเจาะทะลวงกายเนื้อของชายหนุ่มแล้ว แม้ว่าโอกาสรอดจะเหลือน้อยกว่าสองเปอร์เซ็นต์ก็ตาม แต่ชีวิตที่ได้รับมาจะปล่อยให้ไอ้ตัวน่าเกลียดคร่ามันไปอย่างงั้นรึ!

              มือซ้ายออกแรงต้านอย่างสุดแรงเกิด เข่าทั้งสองยันตัวขึ้นยืน สายเลือดไหลรินออกจากร่างกายมากมาย ชายหนุ่มกัดฟันทนรับความเจ็บปวดที่แผ่ออกไปทั่วทุกอณูของร่างกาย กล้ามเนื้อแขนที่เริ่มรับแรงดันไม่ไหวฉีกขาดออก แม้ว่าจะจบ... แต่อย่างน้อยก็จบลงอย่างผู้ต่อสู้ เลือดค่อยๆ ไหลรินลงพื้นดินมากมาย ร่างกายที่เคยผ่องใสอาบไปด้วยเลือดของตนเอง หากเป็นคนธรรมดาเจอยังนี้ก็คงตายไปตั้งแต่นาทีแรกแล้วละ ร่างกายที่สูญเสียเลือดไปมากมายบวกกับการเคลื่อนไหวที่แบกรับหน้าที่อันหนักอึ้งจนเกินกว่าจะรับได้ หากไม่ล้มลงก็พระเจ้าแล้ว รอยยิ้มที่เคยมีหายไปในห้วงความคิดเหลือไว้แต่เพียงความเจ็บปวดที่เปร่งออกมา เสียงร้องคำรามอย่างเจ็บปวดดังลอดจากช่องคอของชายหนุ่ม เข่าข้างซ้ายทรุดลงกระแทกอย่างแรงจนกระดูกเข่าแตก อาจจะหมดซึ่งทางหนีรอดแล้วเสียจริง...

              "ไม่ยอมโว้ย! ถ้าจะให้ตัวน่าเกลียดอย่างแกมาฆ่าฉันละก็... ไม่ยอมเด็ดขาด!"

              เสียงที่เปร่งออกมาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น แต่ก็คงไม่ช่วยให้เขารอดจากวิกฤตครั้งนี้ได้หรอกนะ กรงเล็บข้างขวาฟาดเข้าใส่หัวไหล่ข้างขวาที่หลุดออกของชายหนุ่มอย่างแรง สายเลือดพุ่งออกไหลรินลงแตะพื้นดินเบื้องล่าง แม้จะพยายามยังไงก็ตามแต่ก็ยังพ่ายแพ้อยู่ดี... แพ้ให้กับสัตว์ประหลาดที่แสนจะน่าเกลียด... สายเลือดที่ไหลรินออกจากร่างกายพร้อมกับที่ลมหายใจสุดท้ายที่ขาดห้วง หัวใจที่เคยเริงระบำในร่างกายเริ่มเหนื่อยอ่อนจนหยุดการทำงาน แต่กระนั้นถึงหัวใจจะหยุดเต้นกับลมหายใจสุดท้ายที่ขาดหายไปนั้นอาจบ่งบอกได้ว่าเขาโดนมัจจุราชชิงวิญญาณไปเสียแล้ว แต่มันไม่เป็นอย่างนั้น ถึงจะหมดลมหายใจและหัวใจหยุดทำงาน แต่เขายังไม่ตาย ม่านตายังทำงานเหมือนเดิม โสตประสาทสัมผัสทั้งห้ายังตื่นตัวเต็มที่ เจ้าสัตว์ประหลาดค่อยๆ ย่างอุ้งเท้าขนาดยักษ์เข้าหาร่างของชายหนุ่มที่ขยับเขยื้อนไม่ได้แม้แต่น้อย มันค่อยๆ ฉีกเนื้อกายของชายหนุ่มออก เลือดสดๆ ไหลรินออกจากร่างกายราวกับเขื่อนแตก กลิ่นเลือดคละคลุ้งไปทั่วอาณาบริเวณ เนื้อกายค่อยๆ แยกออกจากกัน แขนข้างขวาถูกมันกระชากออกอย่างไม่ใยดี กระดูกขาวๆ เปื้อนเลือดโชว์เด่นอยู่ภายในเนื้อที่ขาดไป ก้อนเนื้อสีแดงฉาดเต้นตุบๆ แววตาตื่นตระหนกปรากฏขึ้นในดวงตาสีดำนิล แม้จะไม่ส่งเสียงออกมาแต่ร่างกายก็เจ็บปวดเหนือคณานับ แขนขวาถูกเคี้ยวจนฉีกกระจายออกเป็นเศษเนื้อเล็กๆ เลือดที่ไหลออกจากร่างกายนั้นแทบจะเป็นแอ่งเลือดได้เลย มันยังคงกัดกินต่อไปอย่างไม่สนใจต่อเหยื่อที่กำลังจะตาย

              "หวา~!..."

              ร่างกายที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อผวาลุกขึ้นนั่งทันที แสงแดดอ่อนๆ ลูบไล้ไปยังต้นไม้ใหญ่กับต้นหญ้าเล็กๆ ที่ผุดขึ้นมาทั่วทั้งอาณาบริเวณ ต้นไม้ยักษ์ให้ร่มเงาแก่ชายหนุ่มยามหลับนอน เขาปาดเหงื่อบนหน้าผากออกเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอกที่เรื่องเมื่อกี้เป็นแค่ "ฝัน" เพชรเม็ดงามในมือกลิ้งขลุกๆ หลุดออกจากมือของเขา ดวงตาสีดำนิลมองตามไปยังเพชรที่ห่างจากมือซ้ายเพียงเล็กน้อย ผมสีสนิทดูยุ่งๆ เพราะเพิ่งตื่นนอน ดอกไม้ส่งกลิ่นอันหอมหวานมาแตะปลายจมูกของเขา เสียงนกร้องเพลงประสานกันยังช่วยให้ชายหนุ่มผ่อนคลาย ดวงอาทิตย์ส่องแสงตะวันลูบไล้ไปยังต้นหญ้าที่ขึ้นเรียงรายบนผืนดิน หยาดน้ำค้างเล็กส่องประกายแวววาว ดวงตาของชายหนุ่มปรือลงเล็กน้อยก่อนที่เขาจะขยี้ตาตัวเอง เพชรเม็ดงามถูกคว้ามาอยู่ในมือแล้วส่งลงในกระเป๋าทันที สายลมอ่อนๆ ค่อยๆ ซับเหงื่อที่ไหลออกมาให้แห้งเหือดที่ละนิด ชายหนุ่มยันกายขึ้นยืนพร้อมกับคว้าเป้สีดำสนิทขึ้นมาสะพายไว้บนบ่าก่อนเดินตรงรี่เข้าหมู่บ้านไป

              หมู่บ้านที่มีบรรยากาศสดใส บ้านไม้หลายหลังตั้งห่างๆ กันบนเนินสูง ต้นไม้มีบ้างเล็กน้อย หญ้าสีเขียวขจีโชว์เด่นอยู่ตามพื้นถนน ผู้คนต่างเดินกันให้ขวักไขว่ ชายหนุ่มรีบเดินไปยังบ้านไม้สองชั้นเล็กๆ ตรงหัวมุมถนนทันที ป้ายไม้เก่าๆ แขวนไว้ด้านบนโดยมีเชือกเก่าๆ พันธนาการไว้ จะขาดไม่ขาดแหล่ ผู้คนที่เดินเข้าร้านนี้ไปไม่วายจะหันย้อนมามองด้านบนว่าจะตกลงมาใส่หัวตนเองรึปล่าว ชายหนุ่มมุ่งหน้าตรงไปอย่างเร่งรีบ รอยยิ้มที่มุมปากแสยะออก

              "ฮ...เฮ้ย~!"

              ตูม!...

