ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เรื่องของต้นเหมย ` ✿ (end. สนพ.sensebook)

    ลำดับตอนที่ #6 : 05 ✿ ราตรีสวัสดิ์

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 6.42K
      686
      19 พ.ค. 64


    05

    ราตรีสวัสดิ์ , ต้นเหมย

     

    คิดถึงครอบครัวเป็นคำสั้นๆ ไม่ต้องอธิบายอะไรให้มากความ เหมยรู้เหตุผลที่ญี่ปุ่นร้องไห้จนตาแดงแล้ว แต่ไม่สามารถพูดอะไรได้มากไปกว่าคำว่า ‘โอ๋นะ’ ในกลุ่มเพื่อนที่รู้กันคือเขาจะไม่ปลอบใคร ด้วยเหตุผลว่าปลอบไม่เก่งแต่สุดท้ายเขาต้องกลายเป็นผู้ปลอบไปโดยอัตโนมัติเพียงเพราะคำว่า ‘แพ้น้ำตา’

    ใครว่ามีเงินกองอยู่แล้วจะมีความสุข สำหรับเขาแล้วมันเป็นความคิดที่ไม่ใช่ ต่อให้มีเงินกองจนท่วมหัวแต่ขาดความดูแลจากครอบครัวก็ยังคงเป็นปัญหา ไม่ต้องยกตัวอย่างไหนไกลเห็นได้จากเพลิงซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของตัวเอง

    พอมาเจอญี่ปุ่นยิ่งแล้วใหญ่ รวมๆ แล้วการแสดงออกว่าไม่เป็นไรเหมือนกับเพลิงไม่มีผิด ปากยิ้มแต่ภายในใจบอบช้ำไปเท่าไหร่ไม่มีใครรู้ ญี่ปุ่นเล่าว่าพ่อกับแม่ต้องเดินทางไปอยู่ต่างประเทศครั้งหนึ่งหลายเดือน ช่วงแรกกลับมาหาบ่อยแต่พักหลังนับได้ก็ปีละครั้ง ด้วยเหตุผลว่าญี่ปุ่นโตพอจะอยู่คนเดียวได้แล้ว แน่นอนเขาถามแล้วว่าทำไมถึงไม่ตามไปด้วยก็ได้เหตุผลกลับมาว่าไม่อยากโยกย้ายไปมาแถมญี่ปุ่นเรียนใกล้จะจบแล้ว

    อีกฝ่ายเป็นลูกคนเดียว เขาเลยคิดได้ว่าไม่แปลกหากจะเอาแต่ใจไปบ้างเพราะพ่อกับแม่คงตามใจพอสมควร อีกหนึ่งสิ่งที่รู้เพิ่มขึ้นมาคือญี่ปุ่นขี้เหงาเพราะต้องอยู่บ้านคนเดียวมาตลอด พอมีผู้ร่วมชายคาเพิ่มเข้ามาอาจจะแสดงออกมากเกินไปบ้าง แต่พอเข้าใจได้

    “ต้นเหมยๆๆ เราเข้าไปนะ” ยังไม่ทันขานตอบเจ้าของบ้านก็เปิดประตูบานเลื่อนมาพบกันอย่างจัง เหมยเงยหน้าขึ้นจากกองหนังสือที่ยืมมาจากอีกฝ่ายเมื่อวันก่อน ซึ่งเป็นแบบเรียนภาษาญี่ปุ่นเบื้องต้น

    “เอาอะไรครับ”

    “วันนี้ต้นเหมยจะออกไปไหนนะ?” ญี่ปุ่นถามเสียงฉงานทว่าคนโดนถามขมวดคิ้วเล็กน้อย

    “ฮาโกดาเตะ” เพิ่งจะบอกไปเมื่อวานทำไมถึงลืมได้ง่ายจัง ถือว่าเป็นอีกเมืองหนึ่งที่เขาปักใจว่าต้องไปเหยียบให้ได้หลังจากดูรีวิวการเที่ยวฮอกไกโด ฮาโกดาเตะเป็นเมืองทางตอนใต้ซึ่งจุดนิยมคือไปชมทิวทัศน์ตอนกลางคืนบนภูเขาฮาโกดาเตะ “ไปด้วยกันไหม”

    “ไม่ๆ เราต้องทำงาน วันนี้ไม่น่าจะได้ออกไปไหนเลย แต่ที่มาถามเพราะเราจะได้รู้ว่าต้องแนะนำอะไรบ้าง” เหมยพยักหน้ารับฟังคำก่อนญี่ปุ่นจะทิ้งตัวลงนั่งข้างหน้า “ฮาโกดาเตะถ้านั่งรถไฟก็หลายชั่วโมงอยู่ ต้นเหมยน่าจะต้องหาที่พักแถวนั้นนะ ไปกลับไม่น่าไหว ค่ารถแพง”

    เขานั่งมองคนตรงหน้าด้วยสีหน้านิ่งเฉย แต่ระบบความคิดกำลังประมวลผลอยู่ว่าควรยกเลิกแพลนไหม หน้าตาเคร่งเครียดของญี่ปุ่นทำเอาเขาเผลอยิ้มออกมาเพียงเสี้ยววินาทีก่อนริมฝีปากจะเม้มเป็นเส้นตรงเมื่ออีกฝ่ายมองกลับมา

    “ทำงานอะไร”

    “งานของมหา’ลัยอะ ใกล้จะส่งแล้ว ฮื่อ เรายังทำไม่เสร็จเลย วันนี้น่าจะต้องอยู่ดึกด้วย” เสียงบ่นออดแอดกับใบหน้ามุ่ยกลายเป็นความเคยชินเสียแล้วสำหรับเหมย “แล้วได้คิดไว้ไหมอะว่าจะไปกี่วัน เนี่ย บนภูเขาอะสวยนะ แต่เราเคยไปมารอบเดียวเอง”

    “...”

