คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : 10 ✿ หลับตาหน่อย
10
หลับตาหน่อย
, ต้นเหมย
(ของฝากเหรอวะ หิมะตกยัง)
เสียงเพื่อนสนิทถามอย่างสงสัย
เขาใกล้กลับแล้วเลยถามเพื่อนว่าอยากได้ของฝากอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า
ตอนแรกพิมพ์คุยแชตกันอยู่ดีๆ แต่ไม่ถึงสิบนาทีพู่กันก็โทรเข้ามาโดยไม่กลัวว่าจะเปลืองเงินค่าโทรศัพท์
“ยัง”
(กูอยากได้หิมะอย่างเดียวอะ) เขาถอนหายใจทันทีเมื่ออีกฝ่ายพูดจบ
ตามด้วยเสียงหัวเราะคิกคัก (ล้อเล่นเว้ย ไม่เอาอะไรหรอก กูจะโทรมาถามมึงเฉยๆ
ว่าเป็นไงบ้าง)
“เรื่อยๆ”
(แฝดมึงอะเหมย)
“ทำไม” เหมยหรี่ตาลงเล็กน้อยเมื่อโทนเสียงของเพื่อนสนิทเปลี่ยน
(ดูไม่ค่อยดีว่ะ
ยิ่งใกล้ถึงเวลามันยิ่งเงียบเหมือนมีเรื่องคิดตลอดเวลา
ไอ้เพลิงมันบ่นอยู่ว่าเป็นห่วง)
“มันกำลังจะจบแล้ว” ยอมรับว่าเขาพูดคำนี้มาแล้วหลายหน
ไม่ว่าจะกับเพื่อนสนิท แฝดน้องหรือแม้กระทั่งตัวเอง “ฝากดูหมิงให้หน่อย”
(เออ ยังไงกลับมาคุยกันเว้ยมึง มีอะไรก็ทักพวกกูมานะ)
“ขอบคุณมาก”
เหมยเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าเมื่อพู่กันกดวาง มันเป็นบทสนทนาซ้ำๆ
เพราะเขายังไม่ได้กลับไป มีแต่การคาดเดาต่างๆ นานา ว่ามันจะเป็นไปในทิศทางไหน
ถึงอย่างนั้นเขาได้พูดคุยกับแฝดน้องบ้างแล้วหลังจากวันที่ป๊าโทรมาถาม
หมิงบอกว่าป๊าไม่ได้ไปพูดอะไรกับตนจึงสั่งให้แฝดทำตัวตามปกติ
เขาถอนหายใจครั้งหนึ่งก่อนรวบความคิดทุกอย่างละทิ้งไป
เหลืออีกแค่ไม่กี่วันรอยยิ้มบนใบหน้าคงจางไปเหมือนเคย
ทุกวันนี้พูดได้เต็มปากว่าเขายิ้มเพราะญี่ปุ่น มีความสุขมากขึ้นเพราะอีกฝ่ายวนเวียนอยู่ใกล้ตัว
เช่นนั้นจึงต้องตักตวงช่วงเวลาแห่งความสุขที่เหลือน้อยลงให้ได้มากที่สุด
“ต้นเหมย!” เจ้าของชื่อสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียง
แถมยังได้รับสัมผัสหนักๆ บนหัวไหล่เพราะญี่ปุ่นวิ่งเข้ามาเกาะ “ตกใจอะไรเนี่ย”
“ไปซื้ออะไรมา”
“…ไม่บอกหรอก” ญี่ปุ่นทำอุบอิบแล้วรีบเปลี่ยนเรื่อง
“ต้นเหมยจะไปหรือยังอะ”
“ไปสิ”
“งั้นเดี๋ยวไปซื้อตั๋วก่อนนะ”