              ป้ายยักษ์มหาภัยห้อยต่องแต่งก่อนจะร่วงลงทับชายหนุ่มจนเสียงดังลั่น ผู้คนมากมายโผล่หัวออกมาดูเหตุการณ์ที่ชายหนุ่มประสบ สภาพที่ผู้คนเห็นนั้นลงความเห็นได้เป็นหนึ่งเดียวเลยว่า "อนาถจริงๆ" ชายหนุ่มขยับแผ่นป้ายนั้นอย่างทุลักทุเลแต่ก็ไม่มีใครใจบุญเดินเข้ามาช่วยชายหนุ่มเลยแม้แต่น้อย (น้ำใจของหมู่บ้านช่างดีจริงๆ)

              หลังจากผ่านเหตุการณ์น่าขายหน้าไปแล้วนั้นเพชรเม็ดงามก็ถูกแปรเปลี่ยนเป็นเงินตรา เพียงแต่ว่า...

              "ของปลอม"

              หลังจากที่ใช้แว่นขยายขนาดเท่าพัดลมได้มาส่องดูซะนานสองนานแล้วก็เอ่ยคำที่สองขึ้นมาซึ่งต่อจากคำว่า "วันนี้มีอะไรมาขายอีกละ?"

              "เฮ้ย! ไม่จริง นี่รู้มั๊ยว่าอันนี้สั่งตรงจากมรดกพันล้านของเจ้าท่านคุณพ่อเชียวนะ มันจะเป็นของปลอมได้ยังไงละ ขนาดพิพิธภัณฑ์ยังขอซื้อไปตั้งโชว์เลยนะ ดูผิดปล่าว ดูใหม่ได้นะไม่ว่า เปลี่ยนแว่นขยายก็ได้สงสัยแว่นอันเก่าจะพังแล้วมั้ง เมื่อเช้านอนพอรึปล่าว ถ้านอนไม่พอนอนใหม่ก็ได้นะแล้วค่อยตื่นมาดูเผื่อลุงจะดูผิด"

              คำพูดพลั่งพลูไหลออกจากปากของชายหนุ่มอย่างไม่ขาดสายและไม่เว้นช่องว่างให้ตาแก่เบื้องหน้าโต้กลับเลย แววตาตกใจสุดขีดของชายหนุ่มทำเอาตาแก่เบื้องหน้าก้มลงส่องใหม่ ขนาดขโมยของพิพิธภัณฑ์นะเนี่ย มันจะปลอมได้ไง ตาแก่เบื้องหน้าที่ถูกชายหนุ่มเรียกว่า "ลุง" แทนที่คำว่า "ปู่" เงยหน้าขึ้นมองแล้วส่ายหน้าช้าๆ ตามวัยของแก ผมสีขาวปอยๆ สั่นไหวตามจังหวะการขยับหัวอันเชื่องช้าของพี่ท่าน ร่างกายที่ซูบผอมราวกับศพเดินได้นั้นมีบาดแผลมากมาย ซึ่งมีหลายคนให้เหตุผลว่าตอนหนุ่มๆ พี่แกเคยเป็นทหารกล้ามาก่อน แต่อีกบางพวกที่อยู่บ้านใกล้ๆ แกกลับบอกว่ารอยแผลพวกนี้เกิดจากตอนหนุ่มๆ ที่พี่แกตีกับภรรเมียบ่อย "เสียใจด้วยไอ้หนุ่ม... ดูยังไงก็ของปลอม ให้ราคาได้แค่สิบเงินเท่านั้นแหละ"

              เสียงแหบแห้งที่ดังลอดช่องคอของท่านปู่เบื้องหน้าทำเอาจิตใจของชายหนุ่มแทบสลาย เขาคว้าหมับไปที่เพชรเม็ดงามกับแว่นขยายในมือของคุณปู่ทันที แว่นขยายถูกทาบลงบนเพชรเม็ดนั้น สายตาก็คอยสอดส่องไปเรื่อยๆ จนเวลาปาเข้าไปนานสองนาน

              ดูไม่เป็นง่ะ

              หัวใจแทบแตกสลายก่อนจะส่งแว่นขยายกับเพชรคืนให้กับตาแก่ "นี่... สักสิบห้าเงินไม่ได้เหรอ?" แววตาใสปิ๊งอ้อนวอนขอให้เพิ่มราคาเพชรที่ตัวเองเพิ่งเข้าไปจิ๊กมาจากพิพิธภัณฑ์มาสดๆ ร้อนๆ

              "สิบเงินเท่านั้นพ่อหนุ่ม"

              "ลุงสิบห้าเงินน๊า"

              "สิบพ่อหนุ่ม"

              "สิบห้าสิลุง คนกันเอง"

              "ไม่ได้ๆ ทำมาค้าขายต้องสิบ"

              "สิบสี่ก็ได้"

              "สิบพ่อหนุ่ม"

              "งั้นสิบห้าละกันนะ"

              "วะ... ไอ้นี่เมื่อกี้ยังสิบสี่ไม่ใช่เรอะ แล้วขึ้นเป็นสิบห้าเท่าเก่าอีก เอาไม่เอา ไม่เอาก็ไป"

              "โห... ลุงอย่าใจดำสิครับ หล่อๆ ยังนี้เขาจะใจดีกันนะครับ"

              "สิบเงินพ่อหนุ่ม"

              "ขอร้องละครับลุง ผมหนีออกจากบ้านมาอ่ะ ไม่มีเงินเลยสักแดงเดียว สิบห้านะ"

              "สิบพ่อหนุ่ม"

              "เอ้าๆ คนละครึ่งทางสิบสามเงินละกัน"

              "สิบสองพ่อหนุ่ม"

              "เออ... ก็ได้วะ"

              สิ้นเสียงเพชรเม็ดงามก็โดนเก็บลงในช่องลับ เหรียญสีเงินประกายสามเหรียญถูกวางลงเบื้องหน้า ชายหนุ่มรวบเอาเหรียญทั้งหลายขึ้นมาไว้ในมือก่อนจะหย่อนมันลงในถุงเก็บเงินสีน้ำตาลอ่อน เขาแลมองดูเจ้าของร้านแก่สักพักก่อนจะลุกเดินออกจากร้านไป ขายของที่นี่กี่ทีกี่ทีก็กดราคาไม่เปลี่ยนแปลง จะเอาไปขายที่อื่นพวกคุณเคลื่อนแบบเคลื่อนที่ทั้งหลายก็ดันอยู่ในร้านแล้วมันจะไม่รู้เรอะว่าเพชรเม็ดนั้นโดนจิ๊กมาจากพิพิธภัณฑ์ ชายหนุ่มเดินทอดน่องออกจากร้านแต่ก็ไม่วายจะเดินเบียดด้านข้างทาง ถึงป้ายนั้นจะถูกยกขึ้นไปแขวนไว้ที่เดิมแล้วก็ตาม แต่นั้นแหละที่ยิ่งไม่น่าไว้ใจ

              ชายหนุ่มเดินหน้ามุ่ยออกจากร้านก่อนจะเลี้ยวขวาเข้าถนนใหญ่แล้วเดินอ้อมต้นไม้ยักษ์ที่ตั้งสง่าอยู่มุมถนนไปยังฝั่งตรงข้าม บ้านไม้หลังเล็กๆ แต่อัดแน่นไปด้วยผู้คนที่ส่งเสียงโวยวายน่ารำคาญ ป้ายไม้เตี่ยๆ ถูกปักอยู่หน้าทางเข้าโดยมีตัวหนังสือขยุกขยิกอยู่ในป้าย 'บาร์เลว เบรวลาร์ (เอิ๊กๆ)' ชายหนุ่มนึกขำเจ้าคนที่ออกแบบชื่อร้าน ภาพแก้วเบียร์ที่มีฟองฟูอยู่เต็มที่ถูกประดับไว้ภายในแผ่นป้าย ชายหนุ่มยิ้มกริ่มก่อนจะผลักประตูออก

              "โทษทีครับ~…"