    “อากาศเย็นแล้วด้วย ถ้าไปอย่าลืมเอาเสื้อหนาๆ ไปรู้เปล่า เวลาเดินซื้อของต้นเหมยก็...”

    “ปุ่น” คนที่พูดเจื้อยแจ้วอยู่เมื่อครู่เงียบเสียงลงเมื่อเขาเรียกชื่อ

    “เราพูดมากไปเหรอ” ไม่ว่าเปล่ายังยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเองจนเหมยหลุดหัวเราะ

    “ไม่ใช่”

    “อ้าว แล้วต้นเหมยเรียกเราทำไมอะ แถมยังทำเสียงดุอีก”

    “ไม่ไปแล้ว”

    “หือ” ญี่ปุ่นทำหน้างง “ไม่ไปไหนเหรอ เรางงอะ”

    “ฮาโกดาเตะ”

    “อ้าว แล้ว—”

    “ค่อยไปพร้อมกัน”

     

     

    แปลกแต่จริง สิ่งนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นกับฉัน

    มันเป็นรักที่กะทันหันไป

     

    ทำนองเพลงคุ้นหูดังออกมาจากโน้ตบุ๊กเครื่องบาง เหมยเงยหน้าขึ้นจากหนังสือแล้ววางปากกาลงทันที คงเป็นครั้งแรกที่เรามานั่งทำงานอยู่ด้วยกันในห้องเล่น ดวงตาเรียวรีมองคนตรงหน้าที่มัดจุกขึ้นไปอีกแล้ว คาดว่าคงรำคาญเวลาต้องก้มๆ เงยๆ แล้วมันแยงตา

    “อะไรเหรอ” ดูเหมือนว่าจะจ้องนานเกินไปหน่อย เจ้าของรอยยิ้มแสนซนเอียงคอถามอย่างสงสัยนั่นทำให้เหมยส่ายหน้าแทนคำตอบ “เราเปิดเพลงรบกวนหรือเปล่า”

    “เปล่าครับ”

    “จริงนะ”

    “อือ” สิ้นสุดประโยคจึงก้มหน้าลงมาอ่านหนังสือต่อ เขาสงสัยเรื่องญี่ปุ่นฟังเพลงไทยเฉยๆ แต่คิดได้ว่าอีกฝ่ายเป็นลูกครึ่งมันไม่แปลกนักหรอก แต่ถึงไม่ใช่ลูกครึ่งมันก็ไม่แปลกอะไร

     

    แปลกแต่จริง บอกฉันสิว่าทุกอย่างไม่ใช่ฝัน

    บอกกับฉันว่าเธอทำได้ยังไง

     

    เหมยขมวดคิ้วยุ่งเมื่อถ้อยคำในเนื้อเพลงนั่นทำให้เกิดความรู้สึกแปลกประหลาด เงยหน้าขึ้นจากหนังสืออีกครั้งก่อนจะเปลี่ยนเป็นนั่งเท้าคางมองคนตรงหน้า ไอ้ความปั่นป่วนจุกจิกภายในหัวใจในตอนนี้คืออะไร เขานั่งมองคนที่ตั้งหน้าตั้งตาพิมพ์งานโดยไม่ได้เงยหน้ามาสนใจ

     

    เปลี่ยนคนที่คอยปิดหัวใจ

    ให้…

     

    “…ต้นเหมย เหม่อไรอะ เรารบกวนหรือเปล่าเนี่ย บอกได้นะ”

    “ไม่กวน”

    “จริงอะ”

    “จริง”

    “ถ้างั้นมีอะไรเปล่า เห็นมองหน้าเราหลายรอบแล้วอะ”

    “ฟังเพลงไทยด้วยเหรอ” เหมยเลือกถามออกไป แม้ไม่ได้เป็นสิ่งที่ใจนึกก็ตาม อีกฝ่ายทำหน้างงๆ แต่ยอมตอบมาอยู่ดี

    “ฟังบางเพลงอะ ส่วนมากเอามาจากพี่ยิ้ม เวลากลับไทยแล้วพี่ยิ้มชอบเปิดบนรถเราก็ขอมา” เหมยพยักหน้ารับแต่ยังไม่วางตาจากคนตรงหน้า รอยยิ้มดื้อๆ นั่นน่ะเห็นได้ในทุกวัน “ต้นเหมยมีเพลงไทยที่ชอบไหมอะ แบ่งเราได้นะ เราชอบเปิดเพลงตอนทำงาน”

    “รันไปเรื่อยๆ เหรอ”

    “ใช่ แต่ในเพลย์ลิสต์เรานะ” อีกฝ่ายยิ้มกว้างก่อนก้มมองหน้าจอโน้ตบุ๊กของตัวเองต่อ นิ้วเรียวคลิกเมาส์ไปด้วยปากก็ขยับมุบมิบเพราะอ่านชื่อเพลงในเพลย์ลิสต์ตัวเองให้ฟัง “เพลงฝรั่ง เราก็ฟังได้นะ”

    comethru” เหมยตอบเสียงนิ่ง มองการกระทำของคนตรงหน้าไม่ละสายตา เพลงนี้เขาฟังบ่อยเอาเสียมากๆ หากจำไม่ผิดได้มาตอนขับรถไปรับเพ่ยเพ่ยที่สนามบินแล้วอีกฝ่ายขอเปิดเพลงฟังแล้วเขาดันชอบทำนองเลยติดหัวมาถึงทุกวันนี้