“เดี๋ยวซื้อให้”
“ไม่เป็นไร
เราซื้อเอง รออยู่ตรงนี้ก่อนนะ” เหมยพยักหน้ารับ ปล่อยให้เจ้าถิ่นเดินหายเข้าไป
เขายืนอยู่หน้าสถานีฮาโกดาเตะ รออยู่ประมาณห้านาทีญี่ปุ่นเดินออกมาพร้อมกับตั๋วรถรางแบบ
one day pass
เขาจำไม่ได้ว่าญี่ปุ่นวางแพลนวันนี้ไว้อย่างไร
จำได้แต่สถานที่สุดท้ายคือนั่งกระเช้าขึ้นไปยังยอดเขาฮาโกดาเตะตามเป้าหมายของตัวเอง
แต่ที่แน่ๆ ไม่มีป้อมโกเรียวคาคุเพราะมันถูกยกยอดไว้เป็นวันพรุ่งนี้
ญี่ปุ่นเดินนำไปขึ้นรถรางซึ่งเป็นพาหนะโดยสารสำหรับทริปเที่ยววันนี้
ชายหนุ่มเดินตามเจ้าถิ่นขึ้นมาบนรถหลังจากรอเวลาตามกำหนด ภายในกว้างขวางพอสมควร
มีผู้คนร่วมเดินทางไปด้วยไม่มากเท่าไหร่นัก
“มัดผมไหม” ชายหนุ่มกระซิบเมื่อได้ที่นั่งเรียบร้อย
อีกฝ่ายปล่อยผมหน้าม้าลงมาปรกหน้าทำให้คิดว่าอาจจะรำคาญ
“มัดๆ
เดี๋ยวเราหายางก่อน” ญี่ปุ่นขานตอบพลางหยิบกระเป๋าสะพายบ่าขึ้นมาเปิด
รื้อหากระปุกใสใส่หนังยางแล้วหยิบมาเส้นหนึ่งก่อนเก็บทุกอย่างให้เหมือนเดิม
คนตัวจ้อยหันมายิ้มแล้วจัดการรวบหน้าม้าขึ้นมัดจุกเป็นต้นมะพร้าว
“ผมยาวไปแล้วหรือเปล่า” เหมยส่งเสียงถามขณะมองทุกอิริยาบถ
“เหรอ
ปกติเราจะตัดตอนมันปิดลูกตาอะ”
“ทำไมต้องปล่อยมันทิ่มตาก่อน”
“เราขี้เกียจไปตัดนี่”
“ไปตัดไหม” เจ้าคนตัวยุ่งหันมาส่ายหน้าพรืดใหญ่
“ทำไม”
“เดี๋ยวเสียเวลา” เราคุยกันด้วยถ้อยคำกระซิบกระซาบเพราะไม่อยากให้รบกวนผู้โดยสารท่านอื่น
“อีกอย่างแถวนี้เราไม่รู้ว่าถ้าตัดมาแล้วจะโอเคไหม”
“มีร้านประจำเหรอครับ”
“อื้อๆ” มันเป็นเรื่องธรรมดาหากว่าเราจะมีร้านตัดผมประจำ
เวลาถูกใจอะไรสักอย่างแล้วก็ไม่อยากเปลี่ยน
ยิ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับเส้นผมหรือรูปลักษณ์ที่แสดงถึงความมั่นใจแล้วต้องคิดให้ถี่ถ้วน
ไม่มีบทสนทนาใดสานต่อจากนั้น
เหมยหันไปมองหน้าญี่ปุ่นเป็นระยะสลับกับมองทิวทัศน์รอบนอก เขาชอบอากาศ
ภาพรวมของประเทศญี่ปุ่นแต่ถือว่าได้มาเหยียบเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น
หากเป็นไปได้เรียนจบอยากจะมาอยู่ที่นี่เลย...