              ร่างของชายหนุ่มซวนเซเจียนล้มลงเมื่อชนกับร่างยักษ์ที่เดินสวนออกมาเพื่อจะออกจากร้านเช่นกัน "ไม่เป็นไร"

              ร่างยักษ์ที่เต็มไปด้วยกล้าม บาดแผลบนหน้าที่ผ่าระหว่างตาทั้งสองข้าง จมูกแหว่งนิดๆ หัวล้านเลี่ยน สีผิวนั้นออกดำๆ ชายหนุ่มลุกขึ้นขอโทษขอโพยก่อนจะลีบตัวเองเข้าไปในบาร์แห่งนี้ด้วยรอยยิ้ม บาร์นี้ก็เป็นบาร์ไม้ที่ใหญ่พอสมควร เสียแต่ว่าหน้าตาของผู้มาใช้บริการนั้นสุดจะโหด ในที่สุดชายหนุ่มก็พาตัวเองไปยังเคาน์เตอร์ได้สำเร็จ หญิงสาวหน้าตาสะสวยและสะอาดสะอ้านหันมาหาชายหนุ่มก่อนจะถามความต้องการชายหนุ่มเสียงเรียบ

              "ขอนมสดละกัน"

              "เฮ้ย! ไอ้หนุ่มเมื่อกี้แกจะเอาอะไรนะ"

              ชายร่างใหญ่โผล่ออกมาหลังเคาน์เตอร์จนชายหนุ่มผวา เขากุมไหล่หญิงสาวที่ตัวเล็กกว่าเขาหลายเท่านักไว้

              "น...นมสดครับ"

              "ห๊า! แกจะจับนมลูกสาวข้าเรอะ"

              เหวอครับเหวอ ชายหนุ่มอ้าปากค้างกับสิ่งที่ได้ยิน ถึงตัวใหญ่น่ากลัวแต่หูตึงชอบเข้าใจผิดน่ากลัวยิ่งกว่า เส้นขมับของบุรุษเบื้องหน้าปูดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด กำปั้นหนาๆ ของเขาเงื้อขึ้นเตรียมซัดหน้าตาอันหล่อเหลาของชายหนุ่ม แต่ถูกห้ามโดยลูกสาวสุดแสนจะน่ารัก เธอค่อยๆ อธิบายให้พ่อของเธอฟังอย่างใจเย็น "ข...ขอนมทีนึงฮะ"

              "อ๋อ... แกจะกินนมงั้นเรอะ แล้วแกรู้มั๊ยว่าบาร์แห่งนี้ชื่ออะไร!"

              "บาร์เลว เบรวลาร์ (เอิ๊กๆ) ครับ"

              "เออ ชื่อก็บอกแล้วว่าบาร์เลวไม่ต้อนรับเด็กดีอย่างแกโว้ย!"

              เสียงตะคอกกลับออกมาทำเอาขนทุกส่วนในร่างกายตั้งเด่ จะอะไรซะอีกละถ้าไม่ใช่... น้ำลายของคุณเจ้าของร้านที่กระเด็นใส่หน้าเขาเป็นฟอดๆ งั้นเรอะ ส่วนไอ้ที่ขนตั้งนะโกรธเฟ้ย โกรธไม่ได้กลัว

              พ่อยอดชายฟันหลอของหล่อนถูกผลักให้ไปรับแขกอีกด้านหนึ่งของบาร์ส่วนเธอก็เปิดกระป๋องนมแล้วตักผงนมขึ้นมาชงก่อนจะยื่นให้ชายหนุ่มอย่างไม่พูดไม่จา และไม่มีแม้แต่คำขอโทษที่ควรจะพูดกับคุณลูกค้า ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างเนืองๆ ก่อนจะยกแก้วขึ้นกระดก น้ำสีขาวข้นไหลเข้าปากในรวดเดียวก่อนที่ชายหนุ่มจะเอ่ยปากขออีกแก้ว ผมสีม่วงพลิ้วไหวตามท่วงท่าทีของหล่อนที่ขยับ ชายหนุ่มยกนมขึ้นกระดกอีกครั้งก่อนจะหยิบเงินในถุงออกมาจ่าย เหรียญสีเงินประกายจำนวนสี่เหรียญถูกกวาดใส่กระเป๋าหน้าของหล่อน ชายหนุ่มเขยื้อนตัวเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นหันหลังกลับ

              ผัวะ~!...

              เสียงดังก้องเสนาะหูดีจัง ร่างของชายหนุ่มถูกยกขึ้นสูงโดยชายผิวดำที่เดินชนกันหน้าบาร์ มันซัดกำปั้นเข้าใส่หน้าของชายหนุ่มอย่างไม่รี่รอ เลือดข้นๆ ไหลออกจากมุมปาก มันกระชากเสียงใส่ชายหนุ่มโดยถามหาถุงเงินของมัน

              "ม...ไม่รู้"

              ผัวะ~!...

              โดนซัดเข้าไปอีกหนึ่งดอก ผู้คนในบาร์เริ่มสนใจโดยวางเงินพนันว่าใครจะชนะ อุเหม่ๆ พวกมันทั้งหลายวางเงินพนันเข้าฝ่ายเจ้ายักษ์ร่างโตนั่นทั้งหมด หญิงสาวลูกเจ้าของบาร์ยังคงเช็ดเคาน์เตอร์ของเธอไปโดยไม่สนใจต่อเหตุการณ์ด้านหน้าเลยแม้แต่น้อย มันเขย่าร่างสูงเบื้องหน้าอย่างแรงจนถุงสีเทาเล็กๆ หล่นออกจากกระเป่าของชายหนุ่มลงไปกองแหมะอยู่ที่พื้น ชายหนุ่มยิ้มแฮ่ๆ ก่อนจะใส่เกียร์หมาโกยแน่บออกจากร้าน แต่ก็ยังไม่พ้นฝ่ามือหนาๆ ที่คว้าหมับเข้าที่คอเสื้อได้อย่างจัง

              "เฮ้ย! แกขโมยถุงเงินของข้าไปนี่หว่า"

              ร่างของชายหนุ่มถูกขว้างเข้าไปอยู่หลังเคาน์เตอร์เบื้องหน้าโดยที่มีหญิงสาวที่เหมือนว่าจะรู้สึกตัวแล้วว่ามีเรื่องเกิดขึ้นในบาร์ ตู้เก่าๆ แตกหักจนฝุ่นกระจาย (โชคดีที่เจ้าของบาร์ไปนอนแล้ว) ชายหนุ่มไอค่อกแค่กก่อนจะวิ่งไปกอดหมับที่หญิงสาวแล้วเอ่ยเสียงสั่น "พ...พี่สาว ช่วยผมด้วย"

              เพี๊ยะ~!...

              เสียงก้องเสนาะหูดีจริงๆ ฝ่ามือเรียวบางฟาดเข้าใส่หน้าของชายหนุ่มจนเกิดเป็นรอยจ้ำแดงๆ หน้าของเธอแดงจัด (สงสัยนึกว่าโดนลวนลามละมั้ง) เจ้าพวกยักษ์ร่างใหญ่หัวเราะกันครื้นเครง

              เจ็บนะเฟ้ยตบมาได้ ดันโดนจุดที่ปากแตกพอดีอีก

              แทบจะไปผูกคอตายใต้ต้นพริกเลยละ ชายหนุ่มยันกายตัวเองให้ยืนขึ้นอย่างทุลักทุเลพร้อมกับชี้นิ้วออกไปยังเจ้ายักษ์ผิวดำ จมูกแหว่ง "ไปขโมยเงินแกตอนไหนฟะ อยู่ดีๆ มันก็มาอยู่กับข้านิ"

              "อยากตายเหรอห๊ะ ไอ้หนูน้อย"

              "อยากเฟ้ยถ้าต้องมาเจอกับแกเนี่ย"

              "ปากดีนักนะ!"