    “ของใครอะ”

    Jeremy zucker เคยฟังหรือเปล่า”

    “หึ ไม่รู้จักด้วย”

    “ลองเปิดฟังสิ”

    คนโดนสั่งรับฟังอย่างว่าง่าย ทำนองเพลงคุ้นหูดังขึ้นมาทันทีหลังจากอีกฝ่ายกดแป้นพิมพ์อยู่สองสามครั้ง นิ้วเรียวยาวเคาะลงบนโต๊ะไปตามจังหวะเพลง ญี่ปุ่นนั่งมองหน้าจอแบบไม่แสดงท่าทีอะไร กระทั่งดำเนินไปถึงช่วงกลางอีกฝ่ายขมวดคิ้วเพียงนิด ก่อนรอยยิ้มจางๆ จะเผยออกมา

     

    Now Im shaking, drinking all this coffee

     

    “ท่อนนี้น่ารักจังอะ ต้นเหมยไปหาเพลงมาจากไหนเหรอ”

     

    These last few weeks have been exhausting

     

    “จำมาจากคนอื่น”

     

    I'm lost in my imagination

     

    “เราชอบนะ ฟังแล้วดูสบายใจดี”

     

    And there's one thing that I need from you

     

    “ชอบก็ดีครับ”

     

    Can you come through,

     

    *เพลง comethru ของ Jeremy Zucker

     

    “ชอบความหมายจัง ฮือ น่ารักอะ” เหมยหรี่ตามองเจ้าของเสียงใสที่ใจจดใจจ่ออยู่บนหน้าจอก่อนเงยหน้ามามองเขา เพียงเสี้ยววินาทีอีกฝ่ายกดหยุดแล้วร้องท่อนที่เพิ่งจบไปเมื่อครู่ can you come through

    เหมือนว่าเวลาบนโลกหยุดเคลื่อนไหวชั่วขณะ เกิดเหตุการณ์แปลกๆ กับหัวใจดวงใหญ่ เหมยเม้มปากเล็กน้อยตอนเห็นดวงตากลมโตหยีลงเป็นพระจันทร์เสี้ยวเพราะอีกฝ่ายยิ้มจนแก้มปริ พวงแก้มขาวตอนนี้ฝาดไปด้วยสีแดงระเรื่อ

    หนึ่งคำที่ผุดขึ้นภายในหัวเมื่อเห็นภาพตรงหน้าคือคำว่าน่ารัก

    น่ารักจริงๆ นั่นแหละ

    “ชอบท่อนนี้เหรอ” เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย ราวกับไม่คิดอะไรแต่ตอนนี้ภายในใจมันว้าวุ่นไปหมด อ่า ชักจะบ้าไปกันใหญ่แล้ว

    “อื้อ ชอบ”

    “อ่า”

    “ทำไมเหรอ”

    “เปล่าครับ” เขาเบนสายตาไปทางอื่นหลังพูดจบ แต่ไม่วายที่อีกฝ่ายจะเรียกให้หันกลับไปมองด้วยประโยคขี้สงสัย

    “ต้นเหมยชอบท่อนไหนในเพลงนี้เหรอ” ให้ตาย เขาชอบเพลงนี้ตั้งแต่ท่อนแรก “ถ้าฟังเพลงก็ต้องมีท่อนที่ชอบที่สุดสิ”

    “…” ก็ไม่ใช่กับทุกเพลงหรือเปล่านะ “ไม่มีท่อนไหนเป็นพิเศษ”

    “ได้ยังไงเล่า ถ้างั้นต้นเหมยเลือกมาสักท่อนเลย”

    “เอางั้นเลย?” อีกฝ่ายพยักหน้าระรัวยืนยันว่าอย่างไรก็จะเอาคำตอบให้ได้ “Now Im shaking

    “ทำไมถึงชอบท่อนนี้อะ”

    นั่นไง พอสงสัยแล้วก็ถามไม่จบไม่สิ้น

    “ไม่มีเหตุผล”

    “โหย ไรอ่า ต้นเหมยเข้าไม่ถึงเลย” เสียงบ่นอุบอิบกับใบหน้ายู่ๆ นั่นทำให้เขาหลุดยิ้ม เป็นอีกครั้งที่ญี่ปุ่นทำให้เขาวางสายตาไว้ที่เจ้าตัวไม่ได้อีก ดวงตาเรียวรีเบนมองไปทางอื่น ตอนนี้ทุกอย่างภายในหัวเริ่มมาทะเลาะกันจนหาจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดไม่ได้

    มีแต่คำถามที่เวียนเข้ามาจนตอบไม่ถูก เกิดอะไรขึ้นกับเขา ทำไมถึงได้รู้สึกไม่เป็นตัวเอง ทำไมถึงได้อยากยิ้มเพียงเพราะนั่งมองเฉยๆ แล้วทำไมถึงได้มองว่าญี่ปุ่นน่ารักขึ้นมาเสียดื้อๆ

    และทำไมถึงได้เป็นญี่ปุ่น

    ที่ทำให้หัวใจเขาสั่นไหวขึ้นมาอีกครั้ง

     