ปัญหาหลักของเขาไม่ใช่เรื่องเงิน ไม่ใช่เรื่องการทำพาสสปอร์ตผ่านเมือง
แต่เป็นป๊าผู้ซึ่งควบคุมตัวตนของเขา
...ไม่มีทางที่เหมยจะได้ย้ายมาอยู่ต่างเมืองไกลหูไกลตาแบบถาวรหรอกมั้ง
ถึงจะโดนเฉดหัวแต่อย่างไรยังต้องอยู่ในสายตาบ้างแหละ
✿
“ต้นเหมยมาทางนี้ๆ” เสียงของเจ้าตัวยุ่งดังขึ้นพร้อมกวักมือเรียกให้เดินไปหา
พวกเขามาเริ่มทริปของวันจากเนินชมวิวฮาจิมันซากะ สายตาทอดยาวไปตามแนวยาวให้ความรู้สึกสดชื่นไม่เบา เหลือบมองคนข้างกายก่อนพบว่าญี่ปุ่นกำลังหาอะไรสักอย่างในกระเป๋า
“หาอะไร”
“กล้อง...เหมือนเราจะลืมหยิบมาจากห้อง” ญี่ปุ่นมุ่ยหน้าด้วยความข้องใจ
เมื่อเช้าจับมันยัดลงมาแล้วนี่นา “ฮื่อ ทำไงดีอะต้นเหมย”
“แน่ใจใช่ไหมว่าหยิบมา”
“แน่ใจมากๆ
ด้วย เราตั้งใจจะเอามาถ่ายรูปตอนขึ้นไปบนภูเขา”
“ความจำสั้นน่ะสิ” เหมยหัวเราะเบาๆ
ก่อนเปิดกระเป๋าสะพายบ่าของตัวเองแล้วหยิบกล้องตัวโปรดของญี่ปุ่นขึ้นมา “วางอยู่บนเตียง”
“อ้าว...”
“ขี้ลืม”
“โธ่
นิดเดียวเองน่า” คนตัวเล็กกว่ายกมือเกาแก้มแก้เก้อ
เมื่อกี้ดันโวยวายไปก่อนเสียได้ “ขอบคุณนะ นี่ถ้าไม่ได้ต้นเหมยวันนี้เราคงไม่ได้รูปกลับไปแน่เลยอะ”
“ทำไมจะไม่ได้”
“…”
“เหมยพกกล้องมา”
“ถึงต้นเหมยจะเอามาด้วยแต่มันก็ไม่เหมือนกันนี่”
“ไม่เหมือนตรงไหน” ชายหนุ่มเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ
“ถ่ายรูปได้เหมือนกัน”
“มันของต้นเหมยอะ จะให้เราไปใช้ถ่ายรูปตัวเองเยอะๆ
ก็ไม่ได้หรือเปล่า”
“ได้สิ” เสียงทุ้มเอ่ยพลางยกยิ้มมุมปาก
ญี่ปุ่นน่ะไม่รู้อะไรเสียแล้ว “ในกล้องเหมยมีแต่รูปปุ่น”
“…หือ”
“วันนี้ก็ตั้งใจจะเอามาถ่ายแต่ปุ่น”
สุดท้ายแล้วญี่ปุ่นแทบไม่ได้ใช้กล้องของตัวเองเพราะต้นเหมยเอาแต่เอ่ยปากบอกว่าอยากถ่ายรูปให้
แถมเขาไม่อยากขัดใจเลยปล่อยให้เลยตามเลย ไม่รู้อีกว่าอีกฝ่ายกดชัตเตอร์รูปเขาในท่าทางเดิมซ้ำไปกี่หน
หลังจากเดินทางลาดฮาจิมันซากะเสร็จ
ญี่ปุ่นได้พาไปร้านแฮมเบอร์เกอร์อันดับหนึ่งอย่าง Lucky Pierrot ขึ้นชื่อว่าหากมาฮาโกดาเตะแล้วไม่แวะเท่ากับว่ามาไม่ถึง
ตัวร้านตกแต่งด้วยแนว Circus
Style เอกลักษณ์เด่นคงไม่พ้นมาสคอตตัวตลก
เหมยไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าควรสั่งเมนูไหน
หน้าที่นั้นเลยกลายเป็นความรับผิดชอบของผู้นำทริป
เรียกได้ว่าเพอร์เฟกต์เลยทีเดียวกับการมีญี่ปุ่นร่วมทาง
จากนั้นไปเดินเตร็ดเตร่อยู่ตรงโกดังอิฐแดงคาเนะโมริ
ซึ่งเป็นห้องแถวเรียงรายกันเป็นแถบ มันเป็นศูนย์รวมแห่งการช็อปปิ้ง
รวมถึงร้านอาหาร เหมยเตะตาที่นี่เป็นพิเศษเนื่องจากตัวโกดังนั้นดูคลาสสิก
อดไม่ได้ที่ถ่ายรูปเก็บเอาไว้ ไม่ว่าจะตัวสถานที่หรือมีญี่ปุ่นติดเข้าเฟรมมาด้วย
มากไปกว่านั้นคือรูปคู่ของเราสองคน
ในขณะเขากำลังก้มหน้าเลื่อนดูรูปในกล้อง คนข้างกายขยับเข้ามาใกล้แล้วสะกิดแขนเบาๆ
เหมยช้อนสายตาขึ้นมองอย่างสงสัย
“ต้นเหมย”
“ครับ?”