              "ปากไม่ดีจะพูดได้เหรอครับ คุณพี่~~"

              เพียงแค่สิ้นเสียงคำพูดปากที่แตกเพียงสองจุดโดนระดมต่อยเข้าไม่ยั้งโดยมีหญิงสาวสุดสวย (แต่ความรู้สึกช้า) คอยห้ามปราบ ผมสีดำของชายหนุ่มสั่นไหวไปตามแรงกระชาก เลือดกระเซ็นออกจากบาดแผลที่มีไม่มากแต่เจ็บ ชายหนุ่มจับกำปั้นนั้นไว้ก่อนจะซัดกลับไปทีนึง

              ผัวะ~!...

              หมัดลุ่นๆ ของชายหนุ่มฟาดเข้าปากหนาๆ ของมันจนหน้ามันหงายหน้าขึ้นมองเพดานทันที เหมือนทุกอย่างหยุดนิ่ง เสียงโห่เชียร์เงียบหายไป รอยเลือดที่กระเซ็นออกจากปากของบุรุษร่างยักษ์ลอยค้างกลางอากาศ

              ตูม!...

              ร่างยักษ์ลงไปนอนจูบพื้นบาร์อย่างไม่อาย ดวงตาเหลือกค้างอยู่อย่างนั้น เสียงผิดหวังดังไปทั่วทุกแห่งหนของบาร์เมื่อคนที่เขาพนันดันล้มลงไปภายในหมัดเดียว ถุงเงินเล็กๆ สีเทาถูกคว้าขึ้นมาโดยชายหนุ่ม เขายัดมันกลับลงในกระเป๋าทันทีอย่างรวดเร็วโดยหวังว่าจะไม่มีใครเห็น เหรียญเรียวๆ สีเงินถูกกรีดแบ่งในมือของชายหนุ่ม เขายื่นเหรียญเงินอีกห้าเหรียญให้หญิงสาวก่อนจะเอ่ยปากขอนมอีกแก้ว น้ำสีขาวข้นจืดๆ ที่ให้ความรู้สึกอุ่นๆ ไหลเข้าคอของชายหนุ่มรวดเดียว แก้วถูกวางลงที่เคาน์เตอร์ก่อนจะลุกขึ้นเดินจากไป ทิ้งไว้แต่เพียงแก้วใบหนึ่งที่มีนมเหลืออยู่อีกสี่หยด

              ร่างสูงบิดขี้เกียจก่อนจะสลัดความง่วงให้ออกไปจากสมอง สายตารี่มองหาร้านขายอาวุธหลังจากที่เกือบจะเดินวนรอบหมู่บ้านไปแล้ว ชายหนุ่มเปิดเป้ของตนเองก่อนจะล้วงหยิบเอามีดเล่มยาวออกมา มันก็เหมือนมีดเดินป่าธรรมดาๆ ด้ามทำจากไม้ที่แข็งแรงคงทนถูกมัดทับด้วยผ้าสีดำ ตัวใบมีดนั้นยาวเกือบเท่าแขนท่อนบนของชายหนุ่มเสียแล้ว ใบมีดเก่ากึกสีเทามนๆ จะว่าไปเจ้ามีดนี่ก็อยู่กับชายหนุ่มมานานหลายปีแล้วเหมือนกัน แถมคุณภาพค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ อีกต่างหาก ฟันแทงอะไรก็ไม่ค่อยจะเข้าเสียแล้ว รอยบิ่นก็มีอยู่เต็มใบมีดไปหมด ชายหนุ่มตัดสินใจซื้อมีดเล่มใหม่ที่สั้นกว่านี้หรือไม่ก็ดาบไปเลย อย่างน้อยก็ขอแบบคงทนละกัน ชายหนุ่มเดินทอดน่องไปตามเส้นทางของถนนที่แออัดไปด้วยผู้คน ตัวบ้านไม้ขนาดยักษ์ชั้นเดียว สองข้างทางเข้าร้านมีกระจกใสครอบไว้ ภายในนั้นมีอาวุธต่างๆ นาๆ มาวางโชว์ไว้มากมาย แต่ส่วนมากจะเป็นอาวุธพวกที่มีลายวิจิตรสวยงามเสียมากกว่า ป้ายสีไม้อ่อนแขวนไว้หน้าร้านอย่างมั่นคง ตัวหนังสือสีทองอร่ามถูกเขียนอย่างหวัดๆ แต่มันก็ดูดีไปอีกแบบ ตัวอักษรนั้นเขียนไว้ว่า 'Weapon'

              ถึงตัวร้านจะใหญ่ก็จริงอยู่ แต่อาวุธที่นำมาขายนั้นมีเพียงอาวุธที่เอาไว้ล่าสัตว์หรืออาวุธป้องกันตัวระดับต่ำเท่านั้น เจ้าของร้านที่ดูรูปร่างหน้าตาแล้วอายุไม่นานจะเกินสี่สิบโผล่ออกมาหาชายหนุ่มทันทีที่เขาย่างเท้าเข้าร้านนี้ คำพูดต้อนรับลูกค้าและคำบรรยายอาวุธต่างๆ ในร้านที่มีเกือบถึงร้อยชนิด! พลั่งพลูออกจากปากของเจ้าของร้านอย่างไหลรื่นราวกับท่องจำมายังไงยังงั้น หูของชายหนุ่มที่เคยทำหน้าที่ได้ดีบัดนี้หยุดชะงักต่อหน้าที่ที่มันควรปฏิบัติเสียแล้ว การฟังเสียงของคุณเจ้าของร้านพล่านซะหูของชายหนุ่มแทบเน่า เขาส่งสายตาไปสอดส่องอาวุธต่างๆ ในร้าน พยายามหาอาวุธที่ตนเองถูกใจจะได้รีบออกจากร้านแห่งนี้เสียที

              เสียงพล่านที่น่ารำคาญกับฟองน้ำลายที่ลงไปแหมะกับพื้นไม้เป็นฟอดๆ ทำเอาชายหนุ่มหมดกำลังใจในการซื้ออาวุธเอาดื้อๆ ว่าแล้วเจ้าตัวก็หันหลังบอกลาคุณเจ้าของร้านก่อนจะรีบเดินออกมาทันที มือหนาคว้าหมับเข้าที่หัวไหล่อย่างจังเบอร์ กระชากร่างของชายหนุ่มให้ลอยละลิ่วไปตามแรงดึง เจ้าของร้านจอมพล่านจ้องชายหนุ่มอย่างกระหายเลือดก่อนจะลากเขาเข้าร้านอีกครั้ง

              หลังผ่านการหล่านของเจ้าของร้านอีกนานสองนานชายหนุ่มก็เอ่ยเสียงแจ๋ว "เออ... นี่! ไอ้นี่มันจะขายได้สักเท่าไหร่อ่ะ?"

              มีดเล่มยาวถูกชายหนุ่มคว้าออกมาให้เจ้าของร้านแห่งนี้ดู ชายผู้นั้นทำสีหน้าเหม็นเบื่อก่อนจะหยิบเอาดาบเล่มนั้นมามองดู แว่นขยายขนาดพกพาถูกหยิบออกมาส่องดูรายละเอียดเล็กๆ อีกด้วย สักพักเขาก็เบือนหน้าออกจากมีดยาวเล่มนั้นแล้วเอ่ยขึ้นเสียงอันดังก้อง "สองทองกับอีกยี่ห้าเงิน ขาดตัว!"

