ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เรื่องของต้นเหมย ` ✿ (end. สนพ.sensebook)

    ลำดับตอนที่ #1 : 00 ✿ ยินดีที่ได้รู้จัก

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 15.45K
      943
      19 เม.ย. 64


    ยินดีที่ได้รู้จัก , ต้นเหมย


    เสียงแจ้งเตือนของสมาร์ตโฟนดังขึ้นเป็นรอบที่สี่ เจ้าของร่างสูงได้แต่ควานหาเพราะต้องการปิดมันเพื่อไม่ให้มารบกวนเวลานอนของตนเองไปมากกว่านี้ มือใหญ่กวาดสะเปะสะปะทั่วเตียงก่อนลืมตาขึ้นช้าๆ เมื่อหามันไม่พบ เขาจำได้ว่าตั้งปลุกไว้เพียงแค่รอบเดียว แต่ทำไมถึงดังซ้ำซ้อนขนาดนี้

    หลังตั้งสติได้จึงรู้ว่ามันไม่ใช่เสียงของนาฬิกาปลุก เขายีผมด้วยความไม่สบอารมณ์แถมยังรู้สึกหงุดหงิดกว่าเดิมตอนเห็นว่าสายเรียกเข้านั้นมาจากรายชื่อที่เมมเอาไว้ว่า ‘หมิงชนน์ นรค’ ซึ่งเป็นน้องชาแฝด มันคือชื่อเล่นตามด้วยชื่อจริงอย่างปิยชนน์ ส่วน นรค ที่ต่อท้าย น้องชายดันคิดว่าเป็น ‘น่ารักครับ’ แต่สำหรับเขามันเป็นคำว่าน่ารำคาญ

    เขาเมมชื่อจริงตามหลังเพราะเพื่อนในกลุ่มยังเรียกสลับผิดถูกเลยต้องเอาไว้เตือนใจ เผื่อใครมายืมโทรศัพท์แล้วจะจดจำได้ขึ้นใจบ้าง ซึ่งชื่อจริงของเขาคือปิยปาณ ดังนั้นบนโทรศัพท์ของน้องชายเลยตั้งเอาไว้ว่า ‘เหมยปาณ’ เช่นกัน

    เหมยกดรับสาย กดเปิดสปีกเกอร์โฟนด้วยความว่องไวก่อนวางมันลงข้างหมอนทันที ชายหนุ่มทิ้งใบหน้าของตนตามลงไปเพราะยังงัวเงียอยู่ กระนั้นจำต้องกดลดเสียงและอยู่ให้ห่างจากโทรศัพท์พอสมควรเพราะคงได้ยินเสียงบ่นยาวเหยียดตั้งแต่ประเทศไทยยันถึงที่นี่

    (คือมันยังไงอะ ไม่คิดจะรับสาย ไม่คิดจะโทรบอกน้องนุ่งเลยหรือไงว่าเอาสารร่างตัวเองไปเหยียบญี่ปุ่นแล้วหรือยัง ถ้าไม่กะเวลาโทรจะได้รู้ไหม ตกลงอยู่โรงแรมยัง หรือไปนอนตายอยู่ที่สนามบิน ...อ้าว เงียบ เหมย กวนตีนกูเหรอ)

    “เปล่า” เขาขานตอบเสียงเซื่องซึม บอกตามตรงเขาไม่รู้หรอกว่าตอนนี้กี่โมงกี่ยามแล้ว พอลงจากเครื่องได้ก็รีบพาตัวเองมาโรงแรมทันที “ง่วง”

    (แสดงว่าอยู่โรมแรมแล้ว แค่เป็นห่วง กลัวจะไปตายซากอยู่เมืองอาทิตย์อุทัย ตามไปเก็บศพไม่ได้นะบอกก่อน)

    “อืม ค่อยบ่น ขอนอนก่อน”

    (เออออ ตื่นแล้วโทรหากูอีกทีด้วยนะ ตอนเช้าอะ)

    “รู้แล้ว” เขาฟังเสียงน้องชายฝาแฝดบ่นอุบอิบก่อนสายจะตัดไป เหมยถอนหายใจแล้วตั้งสมาธิมองนาฬิกาบนหน้าจอโทรศัพท์ ตีสามช่างโทรมาได้ถูกเวลาจริงๆ แต่จะว่าก็คงไม่ได้เพราะเวลาที่ญี่ปุ่นเร็วกว่าไทยสองชั่วโมง เพราะฉะนั้นประเทศไทยประมาณตีหนึ่ง ไอ้น้องตัวแสบคงยังไม่ได้นอน