“เราขอแท็กรูปไปได้ไหม” ไม่ว่าเปล่าอีกฝ่ายยังหันหน้าจอโทรศัพท์ที่เปิดแอปพลิเคชันลงรูปไว้มาให้เขา
แถมยังค้างอยู่ตรงการพิมพ์ชื่อแอคเคานต์ของเหมยเอาไว้ เหมือนว่าถ้าเกิดเขาอนุญาตญี่ปุ่นก็ทำเพียงแค่กดตกลงทุกอย่างจะเสร็จสรรพ
“แท็กมาสิ” เขาตกลงอนุญาต
คนฟังฉีกยิ้มกว้างจนเขาอดยิ้มตามไม่ได้
สิบวินาทีให้หลังเสียงแจ้งเตือนดังขึ้นจากโทรศัพท์ของเหมย
มือใหญ่หยิบมันขึ้นมาก่อนปลดล็อกหน้าจอแล้วกดถูกใจรูปที่เพิ่งถูกแท็กมาหา
jphayashi tagged you in post.
รูปคู่แรกของเราบนโลกออนไลน์
ใบหน้ายิ้มแย้มที่ถ่ายด้วยกันฉากหลังเป็นโกดังสีแดง ฟิลเตอร์เชิญชวนให้ดูเก่าน่าจับตามอง
ภายใต้รูปนั้นกล่าวเอาไว้เพียงอีโมจิรูปกระต่ายและดอกไม้สีชมพู
ถัดมาจากนั้นไม่ถึงหนึ่งนาที เสียงแจ้งเตือนของญี่ปุ่นก็ดังขึ้น
ก่อนพบข้อความแบบเดียวกัน
py_meiii tagged you in post.
แต่ที่เพิ่มเข้ามาคือข้อความภายใต้โพสต์ ด้วยคำว่า ‘never
better’
✿
โลกออนไลน์เป็นพื้นที่หนึ่งไว้หลบซ่อนความรู้สึกจากป๊าและม้าเพราะท่านทั้งสองใช้มันไม่เป็นสักเท่าไหร่
เพียงแค่แอปพิมพ์ข้อความหรือวิดีโอคอลนั่นมากเกินพอแล้ว
เช่นนั้นการลงรูปของญี่ปุ่นจึงไม่มีปัญหาใด นอกจากเพื่อนและน้องชายฝาแฝดมาพิมพ์ข้อความแซวทิ้งไว้
“จะไม่หนาวแน่เหรอ” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
สถานที่สุดท้ายของวันนี้คือขึ้นกระเช้าไปชมวิวบนภูเขาฮาโกดาเตะ
ซึ่งเป็นแลนมาร์กเดียวที่ต้นเหมยอยากมาเห็นด้วยตาของตัวเอง
เช็กเรียบร้อยแล้วตั้งแต่เวลาเปิดปิดและสภาพอากาศ
เนื่องจากว่าหากฟ้าปิดจะเก็บภาพได้ไม่สวยเท่าที่ควร
“แน่ๆ
ต้นเหมยอะจะหนาวไหม”
“ไม่หรอก” ญี่ปุ่นพยักหน้ายิ้มรับจนคนตัวสูงกว่านั้นยิ้มตาม
ผู้คนเบียดเสียดตามคำรีวิวในอินเทอร์เน็ต พวกเขามาก่อนเวลาพระอาทิตย์ตกดินประมาณชั่วโมงครึ่งเพราะอยากเก็บภาพจากท้องฟ้าหลากสี