              โอ้ว!... พระเจ้าจอร์จช่วยกล้วยปิ้ง กลิ้งไปก็กลิ้งมา แค่ฟังราคาก็แทบสลบ ร้านนี้รับซื้อมีดเก่าๆ บิ่นๆ นี่ถึงสองทองเชียว แต่พูดถึงมันก็น้อยละนะ ขนาดมีดธรรมดาที่เกรดต่ำกว่าอันนี้ยังราคาซื้อตั้งสิบห้าทองเลย แสดงว่าอันนี้มันเน่ามากๆ ละนะ ชายหนุ่มกระอักกระอวนอยากต่อราคาให้สูงขึ้น แต่พอหันไปพบสายตาที่แหลมเฟี้ยวราวกับจะฉีกร่างกายเขาเป็นชิ้นๆ หากต่อราคาเพิ่ม! แววตาสีนิลดูครุ่นคิดเพียงครู่เดียวก็เอ่ยปากรับราคา เหรียญขนาดเท่ากันทั้งสามเหรียญ โดยมีเหรียญนึงเป็นสีทองอร่ามวาววับ และอีกสองเหรียญเงินที่เก่ากึก ชายหนุ่มรับเงินมาแล้วยัดใส่ถุงเงินสีน้ำตาลอ่อนของเขาทันที ชายหนุ่มค่อยๆ เลือกดูอาวุธที่น่าจะเหมาะกับเขาที่สุด เขาลองยกถือดูโดยที่เจ้าของร้านไม่ว่าอะไร ทั้งหน้าไม้ ธนู ดาบ หอก มีด ฯลฯ สารพัดอาวุธก็ไม่มีท่าว่าอันไหนจะเข้ากับเขาได้เสียที จนกระทั่งชายหนุ่มเดินลึกเข้าไปหลังร้าน มุมเล็กๆ ที่มีเพียงตู้โชว์อาวุธอยู่เพียงตู้เดียว ลายไม้ที่ดูเก่าแก่มานานโข ตู้กระจกที่ยังใสสะอาดราวกับไม่เคยมีฝุ่นจับต้อง สิ่งของที่อยู่ภายในนั้นทำเอาตาของชายหนุ่มลุกวาว หนังสือเล่มหนาที่ชายหนุ่มเห็นแล้วอึ้ง ปกนั้นมีสีน้ำตาลอ่อนปนดำเล็กน้อย ไม่มีตัวอักษรอยู่บนปกหนังสือเลยสักตัวเดียว มันมีแต่เพียงรูปวาดสีฟ้าอ่อนๆ รูปหนึ่ง วงกลมที่ซ้อนทับกันถึงสองวงโดยที่มีวงนอกและวงใน สามเหลี่ยมที่ตั้งขึ้นแบบพีระมิดกับกลับหัวลงนั้นทับกันอยู่ สามเหลี่ยมที่ตั้งขึ้นนั้นแยกมุมของมันทั้งหลายเข้าบรรจบกับวงกลมรอบนอก ส่วนสามเหลี่ยมกลับหัวแยกมุมไปบรรจบที่วงกลมใน หรือสิ่งที่พวกชายหนุ่มรู้จักกันในชื่อว่า "วงแหวนเวทย์"

              ไม่... ไม่ใช่ มันไม่ใช่...

              ...สิ่งที่ทำให้ตาของชายหนุ่มลุกวาวหรอก หากแต่เป็น...

              ไข่มุกสีดำที่ทรงเสน่ห์ที่ถูกวางล้อมหนังสือเล่มนั้น แสงอาทิตย์ส่องลอดจากหน้าต่างเข้ากระทบกับไข่มุกทั้งหลายนั้นจนส่องประกายสีดำออกมาชวนให้น่าหลงใหล ความคิดชั่วร้ายโผล่วาบแล่นเข้าสู่เซลล์สมองแล้วส่งต่อไปยังแกนสมองให้ประมวลผลต่างๆ ออกมา

              หมับ!...

              มือหนาวางลงบนบ่าของชายหนุ่มจนสะดุ้ง สงสัยเขาจะมองนานไปหน่อยเจ้าของร้านเลยเดินตามมาดู รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของบุรุษผู้นั้น ก่อนจะเอ่ยเอื้อนเสียงออก "สวยใช่มั๊ยละ"

              "อือ...~"

              เสียงครางตอบในลำคอบ่งบอกถึงคำตอบที่แสดงออกว่า "ใช่" เจ้าของร้านแห่งนี้ยิ้มให้กับชายหนุ่ม หากแต่ว่ามันไม่ใช่รอยยิ้มแห่งความอ่อนโยน มันเหมือนรอยยิ้มอำมหิตมากกว่า! ชายหนุ่มจ้องไปยังไข่มุกสีนิลก่อนจะประมวลผลถึงระบบป้องกันภัยที่ทางร้านจะจัดวางไว้ เจ้าของร้านเห็นชายหนุ่มขมวดคิ้วจนจะเป็นโบว์แล้วก็ยิ้มขึ้นพลางเอ่ยถาม "ฉันข้าให้เอามั๊ยไข่มุกทั้งหมดน่ะ ราคากันเองห้าทอง ถูกๆ"

              "ห...หา! ไมมันถูกงี้ละ?"

              แววตาใสซื่อของชายหนุ่มทำเอาคุณเจ้าของร้านกลั้นหัวเราะแทบไม่อยู่

              "ก็มันของปลอมนิหน่า"

              "ห๊า! ของปลอมงั้นเรอะ"

              กึก!

              ก้นแก้วกระแทกกับโต๊ะไม้สีเข้มเบื้องหน้าจนเกิดเสียงเบาๆ มือข้างขวาที่กำแก้วนั้นแทบจะบีบมันแตกคามือเสียให้ได้ ถ้าหากว่ามันยังคงเสียดายนมในแก้ว... สีหน้าที่ไม่สบอารมณ์สุดขีดเมื่อตนเองไปเจอของเลอค่า แต่มันกลับเป็นของปลอม คิ้วทั้งสองขมวดกันเข้าจนผูกปมเป็นโบว์ได้เลยนั้นค่อยๆ คลายลง ดวงตาสีดำสนิทส่องประกายอย่างเจ็บใจ แต่ก็ยังเป็นดวงตาสวยที่หาได้ยากทีเดียว ดวงตาที่ยากแก่การหยั่งรู้ถึงความคิดของอีกฝ่าย แก้วขนาดพอดีมือถูกยกขึ้นกระดกเข้าปากอีกครั้ง สมองก็ทำงานจนว้าวุ่นถึงจะพลาดของมีค่าแต่อาวุธที่ได้กลับมาก็มีอยู่

              ใบมีดที่เป็นเงินวาวกับด้ามจับที่ทำจากโลหะเช่นกันเสียแต่ว่าถูกพันด้วยผ้าสีดำสนิททับสองชั้น แม้จะเป็นมีดที่ไม่ยาวมากนักแต่ก็เหมาะมือกับชายหนุ่มอย่างแท้ บัดนี้มันกำลังนอนหลับสนิทอยู่ข้างเอวของชายหนุ่มที่เหน็บเอาไว้ นมในแก้วถูกกระดกเข้าปาก<!---->จนเกลี้ยงแล้วเอ่ยปากขออีกแก้ว

              "นี่~ อ้ายหนู ...เอิ๊ก กินนมมั่กๆ ราวาง เอิ๊ก... จาเมาโนมน๊าเว้ย"

              น่าจะขอบคุณคำเตือนนะเนี่ย แต่สงสัยว่าพี่แกอยากจะเมาปากแตกมากกว่าเมากลับบ้านแน่เลย นมแก้วที่สองถูกยื่นส่งให้ เขารับมันมาก่อนจะยกขึ้นกระดกอีกรอบ

              รสชาติมันขมๆ นะ

              "นี่พี่สาว พี่เอาไรใส่ลงไปอ่ะเปล่า?"

              …เงียบ...

              ผ้าเก่าๆ ถูกหญิงสาวแสนสวยนำไปถูกับโต๊ะเคาน์เตอร์อย่างไม่เร่งรีบ จนกระทั่งเสียงของชายหนุ่มดังขึ้นขัดกิจกรรมยามว่างของเธอ หล่อนเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มสักพักก่อนจะก้มลงเช็ดเคาน์เตอร์ต่อราวกับว่าเสียงเมื่อกี้นี้ที่ได้ยิน เธอหูแว่วไปเอง... หน้าของชายหนุ่มขึ้นสีด้วยความโกรธแต่ก็ระงับไว้ได้ก่อนจะมีฆาตกรรมเกิดขึ้นในบาร์แห่งเดียวของหมู่บ้าน และพาดหัวข่าวไว้ว่า 'เด็กหนุ่มหื่นจับหญิงสาวน่ารัก ข่มขืนแล้วฆ่าตายอย่างสยดสยอง' เขาก็คงจะดังพิลึก เครื่องแบบเคลื่อนที่คงวิ่งวุ่นหาตัวเขากันทั้งเมืองเลยละมั้ง ชายหนุ่มกระดกนมทั้งแก้วลงคอก่อนจะล้วงเอาเงินขึ้นมาจ่าย

              "นี่เธอ~!"