    หมิงเป็นน้องชายฝาแฝดของเขา เราเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วจนคนภายนอกแยกไม่ค่อยออก อาจเพราะชอบแต่งตัวคล้ายกัน บางทีเอาเสื้อผ้ามาแบ่งกันใช้ ยิ่งตอนที่ยังไม่ได้เปลี่ยนสีผมมีคนทักผิดหลายครั้ง ยังจำวันที่ทะเลาะกันเรื่องย้อมผมได้อย่างดี น้องชายอ้างว่าแสบหัวจนงอแงจะไม่ยอมท่าเดียว เขาจึงตัดปัญหาด้วยการเปลี่ยนสีผมของตนเองให้เป็นสีน้ำตาล ส่วนหมิงยังคงผมสีดำตามกำเนิด

    เขากับหมิงเหมือนกันเพียงแค่ภายนอก อย่างหน้าตา สีผิวและดวงตา เหมยตาชั้นเดียวสีดำสนิท เวลายิ่มจะตาปิดเป็นพระจันทร์เสี้ยวทว่าถ้าอยากเห็นภาพลักษณ์เหล่านั้น ต้องมองหมิงเพียงคนเดียวเพราะน้อยครั้งที่เหมยจะยิ้ม

    หากสนิทสนมถึงจะรู้ว่าลักษณะนิสัยของพวกเขาต่างกันแบบสุดโต่ง หมิงเป็นประเภทพูดจ้อ พูดไม่หยุด จนบางทีเขาต้องสั่งให้เงียบถึงจะเงียบ นั่นเลยเป็นที่มาของคำว่า นรค ในรายชื่อบนโทรศัพท์

    แต่มันเป็นความน่ารำคาญที่เขาไม่เคยรำคาญจริงๆ

    ครอบครัวของเราเป็นตระกูลคนจีนซึ่งบ้านเขาเปิดร้านทองและมีธุรกิจเล็กๆ อย่างอื่นมาเสริมด้วยทำให้มีฐานะพอสมควร ทางบ้านมีเพียงแค่อากงอาม่าและป๊าที่ยังยึดติดกับความคิดเดิมๆ อยู่ ส่วนม้าสามารถปรับตัวเข้ากับยุคใหม่ๆ ได้บ้างเป็นบางเรื่อง แต่ถึงอย่างนั้นหากทางผู้ใหญ่รู้เรื่องที่เขาและน้องมีรสนิยมความชอบเป็นเพศเดียวกัน บ้านคงจะร้อนเป็นไฟน่าดู

    ร่างสูงทิ้งตัวลงนอนอีกครั้งหลังเปิดโหมดห้ามรบกวน เหลือเวลานอนอีกไม่กี่ชั่วโมงเพราะพรุ่งนี้ต้องรีบตื่นแต่เช้าเพื่อเดินทางไปบ้านของเพื่อนน้ำเงินที่เขาไปขออาศัยอยู่ด้วยช่วงหนึ่งเดือนนี้ อันที่จริงสามารถไปได้ตั้งแต่ลงเครื่องแต่เหมยเหนื่อยเกินกว่าจะหิ้วตัวเองไหวเลยทำได้แค่พักโรงแรมแถวนี้ไปก่อนหนึ่งคืน

    ช่วงนี้มหา’ลัยปิดเทอมเขาเลยหนีมาเที่ยวญี่ปุ่นตามแพลนที่วางเอาไว้เมื่อหลายเดือนก่อน ความตั้งใจครั้งแรกคืออยากมากับเพื่อนสนิทที่แอบชอบอย่างน้ำเงิน แต่มันดันล้มเหลวเสียก่อนเพราะอีกฝ่ายมีคนพามาอยู่แล้ว ปัญหาใจของเขาพูดยาก เจ้าตัวไม่เคยรู้ว่าเขาชอบ ตอนตัดสินใจจะบอกว่าคิดอย่างไรเขาก็กลับลำกะทันหัน ไม่อยากให้น้ำเงินกับพี่องศาต้องผิดใจกันจึงเก็บเงียบไว้