ญี่ปุ่นน่ะตามใจต้นเหมยเสียเหลือเกินแถมวันนี้ยังไม่ค่อยดื้อใส่เท่าไหร่นัก
แต่ให้พูดกันตามตรง
ดูเหมือนเขาจะชอบญี่ปุ่นเวลาซุกซนเหมือนลูกหมาเสียมากกว่าแล้ว
ใช้เวลาพักหนึ่งกับการยืนรอต่อแถวและขึ้นกระเช้ามาถึงด้านบน
จากตอนแรกมองว่าคนเยอะพอได้ขึ้นมาถึงจุดชมวิวนั้นกลับเยอะยิ่งกว่า
ชายหนุ่มลอบถอนหายใจทันทีเพราะเขาไม่ชอบอยู่ในที่ผู้คนแออัดมากนัก
แต่เมื่อมาถึงแล้วหากให้พลาดก็กระไรอยู่
“วันนี้เหมือนมาถ่ายแต่รูปอะ” เสียงหนึ่งพูดขึ้นมาขณะหยิบกล้องถ่ายรูปแล้วกดชัตเตอร์ลง
ญี่ปุ่นดูภาพบนจอขนาดเล็กแล้วยื่นมาให้เขา “ต้นเหมยว่าเราซูมไปอีกดีไหม”
“ดีครับ
ถ่ายหลายๆ แบบสิ”
“ต้นเหมยจะถ่ายไหมอะ
เอามาแข่งกับเราว่าใครถ่ายสวยกว่า” ญี่ปุ่นว่าอย่างอารมณ์ดีก่อนยู่ปากใส่เมื่อเขาส่ายหน้า “ไม่ถ่ายเหรอ
แล้วไหนบอกว่าอยากขึ้นมาถ่ายรูปบนนี้ไง”
“เหมยบอกแล้วว่าวันนี้จะถ่ายแต่ปุ่น”
“ต้นเหมย!”
“ชู่ว” ชายหนุ่มยกนิ้วขึ้นแตะริมฝีปากของตัวเองเป็นเชิงบอกให้ญี่ปุ่นลดระดับเสียงลง
เล่นตะโกนชื่อเขาเสียเสียงดังจนคนรอบข้างหันมามองด้วยสีหน้าตำหนิ “ไม่เสียงดังสิครับ”
“ต้นเหมยมาแกล้งเราทำไมเล่า” ครานี้เจ้าตัวลดเสียงลงจนแทบกลายเป็นกระซิบ
เหมยหลุดขำให้กับท่าทางนั้นแล้วไหวไหล่คล้ายไม่ใส่ใจ “เราไม่คุยกับต้นเหมยแล้ว”
ญี่ปุ่นฟึดฟัดแล้วหันหน้าหนีไปอีกทาง
มองด้านข้างถึงเห็นว่าเม้มปากแถมยังทำหน้าขึงขังอยู่ ใครเล่าจะกลัวตัวแค่นี้ ยิ่งขู่ฟ่อๆ
ยิ่งอยากปราบเชียวนัก เหมยผ่อนลมหายใจเบาๆ
เพราะเขาไม่สามารถกระทำอะไรโจ่งแจ้งได้ในตอนนี้
คนตัวสูงขยับตัวเข้าไปประชิด
เอียงศีรษะลงเล็กน้อยพอให้แน่ใจว่าญี่ปุ่นจะได้ยินเสียงเขาชัดทุกถ้อยคำและมันช่างเป็นโชคดีนักที่อีกฝ่ายไม่หันมางอแงใส่กันเสียก่อน
เขาจึงพูดในสิ่งที่คิดออกไปได้
“เหมยอนุญาตให้ไม่พูดกัน”
“...”