     

                    (มึงแค่อยู่ในจุดที่หวั่นไหวง่ายหรือเปล่า) เสียงของอีกฝ่ายดูฉงนเมื่อเขาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงสายให้ฟัง (แต่มึงก็ไม่ได้เสียใจกับไอ้เงินมากขนาดนั้นแล้วนี่หว่า ถึงเวลาที่มึงจะมูฟออนแล้วมั้ง)

    “อือ” เหมยขานรับเพราะมันตรงตามที่พู่กันพูดทุกอย่าง อีกฝ่ายเป็นเพื่อนสนิทในกลุ่มที่พักหลังเวลามีปัญหาอะไรก็แชร์กันตลอด รองลงมาจากที่แชร์กับหมิง

    (ก่อนหน้ามึงยังบ่นว่าเขาน่ารำคาญพอๆ กับหมิง แต่จากที่กูฟังมึงเล่าก็โก๊ะเหมือนไอ้เงินปะวะ อาจจะมากกว่าหน่อย คงไม่แปลกมั้งถ้ามึงจะเผลอไปชอบเข้า)

    “เร็วไป”

    (ฮะอะไรเร็วไป  เฮ้ย พี่ครามอย่าเพิ่งวอแวได้ไหม พู่คุยกับเพื่อนอยู่) น้ำเสียงตระหนกในประโยคท้ายทำให้รู้ว่าตอนนี้เพื่อนสนิทคงอยู่กับแฟนของตน แถมไม่ใช่ใครที่ไหนก็พี่ชายของน้ำเงินนั่นแหละ (เออ ต่อ เมื่อกี้มึงหมายถึงอะไร เจอกันเร็วไป หรือรู้สึกเร็วไป)

    “รู้สึก”

    (เอ้า กำหนดขอบเขตความชอบตัวเองซะงั้น ชอบก็ชอบดิ จะเร็วจะช้ามึงก็ชอบเขาอยู่ดีปะ)

    “แค่ใจสั่น”

    (…)

    “ยังไม่ได้ชอบ”

    (ใจสั่นแต่บอกไม่ชอบเขา ละยังไงวะตกลง หวั่นไหว?)

    “ไม่รู้”

    (มึงคิดว่าถ้าอยู่ด้วยกันบ่อยๆ มึงจะชอบเขาปะ)

    “คงไม่”

    (ตอนนี้มึงพูดได้นะ แต่ระวังเหอะ ถ้าเกิดเขาเป็นคนที่ทำให้มึงหวั่นไหวบ่อยๆ)

    “…”

    (เดี๋ยวได้กลืนน้ำลายตัวเอง อยู่ด้วยกันเดือนนึงก็ไม่น้อยนะ แถมไอ้ที่มึงไม่ไปฮาโกดาเตะแล้วรอไปกับเขานี่ก็ไม่ใช่เล่นๆ แล้วมั้ง ไหนจะไปแอบมองเขาอีก ไอ้เหมยเอาดีๆ นะมึง)

    ใครจะชอบกันได้เร็วขนาดนั้น” เหมยลอบถอนหายใจ ยังไงเขาก็คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ แค่อาการหวั่นๆ คงยังใช้คำว่าชอบไม่ได้หรอก

    (อ้าว มึงเคยได้ยินทฤษฎีแปดวินาทีกับการตกหลุมรักปะ ถ้าไม่เคยไปหาอ่านนะ หรือไม่มึงไปเสิร์ชในกู๋อะ อาการตกหลุมรักเป็นไง ไปไล่อ่านดูว่ามึงเป็นไปครบยัง …โอ๊ย พี่คราม รอเป็นไหมเนี่ย) บอกตามตรงว่าเขานึกหน้าของพู่กันออกเลยในประโยคสุดท้าย ไหนจะเสียงของพี่ครามที่แทรกเข้ามาด้วยคำที่ว่า เรื่องรักๆ นี่เซียนจังอะหนู ไปแอบตกหลุมรักคนอื่นนอกจากพี่ปะ (มึงๆ เดี๋ยวกูโทรหานะ ขอเคลียร์พี่ครามก่อน)

    อือ ไม่เป็นไร ขอบคุณ” คำตอบรวบยอดก่อนเขาจะกดตัดสาย วางโทรศัพท์คว่ำหน้าโดยอัตโนมัติ ยี่สิบนาทีกับการปรึกษาเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเองไม่มีผลใดๆ กับเขาทั้งสิ้น ขนาดตัวเองยังไม่กล้าฟันธงว่าชอบ ใครจะมารู้ดีกว่าใจเขาล่ะ

    ครืด… ครืด

    ชายหนุ่มขมวดคิ้วเมื่อโทรศัพท์ที่เพิ่งจะวางลงเมื่อครู่เกิดสั่นอีกหน แค่ไม่กี่นาทีพู่กันไม่น่าจะเคลียร์กับพี่ครามรู้เรื่อง ถ้าเป็นฝาแฝดยิ่งแล้วใหญ่ป่านนี้ออกไปเที่ยวกับเพลิงจนลืมเขาไปแล้วมั้ง มือใหญ่คว้าขึ้นมาก่อนต้องผ่อนลมหายใจออกอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ของเพ่ยเพ่ย จะไม่รับก็ไม่ได้เพราะเมื่อสองวันก่อนป๊าเพิ่งโทรมาสั่งแบบเด็ดขาดว่าถ้าน้องโทรมาต้องรับสาย

    (ชินน กว่าจะรับสายอ่า ถ้าหนูไม่ไปบอกอาป๊าจะรับสายหนูไหมเนี่ย) น้ำเสียงดีใจปนตื่นเต้นทำให้เขารู้ว่าอีกฝ่ายรออยู่ตลอด แต่สิ่งที่ทำให้เขาไม่ค่อยพอใจคงเป็นคำเรียกชื่ออย่างนั้น

    เพ่ย

    (คะ?)