              เสียงแหลมดังกระหึ่มทั้งบาร์จนผู้คนต่างหันมามองด้วยหน้าเอ๋อๆ แนวว่า 'เกิดอารัยขึ้นเหยอ' ชายหนุ่มหันเหลียวกลับไปมองหญิงสาวที่เรียกรั้งเขาไว้ก่อนจะออกจากบาร์อย่างงงๆ ร้อยวันพันปีที่เคยเข้าบาร์นี้หญิงสาวคนนี้ไม่เคยพูดกับเขามาก่อน เอ๊ะ~... หรือว่าเธอจะหลงเสน่ห์ของเขาเข้าแล้ว

              "ให้เงินไม่ครบ"

              อ้าวเอ๊ะ~ ก็ครบนี่หว่า

              "ทำไมจะไม่ครบอ่ะ ครบดิ"

              "มันราคายี่สิบเงินนะ ไม่ใช่สิบห้าเงิน"

              "อ้อ... ที่แท้ก็หน้าเลือด"

              ประโยคท้ายแทบจะกลืนหายลงคอไปเลยก็ว่าได้ แต่เจ้าผู้หญิงสวยแต่ (งก) เบื้องหน้าเนี่ยสิดันได้ยินอีก เธอจ้องมองชายหนุ่มอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อให้ได้ ว่าแล้วชายหนุ่มก็เดินเข้าหาหญิงสาวอีกครั้งแล้วจับมือของเธอแบออก

              "นี่ไงครบ สิบห้าเงินพอดีเป๊ะ~"

              "ก็มันยี่สิบเงินนี่"

              "อ๋อ... จะบอกว่าผมลืมให้อีกห้าเงินเหรอครับ"

              "...อืม..."

              เสียงครางในคอของเธอดังพอจะให้ชายหนุ่มได้ยิน และนั่นก็หมายความได้ว่า "ใช่" แทนที่ชายหนุ่มจะควักเอาเงินออกมาจ่ายให้ครบเขากลับยิ้มกริ่มแล้วเอ่ยปากพูดกับหญิงสาวเบื้องหน้า

              "ครบแล้ว อีกห้าเงินที่ไม่จ่ายอ่ะ ก็นมแก้วที่สองมันขมๆ เลยหักออกห้าเงินไง"

              สิ้นเสียงหญิงสาวก็คันมือทันทีอยากเอามันไปประทับรอยปากคนเบื้องหน้าสักที เผื่อปากของชายหนุ่มจะมีเหตุผลขึ้นอีกนิด

              "ราคาคือราคา ไม่มีเงินก็บอกมาเหอะ"

              ราวกับสิ่งที่พูดใส่ชายหนุ่มเป็นสิ่งดูแคลนเขา อารมณ์ที่ขุ่นมั่วจนแทบระเบิดยิ่งปะทุขึ้นอีกก่อนจะสวนขวับ

              "โอ้... คนอย่างข้าน่ะหรือจะไม่มีเงิน เพียงแต่ข้าจะหักออกเพราะคนชงทำพลาดไง"

              "ถ้ามีก็จ่ายมาสิ"

              "ข้าก็อยากจ่ายแต่นมที่ท่านชงมันไม่อร่อยเลยต้องหักออกห้าเงิน"

              "มีใครเขาทำกันอย่างนี้ไหม เจ้าเป็นสุภาพบุรุษพอหรือเปล่า?"

              มุมปากกระตุกขึ้นอย่างโกรธก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มแทน

              "ก็ท่านชง นม...~"

              ยังไม่ทันสิ้นประโยคชายร่างยักษ์ลงพุงนิดๆ ก็เดินเข้ามาหาลูกสาวตนเอง ใบหูหนาๆ ของเขากางผึ่งทันที! ก่อนจะตะโกนออกมาจนผู้คนในบาร์สะดุ้งไปตามๆ กัน "อะไรนะ! เจ้าจับนมลูกข้าเรอะ เตรียมใจได้เลยศพเจ้าไม่สวยแน่!"

              ชายหนุ่มอ้าปากค้างล่อแมลงวันไปบินเล่นในปากสักสองตัว ลมหายใจสะดุดกึกกับสิ่งที่ได้ยิน หน้าของหญิงสาวแดงแปร๊ดอย่างไม่ต้องสงสัยเพราะความขวยเขิน ก็พ่อของเธอดันตะโกนซะลั่นบาร์ทะลุออกไปอีกสามกิโลเมตร ไอ้คนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวก็สำลักเบียร์เอาดื้อๆ ก่อนจะสบถด่า ชายหนุ่มพูดไม่ออก ส่วนหญิงสาวพูดไม่ได้เพราะอายอยู่ ส่วนเจ้าพ่อตัวดี (หูตึง) ของเธอก็โกรธหน้าดำหน้าแดง คว้าขวานจากใต้เคาน์เตอร์ขึ้นมา เสียงกรีดร้องของลูกสาวตัวเองทำเอาการขยับหยุดนิ่ง ชายหนุ่มล้มลงก้นกระแทกพื้นดังโครมใหญ่ด้วยความตะลึง ตึงๆ~ หญิงสาวแสนสวย (แต่งก) พุ่งปราดเข้าห้ามพ่อผู้แสนดีของตนทันที หลังจากการเจรจาจนนานสองนาน ผู้คนเริ่มทยอยออกจากบาร์ไปมาก บางคนก็ตบยุงรอกันเลย จนในที่สุดพ่อของหล่อนก็ทำหน้าเหมือนเข้าใจแล้วเอ่ยปากพูดกับชายหนุ่ม

              "เฮ้ย! แกเบี้ยวเงินไปห้าเงินงั้นเรอะ"

              "อ...เอ่อ"

              "ว่าไงละ ห๊า!"

              โหพี่ท่าน... หน้าน่ะดุดีหรอก แต่น้ำลายที่กระเด็นใส่หน้าเป็นฟอดๆ เนี่ยมันไม่สมกับท่านเลยนะ

              "ก็แบบว่า..."

              "อะไรนะ นี่แกยังจะมีหน้ามาขอลูกสาวฉันเรอะ!"

              อึ้งกันอีกรอบ พี่ท่านเสียงดังซะไกลออกไปราวๆ สามกิโลครึ่งเลยนะเนี่ย พี่ท่านเล่นถามไม่เว้นช่วงเลย แล้วกระผมจะตอบยังไงละนี่ แถมพูดเองเออเองอีกด้วย แล้วจะให้กระผมพูดทำไมละขอรับ... รู้สึกว่าลูกสาวของพี่ท่านจะล้มลงไปแล้วนะ สงสัยเลือดสูบฉีดขึ้นหน้าหมดเลยไม่มีเลือดไปหล่อเลี้ยงส่วนอื่น หลังจากอึ้งได้ไม่นานชายหนุ่มเป็นคนรวบรวมสติที่กองหล่นอยู่ที่ปลายเท้าขึ้นมาได้คนแรกและกำลังจะอ้าปากแย้ง แต่ว่า...