“เฉพาะเวลาที่ไอจังโดนจูบปิดปากเท่านั้นครับ”
“ต้น…อุ๊บ!” เหมยแค่นหัวเราะในลำคอ
เขาจำต้องเอื้อมมือไปปิดปากเจ้าคนดื้อเอาไว้
ไม่อย่างนั้นคงได้ตะโกนโวยวายหนักกว่าเมื่อครู่แน่ ทำอย่างไรได้ตอนนี้เขาดันชอบเวลาเย้าให้ญี่ปุ่นไม่พอใจแต่ดูเหมือนว่าจะแกล้งผิดเวลาเกินไปหน่อย “อ้นเอ๋ย! อ่อย!”
“ถ้าปล่อยแล้วอย่าเสียงดัง” เขาจับใจความออกถึงได้พูดตกลงกันก่อน
พอญี่ปุ่นผงกศีรษะลงหลายๆ หนแล้วเขาจึงคลายฝ่ามือออกทีละนิด
แต่ก่อนปล่อยมือออกจนหมดเขากลับคิดว่าอีกฝ่ายคงจะแผลงฤทธิ์ใส่กันแน่จึงพูดขู่เอาไว้
“ถ้าไม่ทำตามที่พูด”
“...”
“เหมยจูบโชว์คนบนนี้นะครับ” เห็นแววตาท่าทางแล้วพอเดาออกว่าเขาน่ะดักทางญี่ปุ่นได้จริงๆ
เขาปล่อยมือออกแล้วเจ้าคนข้างกายก็ไม่ส่งเสียงใดให้ต้องดุกันอีกรอบ
หลังจากนั้นพวกเขาใช้เวลาที่เหลือในการถ่ายรูปเรื่อยเปื่อย
ทั้งวันนี้แทบจะไม่มีอะไรนอกจากถ่ายรูปแบบที่ญี่ปุ่นบอก แม้ผู้คนบนนี้จะเยอะพอควรแต่ภายในหัวของเขามีแต่ญี่ปุ่นคนเดียว
เหมยรู้ว่าตัวเองเป็นพวกปักใจ
อย่างชอบใครมักจะเทใจให้ทั้งหมดภายในครั้งเดียว
แน่นอนว่าคนแรกนั่นคือน้ำเงินเพื่อนสนิทในกลุ่ม ก่อนโดนแทรกจากคนตัวยุ่งและเขาแพ้อย่างราบคาบ
ไม่รู้ว่าจะไปหาเงื่อนไขใดมากหลอกหัวใจตัวเองได้อีก
ในเมื่อมันเป็นไปแล้ว...