    พี่เหมยบอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ให้เรียกชิน” ความจริงมันไม่ใช่ข้อห้ามอะไร แต่นัยความหมายของเพ่ยเพ่ยคือคำย่อที่มาจากชินอ้ายถ้าแปลก็จะเป็นคำว่าที่รักในภาษาจีน

    (ถ้างั้นก็เป่า)

    นั่นก็ไม่ได้” เป่าเป้ย มักจะเป็นคำที่สองเวลาโดนเขาสั่งห้ามเรียกชิน ซึ่งความหมายก็แนวเดียวกัน “พี่เหมยบอกว่าอะไร

    (ที่ไม่ให้เรียกเพราะถ้าคนอื่นได้ยินจะดูไม่ดีค่ะ …แต่ว่าเราก็จะหมั้นกันอยู่แล้วนะคะ ถ้าไม่ติดว่าพี่เหมยขอเรียนจบก่อน ก็คงได้แต่งงานแทนหมั้นแล้ว)

    ถ้าจะโทรมาเรื่องนี้…”

    (หนูไม่ได้จะโทรมาย้ำเรื่องนี้ แต่พี่เหมยไม่รับสายหนูพอรับสายทีก็ดุก่อนเลย หนูเลยเผลอพูดไป)

    ครับ” ดวงตาเรียวรีกวาดสายตามองไปรอบห้องขณะที่มือยังถือโทรศัพท์แนบไว้กับใบหูเพื่อรอฟังว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรต่อ เวลาเพ่ยโทรมามักชอบพูดถึงเรื่องงานแต่งที่เขาไม่อยากได้ยินและเขาไม่อยากทำร้ายจิตใจด้วยคำพูดของตัวเอง หลังๆ เลยเลี่ยงไม่รับสายเสียมากกว่า “ถ้างั้นมีอะไร

    (หนูแค่จะโทรมาถามว่าพี่เหมยเป็นยังไงบ้าง เที่ยวสนุกไหมแค่นั้นเองค่ะ) ปลายสายทำน้ำเสียงหงอยจนเขาแอบรู้สึกผิด เพ่ยเพ่ยอายุน้อยกว่าเขาเพียงแค่หนึ่งปีแต่ด้วยความที่ทางบ้านค่อนข้างเคร่งครัดก็เลยต้องมีสรรพนามนำหน้า ถึงอย่างนั้นพอเผลอทีไรอีกฝ่ายมักหยิบเอาศัพท์แบบเมื่อครู่มาใช้ทุกที

    ก็ดีครับ …เราล่ะ

    (เหมือนกันค่ะ หนูอยากเจอพี่เหมยด้วยน้า ถ้าไม่ติดว่าพี่เหมยไปนอนค้างบ้านเพื่อนหนูกับหม่าม้าจะบินไปหาด้วย) เพราะแบบนี้แหละที่ทำให้เขาไม่ชอบ ยิ่งนานวันยิ่งคิดรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัว

    ข้าวไม่อร่อย เพ่ยไม่…”

    ต้น!—” เหมยเหลือบสายตามองผู้มาใหญ่ที่ตอนนี้ยืนเม้มปากนิ่งอยู่หน้าประตูห้องเมื่อเห็นเขาคุยโทรศัพท์อยู่ เขาเพียงยกนิ้วขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองเพื่อบอกให้อีกฝ่ายเบาเสียงลงหน่อย แน่นอนว่าคนตัวเล็กมัดผมจุกรับทราบโดยการพยักหน้าลงระรัวแล้วทำท่ารูดซิปปากก่อนค่อยๆ ย่องออกไป

    รอบนี้จะว่าก็ไม่ได้เพราะเขาไม่ได้ปิดประตูห้อง ส่วนหนึ่งมาจากการที่ญี่ปุ่นชอบลืมว่ามีเขาอยู่ด้วยนั่นแหละ แถมอีกฝ่ายยังเปิดประตูแรงเสียจนเขาคิดว่ามันอาจจะพังก่อนกำหนดในสักวันหนึ่ง

    เดี๋ยวพี่เหมยขอไปข้างนอกก่อน

    (ดึกป่านนี้แล้วน่ะเหรอคะ) เพ่ยถามเสียงฉงนเพราะตอนนี้เวลาที่ญี่ปุ่นเป็นช่วงสี่ทุ่มสิบนาที

    มีของต้องไปซื้อ แค่นี้ก่อนนะครับ

    (ก็ได้ค่า พี่เหมยดูแลตัวเองด้วยนะ อย่าให้ป่วยนะคะ)

    อือฮึ” เขารีบตัดบทแม้ว่าน้ำเสียงปลายสายจะทำให้รู้สึกสงสารอยู่บ้างก็ตาม ถึงอย่างนั้นเขาไม่สามารถทำใจเข้าพิธีหมั้นได้จริงๆ อย่าให้ถึงขั้นงานแต่งงานเลย อีกอย่างแอบรู้สึกผิดที่ต้องโกหกแต่เอาเถอะตอนนี้คนที่เขาควรใส่ใจคือเจ้าตัวยุ่งเมื่อกี้มากกว่า วิ่งเข้ามาหน้าตาตื่นขนาดนั้น