              "หา! นี่แกจะขอลูกสาวฉันไปเข้าหอเลยเรอะ"

              แค่อ้าปากก็สรุปได้แล้ว แล้วจะให้กระผมพูดไปทำไมเนี่ย แต่ก็ต้องนับถือพี่ท่านนะเนี่ย ก็พี่ท่านอ่ะ "หน้าด้าน" ซะไม่มี ชายหนุ่มค่อยๆ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ร่างบางของหญิงสาวถูกอุ้มอยู่โดยผู้เป็นพ่อ ขวานไม้เล่มนั้นถูกสอดเก็บลงที่เดิม หน้าตาเคร่งเครียดของเจ้าของบาร์เล่นเอาคำพูดทั้งหมดของชายหนุ่มที่จะพูดไปจุกอยู่ที่คอเสียหมด คราวนี้ก็ซวยของจริงเสียแล้ว ก็เพราะคุณพี่สาวสุดสวยดันเขินจนสลบเพราะเลือดไปหล่อเลี้ยงส่วนอื่นไม่เพียงพอไปแล้ว คิดแล้วน่าเศร้า ทั้งชีวิตยังไม่มีแฟนเลยสักคนกลับโดนคุณหมีหน้าดุมายัดเยียดศรีภรรยาให้เขาเสียแล้ว เฮ้อ... คิดแล้วกลุ้ม

              "ว่าไงละ แกคิดว่าแกดีพอจะแต่งงานกับลูกฉันเรอะ!"

              ดูเหมือนจะมีควันพุ่งออกมาจากหูทั้งสองข้างที่แดงก่ำของพี่ท่านด้วย พี่ท่านเป็นกาน้ำหรือไงนะ... ชายหนุ่มเหยียดตัวออกพร้อมกับบิดขี้เกียจ เขาควานหาผ้าสะอาดๆ มาหนึ่งผืนแล้วก็เจอจนได้ ผ้าขาวสะอาดบางๆ ถูกซับลงไปบนหน้าของชายหนุ่มอย่างบรรจง ใช่ว่าชายหนุ่มซับเหงื่อหรอกนะ ... หากแต่ว่าเขาซับน้ำลายของท่านเจ้าของบาร์แห่งนี้ต่างหาก!

              "เอ่อคือ... คุณพ่อครับ ผมไม่ได้คิดจะแต่งงานกับลูกของคุณพ่อเลยนะครับ"

              "ใครพ่อแกกันห๊ะ ฉันมีลูกสาวคนเดียวเฟ้ย แล้วแกยังอยากจะไม่จ่ายค่าสินสอดอีกเรอะ"

              ที่ไอ้คำว่าคุณพ่อดันทะลึ่งฟังออก มันน่าเตะสักป้าบเนอะ

              แค่คำพูดของพี่ท่านคนที่ไม่อยู่ในเหตุการณ์ได้ยินก็คงจะรู้เลยละ เล่นพูดซะเห็นภาพนิมิตเลย ชายหนุ่มทำท่าจะเถียงตอบโต้ออกไปหากไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งขยับเขยื้อน

              ร่างบางในอ้อมกอดของผู้เป็นพ่อขยับเล็กน้อยก่อนจะลืมตาขึ้น เธอมองไปยังรอบๆ ตัวก่อนจะผวาตกใจผลักพ่อออกจากตัวเอง เมื่อเธอยืนทรงตัวได้ดีแล้วก็หันไปมองรอบบาร์ของเธอทันที ผู้คนทั้งหลายต่างจ้องมองมายังบุคคลสามคนที่เคาน์เตอร์เป็นหนึ่งเดียว สมองของเธอเริ่มประมวลผลลำดับเหตุการณ์จนเธอสามารถเข้าใจอะไรได้แล้วก็หน้าแดงก่ำก่อนจะหันไปดุพ่อตัวเองเสียยกใหญ่ สุดท้ายชายหนุ่มก็ต้องควักเงินออกมาจ่ายจนได้ ถึงแม้จะคันปากอยากเถียงก็ตามแต่ปากเจ้ากรรมมันดันไม่ยอมฟังคำสั่งเพราะกลัวจะถูกหาว่าจะจับนมลูกสาวของพี่ท่านอีก เฮ้อ... ชีวิตหนอชีวิต

              แม้จะผ่านเหตุการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกไปแล้วแต่เจ้าตัวก็ยังคงยิ้มแฉ่งอยู่อย่างนั้น ปลายเท้าแตะบนพื้นถนนก่อนจะยกขึ้นแล้วก้าวเดินต่อไป เป้ใบสีดำสนิทที่พบติดตัวตลอดแกว่งไหวตามจังหวะการขยับตัวก้าวเดิน นัยน์ตาสีนิลกวาดมองไปยังรอบๆ ตัวหาสถานที่พักพิงสักพัก หยาดเหงื่อที่เคยมีตอนเช้าเหือดแห้งไปแล้ว และกำลังจะกลับมาใหม่เมื่อท้องของชายหนุ่มประท้วงออกมา ร่างกายที่ใช้งานโดยยังไม่ได้รับประทานอาหารเช้าเริ่มอ่อนแรง ก็ตอนนี้ตอนเที่ยงแล้วนี่หน่า เท้ายังคงก้าวต่อไปแม้ว่าร่างกายจะไม่ยอมรับแล้วก็ตาม ฉับพลันสายตาก็สะดุดกึกที่ป้ายไม้ใหญ่ๆ ป้ายหนึ่ง ตัวอักษรสีขาวเรียงกันอย่างเป็นระเบียบเขียนไว้ว่า 'Food' นัยน์ตานิ่งค้าง ความหิวกระหายเริ่มโจมตีชายหนุ่มอีกครั้ง เขาไม่รอช้ารีบใส่เกียร์วิ่งเข้าหาร้านอาหารอย่างรวดเร็ว

              ร้านที่ค่อนข้างใหญ่พอสมควรโดนเปิดโล่งให้ลมผ่านเข้ามาได้สบายๆ ผู้คนมากมายทั้งหลากหลายเพศและอายุนั่งพูดคุยและกินอาหารกันอย่างมีความสุข ไม่ว่ามองไปทางไหนก็ไม่มีผู้ใดนั่งเพียงคนเดียวเลยสักคน คงมีเพียงเขาคนเดียวแล้วละมั้งที่จะต้องนั่งกินข้าวคนเดียว เด็กสาวหน้าตาน่ารักคนหนึ่งวิ่งเข้ามาจูงชายหนุ่มไปยังโต๊ะว่างริมหน้าต่าง เด็กสาวคนนั้นพูดจาต้อนรับชายหนุ่มอย่างสดใสตามด้วยขอรับเมนูที่ชายหนุ่มต้องการ ว่าแต่เอ๊ะ... เมื่อกี้รับเมนูใช่มั๊ย อย่างนี้... ร้านนี้ก็ใช้แรงงานเด็กน่ะสิ!

              "ว่าไงคะพี่ชาย"

              เสียงใสแจ๋วเอ่ยถามชายหนุ่มอีกคราดึงสติที่หลุดลอยไปถึงขั้วโลกเหนือให้กลับเข้าร่างได้ทัน เขาใช้นิ้วเคาะหัวตัวเองสองครั้งพลางทำท่าเหมือนใช้ความคิดก่อนจะหันบอกเด็กสาวด้านข้าง

              "ชุดอาหารเที่ยงหนึ่งชุดนะครับน้องสาว แล้วก็ขอนมเย็นแก้วนึงด้วยครับ แค่นี้แหละ"

              "งั้นรอสักครู่นะคะพี่ชาย"