ชอบไปแล้วก็ทำได้แค่ยอมรับและเหมยยังคงเป็นเหมยคนเดิม
เพราะเขา... เทใจให้ญี่ปุ่นไปทั้งดวง
“ต้นเหมย”
“หืม” เขาหลุดออกจากภวังค์ความคิดเมื่อญี่ปุ่นเรียกทัก
ผู้คนบางส่วนทยอยลงจากจุดชมวิวไปบ้างแล้วคาดว่าคงทนความเย็นไม่ไหว
แม้ว่าเบื้องหน้าทิวทัศน์จะสวยมากเพียงใดแต่อย่างมากคงได้เก็บรูปภาพสักสิบยี่สิบรูปแล้วถนอมร่างกายตัวเองดีกว่า
“หลับตาหน่อยสิ ...เร็วๆ
ต้นเหมย”
“ถ้าเหมยหลับตาแล้วปุ่นจะหนีไปไหน” เขาหันไปมองแล้วหรี่ตาลงอย่างข้องใจ
อยู่ดีๆ มาบอกให้หลับตาลงบนนี้น่ะหรือ
“เราไม่ได้หนีไปไหนหรอกน่า”
ชายหนุ่มจำต้องหลับตาลง
ยอมทำตามสั่งทุกอย่างจนสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นนุ่มนิ่ม เดาได้อย่างไม่ยากว่ามาจากอะไร
ญี่ปุ่นจับมือเขาไปข้างหนึ่งแถมยังบังคับให้แบออก
หากเป็นเพื่อนสนิททำอย่างนี้เห็นทีต้องขัดคำสั่งแล้วลืมตาขึ้นดูแล้วว่าจะโดนยัดอะไรใส่มือ
แต่พอเป็นญี่ปุ่นจึงทำได้แค่เป็นคนเชื่องๆ เท่านั้น
“อะไร” เหมยส่งเสียงถาม
ขมวดคิ้วยุ่งเพราะไม่กล้าลืมตามอง
สัมผัสจากถุงมือหายไปแล้วแต่กลับหลงเหลืออะไรบางอย่าง
บีบดูแล้วให้ความรู้สึกเหมือน... “อุซางิ”
“ต้นเหมยจับหูก็รู้ซี่!” อีกฝ่ายงอแงจนเหมยต้องลืมตาขึ้นมอง
พวงกุญแจตุ๊กตากระต่ายสีขาวขนาดเท่าฝ่ามือ หยักยิ้มมุมปากเพราะเมื่อครู่เขาจับทุกจุดแล้วดันไปบีบช่วงหูเข้า
แค่ทรงหูยาวๆ นั่นพอจะเดาได้แล้วเพราะเป็นความชอบของญี่ปุ่น “คิดถึงมารุเหรอ”
“อื้อ
ปกติเวลาเรากลับไทยห่างจากมารุก็จริงนะ ทุกวันยังรู้ว่าปกติดี แต่นี่...” ญี่ปุ่นถอนหายใจเบาๆ
เมื่อนึกถึงสัตว์เลี้ยงของตนที่ตอนนี้ยังคงอยู่ในความดูแลของโรงพยาบาล
แม้ค่ารักษาจะสูงแต่คนเป็นเจ้าของสู้ไม่ถอย ทำอย่างไรก็ได้ขอแค่ให้อยู่ด้วยกัน
แม้มารุจะไม่ได้เป็นอะไรมากแล้วแต่เขายังคงเป็นห่วง
หากไม่มีอะไรกะทันหันวันอาทิตย์คงจะไปรับกลับมาได้
“มารุไม่เป็นอะไรหรอก”
“อื้อ ...ตัวนี้เราซื้อให้ต้นเหมยนะ
เวลากลับไทยจะได้ไม่ลืมเรา”
“น่ารัก”
“ต้องน่ารักซี่
เราแอบไปซื้อมาตั้งแต่ตอนเช้า เลือกกับมือเลยนะ
ตอนแรกเราเกือบหยิบปลาหมึกมาแล้วแต่หันไปเห็นกระต่ายก่อน”
ญี่ปุ่นดูภูมิอกภูมิใจกับตุ๊กตาขนฟูในมือเขา
ช่างเลียนแบบออกมาได้เหมือนต่างกันตรงแค่ไม่มีชีวิต ...ทว่าอีกฝ่ายคงเข้าใจความหมายของคำว่าน่ารักที่เขาพูดออกไปผิด
คำว่าน่ารักเขาต้องการจะบอกว่าคือญี่ปุ่นต่างหาก แต่ไหนๆ
เจ้าตัวก็เข้าใจว่าหมายถึงพวงกุญแจกระต่ายแล้วเขาคงไม่เข้าไปขัดความคิด
“ขอบคุณนะครับ”
“อือฮึ
ต้นเหมยอะ ห้ามลืมเรานะ”
“ใครจะไปลืม” เหมือนเขาเป็นเด็กน้อยเน้นย้ำในถ้อยคำสัญญา
“ลืมไม่ได้หรอก”
“จริงนะ”
“ครับ”
“…”
“จูบแรกของเหมยจะลืมได้อย่างไร”
✿
ความคิดเห็น