    เจ้าของร่างสูงลุกขึ้นยืนหลังเปิดโหมดเครื่องบินและวางโทรศัพท์ลงเรียบร้อยแล้ว เขาเดินออกไปข้างนอกก่อนจะพบว่าเจ้าคนผมจุกนั้นนั่งทำหน้าสลดอยู่ที่หน้าห้องนอนตัวเอง

    คือเราไม่รู้ว่าต้นเหมยคุยโทรศัพท์อยู่อ่า …ไม่ได้ตั้งใจจะเสียมารยาทเลยนะ” คนโตกว่าพยักหน้าลง เขาไม่ได้โกรธอะไรอยู่แล้วเพราะคนที่คุยด้วยไม่ใช่คนที่เขาอยากต่อบทสนทนาสักเท่าไหร่

    มีอะไร” เขาถามเสียงนิ่งก่อนที่คนบนพื้นจะค่อยๆ ลุกขึ้นมา ใกล้เข้านอนญี่ปุ่นมักใส่เสื้อยืดแขนยาวแบบเดียวกันกับที่พบกันวันแรก ยาวเสียจนคลุมมืดตัวเองมิดไหนจะกางเกงขาลากพื้นนั่นอีก

    เราแค่จะบอกว่าเราทำนมอุ่นไว้เผื่อ

    ตอนนี้?”

    ใช่ เราไปชงกาแฟมาอะ ก็เลยเอานมมาอุ่นให้ต้นเหมยด้วย

    อ่า ขอบคุณครับ” คนตัวสูงจำต้องมองผ่านไปข้างในห้อง โน้ตบุ๊กและกองหนังสือแบบเมื่อตอนบ่ายยังคงวางอยู่แบบเดิม “จะนอนดึกขนาดไหน

    ยังไม่รู้เลย มันเหลืออีกนิดหน่อย แต่เรากลัวง่วงอะ” เหมยพยักหน้าลงอีกครั้งจะเอ่ยปากว่าช่วยทำก็ไม่ได้เพราะเขาไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นเลยสักตัว แม้มาอยู่ได้หลายวันแล้วก็เถอะ “ต้นเหมยไปกินนมแล้วนอนได้เลยนะ เราจะพยายามไม่เสียงดังรบกวน แต่ๆๆ ถ้าเราเสียงดังตอนไหนก็ขอโทษไว้ก่อนได้ไหมอ่า

    “…”

    เรากลัวง่วงก็เลยจะเปิดเพลงค้างไว้อะ แต่อาจจะต้องฟังเสียงดังนิดนึง ถ้าต้นเหมยไม่โอ…”

    ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย” เขาท้วงออกไปก่อนเพราะเกรงว่าญี่ปุ่นจะหาทางเลือกอื่นมาเพิ่มให้ ความจริงน่าจะเป็นเขามากกว่าที่ต้องเกรงใจทำให้อีกฝ่ายทำอะไรไม่สะดวกเท่าที่ควร

    ก็ต้นเหมยทำหน้านิ่งอะ

    แค่คิดอยู่” เขาแค่กำลังคิดว่ามีทางอื่นนอกเหนือจากนี้หรือไม่ ไม่อยากจะทิ้งให้ทำงานคนเดียวนักหรอก อีกอย่างถ้าอีกฝ่ายเปิดเพลงยังต้องคอยมากังวลอีกว่าจะรบกวนเขาหรือเปล่า

    คิดอะไรเหรอ” ญี่ปุ่นมองหน้าเขาอย่างสงสัย เขาได้แต่มองกลับสลับกับหนังสือบนโต๊ะข้างหลัง จนกระทั่งเสี้ยวหนึ่งของความคิดหลุดออกมาจากปากของตัวเองโดยไม่รู้ตัว

    เดี๋ยวอยู่เป็นเพื่อน” 

     

     

    ปุ่น” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกคนที่เผลอฟุบหลับอยู่บนโต๊ะ เขาเองเพิ่งเงยหน้าจากหนังสือถึงได้เห็นว่าคนที่นั่งหน้าง่วงอยู่หน้าโน้ตบุ๊กเมื่อสิบนาทีก่อนหมอบลงไปแล้ว “ญี่ปุ่น

    อือ… ง่วงแล้ว” คนงัวเงียเบ้ปากเมื่อลืมตาขึ้นมาพบกับหน้าจอสี่เหลี่ยมที่นั่งจ้องมาทั้งวัน นั่งจนหลังแข็งไปหมดแล้วแต่ยังไม่เสร็จสักที ญี่ปุ่นดึงสติตัวเองกลับมาเมื่อเห็นว่าเพื่อนร่วมชายคาอยู่ใกล้กันเพียงแค่นี้ “ง่วง

    รู้แล้ว เสร็จหรือยัง” เหมยถามทว่าไม่ได้รับคำตอบใดกลับมาจึงเรียกซ้ำอีกครั้ง ปุ่นครับ

    หือ” เขาสะบัดหน้าไล่ความคิดเมื่อครู่ออกไปจากสมองเมื่อโดนทักท้วงอีกหน ยอมรับเลยว่าที่งานเขาเดินช้ามากๆ ก็เพราะต้นเหมยนั่นแหละ “เมื่อกี้ต้นเหมยว่าอะไรนะ