    แม้ไม่ได้สถานะแฟนแต่คงสถานะเพื่อนสนิทแถมยังได้พี่ชายเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคนเลยคิดว่ามันไม่แย่เท่าไหร่ เขาใช้ทริปนี้มารักษาใจตัวเอง แน่นอนว่าโดนท้วงมาแล้วเช่นกันเรื่องจะมารักษาใจที่ประเทศญี่ปุ่น ไม่แน่ใจนักว่ามันถูกต้องหรือไม่ เขามาที่นี่เพราะน้ำเงินแล้วจะไม่ให้นึกถึงอีกฝ่ายได้อย่างไร มันเป็นการพักใจตรงไหน ถึงอย่างนั้นคิดว่าตัวเองตัดสินใจถูกเพราะนานวันเข้าก็รู้ว่าตัวเขายินดีกับทุกอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้ แค่เห็นว่าน้ำเงินมีความสุข

    เขาก็พอใจแล้ว



    หลังโดนน้องชายฝาแฝดโทรมาป่วนเลยนอนหลับไม่สนิท เขาเช็กเอาต์ออกจากโรงแรมตั้งแต่เช้าเพื่อเตรียมเดินทางไปบ้านเพื่อนของน้ำเงิน ตอนแรกตั้งใจจะหาโรงแรมพักไปตามเมืองต่างๆ แต่หมิงบ่นเรื่องค่าใช้จ่ายในการเช่าที่อยู่อาศัยตลอดหนึ่งเดือนเลยกลายเป็นสาเหตุให้น้ำเงินติดต่อเรื่องที่พักกับเพื่อนต่างแดนให้ ซึ่งเขาไม่รู้ว่าเพื่อนคนไหน แต่สุดท้ายยอมเปลี่ยนแผนเพราะไม่อยากให้น้ำเงินกับน้องชายเสียน้ำใจ

    เหตุผลหลักของการมาญี่ปุ่นคืออยากไป universal จังหวัดโอซาก้าเพราะเคยบอกกับน้ำเงินเอาไว้ว่าอยากจะมาด้วยกัน แม้ล้มเหลวไปแล้วแต่เขายังอยากมาอยู่ การเปลี่ยนใจเรื่องสถานที่พักทำให้เขาต้องหิ้วตัวเองมาอยู่แถบโอตารุในฮอกไกโด แพลนเที่ยวที่วางไว้ก็ผิดพลาดทั้งหมด เนื่องจากระยะทางจากฮอกไกโดไปโอซาก้าใช้เวลานานพอสมควร หากเขาอยากไปเที่ยวแทบนั้นคงต้องเตรียมการใหม่

    ใช้เวลาไม่นานนักกับการเดินทางมาถึงโอตารุ เขากดดูโลเคชันที่คุณเจ้าของบ้านส่งมาให้ในแอปพลิเคชันแชต รูปโปรไฟล์กระต่ายสีเทาและตัวอักษรภาษาญี่ปุ่นทำให้เขาไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายหน้าตาเป็นอย่างไร

    รายละเอียดคร่าวๆ คือเพื่อนของน้ำเงินเป็นลูกครึ่งไทยญี่ปุ่นรุ่นราวคราวเดียวกับเขา คุณพ่อเป็นคนที่นี่ เราไม่ได้คุยอะไรนอกเหนือจากการถามทางและแนะนำตัวเองสั้นๆ จนรู้มาว่าเจ้าของบ้านชื่อญี่ปุ่น เขาไม่แน่ใจนักว่าเคยรู้จักกันมาก่อนไหมเพราะค่อนข้างคุ้นชื่อ คิดว่าเดี๋ยวค่อยมาทำความรู้จักตอนอาศัยก็ได้ เนื่องจากเขาต้องมาอยู่รบกวนเป็นเดือน

    เหมยใจชื้นไม่เบาตอนรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นลูกครึ่งไทยญี่ปุ่นเพราะหากเขาสงสัยยังพอจะพูดคุยได้รู้เรื่องบ้าง ยอมรับตรงๆ ว่าภาษาญี่ปุ่นของเหมยไก่กายิ่งกว่าอะไรดี เขาศึกษามาเท่าที่จำเป็น เช่นประโยคทักทายหรือตอบรับสั้นๆ มีหนังสือคู่มือติดตัวมาเล่มหนึ่งแต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะมีบอกทุกอย่าง