              ว่าแล้วเด็กสาวคนนั้นก็จดอะไรไม่รู้ของเธอหยุกหยิกบนกระดาษโน้ตเล็กๆ ผมสีชมพูของหล่อนนั้นคลอเคลียไปกับใบหน้ารูปไข่ แววตาใสปิ๊ง น่ารักไม่มีที่ติเลยละ ชุดที่สวมใส่อยู่ก็ค่อนข้างเหมือนชุดแม่ครัวอ่ะนะ พอจดบนกระดาษโน้ตเสร็จเธอก็วิ่งแจ๋นไปยังเคาน์เตอร์ทันที เธอพูดคุยอะไรบางอย่างกับชายหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่ง สักพักเขาก็เดินหายลับไปหลังร้าน ผู้มาใช้บริการก็เยอะดีเหมือนกันนะ เสียงพูดคุยก็ไม่ดังมาก แถมมีเสียงนกร้องอีกด้วย ช่างได้บรรยากาศจริงๆ เป้สีดำถูกเหวี่ยงไปยังที่นั่งข้างๆ โต๊ะไม้กลมท่าทางแข็งแรงถูกคลุมด้วยผ้าปูโต๊ะสีเนื้ออ่อน มีแจกันดอกไม้ขนาดเล็กวางไว้กลางโต๊ะ ส่วนเก้าอี้นั้น เรียกว่าเก้าอี้นวมเลยดีกว่า นั่งได้สี่คนต่อหนึ่งโต๊ะ แถมเก้าอี้นวมเป็นแบบหนึ่งตัวนั่งสองคนอีกด้วย มาร้านนี้แล้วสุดยอด เหลือแต่อาหารจะอร่อยรึปล่าว

              กระแสลมพัดเข้ามาปะทะกายชายหนุ่มเล็กน้อยก่อนจะจางหายไป ผมสีดำปลิวไสวตามสายลมที่พัดผ่าน ดอกไม้เบื้องหน้าถูกชายหนุ่มลูบไปบนกลีบดอกบางๆ ของมัน ดอกไม้สีเหลืองสดใสที่เบ่งบานอย่างสวยงาม ชายหนุ่มสัมผัสมันเบาๆ ก่อนจะดึงมือกลับมาเมื่อสาวน้อยเอ่ยเสียงร่าเรียกชายหนุ่มจากภวังค์ เมื่ออาหารถูกวางลงเบื้องหน้าของชายหนุ่มจนเสร็จเรียบร้อยเขาก็เอ่ยปากขอบคุณก่อนจะเตรียมลงมือจัดการอาหารเบื้องหน้าอย่างหิวกระหาย ถ้าไม่มีเสียงหนึ่งดังขึ้นขัดเสียก่อน...

              "พี่มาคนเดียวเหรอคะ?"

              "...อือ..."

              ชายหนุ่มส่งเสียงในลำคอแทนการพูด เขายัดอาหารคำแรกเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ สักพักสาวน้อยที่ยืนด้านข้างของชายหนุ่มก็เปลี่ยนมานั่งตรงข้ามชายหนุ่มแทน ร่างเล็กๆ เบื้องหน้าของเขามองมาทางเขาโดยใช้สายตาน่ารักๆ นั้นมอง น่ารักขนาดโจรฆ่าเด็กพันคนเห็นแล้วใจยังต้องละลาย การรับประทานอาหารยังคงดำเนินต่อไปโดยที่มีเด็กสาวคอยจ้องมองอยู่อย่างนั้น แต่เป็นโชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่รู้ของเด็กสาวเพราะชายหนุ่มที่เธอกำลังมองน่ะกินข้าวเร็วยิ่งกว่าใครทั้งสิ้น แต่เขาก็ไม่ได้กินมูมมามหรอกนะ ชายหนุ่มยกแก้วนมเย็นขึ้นจรดปากแล้วดื่มลงคอไปเล็กน้อยก่อนจะวางกลับลงที่เดิม ชายหนุ่มมองไปยังเด็กสาวอย่างงุนงง จะมานั่งดูเรากินข้าวทำไมละเนี่ย... เหมือนชายหนุ่มรู้ว่าเงียบไปก็ไม่ได้ไรขึ้นมาจึงเอ่ยเสียงขึ้นถาม

              "น้องมานั่งดูพี่กินข้าวทำไมอ่ะครับ มีอะไรติดหน้าพี่รึเปล่า?"

              "ก็ไม่มีไรนี่คะ ก็แค่เห็นว่าพี่ชายมาคนเดียวเลยจะมานั่งเป็นเพื่อน"

              โธ่... เด็กหนอเด็ก มานั่งทำไมเล่า พี่ไม่ได้อกหักนะจ๊ะน้อง

              "ขอบคุณมากครับ"

              สิ้นเสียงชายหนุ่มก็หยิกลงที่แก้มของเด็กสาวเบื้องหน้าอย่างแผ่วเบาด้วยความเอ็นดู เด็กสาวเบื้องหน้าก็ยิ้มตอบกลับมา ซึ่งมันน่ารักมากๆ อยากได้ไปเป็นลูก เอ๊ย! น้องจังเลย ร่างของชายหนุ่มยืนขึ้นตรงก่อนจะพยายามเดินไปยังเคาน์เตอร์แต่ก็หยุดชะงักแล้วหันมาทางเด็กสาวแทน "เอ่อ... น้องครับทั้งหมดนี่เท่าไหร่อ่ะ?"

              "เจ็ดสิบสองเงินค่ะ แต่เห็นว่าพี่ชายมาคนเดียวลดให้เหลือเจ็ดสิบเงินก็ได้ค่ะ"

              "โอ้... เด็กหนอเด็ก ลดให้อีกหน่อยก็ได้มั้ง แหมล้อเล่นจ๊ะ"

              เหรียญสีเงินห้าเหรียญถูกยื่นให้สาวน้อยเบื้องหน้าด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เด็กสาวนั้นรับเหรียญทั้งหมดมาก่อนจะเก็บมันใส่ลงถุงเงินของเธอเอง เป้สีดำถูกคว้าขึ้นมาสะพายไปบนบ่าอีกครั้งก่อนจะเดินออกจากร้านอาหารนั้น เด็กสาวยืนยิ้มลาให้ชายหนุ่มพร้อมกับหันไปคุยกับชายหนุ่มคนเดิมที่เคาน์เตอร์ เดินมาได้สักพักชายหนุ่มก็กลับหลังหันแล้วมุ่งตรงไปยังจุดที่จากมาเมื่อครู่ ท้องฟ้าสีฟ้าอมส้มส่องประกายอย่างแรงกล้าจนหลายคนต่อหลบไปจากจุดโล่งไร้ที่กำบังแดด แววตาครุ่นคิดของชายหนุ่มฉายชัด กระดิ่งบอกเจ้าของร้านสั่นกุ๊งกิ๊งอย่างน่ารัก ชายหนุ่มเดินเข้ามาในร้านพร้อมกับพูดคุยกับสาวน้อยเบื้องหน้าที่ยิ้มแก้มปริอยู่ หลังจากตกลงอะไรกันได้สองสามคำชายหนุ่มก็สาวเท้าออกจากร้านแห่งนั้นตามด้วยร่างเล็กๆ ที่เดินตามต้อยๆ การเดินทางหยุดลงที่สวนสาธารณะท้ายหมู่บ้าน ต้นไม้ยักษ์แผ่เงาของตนเองไปปกคลุมพื้นที่ต่างๆ ชายหนุ่มหยุดเดินลงที่ใต้ต้นไม้ยักษ์ต้นนั้นพร้อมกับเด็กสาวเบื้องหน้า

              คมมีดที่ถูกเปลือยออกจากที่เก็บลากไปยังใต้ต้นไม้ยักษ์เป็นรูปดาวหกแฉกพร้อมกับมีวงกลมสองวงกำกับอยู่ด้วย วงกลมเวทย์ที่ถูกทำขึ้นนั้นมีขนาดใหญ่พอสมควร ชายหนุ่มประทับฝ่ามือภายใต้ถุงมือสีดำลงบนกลางวงเวทย์นั้นก่อนจะร่ายคาถายาว แสงสีฟ้านวลฉายชัดขึ้นก่อนจะจางหายไปพร้อมวงเวทย์ สาวน้อยมองมาอย่างอึ้งๆ

              ขวดผลึกแก้วถูกยื่นให้สาวน้อยก่อนจะเอ่ยคำ "เธอคงอาจจะต้องใช้ละนะ"

              "เอ่อ... พี่ชายคะแล้วเมื่อกี้ที่พี่ชายทำเขาเรียกกันว่าอะไรเหรอคะ?"

              "วงแหวนแห่งความปรารถนาน่ะ"

              <<< [ M ] a g n e t i z [ E ] >>>

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×