    เสร็จหรือยัง” ญี่ปุ่นส่ายหน้าแทนคำตอบ “เหลือเยอะหรือเปล่า

    ไม่เยอะๆ ต้นเหมยไปนอนก่อนได้เลยนะ เดี๋ยวเราไปล้างหน้าแล้วค่อยกลับมาทำต่อ” พอพูดจบเขารีบหยัดกายขึ้นจากโต๊ะแต่ยังไม่ทันได้หมุนตัวหรือก้าวขาไปไหน ฝ่ามือใหญ่ก็เอื้อมมาคว้าข้อมือเขาเอาไว้ก่อน

    นอนก่อนไหม

    “…”

    เดี๋ยวเหมยปลุก

    เราเกรงใจอะ เดี๋ยวเราไปล้างหน้ากลับมาทำอีกนิดก็เสร็จแล้ว แต่ต้นเหมยนอนได้เลยนะ ขอบคุณมากๆ เลยที่อยู่เป็นเพื่อน เราไปล้างหน้าก่อนนะ” ปกติพูดเร็วอยู่แล้วพอง่วงยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ คราวนี้เหมยไม่ได้ท้วงอะไรปล่อยให้อีกฝ่ายไปล้างหน้าตามที่ต้องการ พอญี่ปุ่นเดินกลับมาก็ทำหน้าแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่เห็นเขายังนั่งอยู่ที่เดิม ถึงอย่างนั้นไม่ได้เอ่ยปากถามอะไรแล้วไปนั่งทำงานของตัวเองต่อ

    คนตัวสูงอ่านหนังสือของตัวเองสลับเงยหน้ามองอีกฝ่ายเป็นระยะ เพราะเกรงว่าคนแสนซนจะเผลอหลับไปอีกรอบ ด้วยความเมื่อยหลังจากนั่งมาหลายชั่วโมงเขาจึงถือวิสาสะเอนตัวลงบนเสื่อทาทามิทั้งที่ไม่มีฟูก หนักเข้าก็เอาหนังสือที่ถืออยู่วางลงบนหน้าเพียงเพราะอยากพักสายตาสักครู่หนึ่ง แต่เพราะนาฬิกานั้นบอกว่าตอนนี้ปาเข้าไปตีสองแล้วเขาเลยเผลอเข้าสู่ห้วงความฝันไปแบบไม่รู้ตัว

    จนกระทั่ง...

    ต้นเหมย” เสียงคุ้นเคยดังแว่วเข้ามาในโสตการรับรู้ เปลือกตาสีอ่อนลืมขึ้นช้าๆ ก่อนจะรู้สึกว่าตัวเองแย่มากที่เผลอหลับไปทั้งที่บอกว่าจะอยู่เป็นเพื่อน

    อ่า

    เราทำงานเสร็จแล้วนะ

    ขอโทษ เผลอหลับ

    ไม่ต้องขอโทษ ดึกแล้วจะง่วงก็ไม่แปลก เราขอโทษที่ทำให้ลำบากไปด้วยนะ

    ไม่เป็นไร ปุ่นไปนอน เดี๋ยวตื่นไม่ไหว เหมยไม่กวนแล้ว” เหมยยังคงสะลึมสะลือแต่พอจับใจความได้ เขาหยัดกายขึ้นจากพื้นทันทีเพื่อเตรียมกลับไปนอนห้องตัวเอง แต่คราวนี้กลับเป็นเขาเองที่โดนคว้าแขนเอาไว้จนต้องหันกลับไปมอง

    แล้วต้นเหมยจะไปไหน

    ไปนอน” ไม่รู้ว่าเขาหรือญี่ปุ่นใครสับสนกันแน่ ถ้าญี่ปุ่นทำงานเสร็จแล้วเขาไม่อยากรบกวนควรให้อีกฝ่ายรีบพักผ่อน “จะเอาอะไรหรือเปล่า

    เปล่า… แต่เราไปเอาฟูกห้องต้นเหมยมาปูที่ห้องเราแล้วอะ” คนที่นั่งอยู่บนพื้นหัวเราะแหะๆ ก่อนชี้ไปทางที่ปูฟูกนอนไว้ซึ่งญี่ปุ่นแอบโต๊ะตัวเล็กที่ใช้ทำงานไปไว้มุมห้องแล้ว อาจเพราะเมื่อครู่ความง่วงทำให้เขามองอะไรเป็นผืนเดียวกันไปหมดหรือเปล่านะ ขอโทษที่ไม่ได้บอกก่อนนะ วันนี้นอนห้องเราก็ได้ ต้นเหมยอุตส่าห์มาอยู่เป็นเพื่อนเราอะ

    เกรงใจ

    เราสิต้องเกรงใจ ตีสามกว่าแล้ว ต้นเหมยจะหิ้วกลับไปห้องตัวเองเหรอ ถ้านอนห้องเราเดี๋ยวก็เช้าแล้วเนี่ย” เหมยชะงักไปครู่หนึ่งทำให้ญี่ปุ่นต้องเขย่ามือเบาๆ นอนกับเราก็ได้ ไม่เป็นไร

    อือ” ญี่ปุ่นฉีกยิ้มกว้างเมื่อเขารับคำ คนตัวเล็กคลานไปนอนบนฟูกตัวเองซึ่งอยู่ด้านใน ส่วนฟูกของเขาอยู่หน้าประตู แถมอีกฝ่ายยังปูที่นอนชิดกันแบบไม่มีอะไรกั้นกลางอีก กำลังคิดอยู่ว่าควรถามหรือไม่ว่าปูผิดหรือเปล่า เพราะส่วนมากเห็นว่าเขาจะปูแบบเว้นระยะช่องไฟไว้บ้าง