    ร่างสูงเดินตรงมาตามทางเรื่อยๆ ก่อนหยุดอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่ง เป็นบ้านเก่าชั้นเดียวสไตล์ญี่ปุ่นพื้นที่โดยรอบกว้างขวางอยู่ดูจากความยาวของรั้ว อาจไม่ได้กว้างมากแต่สำหรับประเทศญี่ปุ่นแล้วถือว่ามีฐานะพอตัว เหลือบสายตามองป้ายสีน้ำตาลแก่ด้านหน้าเพื่อเช็กว่าเป็นตัวอักษรเดียวกันกับรูปในแอปแชตหรือไม่ พอแน่ใจว่าใช่เขาจึงกดออดตามมารยาท รออยู่สักพักหนึ่งประตูรั้วสีน้ำตาลก็เปิดออกมาพร้อมกับเจ้าของบ้านที่ทำให้เขาเลิกคิ้วมอง

    “อ้าว... สวัสดี ทำไมไม่บอกเราว่ามาถึงแล้วจะได้ออกไปรับ บ้านเราหายากไหมอะ หลงทางหรือเปล่า” เหมยชะงักไปครู่หนึ่งกับคำทักทายแสนสั้นแล้วตามด้วยการบ่นเรื่องที่เขาไม่ยอมบอกก่อนว่าจะมา แต่เมื่อคืนเขาส่งข้อความมาบอกแล้วนี่ว่าจะเข้ามาแต่เช้า “เข้ามาก่อนสิ”

    “...” ดวงตาเรียวรีไล่สำรวจใบหน้าของเจ้าของบ้านด้วยความรู้สึกคุ้นเหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน ดวงตากลม ปากนิดจมูกหน่อยแต่ลงตัว เส้นผมสีน้ำตาลหม่น มัดหน้าม้ารวบไปเป็นจุกคล้ายต้นมะพร้าว อีกฝ่ายตัวเล็กกว่าเขาเยอะเหมือนกัน ดูท่าแล้วคงสูงกว่าน้ำเงินเล็กน้อย ใส่เสื้อยืดสีเทาแขนยาวคลุมข้อมือกับกางเกงขายาวจนแทบลากพื้น พอเข้าใจว่าอากาศมันหนาวแต่พูดตรงๆ ว่าเหมือนขโมยชุดคนอื่นมาใส่เสียมากกว่า

    “เฮ้”

    “หืม”

    “จะเข้าบ้านหรือเปล่าอะ” เหมยเพียงพยักหน้าตอบกลับ “เดี๋ยวเราพาเดินดูบ้านนะ แต่ว่านายเหนื่อยไหมอะ พักก่อนได้นะ แล้วเราค่อยพาเดินดูทีหลัง”

    “ไม่เป็น...”

    “เดี๋ยวเราลากกระเป๋าให้ ตามเข้ามาเลย” ไม่ทันจะได้อ้าปากท้วงอะไร คนที่ตัวเล็กกว่าเขาเกือบครึ่งก็เดินเข้ามาคว้ากระเป๋าเดินทางแล้วเดินจ้ำเข้าไปในบ้านทันที เหมยตามเข้าไปอย่างรีบเร่งพยายามจะเอากระเป๋ากลับมาถือเองเพราะไม่อยากรบกวน แถมคนตรงหน้ายังทำทีเหมือนจะลากกระเป๋าไม่ไหวเพราะเขาขนของมาเยอะพอสมควร กลัวว่าจะหกล้มน่ะสิ ถึงอย่างนั้นเหมยประมวลผลช้าเกินไปเสี้ยวนาที

    โครม!

    “เฮ้ย” เหมยท้วงเสียงดังเมื่อเจ้าของบ้านล้มคะมำไปกับพื้นพร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ สาเหตุที่หนึ่งมาจากขากางเกงซึ่งอีกฝ่ายคงเผลอเหยียบเข้า เล่นใส่ยาวลากพื้นขนาดนั้นบวกกับพื้นต่างระดับและกระเป๋าแสนหนัก ส่วนสาเหตุที่สองน่าจะเป็นเพราะรีบเดินเกินไป เจ้าบ้านยังถอดรองเท้าไม่เรียบร้อยดีเลยด้วยซ้ำ “เจ็บหรือเปล่า”