    มานอนได้แล้วต้นเหมย

    ครับ” สุดท้ายได้แต่ขานรับเพราะไม่รู้ว่าจะถามอย่างไร กลัวอีกฝ่ายจะมองว่าเขาเรื่องมากจึงยอมเดินไปทิ้งตัวลงนอนบนฟูกข้างกัน

    ต้นเหมยใส่ไหมอะ” เขาหันไปมองตามเสียงก่อนเห็นว่าญี่ปุ่นชูผ้าปิดตาสีขาวลายกระต่ายแล้วโบกไปมา

    ไม่ใส่ ปุ่นใส่เหรอ

    อื้อ วันนี้จ้องโน้ตบุ๊กทั้งวัน เราปวดตาเลยไปเอาเจลเย็นมาใส่ไว้ข้างใน ต้นเหมยไม่ชอบเหรอ

    ใส่แล้วอึดอัด” อีกฝ่ายพยักหน้าหงึกหงักก่อนสวมผ้าปิดตาแล้วคาดไว้ตรงหน้าผากก่อน “แกะยางมัดผมสิ

    เอ้อ เราลืม” กลายเป็นว่าพอจะนอนกลับมีน้ำเสียงสดใสเสียอย่างนั้น ญี่ปุ่นแกะยางมัดผมออกแล้วหันมาทางเขาแล้วล้มตัวลงนอน “โอยาสุมิ …ภาษาไทยนี่อะไรนะ

    แม้ว่าจะล้มตัวลงนอนแล้วแต่ยังไม่ยอมหลับอยู่ดี เขาเลยจำต้องนอนตะแคงเพราะตัวเองนั่งไม่ไหวแล้วเช่นกันหลังแข็งไปหมดแล้ว เขาเอ่ยปากตอบเพราะญี่ปุ่นไม่ยอมหลับ ส่วนคำที่อีกฝ่ายพูดพอจะรู้คำแปลอยู่บ้าง

    ฝันดี

    ไม่ใช่คำนี้ซี่ …” ญี่ปุ่นเว้นช่วงไปประมาณสองวิถึงได้พูดต่อ ราตรีสวัสดิ์ต้นเหมย

    อือฮึ

    เราใช้ถูกใช่ไหมอะ” เหมยพยักหน้าลงก่อนคนข้างกายจะยิ้มแป้น ต้นเหมย

    ยังไม่นอนอีก” เขาทำเสียงดุเพราะคนที่เงียบไปพูดขึ้นมาอีกครั้ง รอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นเมื่อญี่ปุ่นดึงผ้าปิดตาลงแล้ว ทำไมถึงได้ช่างถามขนาดนี้กัน 

    เราถามอะไรอย่างนึงได้ไหมอะ

    ถามอะไร” เห็นเพียงแต่ริมฝีปากที่ขยับมุบมิบ “ถามมาสิ

    ต้นเหมยมีแฟนแล้วเหรอ

    ยังไม่มีครับ คนที่นอนตะแคงมองอยู่ตอบไปแบบไม่ต้องคิด ไม่รู้หรอกว่าอะไรที่ทำให้ญี่ปุ่นถามออกมาอย่างนั้น แต่สิ่งที่รู้ตอนนี้คือเขาควรสั่งให้คนดื้อนั่นนอนสักที นอนได้แล้ว

    “…”

    ไว้สงสัยต่อพรุ่งนี้นะ

    อื้อ

    เขาไม่สานต่อบทสนทนา ปล่อยให้ความเงียบเข้าปกคลุมภายในห้องจนเหลือเพียงเสียงลมหายใจของเราสองคนเท่านั้น ทั้งที่ควรจะหลับไปนานแล้วแต่เหมยยังคงมองคนข้างๆ ตาไม่กะพริบโดยไม่ทราบเหตุผลของตัวเองเช่นกัน

    เผลอผ่อนลมหายใจออกเมื่อเห็นนาฬิกาบนฝาผนัง เพิ่งรู้ตัวว่านอนมองญี่ปุ่นที่นอนสวมผ้าปิดตาอยู่ข้างๆ มานานเป็นยี่สิบนาทีแล้วและถึงเวลาที่เขาควรนอนพักผ่อนบ้างสักที เหมยหยัดกายขึ้นขยับเข้าไปหาคนข้างกายเพียงนิด ริมฝีปากอยู่ใกล้ใบหูอย่างที่ตั้งใจ เสียงทุ้มเอ่ยกระซิบแผ่วเบาโดยไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายจะได้ยินหรือไม่

    เขาเพียงแค่ทำตามใจตัวเอง

    ราตรีสวัสดิ์ครับ

    เพียงแค่ต้องการจะบอกอีกครั้ง

    คนดื้อ

    ก็เท่านั้น


    tbc.

    มันแบบเนอะ ต้นเหมย เร็วไปแหละ เราก็ว่าแบบนั้นแต่ใจเรามันจะไม่เป็นของเราแล้วอะนะ

    ทุกคนคับต้นเหมยกับญี่ปุ่นสั่งซื้อแบบรูปเล่มได้รอบออนไลน์

    วันที่ 20 - 31 พฤษภาคม 2564

    ทางเว็บ www.sense-book.com นะคะ

    ฝากเอ็นดูยัยน้องด้วยน้า ฮี่


    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×