    “ฮือ เจ็บมาก” เสียงหวานบ่นออดแอดจนเขาต้องย่อตัวลงไปดู บ้านของญี่ปุ่นทางเข้าเป็นพื้นต่างระดับ มีชั้นวางรองเท้าอยู่ข้างๆ ก่อนเจ้าของเรือนผมสีหม่นจะหันไปกอดกระเป๋าของเขาไว้แล้วหันมามองตาปริบๆ “กระเป๋า... เราขอโทษ ไม่ทันระวัง จะพังไหมอะ”

    “ไม่หรอก” เขาตอบเสียงนิ่งหลังจากคนตัวเล็กทำเสียงหงอย ไหนจะแสดงสีหน้ารู้สึกผิดผ่านการเบะริมฝีปากลงเหมือนเด็กกำลังจะร้องไห้

    “จริงนะ”

    “อือ” ชายหนุ่มตอบสั้นๆ ก่อนยื่นมือไปเพื่อให้คนที่นั่งอยู่กับพื้นได้ใช้เป็นแหล่งยึดเหนี่ยว พอเจ้าบ้านลุกขึ้นมาได้ เหมยจึงก้มไปหิ้วกระเป๋าตัวเองขึ้นมา ขืนปล่อยให้ลากต่อไปมีหวังได้ล้มหน้าทิ่มอีก แม้เป็นพื้นระดับเดียวกันแล้วแต่ตอนนี้เขาไม่ไว้ใจ “เดี๋ยวถือเอง”

    “แต่เรา...”

    “พาไปห้องก็พอครับ”

    คนตัวบางพยักหน้าอย่างรู้สึกผิดก่อนเดินนำลิ่วไปทางด้านขวาซึ่งเป็นระเบียงทางเดินเลาะสวนขนาดย่อม ชายคาบ้านมีกระดิ่งลมแขวนเอาไว้... ถ้าจำไม่ผิดมันน่าจะเป็นสัญลักษณ์ของฤดูร้อนใช่หรือเปล่า ก่อนความสงสัยจะถูกพับเก็บไปเมื่อหยุดอยู่ตรงหน้าห้องที่คาดว่าอีกฝ่ายคงให้เป็นห้องของเขา เพราะมีกระดาษเขียนไว้ด้วยหมึกดำเป็นคำว่า ‘เพื่อนใหม่’ ซึ่งห้องของเขาอยู่สุดทางเดินถัดมาจากห้องอะไรไม่รู้อีกสองห้อง

    “นี่ห้องนายนะ ส่วนข้างๆ นั่นห้องเรา ถ้าขาดอะไรบอกได้เลย” เสียงใสบอกเจื้อยแจ้วขณะเปิดประตูบานเลื่อนแล้วพาเดินเข้ามาภายใน แน่นอนว่าในความคิดของเขามันต้องมีเตียงหรืออุปกรณ์ทันสมัย แต่ไม่ ...ภายในห้องมีเพียงแค่เสื่อทาทามิ มุมห้องมีฮีตเตอร์ ตู้เสื้อผ้าและโต๊ะเล็กๆ อีกหนึ่งตัว บ้านหลังนี้ออกแบบมาแบบสไตล์ญี่ปุ่นแต่ไม่ได้ดั้งเดิมขนาดนั้น ออกแนวผสมผสานกับสมัยใหม่เสียมากกว่า “เอ้อ เราลืมถามเลย นอนพื้นได้ไหมอะ ...เราชอบนอนบนฟูกมากกว่าเลยไม่ได้ซื้อเตียงเอาไว้เลย ขี้เกียจเอาเสื่อออกด้วย”

    “ไม่เป็นไร นอนได้”

    “โอเค ฟูกพับอยู่ในตู้นะ ถ้างั้นเราแนะนำตัวอีกที เราชื่อญี่ปุ่น เรียกปุ่นเฉยๆ ก็ได้”

    “อ่า ชื่อเหมย” เขาแนะนำตัวสั้นๆ เหมือนตอนตอบแชตเพราะไม่มีอะไรอยากพูดมากกว่านี้ แต่ดูเหมือนว่าการแนะนำตัวของเขาทำให้เจ้าของบ้านดูข้องใจ จะว่าไปอีกฝ่ายพูดไทยได้คล่องพอสมควรเลย แม้จะพูดไม่ชัดบางคำก็เถอะ

    “เหมย... ที่มาจากต้นบ๊วยใช่ไหม เราว่าจะถามตั้งแต่ทีแรกแล้ว” เจ้าของชื่อพยักหน้าลงเบาๆ ชื่อของเขามาจากต้นเหมยซึ่งม้าเป็นคนตั้งเพราะชอบ หรือรู้จักกันในชื่อต้นบ๊วยหรือต้นพลัมนั่นแหละ ส่วนชื่อของหมิงนั่นป๊าเป็นคนตั้ง “ชื่อน่ารักจังเลย เราเคยไปงานเทศกาลดอกบ๊วยด้วยนะ ตอนลงไปอิบารากิ”

    “...”

    “ยินดีที่ได้รู้จักนะต้นเหมย” คนฟังหัวคิ้วกระตุกเมื่อชื่อของตัวเองดันมีคำว่าต้นนำหน้า ซึ่งปกติเขาไม่ค่อยจะชอบชื่อตัวเองอยู่แล้ว

    “เรียกเหมยก็พอ”

    “อ้าว ทำไมอ่า”

    “...”

    “แต่ต้นเหมยน่ารักมากเลยนะ ...เราขอเรียกแบบนี้ได้ไหม ...นะๆ” เหมยกำลังรู้สึกว่าตัวเองเหมือนหนีเสือปะจระเข้ อยู่ไทยมีหมิงพูดจ้อไม่หยุดแถมเวลาจะกวนประสาทก็ชอบเรียกอะไรที่เขาไม่ชอบ พอมาเที่ยวญี่ปุ่นกลับต้องเจอเจ้าบ้านช่างพูดด้วยอีกหรือยังไง “ไม่ชอบชื่อต้นเหมยเหรอ”

    “อือ”

    “หรือว่าจะให้เราเรียกว่าอุเมะ” แขกของบ้านขมวดคิ้วยุ่งกว่าเดิมเพราะไม่รู้ความหมาย “อุเมะก็ได้นะ น่ารักเหมือนกัน”

    “แปลว่าอะไร”

    “แปลว่าต้นบ๊วยนี่แหละ” นอกจากเหมย พลัม บ๊วยแล้วยังมีคำว่าอุเมะเข้ามาอีกเหรอ “แต่เราว่าเรียกต้นเหมยน่ารักกว่า ขอเราเรียกต้นเหมยนะ”

    “เดี๋ยว...”

    “น้า... นะ” เสียงอ้อนวอนพร้อมกับการทำตาเป็นประกายนั่นทำให้เขาต้องพยักหน้าตอบตกลงเพราะไม่อยากเถียงด้วย การทะเลาะกับเจ้าบ้านเรื่องชื่อของตัวเองตั้งแต่วันแรกคงไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไหร่นัก พอเขาอนุญาตคนที่ขอเรียกว่าต้นเหมยดูดีใจเป็นพิเศษก่อนเข้ามาคว้าแขนไปเขย่าๆ “ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้งนะต้นเหมย”

    “อือ เหมือนกัน”

    “ทำไมต้องทำเสียงดุด้วยเล่า” เขายืนมองหน้าอีกฝ่ายนิ่งๆ ปกติโทนเสียงเขาไม่ได้เป็นมิตรกับใครอยู่แล้ว ไม่แปลกหากว่าอีกฝ่ายจะคิดว่าเขาดุ

    “ไม่ได้ดุ”

    “ถ้าต้นเหมยไม่ชอบที่เราเรียกแบบนี้” ดูเหมือนว่าเจ้าบ้านจะสำนึกได้แล้วว่าเขาไม่ชอบชื่อต้นเหมยถึงได้เอ่ยออกมาเบาๆ ไม่ได้คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะขอโทษแต่อย่างน้อยญี่ปุ่นอาจคิดได้ว่าควรเรียกชื่อเขาว่าเหมยเฉยๆ

    แต่เขา... คิดผิด

    “ก็เป็นเรื่องของต้นเหมยนะ”

    “...”

    “เพราะเราชอบ”

    ให้ตายเถอะ ถ้าย้ายออกตอนนี้จะทันไหม

     

    tbc

    1/4/21

    เนื้อหาฉบับรีไรต์นะคะ โทนเรื่องฟีลกู้ดเป็นที่สุด เจ้าจี้ปุ่งน่ารักสดใส อิอิ

    #เรื่องของต้นเหมย

    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×